วันอังคาร, สิงหาคม 31, 2553

เพชรสีฟ้าน้ำหนัก 45.52 กะรัตที่กำลังจะกล่าวถึงมีชื่อว่า “โฮพ” เป็นเพชรที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในโลกเม็ดหนึ่ง เพราะมีประวัติความเป็นมาน่าสยดสยองยิ่งนัก

by Goosehhardcore on 2010-09-01 - 11:33 am
ที่มาข้อมูล: จากอัลบั้ม รูปภาพบนกระดาน โดย Rednews BangkokThailand



พลิกตำนาน บลูไดมอนด์ ตำนานเพชรสีฟ้า อาถรรพ์เพชรซาอุมีจริงหรือ ?

เพชรสีฟ้าน้ำหนัก 45.52 กะรัตที่กำลังจะกล่าวถึงมีชื่อว่า “โฮพ” เป็นเพชรที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในโลกเม็ดหนึ่ง เพราะมีประวัติความเป็นมาน่าสยดสยองยิ่งนัก ซึ่งหลายคนเชื่อว่าเป็นเรื่องของโชคลาภที่เกิดขึ้นจริง แต่อีกหลาย ๆ คนกลับเชื่อว่าเป็นเรื่องอิงนิยาย ส่วนจะจริงแท้แค่ไหนหรืออิงนิยายมากน้อยเพียงใดนั้น เรามาช่วยกันไขปมปริศนากันดีไหม........?

มีตำนานเล่าว่า ในปี 1642 มีพ่อค้าพลอยและนักผจญภัยชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งชื่อ ยัง แบบทิสท์ ทาเวอร์นิเยร์ ได้เดินทางเข้าไปในอินเดียทางตะวันตกเฉียงใต้ และขณะที่เขากำลังผจญภัยอยู่นั้น มีชายคนหนึ่งนำเพชรสีฟ้าน้ำหนักถึง 112.50 กะรัต มายื่นขายให้ เขาเลยตกลงรับซื้อมันไว้

แต่ในยุคนั้น กฎหมายอินเดียไม่ยินยอมให้ใครครอบครองเพชรขนาดใหญ่ หนักตั้งแต่ 10 กะรัตขึ้นไป ผู้ที่สามารถครอบครองเพชรเม็ดใหญ่ขนาดนั้นได้ คือ กษัตริย์ เจ้าผู้ครองนครเท่านั้น เพชรสีฟ้าเม็ดนี้จึงถูกลักลอบนำออกนอกนอกอินเดียมาได้อย่างผิดกฏหมาย

ในปี ค.ศ. 1668 ทาเวอร์นิเยร์ ได้ตกลงขายเพชรสีฟ้าเม็ดนั้นพร้อมกับเพชรเม็ดโตอื่น ๆ อีกจำนวนหนึ่ง ให้กับ พระเจ้าพระหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส แต่หลังจากนั้นอีกเพียง 2-3 ปี ทาเวอร์นิเยร์ ต้องมุ่งหน้าสู่อินเดียอีกครั้งหนึ่ง ด้วยหมายมั่นปั้นมือว่าจะพบโชคอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่อายุก็ปาเข้าไป 80 แล้ว

สาเหตุที่เข้ามุ่งหน้าแสวงหาโชคในครั้งนั้น เล่ากันว่าเป็นเพราะบุตรชายของเขาที่ใช้เงินอย่างสรุ่ยสุร่าย และผลาญเงินของผู้เป็นบิดาจนสิ้นเนื้อปะดาตัวและ ในที่สุด ทาเวอร์นิเยร์ก็ต้องจบชีวิตลงที่นั่นอย่างอเนจอนาถ จากฝูงสุนัขจิ้งจอกจอมกระหาย

หลังจากทาเวอร์นิเยร์จบชีวิตลงได้ไม่นานนักพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงรับสั่งให้เจียระไนเพชรสีฟ้านั้นขึ้นมาใหม่จากเดิม 112.50 กะรัต จนเหลือเพียง 67.50 กะรัต เท่านั้น พร้อมกับตั้งชื่อใหม่เป็น "เฟร้นซ์ บูไดมอนด์" และหลังจากนั้นไม่นานนักก็เสด็จสวรรคตลงด้วยโรคฝีดาษ

เมื่อมาถึงยุคของ พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ดูเหมือนว่า "เฟร้นซ์ บูไดมอนด์” เริ่มแสดงความอาถรรพ์ที่น่าสยดสยองยิ่งขึ้น แม้ว่าพระองค์จะไม่เคยได้สวม “เฟร้นซ์ บูไดมอนด์” เลยแม้แต่นิดเดียว แต่พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้ เคาน์เตสดูบาร์รียืมไปสวมใส่ และท้ายที่สุดเธอก็ต้องมาจบชีวิตลง ด้วยการถูกตัดศรีษะในขระที่เกิดเหตุการณ์ในปฏิวัติขึ้นในฝรั่งเศส

พอมาถึงยุคของ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ไม่มีใครสามารถให้คำตอบที่แน่นอนได้ว่าพระองค์เคยทรงสวม “เฟร้นซ์ บูไดมอนด์” หรือไม่ แต่ เล่ากันว่าพระราชินีในพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 คือ พระนางมารี อังตัวเนตต์ นั้นทรงโปรดปราน “เฟร้นซ์ บูไดมอนด์” เป็นยิ่งนัก สหายสนิทของพระนางมารี อังตัวเนตต์ คือ เจ้าหญิงแห่งลามบัลล์ ก็ทรงโปรดปรานเช่นกัน

พระนางทรงสวมใส่เพชรนี้บ่อยครั้ง และแล้วก็ ทรงนี้ไม่พ้นความอาถรรพ์ของมันไปได้ พระนางสิ้นพระชนม์ลงด้วยการถูกสังหาร โดยกลุ่มฝูงชนขณะเกิดเหตุการณ์ปฏิวัติในฝรั่งเศสนั่นเอง

หลังจากที่สร้างความอาถรรพ์มาตลอดระยะเวลา 124 ปี กับเครื่องประดับแห่งราชวงศ์ฝรั่งเศส จนกระทั่งมาถึง วันที่ 17 กันยายน ค.ศ. 1792 “เฟร้นซ์ บูไดมอนด์” และสมบัติอื่น ๆ ของราชวงศ์ฝรั่งเศสถูกขโมยจากราชวังไปจนหมดเกลี้ยง ซึ่งแม้ว่าในช่วงหลังจะได้เพชรกลับคืนมาบ้างจาก “เฟร้นซ์ บูไดมอนด์” ก็คงยังหายสาบสูญและในช่วง 20 ปี ของการหายสาบสูญนั้น เชื่อกันว่า เพชรเม็ดนี้ได้ถูกเจียระไนเปลี่ยนโฉมไปแล้วโดยช่างฝีมือเจียระไนชาวดัชช์ ชื่อ วิลเฮล์ม ฟอลส์

แต่ก็นับว่าเป็นโชคร้ายของฟอลส์ ที่บุตรชายของเขาชื่อ เฮนดริก ได้ขโมยเพชรสีฟ้าเม็ดนั้นไป ฟอลส์ จึงตรอมใจตายในที่สุด และเมื่อบุตรชายคนทรยศ ทราบข่าวการเสียชีวิตของผู้เป็นบิดา จึงรู้สึกสำนึกผิดและเสร้าสลดใจเป็นอย่างยิ่ง ท้ายที่สุดเขาจึงคิดหาทางออกด้วยการฆ่าตัวตาย

ในปี ค.ศ. 1830 เพชรอาถรรพ์เม็ดเดิมนั้น ถูกขายเปลี่ยนมือมาเป็นของเฮนรี่ ฟิลลิป โฮพ (ซึ่งซื้อมาในราคาเพียง 90,000 เหรียญเท่านั้น) แต่หลังจากที่ครอบครองมันไว้เพียงระยะหนึ่งเท่านั้น อาถรรพ์ของเพชรสีฟ้าก็เล่นงานเขาและครอบครัวจนเสียชีวิตไปหมด จนกระทั่งมาถึงมือผู้รับมรดกคนสุดท้ายของตระกูลโฮพ คือ ลอร์ด ฟรานซิส เพลแฮม คลินตัน โฮพ

เพชรสีฟ้าเม็ดเดิมก็ยังคงแสดงความอาถรรพ์อย่างไม่ลดละ ทำให้เขาต้องเผชิญกับปัญหาทางการเงินอย่างหนักจนสิ้นเนื้อประดาตัว ยิ่งไปกว่านั้น ภรรยาแสนรักของเขาซึ่งเป็นดาราละครเวทีชื่อ เม โยเฮ ก็มีอันต้องตัดรักไปเพื่อไปผูกรักใหม่กับชายอื่น หลังจากที่เธอพยายามกลับไปทำอาชีพเดิม แต่ก็ต้องล้มเหลว

ต่อมาเพชรสีฟ้าอาถรรพ์ก็ตกมาอยู่มาอยู่ในมือของ นักสะสมของเก่าชื่อ เชอร์คาสปาร์ เพอร์ดอน คลาร์ก เขาเล่าว่ามีชายชราคนหนึ่งนำมาเสนอขายให้ ซึ่งชายชราคนนั้นเล่าให้เชอร์คาสปาร์ฟังว่า เขาได้มาจากการประมูลที่บริพตัน ในอังกฤษ โดยก่อนหน้านี้เพชรสีฟ้ารวมทั้งสมบัติชิ้นอื่น ๆ ถูกทิ้งไว้กลางห้องของนักร้องนักแสดงคนหนึ่งที่เธอและสามี ต้องหนีหนี้สินที่ร่วมกันสั่งสมไว้

แต่อีกทั้งสมบัติชิ้นอื่น ๆ ของตระกูลโฮพได้ดี เขาจึง นำสมบัติทั้งหมดไปคืนให้กับผู้พิทักษ์ทรัพย์สินของตระกูลโฮพ อาจเป็นเพราะ ประวัติความเป็นมาอันเลวร้ายของเพชรสีฟ้ากับตระกูลโอพกระมัง เพชรสีฟ้าอาถรรพ์เม็ดนั้นได้รับสมญานามว่า “โฮพ”

และจะด้วยเหตุผลใดไม่ทราบได้ เจ้าของเพชรอาถรรพ์คนถัดไปจึงกลายมาเป็น โบรกเกอร์ ชาวฝรั่งเศส ชื่อ แจีกกี้ โคลอท ซึ่งต่อมาก็เสียสติกลายเป็นคนบ้าในที่สุด และจบชีวิตลงด้วยการฆ่าตัวตาย หลังจากที่ขายเพชรอาถรรพ์ให้กับ เจ้าชาย คานิตอฟสกี้ แห่งรัสเซีย ได้ไม่นานนัก แต่เจ้าชายคานิตอฟสกี้ก็มิได้ทรงโชคดี ไปกว่าคนอื่นแต่อย่างใด หลังจากครอบครองเพชรอาถรรพ์นี้ได้เพียงระยะสั้น ๆ พระองค์ทรงกลับกลายเป็นคนเศร้าหมองไปโดยไม่มีสาเหตุ ทั้ง ๆ ที่โดยปกติแล้วจะทรงเป็นคนร่าเริง สนุกสนาน

แต่ดูเหมือนว่าผู้ที่เกี่ยวข้องหรือใกล้ชิดกับพระองค์ก็ต้องมีอันเป็นไปด้วย พระสหายซึ่งเป็นดาราสาวคนหนึ่งชื่อ ลอเรนส์ ลาดู นั้นโปรดปรานเพชรอาถรรพ์มาก เจ้าชายทรงอนุญาตให้เธอยืมใส่ และคงเป็นเพราะความอาถรรพ์ของเพชรเม็ดนี้กระมัง ที่ทำให้พระองค์ทรงปลิดชีวิตดาราสาวคนนั้นทิ้ง ด้วยกระสุนปืนในคืนแรกที่เธอสวมใส่เพชรอาถรรพ์เม็ดนี้ หลังจากนั้นอีกเพียงไม่กี่วัน เจ้าชายคานิตอฟสกี้ก็ทรงถูกสังหารโดยกลุ่มคณะปฏิวัติ

เจ้าของคนถัดมานั้นเป็นพ่อค้าชาวอียิปต์ ชื่อ ฮาบิบ เบย์ แต่เขาและครอบครัวต้องจบชีวิตลง เมื่อเรือไอน้ำที่พวกเขาโดยสารมาเกิดอุบัติเหตุชนกับเรือลำอื่น ที่นอกฝั่งสิงคโปร์ ในตอนแรกนั้นเชื่อกันว่าเจ้าเพชรสีฟ้าอาถรรพ์เม็ดนั้น คงมาถึงวาระสุดท้ายแล้ว

และคงจมลงใต้ทะเลไปพร้อม ๆ กับครอบครัวของนายฮาบิบ เบย์ แต่ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เจ้าเพชรสีฟ้าเม็ดนั้น กลับมาอยู่ในมือของ โบรกเกอร์ ชาวกรีก ชื่อ ไซมอน มอนทาลิเดช ได้อย่างเหลือเชื่อ

ในปี ค.ศ. 1908 เพชรอาถรรพ์ได้เปลี่ยนมือไปเป็นของ สุลต่านอับดุล ฮามิด ที่ 2 แห่งอาณาจักรออตโตมาน (ตุรกีในปัจุบัน) หลังจากที่มอนทาลิเดช ขายมันให้กับสุลต่านได้ไม่นาน ตัวเขาเองพร้อมด้วยภรรยาและบุตรชาย ก็ต้องมีอันเป็นไป มอร์เตอร์ไซค์ ที่พวกเขาขับมานั้นเกิดอุบัติเหตุพลิกตกหน้าผาไป

ส่วนสุลต่านนั้น ก็มักทรงอนุญาตให้สนมคนโปรดชื่อ ซารามา ซุบายา หยิบยืมไปสวมใส่อยู่บ่อยครั้ง และเธอก็ต้องมาจบชีวิตลง ด้วยฝีมือของเจ้าชีวิตเธอเอง

หลังจากนั้นไม่นาน สุลต่านอับดุล ฮามิด ที่สอง ทรงเริ่มไม่วางพระทัยต่อสถานการณ์ของบ้านเมือง และหวั่นว่าจะเกิดปฏิวัติขึ้น พระองค์จึงทรงคิดแผนการร่วมกับข้ารับใช้ชื่อ แกรนด์ อซิส เพื่อหนีออกนอกประเทศและมีเป้าหมายไปที่ประเทศฝรั่งเศส

โดยทรงลักลอบเอาสมบัติหลายชิ้นติดตัวไป พร้อมกับเพชรสีฟ้าเม็ดนั้นด้วย แต่แล้วสุลต่านก็ทรงถูกหักหลัง เพราะอซิสคิดออกอุบายซ้อน ที่จะขายเพชรเม็ดนั้นอย่างลับ ๆ และหวังจะกอบโกยทั้งหมดที่ขายได้นั้นไว้เสียเอง

เป็นไปได้ว่า อซิส อาจนำเพชรสีฟ้าอาถรรพ์และสมบัติอื่น ๆ ไปขายให้กับโรงรับจำนำในฝรั่งเศส หรืออาจเป็นไปได้ที่เขาขายมันโดยตรงให้กับ ซาลิม ฮาบิบ ซึ่งต่อมาในปี ค.ศ 1909 ซาลิม ฮาบิบ ได้นำเพชรสีฟ้าอาถรรพ์นั้น รวมสมบัติอื่น ๆ ของขายในกรุงปารีส ภายใต้ชื่อ “คอลเลคชั่น ฮาบิบ” และในปีเดียวกันนั้น ฮาบิบก็ต้องมีอันเป็นไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เรือที่โดยสารมานั้นจมลงใต้ทะเลนอก ชายฝั่งสิงคโปร์

เรื่องของเพชรสีฟ้า ชื่อ “โฮพ” จะมีอาถรรพ์จริงหรือเป็นเพียงเรื่องอิงนิยายและจะพลิกผันไปอย่างไรนั้น ปัจจุบันเพชร ถูกครอบครองโดย ผู้หญิงไทยสูงศักดิ์ท่านหนึ่ง ที่กฎหมายไม่สามารถเอาผิดได้.

------------------------------------------------------------


บลูไดม่อนด์ ที่สูญหายไป ..ใครไม่เคยเห็นของจริง ..ทางซาอุฯ เอามาฝากเสื้อแดง

by Generalhero on 2010-08-27 - 00.56 pm
Ref: คดีขโมยเครื่องเพชรราชวงศ์ไฟซาลแห่งซาอุดิอาระเบีย พ.ศ. 2532


ภาพเพชร บลูไดม่อนด์ ที่สูญหายไป ..ใครไม่เคยเห็นของจริง ..ทางซาอุฯ เอามาฝากเสื้อแดง(จากอัลบั้ม รูปภาพบนกระดาน โดยชมรมคนคิดถึง ทักษิณ)

คดีขโมยเครื่องเพชรราชวงศ์ไฟซาลแห่งซาอุดิอาระเบีย พ.ศ. 2532
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
คดีขโมยเครื่องเพชรราชวงศ์ไฟซาลแห่งซาอุดิอาระเบีย เมื่อปี พ.ศ. 2532 หรือที่รู้จักกันว่า คดีเพชรซาอุ เป็นคดีการขโมยเครื่องเพชรของราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย โดยลูกจ้างชาวไทย ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างซาอุดิอาระเบียและไทยเสื่อมลงเป็นเวลานานถึง 20 ปี

จาก วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

การขโมยเครื่องเพชร
คดีดังกล่าวมีจุดเริ่มต้นจากการที่นายเกรียงไกร เตชะโม่ง ซึ่งได้เดินทางไปทำงานยังซาอุดิอาระเบีย และถูกทาบทามให้เข้าไปทำงานในพระราชวังของกษัตริย์ซาอุดิอาระเบียในช่วงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2532 นายเกรียงไกรได้ขโมยเครื่องเพชรของเจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด (Prince Faisal Bin Fahd Bin Abdul Aziz) แห่งราชวงศ์ไฟซาลของซาอุดิอาระเบียมาได้ถึง 2 ครั้ง

โดยที่ด่านศุลกากรของทั้งสองประเทศไม่สามารถตรวจสอบได้ โดยเครื่องเพชรดังกล่าวถูกนำมายังจังหวัดลำปาง[1] หลังจากนั้นไม่นานรัฐบาลซาอุดิอาระเบีย จึงประสานมายังรัฐบาลไทย ขอให้ติดตามเครื่องเพชรประจำราชวงศ์ส่งคืน

การสืบสวน การจับกุมผู้ต้องหา
อธิบดีกรมตำรวจ พลตำรวจเอกประทิน สันติประภพ มอบหมายให้ผู้รับผิดชอบพื้นที่ในเขตภาคเหนือ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ ออกติดตามเครื่องเพชรคืนให้แก่รัฐบาลซาอุดิอาระเบีย

หลังจากนั้นเมื่อนายเกรียงไกร ถูกชุดสืบสวนของ พล.ต.ท.ชลอ จับกุมและนำตัวมาสอบสวนจนยอมรับสารภาพ และให้การถึงบุคคลที่รับซื้อเครื่องเพชรไป เนื่องจากเกรงว่าจะถูกจับส่งไปดำเนินคดีที่ซาอุฯ ซึ่งมีโทษเพียงสถานเดียว คือ "แขวนคอ" ทำให้ศาลพิพากษาตัดสินจำคุกนายเกรียงไกร เตชะโม่งในข้อหาลักทรัพย์ 7 ปี จำเลยรับสารภาพลดโทษเหลือ 3 ปี 6 เดือน

ในช่วงเวลานี้ยังมีนักธุรกิจชาวซาอุดิอาระเบียคนหนึ่งซึ่งมีความใกล้ชิดกับราชวงศ์ได้เดินทางมายังกรุงเทพมหานครเพื่อสืบสวนหาเครื่องเพชรดังกล่าว แต่บุคคลนั้นถูกลักพาตัวและถูกฆ่า อีกสามเดือนต่อมา เจ้าหน้าที่สามคนจากสถานทูตซาอุดิอาระเบียถูกยิงเสียชีวิต และมือสังหารก็ยังคงลอยนวลมาจนถึงปัจจุบัน[2]

การจับกุมนายเกรียงไกร ทำให้ความสัมพันธ์ไทย-ซาอุดิอาระเบีย เริ่มดีขึ้น โดย พล.ต.ท.ชลอ ได้รับการยกย่องจากประเทศซาอุดิอาระเบีย ให้เป็นแขกพิเศษ และถูกยกให้เป็น "ชี้ค" อีกด้วย หลังจากนั้น ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ได้เดินทางไปเยือนซาอุดิอาระเบียอย่างเป็นทางการ

แต่กลับถูกทางการซาอุดิอาระเบีย ตอบกลับว่า "คุณเอาเพชรปลอมมาคืน แถมชุดที่เหลือยังหายไปอีกมาก แบบนี้แล้วเราจะสานความสัมพันธ์กันได้อย่างไร" ส่งผลให้ฝ่ายไทยต้องตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ขึ้นมา ตามหาเครื่องเพชรอีกครั้ง

การตามหาเครื่องเพชรของจริง
การย้อนรอยตามหาเพชรฯ โดยคณะทำงานของ พล.ต.ท.ชลอ เริ่มต้นที่กลุ่มญาติของ พล.ต.อ.แสวง แต่ภายหลังเมื่อมีการตรวจสอบไม่พบว่ามีมูลความจริงแต่อย่างใด นอกจากนี้ นักการเมือง ตลอดจนคุณหญิง คุณนาย และ "คนมีสี" หลายคนก็ถูกกล่าวหาว่ามีการจัด "ปาร์ตี้เพชรซาอุฯ" ในสโมสรแห่งหนึ่ง

ระหว่างนั้น นายโมฮัมหมัด ซาอิค โคจา อุปทูตซาอุดีอาระเบียประจำประเทศไทย ได้ว่าจ้าง "ชุดสืบสวนพิเศษ" เพื่อแกะรอยอย่างลับ ๆ ตามหาเครื่องเพชรราชวงศ์แห่งซาอุดิอาระเบีย

สำหรับเครื่องเพชรชุดที่ทางการซาอุดิอาระเบียต้องการมากที่สุด คือ เพชรสีน้ำเงิน หรือ "บลูไดมอนด์" เนื่องจากเป็น "เพชรอาถรรพณ์" แม้กระทั่งช่างที่เจียระไนก็ต้องมีอันเป็นไปสาบสูญไปจากโลก จึงเป็นเพียงเพชรชุดเดียวที่มีอยู่ในโลก และไม่ว่าจะตกไปอยู่ในมือใคร กษัตริย์ซาอุดิอาระเบียก็จะทรงจำได้เสมอ เพราะมีการทำตำหนิไว้ด้วยแสงอินฟราเรดอยู่ภายในใจกลางของเม็ด แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครหาพบ ซึ่งนายเกรียงไกรสารภาพกับนายโคจาว่า ได้โจรกรรมมาจริง แต่จำไม่ได้แน่ชัดว่าอยู่ในมือใครระหว่างพ่อค้าเพชรกับชุดจับกุม

กรณีตระกูลศรีธนะขัณฑ์
ดูบทความหลักที่ คดีระหว่างพนักงานอัยการ กับชลอ เกิดเทศ และพวก พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ กลับมาทำคดีนี้อีกครั้งหนึ่ง โดยใช้ได้ทุกวิถีทางในการนำเพชรที่เหลือกลับคืนมาให้ได้

จากคำให้การของนายเกรียงไกร ที่บอกว่า ได้โจรกรรมเครื่องเพชรของเจ้าชายไฟซาล แล้วนำเข้ามาขายในประเทศไทย โดยขายให้ นายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ เสี่ยเจ้าของร้านเพชร ซึ่งภายหลังถูกตำรวจในทีม พล.ต.ท.ชลอ ข่มขู่คุกคาม แต่นายสันติก็ไม่ยอมคืนเพชรให้

ในที่สุด พล.ต.ท.ชลอ ก็ตัดสินใจให้คณะทำงานตั้งด่านตรวจ หน้าซอยบ้านนายสันติ ระหว่างที่ภรรยาของนายสันติคือ นางดาราวดี กำลังจะไปส่งลูกชาย ด.ช.เสรี ศรีธนะขัณฑ์ ที่โรงเรียน ทีมของพล.ต.ท.ชลอ ก็ได้จับทั้งคู่ไปกักขัง เพื่อบังคับให้นายสันตินำเพชรส่วนที่เหลือมาคืน ซึ่งนายสันติก็ได้เข้าแจ้งความกับตำรวจ ว่าลูกและเมียถูกอุ้ม แต่ขังไว้นานเป็นเดือน ย้ายที่กบดานไปหลายแห่งก็ยังไม่ได้เพชรคืน ซ้ำตำรวจคนหนึ่งยังได้ข่มขืนภรรยาของนายสันติ ทีมตำรวจชุดนี้จึงฆ่าปิดปากสองแม่ลูก แล้วอำพรางคดีให้เป็นเหมือนกับเกิดอุบัติเหตุรถชน พล.ต.ท. ชลอถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานออกคำสั่งฆ่าสองแม่ลูกในปี พ.ศ. 2538[3]

ต่อมา ทีมสอบสวนชุดใหม่กลับสืบพบว่าเป็นการอุ้มฆ่า จึงได้ทำการจับกุมตัว พล.ต.ท.ชลอ และลูกน้องทั้ง 9 คน มาดำเนินการทางกฎหมาย ในที่สุดศาลอุทธรณ์ก็ได้พิพากษาให้ประหารชีวิต พล.ต.ท.ชลอ และศาลฏีกาก็ได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2552 ยืนตามศาลอุทธรณ์ให้ประหารชีวิต ทำให้คดีขโมยเครื่องเพชรราชวงศ์ไฟซาลแห่งซาอุดิอาระเบียถูกปิดลงอย่างเด็ดขาดในทางกฎหมาย[4]
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ซาอุดิอาระเบียยกเลิกการทำวีซ่าทำงานให้กับคนไทย และประกาศเตือนคนในประเทศไม่ให้เดินทางมายังกรุงเทพมหานคร ทำให้จำนวนคนงานไทยในซาอุดิอาระเบียลดลงจาก 150,000 คน ในปี พ.ศ. 2532 เหลือเพียง 10,000 คน ในปี พ.ศ. 2549

อ้างอิง
1. ^ Thai Foreign Minister to reopen Saudi gems scandal case
2. ^ Thai cop convicted of Saudi gem theft
3. ^ The Economist: A law unto themselves
4. ^ ศาลฏีกาพิพากษาประหารชีวิต 'ชลอ เกิดเทศ
http://th.wikipedia.org/wiki/คดีขโมยเครื่องเพชรราชวงศ์ไฟซาลแห่งซาอุดิอาระเบีย_พ.ศ._2532

Come back to be home soldier



ken00278 | September 20, 2008
Home ภาคใต้ของไทย ซึ้งๆครับ

apple4707 : ชอบมากเลยดูหลายครั้งมากเลยและก็ดูทุกวันตั้งแต่เจอ vdoนี้

kippaedevil : เรานอนกอดหมอน เขานอนกอดปืน เราลืมตาตื่น เขายืนเฝ้ายาม

ทุกครั้งที่ได้ฟังเพลงนี้ ทำให้ผมรู้สึกได้ทุกครั้งที่ฟัง ว่าในขณะที่เราสุขสบายอยู่ตรงนี ้ มีประชาชนอีกหลายคน ทหารอีกหลายนาย ต้องลำบากขนาดไหน ขอบคุณทหารทุกนายที่ทำเพื่อประเ ทศของพวกเรา แล้วผมจะเป็นกำลังใจให้ตรงนี้เสมอคับ
KIPPAE

ELLEzTT : ดู หลายครั้งแล้วว วิดีโอตัวนี้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเข้ามาดูอีกครั้ง -*-

idsomeone: น้ำตาไหลเลย ตอนพี่ทหารช่วยเพื่อนของเค้าที่ ได้รับบาดเจ็บ บ้านเมืองวุ่นวายทะเลาะกัน เคยสนใจคนเหล่านี้มั้ย

"เขาสู้อยู่กับใคร?”.. ไม่ใช่ทักษิณ เพราะโจมตีทักษิณมา 5 ปีแล้วยังชนะไม่ได้ ทำไม? เพราะเขากำลังสู้กับประชาชน ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเอาชนะได้

"เขาสู้อยู่กับใคร?”.. ไม่ใช่ทักษิณ เพราะโจมตีทักษิณมา 5 ปีแล้วยังชนะไม่ได้ ทำไม? เพราะเขากำลังสู้กับประชาชน ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเอาชนะได้-ศาสตราจารย์ทามาดะ โยชิฟูมิ มหาวิทยาลัยเกียวโต ญี่ปุ่น
ขู่ปิดหนังสือพิมพ์โทษฐานเสนอข่าวคนมีสีตั้งหน่วยล่าสังหารเสื้อแดง
by Goosehhardcore on 2010-09-01 - 10:46 am
ข้อมูลโดย: ทีมข่าวไทยอีนิวส์
ที่มาข้อมูล: ไทยอีนิวส์, วันพุธ, กันยายน 01, 2010


จาก อัลบั้มภาพThai E news

ชะตากรรม"ผู้ล่า"-กร่างไปทั่ว ล่าสุดขู่ปิดหนังสือพิมพ์ที่เสนอข่าวความจริง และอุตส่าห์โฆษณาชวนเชื่อว่าเป็น"ขวัญใจสาวๆแซงเคน ธีระเดช" แต่แค่ไปเที่ยวทะเลบางปู สมุทรปราการ ยังต้องใส่แว่นดำอำพรางใบหน้า มีทหารถืออาวุธยืนเป็นการ์ดห้อมหน้าล้อมหลัง แถมเอาเด็กมาเป็นโล่เวลาเที่ยว...

จากกรณีที่มีการใช้อาวุธมสงครามเอ็ม16ยิงใส่การ์ดเสื้อแดงเชียงใหม่ โดยผู้เห็นเหตนุการณ์อ้างว่าเป็นทหาร ต่อมาหนังสือพิมพ์ไทยรัฐรายงานอ้างการเปิดเผยของ พ.ต.อ.ภาณุเดช บุญเรือง รอง ผบก.ภ.จ.เชียงใหม่ ว่า นายกฤษดา กล้าหาญ การ์ดนปช.ที่โดนยิง น่าจะมาจากสาเหตุเป็นคนเสื้อแดง เมื่อมีการ ชุมนุมที่ไหน จะไปร่วมด้วยทุกหนแห่ง ล่าสุด ยังไปชุมนุมที่กรุงเทพฯมา จึงอาจจะมีผู้ที่ต้องการสร้างสถานการณ์มาก่อเหตุ ซึ่งลักษณะการยิงด้วยปืนเอ็ม 16 ต้องการเอาชีวิต หรือไม่ก็อาจจะเป็นการข่มขู่อะไรบางอย่าง

ไทยรัฐรายงานว่า ขณะนี้ที่ จ.เชียงใหม่ มีกลุ่มคน มีสีตั้งหน่วยไล่ล่าคนเสื้อแดงขึ้นมา มีทั้งนำกำลังค้นบ้านเรือน บนดอยที่มีแกนนำเสื้อแดงอาศัยอยู่ พร้อมข่มขู่ห้ามคนเสื้อแดงเคลื่อนไหวในพื้นที่อย่างเด็ดขาด

เมื่อค่ำวานนี้ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) แถลงภายหลังการประชุม ศอฉ.
ว่า ที่ประชุมรายงานว่ามีสื่อสิ่งพิมพ์บางฉบับที่เสนอข้อมูลบิดเบือนจากข้อเท็จจริง ทำให้ประชาชนเกิดความวิตกกังวล มีความแบ่งแยก หรือเสนอข่าวในลักษณะหมิ่นเหม่ จาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่ง ศอฉ.ได้ติดตามพฤติกรรมมาโดยตลอด และจะมีการแจ้งความดำเนินคดีกับสื่อสิ่งพิมพ์ดังกล่าว และถ้ามีความจำเป็นจะดำเนินการในขั้นเด็ดขาด เช่น การปิดสื่อสิ่งพิมพ์ดังกล่าว

ทั้งนี้ ยังพบข้อความจากสื่อสิ่งพิมพ์หัวสีฉบับหนึ่งที่มีข้อความชี้แจงที่ทำให้สังคมบิดเบือน เช่น มีการระบุว่ามีคนมีสีไล่ล่าคนเสื้อแดง โดยมีการข่มขู่ให้หยุดการเคลื่อนไหว ซึ่งคนมีสีในสามัญสำนึกน่าจะหมายถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ซึ่งการชี้นำอย่างนี้ทำให้สังคมเกิดความเคลือบแคลง และเข้าใจว่าเจ้าหน้าที่ต้องการไล่ล่าเสื้อแดง ซึ่งเบื้องต้นคงจะมีการเตือนการนำเสนอข่าวดังกล่าว และอาจจะต้องมีการแจ้งความดำเนินคดี หากยังไม่ยุติการการกระทำดังกล่าวก็จะต้องดำเนินการขั้นเด็ดขาดตามกฎหมาย

ทั้งนี้ก่อนหน้านี้มีการแจ้งประกาศบนface bookคนเสื้อแดง ว่า ด่วนครับใครที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ขอบริจาคเลือดทุกกรุ๊ป(เอาไปแลกได้) ด่วน คุณกฤษดา กล้าหาญ ถูกทหารใช้ M16 ยิงในพื้นที่อำเภอสันป่าตองได้รับบาดเจ็บสาหัสต้องผ่าตัดด่วน บริจาคได้ที่ตึกศรีพัฒน์ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่

โดยตอนนี้มีรายงานล่าสุดว่า ยังอยู่ห้องไอซียู อาการโคม่าครับ ยังไม่พ้นขีดอันตราย
ผู้เข้าเยี่ยมอาการบาดเจ็บได้นำภาพของนายกฤษดา กล้าหาญ โพสต์ลงในอินเตอร์เน็ตเพื่อยืนยันว่ายังไม่ได้เสี่ยชีวืตตามที่มีผู้ปล่อยข่าว เพื่อหวังสกัดกั้นไม่ให้คนเสื้อแดงเดินทางไปบริจาคเลือดเพื่อช่วยชี่วิต

สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ รายงานว่า
คนร้ายใช้ปืนเอ็ม 16 ยิงใส่อดีตการ์ด นปช.และเพื่อนสาวขณะขับรถกลับบ้าน

คนร้ายใช้ปืนเอ็ม 16 ยิงใส่อดีตการ์ด นปช.และเพื่อนสาวขณะขับรถกลับบ้าน ชายหนุ่มอาการสาหัส ส่วนเพื่อนสาวบาดเจ็บเล็กน้อย
พ.ต.ท.เอกรัฐ พัฒนสมบัติ สารวัตรเวร สภ.หางดง จ.เชียงใหม่ ได้รับแจ้งเหตุมีคนร้ายใช้อาวุธสงครามปืนเอ็ม 16 ไล่ยิงถล่มรถยนต์เก๋ง มีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส บนถนนเชียงใหม่-ฮอด หน้าปั๊มน้ำมัน ปตท.สาขาหางดง ต.สันผักหวาน อ.หางดง จ.เชียงใหม่ จึงนำกำลังเข้าตรวจสอบ ที่เกิดเหตุพบรถยนต์เก๋งหมายเลขทะเบียน กอ 8675 เชียงใหม่

ด้านซ้ายของตัวรถพบรอยกระสุนปืนจำนวนมาก มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 คน ชื่อ นายกฤษฎา กล้าหาญ อายุ 21 ปี พักอยู่บ้านเลขที่ 56/1 หมู่ 1 ต.สันผักหวาน อ.หางดง มีบาดแผลถูกยิงด้วยกระสุนปืน เอ็ม 16 เข้าที่ต้นขาข้างซ้ายเป็นแผลฉกรรจ์ ที่ท้องด้านซ้าย หัวไหล่ซ้าย อาการสาหัส ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลหางดง ก่อนถูกส่งต่อไปรักษายังโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่

จากการสอบสวน น.ส.นงนุช คำป้อ แฟนสาวของ นายกฤษฎา ทราบว่า หลังจากทั้งคู่เสร็จภารกิจขายของที่ถนนคนเดิน ได้ไปรับประทานหมูจุ่มที่ร้านแห่งหนึ่งแถวสี่แยกแอร์พอร์ต ระหว่างขับรถกลับ นายกฤษฎา ซึ่งนั่งฝั่งซ้าย สังเกตเห็นรถเก๋งคันหนึ่งปิดไฟหน้าขับติดตามมาใกล้ ขณะที่มาถึงเขตติดต่อ อ.เมือง กับ อ.หางดง รถเก๋งคันดังกล่าวได้ขับแซงด้านซ้ายขึ้นมา ตนเองสังเกตเห็นคนในรถใช้อาวุธปืนระดมยิงใส่รถจนถูก นายกฤษฎา กระสุนนัดหนึ่งยังเฉี่ยวหัวเข่าซ้ายตนเองจนได้รับบาดเจ็บ จากนั้นได้พยายามขับรถหลบหนี ก่อนที่รถคันนั้นจะขับหนีไปทาง อ.หางดง อย่างรวดเร็ว พร้อมนำ นายกฤษฎา ไปส่งยังโรงพยาบาลหางดง ซึ่งใกล้ที่สุด ส่วนสาเหตุไม่ทราบว่าถูกไล่ยิงเพราะเหตุใด

เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ได้ทำการสอบสวนพยานที่เห็นเหตุการณ์พร้อมทั้งเก็บหลักฐาน เป็นปลอกกระสุนปืน เอ็ม 16 จำนวน 1 ปลอก เนื่องจาก นายกฤษฎา ยังมีอาการสาหัส ไม่สามารถให้ปากคำได้เจ้าหน้าที่ตั้งประเด็นการสังหารในครั้งนี้ว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับการที่ นายกฤษฎา ซึ่งก่อนหน้านี้เคยปฏิบัติหน้าที่เป็นการ์ด นปช.ซึ่งต้องรอสอบปากคำอีกครั้ง

จาก อัลบั้มภาพThai E news

ผู้เข้าเยี่ยมอาการบาดเจ็บของนายกฤษฎา เขียนกระทู้ลงในเวบบอร์ดsanook รายงานว่า มีคนไปปล่อยข่าวว่าน้องเสียชีวิตแล้ว.....เพิ่อสกัดไม่ให้พี่น้องเราไป บริจาคเลือด...ก็ขอบอกตรงนี้เลยว่าน้องยังมีชีวิตอยู่ทางแพทย์กำลังช่วย อย่างเต็มที่ ผมเลยต้องนำรูปถ่ายในห้อง ไอ ซี ยู มายืนยันครับ ก็ขอเชิญพี่น้องเสื้อแดงที่มีร่างกายแข็งแรงไปช่วยกันบริจาคโลหิต ที่ตึกศรัพัฒน์ ชั้น 1 ในนาม นาย กฤษดา กล้าหาญ ครับเพราะแพทย์แจ้งว่าต้องใช่เลือดจำนวนมากในการผ่าตัดครั้งที่ 2 แล้วก็ขอขอบคุณทุกท่านที่ไปบริจาคเมื่อวานนี้จำนวนมาก บางท่านไปถึงบริจาคไม่ได้เพราะห้องรับบริจาคปิดเวลา 16.00 น.ครับ
"ทางแพทย์ได้ทำการผ่าตัด 1ครั้งแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถหยุดการไหลของโลหิตในช่องท้องได้ ซึ่งขณะนี้ผู้ป่วยอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ในห้อง ไอ ซี ยู ข่าวนี้เป็นข่าวใหญ่ในเชียงใหม่แต่กลับไม่มีสื่อมวลชน เผยแพร่ข่าวแต่อย่างใด ที่สำคัญทางตำรวจได้เก็บหัวกระสุนในที่เกิดเหตุ เป็นกระสุน M16 A1เป็นกระสุนที่ใช้ในกองทัพ แล้วอย่างนี้มันหมายความว่าอย่างไร ปรองดอง หรือไล่ล่ากันแน่"

แฉคนมีสีตั้งหน่วยล่าสังหารเสื้อแดง

ไทยรัฐฉบับวานนี้รายงานว่า พ.ต.อ.ภาณุเดช บุญเรือง รอง ผบก.ภ.จ.เชียงใหม่ เปิดเผยว่า นายกฤษดา เป็นคน อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่ระบาดของยาเสพติด แต่ตรวจประวัติพบว่า ไม่มีประวัติยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด และยังทำงานเป็นช่างเฟอร์นิเจอร์ อยู่กับพ่อของแฟนสาวใน อ.หางดง แต่ประเด็นที่ตำรวจมุ่งให้น้ำหนักมากน่าจะเป็นประเด็นที่นายกฤษดา และครอบครัว เป็นกลุ่มคนเสื้อแดงชัดเจนมาก เมื่อมีการ ชุมนุมที่ไหน นายกฤษดาจะไปร่วมด้วยทุกหนแห่ง ล่าสุด ยังไปชุมนุมที่กรุงเทพฯมา จึงอาจจะมีผู้ที่ต้องการสร้างสถานการณ์มาก่อเหตุ ซึ่งลักษณะการยิงด้วยปืนเอ็ม 16 ต้องการเอาชีวิต หรือไม่ก็อาจจะเป็นการข่มขู่อะไรบางอย่าง

โดยผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ที่ จ.เชียงใหม่ มีกลุ่มคน มีสีตั้งหน่วยไล่ล่าคนเสื้อแดงขึ้นมา มีทั้งนำกำลังค้นบ้านเรือน บนดอยที่มีแกนนำเสื้อแดงอาศัยอยู่ พร้อมข่มขู่ห้ามคนเสื้อแดงเคลื่อนไหวในพื้นที่อย่างเด็ดขาด

Daily News Online หน้าการเมือง เอ็ม79ถล่มช่อง11เย้ยรัฐบาล

Daily News Online หน้าการเมือง เอ็ม79ถล่มช่อง11เย้ยรัฐบาล
จาก อัลบั้มเดลินิวส์ออนไลน์

ยิงใส่กลางวันแสกๆโชคดีไม่มีเจ็บ-ตาย

ลูบคมรัฐบาล สุดอหังการ มือมืดซัดเอ็ม 79 ถล่มสถานีโทรทัศน์ “ช่อง 11” เล่นงานกลางวันแสก ๆ โชคยังดีไม่มีใครตาย-เจ็บ “ภาณุพงศ์” มั่นใจโยงคดีคิงพาวเวอร์ เชื่อฝีมือคนร้ายกลุ่มเดียวกัน สงสัยลอบยิงออกมาจากรถยนต์ ขณะวิ่งอยู่บนดอนเมืองโทลล์เวย์ เร่งประสานขอทีวีวงจรปิดทุกจุด “มาร์ค” เต้นกำชับดูแลสถานที่สำคัญ “สุเทพ” สั่งศอฉ.คุมเข้ม 11 จุดล่อแหลมเมืองกรุง หากตำรวจไม่พอให้ดึงทหารช่วยเสริม “ปณิธาน” ฟันธงหวังผล ไม่อยากให้มีเลือกตั้ง โยนเผือกร้อนรัฐบาลจัดฉากสร้างสถานการณ์ เผยในรอบปีนี้ถูกบึ้มเป็นครั้งที่3 ยังจับมือใครดมไม่ได้ ส่วนคดีลอบยิง”คิงพาวเวอร์” ตร.ยันได้ภาพกลุ่มผู้ต้องสงสัย เร่งขยายผลแกะรอยหาเบาะแส ล่าสุดประสานผู้เชี่ยวชาญ การยิงเอ็ม 79 จากสหรัฐฯมาช่วยเหลือด้วย สมาคมนักข่าวฯร่อนแถลงการณ์ วอนเลิกคุกคามสื่อฯ

เหตุคนร้ายยิงถล่มอาวุธสงครามกลาง กรุงอีก เกิดขึ้น เมื่อเวลา 13.20 น. วันที่ 31 ส.ค. พ.ต.ท.อรุณ อุ่นเมตตาอารี พงส. (สบ 3) สน.สุทธิสาร รับแจ้งมีเหตุระเบิดที่ลานจอดรถด้านหน้าสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (สทท. ช่อง 11) ถนนวิภาวดีรังสิต แขวง-เขตดินแดง จึงรายงานเหตุให้ผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับชั้น จากนั้นรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วย พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. พล.ต.ต.สาโรจน์ พรหมเจริญ ผบก.น.2 พล.ต.ต.ฉันทวิทย์ รามสูตร ผบก. สส.บช.น. เจ้าหน้าที่เก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด (อีโอดี) และกำลังทหารจำนวนหนึ่ง พร้อมปิดกั้นไม่ให้ผู้เกี่ยวข้องเข้าไปบริเวณจุดเกิดเหตุ

ยิงเอ็ม79 ถล่ม“ช่อง11”

สำหรับจุดเกิดเหตุอยู่บริเวณลานจอดรถ ด้านหน้าอาคารสำนักงาน ห่างจาก ประตูใหญ่ด้านหน้าไปประมาณ 15 เมตร มีรถยนต์ถูกสะเก็ดระเบิด ชนิดเอ็ม 79 เจาะตามตัวถังและกระจกแตกได้รับความเสียหาย 4 คัน คือ รถเก๋งโตโยต้า คัมรี สีบรอนซ์ทอง ทะเบียน ภม 4593 กรุงเทพมหานคร ถูกแรงระเบิดกระจกหลังแตก, รถเก๋งฮอนด้า ซีวิค สีบรอนซ์ทอง ทะเบียน วง 8822 กรุงเทพมหานคร กระโปรงหน้ารถได้รับความเสียหาย, รถเก๋งนิสสัน ซันนี่ สีน้ำเงิน ทะเบียน กบ 2622 นนทบุรี กระจกหูช้างด้านหลังแตก และรถตู้นิสสัน เออร์แวน สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน ฮจ 6331 กรุงเทพมหานคร ติดสติกเกอร์สำนักข่าวแห่งชาติ NNT ถูกสะเก็ดระเบิดที่หลังคารถ และสะเก็ดระเบิดฝังอยู่ที่ตัวถังด้านขวา นอกจากนี้ยังมีกิ่งไม้หักจำนวนหนึ่ง แต่ไม่มีผู้ได้รับอันตราย

โชคดีไม่มีใครบาดเจ็บ

นายสมชาย หนุนเกื้อ อายุ 54 ปี หัวหน้าหมวดยานยนต์ กรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งอยู่ใกล้บริเวณจุดเกิดเหตุพอดีและรอดพ้นอันตรายมาได้แบบปาฏิหาริย์ เล่าเหตุการณ์อย่างตื่นเต้นว่า ก่อนเกิดเหตุกำลังยืนคุย โทรศัพท์อยู่ใต้ต้นไม้ จากนั้นได้ยินเสียงตูมดังสนั่นหวั่นไหว 1 ครั้ง กิ่งไม้หักสะบั้นลงมาด้วย พอหันไปดูที่ลานจอดรถพบว่ามีกลุ่มควันเกิดขึ้นแถว ๆ รถยนต์จึงรีบวิ่งหนีเข้าไปหลบบริเวณป้อมยาม โชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ เพราะพนักงานส่วนหนึ่งไปรับประทานอาหารเที่ยงจึงไม่มีคนอยู่บริเวณลานจอดรถ ถ้าเป็นช่วงเที่ยงจะมีคนนำรถออก ไปรับประทานอาหารและมีผู้มาติดต่อจำนวนมาก อาจทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บก็เป็นได้

“องอาจ”ลงพื้นที่ทันควัน

ในขณะตำรวจกำลังตรวจสอบบริเวณเกิดเหตุ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ในฐานะกำกับดูแลสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ ได้เดินทางมาร่วมตรวจสอบด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดี ให้สัมภาษณ์ว่า พอได้รับรายงานจาก น.ส.รัตนา เจริญศักดิ์ ผอ.สทท.11 จึงรีบเดินทางมาทันทีพร้อมเรียกประชุมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดว่า เหตุการณ์ดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับสถานีหรือไม่ หลังจากประชุมเสร็จสิ้นจึงเชื่อว่าคงไม่เกี่ยวข้องกับสถานี เพราะขณะนี้ ช่อง 11 ได้เปิดกว้างมีเวทีให้ทุกฝ่ายได้แสดงความคิดเห็นไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้าน รัฐบาล เอ็นจีโอ

สั่งตรวจสอบทีวีวงจรปิด

นายองอาจ กล่าวต่อว่า หลังเกิดเหตุจึงสั่งการให้เลขาฯรีบประสานไปยัง กทม. ให้ช่วยตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่อยู่โดยรอบบริเวณจุดเกิดเหตุทั้งหมดอย่างเร่งด่วน พร้อมกันนี้ได้รายงานให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี รับทราบแล้ว ส่วนในรายละเอียดทางคดีและวิถีกระสุนการยิงเป็นหน้าที่ของตำรวจ ขยายผลเบื้องต้นคาดว่าน่าจะยิงมาจากทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์หรือจากพื้นราบบนถนนวิภาวดีรังสิต สำหรับ ที่ผ่านมาเคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับช่อง 11 มาแล้ว 2 ครั้ง ตนก็ได้สั่งการให้ติดตั้งกล้อง วงจรปิดบริเวณทางเข้าด้านหน้าสถานี แต่กล้องยังไม่สามารถจับภาพคนร้ายได้ เนื่องจากมีกำแพงกั้นบนโทลล์เวย์

ตร.ไม่ฟันธงยิงจากจุดใด

ด้าน พล.ต.ท.สัณฐาน ผบช.น. เปิดเผยว่า ขณะเกิดเหตุระเบิดมีตำรวจอยู่บนทางด่วนโทลล์เวย์ทั้งสองฝั่งจึงเชื่อว่าคนร้ายไม่น่ายิงลงมาจากโทลล์เวย์ถือเป็นเรื่องยากที่จะเกิดขึ้นเพราะมีตำรวจอยู่ประจำ นอกจากนี้เมื่อตรวจสอบกล้องวงจรปิดของทางด่วนโทลล์เวย์ ยังไม่พบรถต้องสงสัยแต่อย่างใด เบื้องต้นจึงสันนิษฐานว่าอาจจะยิงจากพื้นราบจุดใดจุดหนึ่งแต่ยังไม่ทราบมาจากทิศทางใดแน่ ล่าสุดจึงมอบหมายเจ้าหน้าที่จาก 3 หน่วยงานเข้ามาร่วมตรวจสอบ คือ หน่วยเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิดจาก บก.ตปพ. บช.น. เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน และเจ้าหน้าที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ของ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เนื่องจากระเบิดนั้นตกลงมาใส่กิ่งไม้จึงอาจจะทำให้ตรวจสอบวิถีการยิงได้ยาก สำหรับเศษกระสุนที่พบนั้น เป็นลูกกระสุนเอ็ม 79 ขนาด 44 มม. หัวสีทอง แบบธรรมดา ไม่ใช่แบบเจาะเกราะ

แฉมีคนโทรฯถามผังรายการ

ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากเจ้าหน้าที่พฐ. ว่า ปกติกระสุนเอ็ม 79 เมื่อยิงออกไปแล้วเมื่อกระทบสิ่งกีดขวางจะระเบิดทันที ในกรณีที่เกิดขึ้นนั้นถือว่าโชคดีมากที่กระสุนไปโดนกิ่งไม้ก่อนจึงระเบิดขึ้นแล้วสะเก็ดกระเด็นไปถูกรถยนต์ หากกระสุนไปตกใส่บริเวณถังน้ำมันรถยนต์ก็สามารถเกิดระเบิดทั้งคันได้หรือหากตกลงพื้นก็จะเป็นหลุมสะเก็ดจะกระจายมากกว่านี้อีก

ทั้งนี้มีรายงานว่า ช่วงเช้าก่อนเกิดเหตุ มีผู้หญิงโทรศัพท์เข้าสอบถามเจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวของ สทท.11 ว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบรายการ “เจาะข่าวร้อน ล้วงข่าวลึก” เมื่อเจ้าหน้าที่แจ้งกลับไปว่าเป็นรายการเช่าเวลาของสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมแห่งหนึ่ง ผู้หญิงลึกลับจึงได้วางสายไปทันที ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จะได้เร่งตรวจสอบต้นทางโทรศัพท์ว่ามาจากไหนและเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ด้วยหรือไม่

เจอถล่มมาแล้ว 2 ครั้ง

ก่อนหน้านี้สถานีวิทยุโทรทัศน์ฯสทท. 11 เคยถูกคนร้ายยิงถล่มด้วยเอ็ม 79 และปาระเบิดใส่มาแล้วรวม 2 ครั้ง คือ วันที่ 27 มี.ค. 53 เวลาประมาณ 22.08 น. คนร้ายยิงระเบิดเอ็ม 79 มาตกใส่เต็นท์ทหารที่มาตั้งรักษาความปลอดภัยในช่วงเวลาดังกล่าว ทำให้ทหารบาดเจ็บ 3 นาย รถยนต์เสียหาย 1 คัน ต่อมาเวลาประมาณ 23.40 น. วันที่ 4 เม.ย. 53 ขณะที่ตำรวจปจ.และทหารรักษาการณ์บริเวณประตูเข้า-ออกด้านหน้า ริมถนนวิภาวดีรังสิตขาเข้า ได้มีคนร้ายเป็นชาย 2 คน สวมหมวกกันน็อก ซิ่ง จยย. ผ่านมาแล้วขว้างลูกระเบิด ขนาดเอ็ม 67 ไปตกลงในคูน้ำด้านหน้าสถานีฯ พอเกิดระเบิดจึงไม่มีใครได้รับอันตราย

“ปทีป”สั่งดูแลพื้นที่สำคัญ

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ. ปทีป ตันประเสริฐ รักษาราชการแทน ผบ.ตร. เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ที่ปรึกษา (สบ 10) ซึ่งดูแลพื้นที่นครบาล ร่วมกับ พล.ต.ท. สัณฐาน ผบช.น. ยังไม่กล้าฟันธงในตอนนี้ ว่าเกิดจากประเด็นทางการเมืองหรือไม่ เราดูทุกประเด็น ส่วนการเฝ้าระวังพื้นที่ก็กำชับ บช.น.ไว้ตลอด และ บช.ส.ดูด้านการข่าว เมื่อถามว่ามีเหตุระเบิดเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เป็นสัญญาณเตือนเหตุวินาศกรรมตามที่พรรคเพื่อไทยระบุหรือไม่ พล.ต.อ.ปทีป ตอบว่ายังไม่ถึงขั้นนั้น แต่ทางพื้นที่นครบาลก็มีตำรวจดูแลอยู่ โดยเฉพาะสถานที่ที่เป็นเชิงสัญลักษณ์ทางการเมือง เช่น สำนักงาน ป.ป.ช. พรรคการเมือง ฯลฯ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สตช.มีการแจ้งเตือนทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องให้เข้มงวด สืบสวนหาข่าวด้านความปลอดภัย หลังข้อมูลทางด้านการข่าวแจ้งเตือน พบความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ไม่หวังดีที่วางแผนก่อวินาศกรรม สร้างสถานการณ์รุนแรงที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน และห้างสรรพสินค้าที่มีสายสัมพันธ์กับกลุ่มการเมืองซึ่งมีหลายสาขา โดยตำรวจหน่วยที่เกี่ยวข้องมีการสั่งการวางแผนสืบสวนหาข่าวรับมือป้องกันเหตุแล้ว

นายกฯกำชับศอฉ.ดูแล

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ยังไม่ทราบรายละเอียด และยังสรุปอะไรไม่ได้ ต้องรอให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการ เมื่อถามว่าหน่วยงานด้านความมั่นคงได้มีการรายงานสถานการณ์ความมั่นคงเข้ามาอย่างไรบ้างหรือไม่เพราะในเดือน ก.ย. มีวันที่เป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองและจะมีกลุ่มคนออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองครั้งใหญ่นั้น นายกฯกล่าวว่า วันที่เป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองมีค่อนข้างถี่ ทั้งนี้เรามีการระมัดระวังในเรื่องการเคลื่อนไหวต่าง ๆ ตราบเท่าที่การเคลื่อนไหวอยู่ในขอบของกฎหมายก็ไม่เป็นปัญหาอะไร อย่างไรก็ดีต้องมีการเฝ้าดูตามสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ดูแลอยู่

ฟันธงพวกป่วนเมือง

นายปณิธาน วัฒนายากร โฆษกประจำสำนักนายกฯ ให้สัมภาษณ์ว่า นายกฯได้สั่งการให้ตรวจสอบกรณีนี้อย่างเร่งด่วนว่าจะมีความเชื่อมโยงกับการระเบิดที่ซอยรางน้ำหรือไม่เพราะมีลักษณะเป็นการยิงจากที่สูงเช่นเดียวกัน และสถานที่หน้าคิงเพาเวอร์กับช่อง11ก็มีทางด่วนยกระดับ ซึ่งกลุ่มผู้ที่ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อก่อความไม่สงบโดยใช้อาวุธ เอ็ม 79 คาดว่าเป็นกลุ่มที่มีความต้องการเคลื่อนไหวเพื่อให้มีการเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ทางการเมือง หรือเรียกว่าเป็นกลุ่มเคลื่อนไหวที่ไม่ต้องการให้การเมืองเข้าสู่ระบบที่ถูกต้อง ซึ่งกลุ่มนี้จะใช้อาวุธเอ็ม 79 ในการเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่จะต้องดำเนินการสอบสวนอย่างเร่งด่วน เพื่อป้องกันที่จะไม่ให้เกิดเหตุอย่างนี้ในสถานที่อื่น ๆ

“กลุ่มนี้น่าจะมีเป้าหมายที่จะทำให้เกิดความปั่นป่วนและพยายามที่จะสร้าง สถานการณ์ทางการเมืองว่ารัฐบาลไม่มีเสถียร ภาพ ไม่สามารถที่จะสั่งการให้เจ้าหน้าที่มีความเข้มงวดในการจับกุมเอาคนร้ายมาดำเนินคดีได้ รวมทั้งไม่ต้องการให้บ้านเมืองเป็นระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ และไม่ต้องการให้เกิดการเลือกตั้ง เพราะถ้าเกิดการเลือกตั้งกลุ่มคนเหล่านี้ก็จะสูญเสีย อำนาจ”

ปัดรัฐสร้างสถานการณ์

ผู้สื่อข่าวถามว่ามีการมองว่ารัฐบาลสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเองเพื่อคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินไว้ และเมื่อมีการยิงเอ็ม 79 เมื่อไรก็ไม่สามารถจับตัวคนร้ายได้ นายปณิธาน ตอบว่า ประเด็นนี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกจึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เร่งดำเนินการสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงให้ได้ เพราะเกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างนี้ตลอดมา และยืนยันว่ารัฐบาลเองพร้อมที่จะเลือกตั้งได้ตลอดเวลา ซึ่งนายกฯยืนยันแล้วว่าในต้นปีจะเดินเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งอย่างเต็ม ตัวไม่ว่าเรื่องการแก้ไข รธน. และคณะกรรม การปฏิรูปชุดต่าง ๆ ก็ได้นำเสนอประเด็นที่มองเห็นข้อสรุปได้อย่างเป็นรูปธรรมแล้ว ดังนั้นในปีหน้ารัฐบาลพร้อมที่จะลงสนามการเลือกตั้ง

ส่วนที่มีการมองว่ารัฐบาลเป็นคนสร้างสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรงเพื่อที่จะคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินนั้น นายปณิธาน กล่าวว่า ขณะนี้ได้สั่งห้ามทหารทุกหน่วยใช้อาวุธปืนเอ็ม 79 ยกเว้นเฉพาะบางหน่วยที่ยังมีความจำเป็นเท่านั้น ดังนั้นจะเห็นว่าทหารประจำการจะไม่มีอาวุธปืนเอ็ม 79 อยู่ในการครอบครอง อย่างไรก็ดีจะต้องกำชับเจ้าหน้าที่ให้มีความเข้มงวดในการตรวจตราพื้นที่ให้มาก กว่าเดิม โดยเฉพาะพื้นที่สำคัญจะต้องเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด ไม่ว่าทำเนียบรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคการเมืองที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคอื่น ๆ

“เฉลิม”ชี้หวังไม่ให้เลือกตั้ง

ที่พรรคเพื่อไทย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน และประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงเหตุการณ์ระเบิดในพื้นที่ กทม. ว่า ขณะนี้มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่ชอบทำโพล แล้วเห็นว่าไม่สามารถสู้พรรคเพื่อไทยได้ในการเลือกตั้งจึงพยายามที่จะสร้างสถานการณ์เพื่อดึงระยะเวลาการเลือกตั้งออกไป จนถึงขนาดจะไม่ให้มีการเลือกตั้งในระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งเป็นคนกลุ่มเดียวกับที่ทำซีดีโจมตี พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯไปแจกที่อีสาน 1 ล้านแผ่น แต่ไม่ได้ผล ล่าสุดได้ยินอีกว่าจะทำหนังสือโจมตีอีก 2.5 ล้านเล่ม ไปแจกอีก และการกระทำทั้งหมดไม่ใช่ฝีมือตำรวจหรือทหาร เพราะพวกนี้รักบ้านรักแผ่นดิน แต่เป็นฝีมือกลุ่มที่หวังประโยชน์ ของแค่นี้ดูก็รู้ว่าใครได้ประโยชน์ และอยากถามว่าในเวลาที่ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คนกลุ่มไหนกันที่พกพาอาวุธได้อย่างนี้

แบงก์ชาติแนะเร่งจับคนร้าย

นายเมธี สุภาพงษ์ ผอ.ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงเหตุการณ์ระเบิดใน กทม. ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องว่า อาจจะมีผลกระทบบ้าง เพราะหากจะพูดว่าไม่ได้รับผลกระทบคงเป็นไปไม่ได้ อยากให้ฝ่ายความมั่นคงหาตัวผู้กระทำผิดโดยเร็ว เพราะแสดงให้เห็นความพยายามของผู้ก่อเหตุที่จะทำให้ทางการเห็นว่าการมี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่ได้มีผลแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามตนเชื่อว่ารัฐบาลน่าจะดูแลสถาน การณ์ได้ ธปท. ไม่ได้กังวลต่อปัญหานี้เท่าไหร่ เพราะเหตุระเบิดเกิดเป็นครั้งคราวและไม่ได้มีความรุนแรงไม่ได้กระจายในวงกว้าง ขณะที่นักท่องเที่ยวก็ไม่ได้ตกใจหรือปรับลดลง สังเกตได้จากระบบการเตือนภัยก็อยู่ระดับเดิมไม่ได้เพิ่มขึ้น

ลุยคลี่ปม“คิงเพาเวอร์”

ก่อนหน้านี้ช่วงเช้าวันเดียวกัน พล.ต.ท.สัณฐาน ผบช.น. กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีคนร้ายยิงระเบิดเอ็ม 79 อาคาร คิงเพาเวอร์ ซอยรางน้ำ ท้องที่ สน.พญาไท เมื่อวันที่ 26 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า มีความคืบหน้าในเรื่องของภาพกลุ่มผู้ต้องสงสัยที่ได้จากกล้องวงจรปิดอยู่ระหว่างการตรวจพิสูจน์ว่า คนกลุ่มนี้เป็นคนร้ายหรือไม่ ซึ่งประเด็นสำคัญที่ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ มอบหมายในที่ประชุมคือ ต้องหาพยานหลักฐานมาพิสูจน์ให้ได้ พร้อมนำองค์ความรู้เกี่ยวกับระเบิดเอ็ม 79 ว่า เมื่อตกกระทบพื้นแล้วเศษ หรือวัตถุระเบิดจะสาดไปทิศทางใดบ้างโดย จะมีการเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านระเบิดเอ็ม 79 จากประเทศสหรัฐอเมริกา มาช่วยดูเรื่องของทิศทางที่แท้จริง หากเรารู้ทิศทางแล้วการสืบสวนสอบสวนก็จะง่ายขึ้น เดินไปอย่างถูกต้องไม่ผิดทิศทางไปทางอื่น

ไม่ประมาทบึ้มรถไฟฟ้าฯ

ผบช.น. กล่าวต่อว่า ตอนนี้เราติด ต่อไปแล้วอยู่ที่ว่า เขาจะมาช่วงไหนจะรีบแจ้งสื่อทราบทันที ส่วนพยานหลักฐานที่ได้จากภาพกล้องวงจรปิดซึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยนั้น เราตรวจสอบอยู่อย่างต่อเนื่องมีภาพปรากฏ จริง แต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเป็นคนร้ายหรือไม่ ส่วนผู้ต้องสงสัยจริง ๆ จะมีกี่คน นั้นต้องขอปิดเป็นข้อมูลไว้ก่อน ส่วนกระแส ข่าวอาจมีการก่อวินาศกรรมรถไฟฟ้าใต้ดินนั้น แม้ตำรวจจะยังไม่มีการข่าวในเรื่องนี้ แต่ก็มีตำรวจชุดเคลื่อนที่เร็วคอยดูแลอยู่แล้ว โดยดูทุกเรื่องประมาทไม่ได้ในยามบ้านเมืองอย่างนี้

เชื่อมโยงคดีคิงเพาเวอร์

ต่อมาเวลา 16.30 น. ที่ บช.น. พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ที่ปรึกษา (สบ 10) พร้อมด้วย พล.ต.ท.สัณ ฐาน ผบช.น. พล.ต.ต.บุญส่ง พานิชอัตรา รอง ผบช.น. พ.ต.อ.ธวัชชัย เมฆประเสริฐสุข รอง ผบก.พฐ.บช.ก. เรียกประชุมพื่อเตรียมการรวบรวมพยานหลักฐานเร่งรัดคดีดังกล่าวและวางแผนการดำเนินการการทำงานของตำรวจ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ว่า คดีที่เกิดขึ้นนี้เป็นคดีที่มีความสำคัญอีกคดีหนึ่ง ในเบื้องต้นจากการรวบรวมพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ เชื่อว่าเป็นกลุ่มคนร้ายชุดเดียวกับที่ยิง เอ็ม 79 ใส่ตึกคิงเพาเวอร์ เชื่อว่าคนร้ายใช้ยานพาหนะเป็นรถยนต์ เพราะฉะนั้นบุคคลหรือประชาชน ที่ผ่านไปมาในช่วงเวลาเกิดเหตุ หากท่าน พบเห็นรถต้องสงสัยหรือคิดว่ามีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการสืบสวนไม่ว่าข้อมูลจะผิดหรือถูกไม่เป็นไร ขอให้รีบโทรฯแจ้งเบาะแสมาที่เบอร์ 191 ทันที เบื้องต้นเชื่อว่าคนร้ายยิง เอ็ม 79 มาจากบนถนน โดยยิงออกมาจากภายในรถยนต์

ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นการยิงมาจากพื้นราบหรือบนทางด่วนโทลล์เวย์ พล.ต.อ. ภาณุพงศ์ ตอบว่า ดูจากข้อมูลของผู้ชำนาญการในเบื้องต้นน่าจะเป็นการยิงจากบนทางด่วนโทลล์เวย์ โดยยิงออกมาจากรถยนต์ แต่หากตำรวจได้พยานหลักฐานจากกล้องวงจรปิดก็จะมีการดำเนินการเพื่อสอบสวนทางคดีต่อไป และหากได้พยานหลักฐานที่ชัดเจน ก็จะแจ้งให้สื่อมวลชนทราบอีก ครั้งหนึ่ง

สมาคมฯสื่อแถลงการณ์

ขณะที่สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมแถลงการณ์ เรื่อง หยุดคุกคามสื่อมวลชนกรณีเกิดเหตุยิงระเบิดตกภายในสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยว่า 1.ขอให้ทุกฝ่ายตระหนักว่าสื่อมวลชน ผู้สื่อข่าว ช่างภาพ ทำหน้าที่รายงานข่าวและข้อเท็จจริงตามหน้าที่ของตนไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งกับใคร เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรตกเป็นเป้าหมายของการข่มขู่ คุกคามและแทรกแซงไม่ว่าจากฝ่ายใด และ 2.ขอเรียกร้องไปยังฝ่ายความมั่นคงซึ่งมีหน้าที่ในการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองเร่งสอบสวนจับกุมผู้ก่อเหตุมาลงโทษตามกฎหมายโดยเร็ว เพื่อสร้างหลักประกันการคุ้มครองสวัสดิภาพและความปลอดภัยของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนโดยส่วนรวม

“เทือก”แจงคดียิง“เสธ.แดง”

ส่วนที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคงและ ผอ.ศอฉ. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ น.ส. ขัตติยา สวัสดิผล ลูกสาวของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ไปให้ข้อมูลกับคณะกรรมาธิการของวุฒิสภา และแสดงความอึดอัดใจที่ รัฐบาล มัวแต่ดำเนินคดีกับผู้ก่อการร้ายแต่ ไม่ยอมหาคนที่สังหาร “เสธ.แดง” หรือยิงผู้ชุมนุมว่า สื่อมวลชนไม่ค่อยฟังคำชี้แจงของตนที่ชี้แจงไปทุกวัน ในฐานะ ผอ.ศอฉ. ได้สั่งการให้กรมสอบสวนคดีพิเศษได้จัด ทีมสืบสวนสอบสวนเอาข้อเท็จจริงรายละเอียดเกี่ยวกับผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ตั้งแต่เดือนมี.ค.-พ.ค. ทั้งหมด 89 ราย ซึ่งเสธ.แดง เป็นรายหนึ่งที่อยู่ในจำนวนนั้น โดยตนให้เวลาชัดเจนว่า 60 วันให้กลับมารายงาน เราทำทุกกรณีให้ชัดเจนโปร่งใสที่สุด

โคมลอยทีมไล่ล่าเสื้อแดง

เมื่อถามว่า กรณีการลอบยิง เสธ. แดง น่าจะทำได้ง่ายเพราะมีคนเห็นเหตุการณ์เป็นร้อย และตำรวจก็มีเครื่องมือวัดวิถีกระสุน นายสุเทพ กล่าวว่า ขอให้คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหลายช่วยกรุณาไปเป็น พยานให้ เจ้าหน้าที่จะได้สอบอย่างละเอียด ส่วนกรณีที่เกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนไล่ยิงถล่มนายกฤษดา กล้าหาญ แนวร่วมเสื้อแดงที่ จ.เชียงใหม่ ทางตำรวจมุ่งน้ำหนักน่าจะเป็นประเด็นที่นายกฤษดา และครอบครัวเป็นกลุ่มคนเสื้อแดงชัดเจนมาก โดยมีรายงานว่าขณะนี้ใน จ.เชียงใหม่ มี “กลุ่มคนมีสี” ตั้งหน่วยไล่ล่าคนเสื้อแดงขึ้นมาว่า “ไม่น่าจะเป็นจริง ตนก็ได้อ่านข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์เหมือนกันและตนจะสอบถามในที่ประชุม ศอฉ. ด้วย”

คุมเข้ม11จุดล่อแหลม

ที่กองทัพบก ช่วงเย็นวันเดียวกัน พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. แถลงข่าวว่า ในที่ประชุมได้พูดถึงการก่อเหตุ ด้วยการยิงลูกกระสุนเอ็ม 79 ในพื้นที่สถานีโทรทัศน์ สทท.11 ซึ่งทาง ผอ.ศอฉ. ได้สั่งกำชับเจ้าหน้าที่ให้เน้นด้านทำงานการข่าว โดยให้ ผอ.สำนักข่าวกรอง เป็นหลักในการประสานเรื่องนี้อย่างเข้มข้น นอกจากนี้ ให้มีการตรวจสอบกล้องวงจรปิด การทางพิเศษ และ กทม. ให้นำภาพมาเชื่อมโยงกันเพื่อหาข้อมูลหลักฐาน นอกจากนั้นให้เพิ่มกำลังตำรวจในพื้นที่ต่าง ๆ โดยบริเวณสถานีโทรทัศน์ สทท.11 สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5

ทั้งนี้มีรายงานข่าวแจ้งว่า ศอฉ. ได้ระบุว่ามีพื้นที่ล่อแหลมต่อการก่อเหตุทั่วกรุงเทพฯ จำนวน 11 จุด ซึ่งนายสุเทพได้สั่งให้ตำรวจไปประชุมว่าต้องการกำลังเพิ่มหรือไม่ หากกำลังตำรวจมีไม่เพียงพอก็ให้แจ้งมาที่ ศอฉ. จะจัดกำลังทหารเข้าไปช่วยสนับสนุนในการรักษาความปลอดภัยทันที

ตร.เชียงใหม่เร่งขยายผล

ส่วนที่ จ.เชียงใหม่ พ.ต.อ.ทวีศักดิ์ ศรีทองสุข ผกก.สภ.หางดง จ.เชียงใหม่ เปิดเผยถึงความคืบหน้าเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนเอชเค ขับรถไล่ประกบยิงนายกฤษดา กล้าหาญ อายุ 21 ปี อดีตการ์ดเสื้อแดงเชียงใหม่จนได้รับบาดเจ็บสาหัส เหตุเกิดช่วงกลางดึกวันที่ 29 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า กำลังตรวจหาภาพวงจรปิดตามสี่แยกไฟแดง ตั้งแต่จุดถนนคนเดิน เรื่อยมาตามสี่แยก ต่าง ๆ ก่อนมาถึงจุดเกิดเหตุเพราะเชื่อว่าคนร้ายจะต้องขับรถประกบตามมาตลอดทาง หากเราได้ภาพเหล่านั้นเชื่อว่าจะหาตัวกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุได้ง่ายขึ้น ส่วนการสอบปากคำผู้บาดเจ็บยืนยันไม่เคยมีปัญหาขัดแย้งกับใครมาก่อน คดีนี้ทางผู้บังคับบัญชาเร่งรัดคดีมา เพราะถือเป็นคดีที่อุกอาจสะเทือนขวัญ คนร้ายใช้อาวุธสงครามก่อเหตุในที่สาธารณะ อย่างไรก็ดีเชื่อว่าจะสามารถติดตามจับกุมตัวคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมายได้เร็ว ๆ นี้

“น.1” ติวเข้มตั้งด่านทั่วกรุง

ผู้สื่อข่าวรายงาน เพิ่มเติม เมื่อเวลา 18.00 น. ที่ บช.น. พล.ต.ท.สัณฐาน ผบช.น. ได้เรียกประชุมด่วน รอง ผบช.น. พร้อมด้วย ผบก.น.1-9 ไปจนถึง ผกก. 88 สน. และตัวแทนทหารจากกองทัพภาคที่ 1 เพื่อประชุมวางมาตรการการทำงานในการดูแลความปลอดภัยในพื้นที่กรุงเทพฯ ภายหลังการประชุมนานเกือบ 2 ชม. พล.ต.ท. สัณฐาน เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ทุก บก.ไปทำแผนการดูแลพื้นที่ให้เรียบร้อย ส่วนในวันนี้ก็จะมีการวางกำลังตำรวจอย่างเต็มที่เพื่อป้องกันเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ หากไม่เพียงพอได้เสนอขอกำลังสนับสนุนจาก บช.ภ.1,2,7 และ ตชด.เข้ามาช่วยร่วมตรวจตราและตั้งจุดตรวจ 24 ชม.ให้เข้มข้นมากกว่าเดิม.

สงคราม เพื่อ?



ken00278 | November 18, 2008
varintonlane : I'm crying for this, very painful

ยิงเอ็ม79 ถล่มช่อง11 รถพนักงาน-รถข่าวพัง 5 คัน คาดกระสุนมาจากทางด่วนโทลล์เวย์

by Goosehhardcore on 2010-08-31 - 03:20 pm
ที่มาข้อมูล: มติชนออนไลน์ วันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553 เวลา 14:32:27 น.

จาก อัลบั้มภาพ Matichon Online

ยิงเอ็ม79 ถล่มช่อง11 รถพนักงาน-รถข่าวพัง 5 คัน คาดกระสุนมาจากทางด่วนโทลล์เวย์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 13.30 น. วันที่ 31 ส.ค. ได้เกิดเหตุคนร้ายไม่ทราบกลุ่มยิงระเบิดเอ็ม 79 ลงบริเวณที่จอดรถสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 ถ. วิภาวดี-รังสิต โดยแรงระเบิดดังกล่าว ส่งผลให้รถของพนักงานสถานีโทรทัศน์ และรถข่าวพังเสียหาย 5 คัน กระจกแตกทั้งหมด โดยไม่พบว่ามีพนักงานคนใดได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด

ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่จากกองบัญชาการตำรวจนครบาล และเจ้าหน้าที่ตำรวจจากสถานีตำรวจสุทธิสารได้รุดไปยังที่เกิดเหตุทันที สำหรับแรงระเบิดดังกล่าวตกลงตรงศาลพระพรหม ด้านใน คาดว่า คนร้ายน่าจะยิงมาจากทางต่างระดับโทลล์เวย์ ด้วยการขับรถชะลอ เปิดกระจก และยิงระเบิด โดยเจ้าหน้าที่ สน. สุทธิสารห้ามบุคคลไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้า พร้อมกับรอเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานมาเก็บหลักฐานยังที่เกิดเหตุแล้ว

ด้านผู้บริหารสถานีและพนักงานต่างลงมามุงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก บางคนถึงกับตกใจสุดขีด เพระไม่เคยเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน

สอบสวนนายสมชาย หนุนเกื้อ หัวหน้าหมวดยานพาหนะของสถานี ให้การว่า ขณะยืนโทรศัพท์ใกล้ศาลพระพรหม ได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้น จึงวิ่งไปหลบยังที่ปลอดภัย จากนั้น เมื่อเหตุการณ์สงบลง ก็พบว่า บริเวณดังกล่าวมีกิ่งไม้ และเศษใบไม้หักตกลงเกลื่อนไปหมด และพบว่า กระจกรถพนักงาน และรถข่าวได้รับความเสียหาย


เบื้องต้น นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ เดินทางจากทำเนียบรัฐบาลไปยังที่เกิดเหตุแล้ว

ส่วนการจราจรถ.วิภาวดี ยังเคลื่อนตัวด้วยดี มีเจ้าหน้าที่สน.สุทธิสารมาดูแลให้ความสะดวก เนื่องจากพื้นที่เกิดเหตุอยู่ข้างในสถานีฯ

-----------------------------------------

M79 grenade fired at NBT building
Source : bangkokpost.com/breakingnews/
• Published: 31/08/2010 at 02:07 PM
• Online news: Breakingnews

An M79 grenade was fired at the National Broadcasting Television station on Vibhavadi Rangsit road on Tuesday afternoon. There were no immediate reports of injury.

The grenade went off in front of the state-run broadcasting station and damaged three cars, reports said.

Police were investigating scene and initially believed the grenade was launched from the Don Muang tollway.

On March 15, an M79 grenade was fired the compound of the First Infantry Regiment on Vibhavadi Rangsit road, injuring two soldiers.

วันจันทร์, สิงหาคม 30, 2553

Investigation report : THAILAND LICENCE TO KILL

by Goosehhardcore on 2010-08-31 - 10:02 am
ข้อมูลโดย คุณชำนาญ จันทร์เรือง นักวิชาการอิสระ
จาก เว๊บไซต์ www.pub-law.net
ที่มาข้อมูล: มติชนออนไลน์



ใบอนุญาตฆ่าคน (Licence to Kill)

เหตุการณ์การสลายการชุมนุมในเดือนเมษายน - พฤษภาคม 2553 ที่ผ่านมาได้สร้างความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินอย่างมากมาย ในจำนวนผู้เสียชีวิต ทั้ง 91 ราย นั้น มีนักข่าวต่างประเทศอยู่ด้วย 2 คน และ มีกรณีที่สื่อมวลชนได้รับ บาดเจ็บมากถึง 10 ราย โดยในจำนวนนี้บางรายอาจต้องเสียสมรรถภาพทางร่างกายไปตลอดชีวิต นอกจากนี้แล้ว ยังมีกรณีการเซ็นเซอร์และปราบปรามสื่ออีกมากมายอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ตั้งแต่หลังช่วงปี ค.ศ. 90

ภายหลังเหตุการณ์สงบแล้ว ต่างฝ่ายต่างป้ายความผิดให้ฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นผู้กระทำความเสียหาย ให้เกิดขึ้น ซึ่งตราบจนบัดนี้ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าแท้ที่จริงแล้วใครกันแน่ที่จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการสูญเสียครั้งนี้ หนึ่งในองค์กรที่เข้ามาสอบสวนข้อเท็จจริงและมีผลการสอบสวนปรากฏออกสู่สาธารณชนไปทั่วโลกเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ก็คือ องค์กรของผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนหรือที่เรารู้จักกันในชื่อว่า Reporter without Borders หรือ Reporters sans frontières โดยจัดทำเป็นรายงานการสอบสวน(investigation report)ในชื่อว่า THAILAND LICENCE TO KILL

จาก อัลบั้มภาพ Matichon Online
องค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนได้สัมภาษณ์และวิเคราะห์ในกรณีสื่อมวลชนได้รับการคุกคาม ดังต่อไปนี้

1. การเสียชีวิตของนักข่าวอิสระชาวอิตาเลียน นาย Fabio Polenghi

จาก อัลบั้มภาพ Matichon Online
2. การเสียชีวิตของผู้สื่อข่าวชาวญี่ปุ่นของสำนักข่าวรอยเตอร์ นายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ

3. กรณีการบาดเจ็บของ นาย Nelson Rand ผู้สื่อข่าวของสถานีโทรทัศน์ France24

4. กรณีการปิดกั้นเว็บไซต์ประชาไท

5. กรณีวางเพลิงสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสี ช่อง 3

6. การสัมภาษณ์นางสาว Agnès Dherbeys ช่างภาพหนังสือพิมพ์ The New York Times ในขณะเกิดเหตุ

7. กรณีนายสุบิน นวมจันทร์ ช่างภาพหนังสือพิมพ์มติชนได้รับบาดเจ็บ

8. กรณีนาย Chandler Vandergrift นักข่าวอิสระชาวแคนาดาได้รับบาดเจ็บสาหัส

9. คำบอกเล่าของสื่อมวลชนชาวต่างประเทศที่ไม่ต้องการเปิดเผยชื่อ

10. กรณีนายไชยวัฒน์ พุ่มพวง ช่างภาพอาวุโสของหนังสือพิมพ์ The Nation ได้รับบาดเจ็บสาหัส

องค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนตั้งคำถามว่าจำนวนสื่อมวลชนที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตนั้น เป็นผลมาจากอุบัติเหตุเพียงอย่างเดียวหรือไม่ ทั้งนี้ มีนักข่าวมากมายที่ทำงานเสนอข่าวในบริเวณที่ชุมนุม และมีจำนวนหนึ่งที่อาจขาดการอบรมด้านการทำงานในพื้นที่อันตรายหรือไม่ ได้ใช้อุปกรณ์การป้องกันภัย ที่พอเพียงรวมถึงการขาดการอบรมในด้านการป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อพลเมืองของทหารที่ ทำหน้าที่ควบคุมและสลายการชุมนุม หรือว่าเหตุการณ์เศร้าสลดที่เกิดขึ้นมีเหตุมาจากความตั้งใจ คุกคามสื่อมวลชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อมวลชนชาวต่างประเทศโดยตรง

ผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนได้รับคำบอกเล่าจากนักข่าวชาวยุโรปที่อยู่ในพื้นที่ว่า ในช่วงวันสุดท้ายของการชุมนุมนั้นทหารได้ใช้อาวุธสงครามกับประชาชน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนักข่าว นั่นแสดงให้เห็นว่า ทหารไม่ได้เคารพกติกาของการปฏิบัติ( Rules of Engagement ) แต่อย่างใด

ซึ่งในประเด็นนี้ ดร.ธานี ตัวแทนจากกระทรวงการต่างประเทศได้กล่าวว่า ทหารได้รับคำสั่งให้เคารพ ข้อปฎิบัติเฉพาะ แต่เมื่อมีการยิงทหารไร้อาวุธในวันที่ 16 เมษายน นั้น ทหารก็ได้รับคำสั่งให้ใช้กระสุนจริงเพื่อป้องกันตนเองจากชายชุดดำ ซึ่งเป็นฝ่ายเดียวกับผู้ชุมนุม นปช. แต่เขาได้ย้ำว่า กองทัพไม่ได้ รับการอนุญาตให้ยิงประชาชนแต่อย่างใด

ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งสำหรับผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนคือการเซ็นเซอร์สื่อที่เพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ช่วงวิกฤติการเมือง รวมถึงการปิดปากตัวเอง (Self-Censorship) ของสื่อบางส่วนด้วย ในกรณีนี้ ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ยังได้มีคำสั่งให้ปิดกั้นสื่อมากมาย รวมทั้งประชาไทด้วย ทั้งนี้ ดร.ธานีได้ยืนยันกับองค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับเสรีภาพสื่อเป็นอย่างยิ่ง แต่ได้เพิ่มเติมว่าสถานการณ์ฉุกเฉินบังคับให้สื่อต้องมีความรับผิดชอบในการทำงาน

ผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนจัดทำรายงานฉบับนี้ขึ้น โดยมีเป้าหมายจะสะท้อนเสียงของกรณีตัวอย่าง 10 ราย ที่สื่อมวลชนได้รับการคุกคาม หรืออันตรายทั้งจากฝ่ายแรก ได้แก่ ทหาร หน่วยกำลังพิเศษ และทหารรับจ้าง และฝ่ายที่สองคือผู้ชุมนุมเสื้อแดงซึ่งเป็นสมาชิกของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ โดยผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนเลือกที่จะเป็นสื่อกลางและกระบอกเสียงให้แก่สื่อมวลชนในครั้งนี้

นอกจากนั้นแล้ว ยังได้สัมภาษณ์ตัวแทนจากรัฐบาลไทยและทนายความของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อีกด้วย ซึ่งบางกรณีตัวอย่างแสดงให้เห็นถึงการคุกคามสื่อมวลชน ทั้งจากฝ่ายความมั่นคงและฝ่ายผู้ชุมนุมเสื้อแดงอย่างชัดเจน

ผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนย้ำให้เห็นความสำคัญของการสอบสวนอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤติการณ์ทางการเมืองครั้งนี้อย่างโปร่งใส และเสนอให้มีการขอความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญจากนานาประเทศ เนื่องจากหากไม่มีการสอบสวนอย่างเป็นอิสระแล้วไซร้ เหตุการณ์ครั้งนี้อาจทำให้ประเทศไทยสูญเสียความน่าเชื่อถือในเวทีนานาชาติ

ผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนเรียกร้องให้มีการเพิ่มทั้งทรัพยากรและอำนาจแก่คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง เพื่อให้คณะทำงานดังกล่าวมีความอิสระในการทำงานอย่างแท้จริง และ ในโอกาสที่ประเทศไทยได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนจึงเรียกร้องให้เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ นายบัน คี มุน ให้ความร่วมมือกับประเทศไทย

โดยการให้องค์กรต่างๆ ของสหประชาชาติเข้ามามีส่วนร่วมกับการสอบสวนในครั้งนี้ โดยผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือและข้อมูลแก่คณะทำงานอย่างโปร่งใสและเป็นอิสระ

จะเห็นได้ว่ารายงานการสอบสวนฉบับนี้เป็นการรายงานของมืออาชีพที่แท้จริงที่เราทุกคนและฝ่ายที่เกี่ยวข้องควรจะหามาอ่าน เพราะแสดงให้เห็นว่าการคุกคามสื่อนั้นมีมาจากทั้งสองด้าน คือทั้งจากฝ่ายความมั่นคงและฝ่ายผู้ชุมนุม ซึ่งแกนนำรัฐบาลหรือแกนนำผู้ชุมนุมจะทราบหรือไม่ก็ตาม แต่เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นแล้วจริง ที่สำคัญก็คือกองทัพไม่ได้รับอนุญาตให้เข่นฆ่าประชาชน(Licence to Kill) แต่อย่างใด


แต่การสลายการชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิตนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วจะต้องมีผู้รับผิดชอบแน่นอน เพียงแต่ฝ่ายรัฐบาลอย่าเพิ่งออกกฎหมายนิรโทษกรรมดังเช่น กรณี 6 ตุลาออกมาเสียก่อนก็แล้วกัน

อย่างไรก็ดีถึงแม้จะมีกฎหมายนิรโทษกรรมออกมาก็ตาม การนิรโทษกรรมนี้ก็ไม่อยู่ในข่ายที่จะยกเว้นเขตอำนาจของศาลอาญาระหว่างประเทศ(หากจะมีผู้หยิบยกและให้สัตยาบันต่อไปในภายหน้า)แต่อย่างใด

เชิญร่วมงานรำลึก เสธ.แดง ครั้งที่ 2 ในวันที่ 12 กันยายน 2553 ณ.สวนลุม เวลา 17.00 ถึง 20.00 น.

ชิญร่วมงานรำลึก เสธ.แดง ครั้งที่ 2 ในวันที่ 12 กันยายน 2553 ณ.สวนลุม เวลา 17.00 ถึง 20.00 น.

เชิญพี่น้องเสื้อแดง
หรือคนที่รักทหารที่ชื่อ เสธ.แดง ช่วยกันไปจุดเทียนผูกผ้าแดง ที่จุด เสธ โดนยิงด้วยนะครับ และ กิจกรรมนี้จะจัด ทุกวันอาทิตย์ที่ 2 ของทุกเดือนนะครับ ฝากกระจายข่าวด้วยครับ แล้วผมเอาภาพ บรรยากาศของครั้งแรกมาฝากนะครับ

กำหนดจัดกิจกรรม
เวลา: 30 สิงหาคมเวลา 18:00 น. - 13 กันยายนเวลา 0:00 น.
สถานที่: ศาลาแดง และ สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินที่ เสธ.แดง โดนยิง
ชื่อผู้จัด: สหายเสื้อดำ บางนา, นที สรวารี, แดงแจ๋ แน่นอน, เอมเดียนแดง สุเมศ Sumet, สหาย เจ้าหญิง Vvoo, สหายเดียร์ Deerhunter พรานล่ากวาง, เรด ทรู้ธ
รายละเอียด: เชิญร่วมงานรำลึก เสธ.แดง ครั้งที่ 2 ในวันที่ 12 กันยายน 2553 ณ.สวนลุม เวลา 17.00 ถึง 20.00 น.

Lawyer asks Thai PM not to send Russian to US

by Goosehhardcore on 2010-08-31 - 09:06 am
Ref: Asian correspondent, Aug. 31 2010 - 08:32 am



The lawyer for accused Russian arms trafficker Viktor Bout filed a last ditch appeal Monday to Thailand's prime minister in an effort to stop his client's extradition to the United States.

Bout, a 43-year-old former Soviet air force officer who is reputed to have been one of the world's most prolific arms dealers, was arrested in March 2008 in Bangkok as part of a sting operation led by U.S. agents. Bout has allegedly supplied weapons that fueled civil wars in South America, the Middle East and Africa, with clients including Liberia's Charles Taylor and Libyan leader Moammar Gadhafi and both sides in Angola's civil war.

A Thai court in August last year originally rejected Washington's request for Bout's extradition on terrorism-related charges, but after the ruling was reversed last week the U.S. moved to get him out quickly, sending a special plane to stand by.

Just ahead of the appeals court ruling, the United States forwarded new money-laundering and wire fraud charges to Thailand, in an attempt to keep Bout detained if the court ordered his release. But the move backfired, because Bout now cannot legally leave Thailand until a court hears the new charges.

Bout's lawyer, Lak Nittiwattanawichan, delivered an 11-page handwritten petition for Prime Minister Abhisit Vejjajiva on Monday, arguing that the Aug. 20 appeals court ruling to hand Bout over to the United States to stand trial on terrorism charges was unjust.

Abhisit has said it is up to the courts to handle Bout's case, and it is unclear if he has any authority to intervene.

Bout's arrest at a luxury hotel was part of an elaborate sting in which U.S. agents posed as arms buyers for the Revolutionary Armed Forces of Colombia, or FARC, which Washington classifies as a terrorist organization.

Bout was indicted in the U.S. on charges that include conspiring to kill Americans and conspiring to sell millions of dollars worth of weapons to FARC, including more than 700 surface-to-air missiles, thousands of guns, high-tech helicopters and airplanes outfitted with grenade launchers and missiles.

Efforts to withdraw the newer charges have been proceeding slowly through the Thai bureaucracy, while officials have expressed irritation at U.S. attempts to hurry the proceedings.

"I am not guilty of the crimes I am accused of and I continue to believe that justice will prevail in my case," Bout said in a statement Friday read by his wife Alla at a news conference. He is in a high-security prison in a Bangkok suburb.

He has repeatedly denied being an arms dealer, though he acknowledges the air transport company he once ran did carry legally authorized shipments of weapons.

"The U.S. is trying to create for me the image of an illegal billionaire and an illegal arms dealer," Bout said in his statement. "I have never traded in weapons, I have never sold weapons."

Lak, his lawyer, said he was petitioning Abhisit because the court ruling against Bout was unjust and politically motivated.

He claimed that Bout's would be in danger of bodily harm if sent to the United States, that Washington failed to provide evidence required by Thai courts and that the terrorism charges were not valid under Thai law.

"The whole legal process so far is illegitimate," Lak said. "You cannot file charges without proper evidence and thorough investigation. This should invalidate the whole court ruling."

--------------------------------------------

ที่มาข้อมูล: ข่าวสดรายวัน หน้า 1
วันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7215

ทนายบูทร้อง ขอพบ"มาร์ค"

ศิริโชคลั่นลุยต่อ ไม่กลัวลอยแพ

"ศิริโชค"ลั่นลุยต่อ นายกฯไม่ต้องการให้แค่เดินตาม เชื่อรัฐบาลและปชป.ไม่ได้ลอยแพทนาย"วิกเตอร์ บูท"บุกทำเนียบ ยื่น"มาร์ค"ขอความคุ้มครองลูกความ อยากขอเข้าพบนายกฯเพื่ออธิบายรายละเอียดข้อกฎหมาย ชี้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนเป็นอำนาจของฝ่ายบริหาร ไม่จำเป็นต้องส่งตัวให้สหรัฐตามแรงกดดัน

เมื่อวันที่ 30 ส.ค.ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีนายลักษณ์ นิติวัฒนวิจารณ์ ทนายความนายวิกเตอร์ บูท ผู้ต้องหาค้าอาวุธชาวรัสเซีย ยื่นหนังสือขอความคุ้มครองเพราะห่วงเรื่องความปลอดภัย ว่า ยังไม่ได้รับหนังสือ แต่เรื่องความปลอดภัยได้กำชับไปแล้ว เพราะกังวลเนื่องจากอยู่ในท่ามกลางความขัดแย้ง ต้องดูหนังสือก่อนว่ามีปัญหาอะไร

ด้านนายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ คนสนิทนายกฯ ให้สัมภาษณ์กรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ตำหนิการเข้าไปพบนายวิกเตอร์ บูท ในเรือนจำ และว่าหากมีอะไรเกิดขึ้นให้แก้ปัญหาเองเหมือนเป็นการลอยแพว่า ไม่คิดว่าตัวเองถูกลอยแพ มองว่าไม่ใช่เรื่องลอยแพ แต่เป็นการชี้แจงข้อเท็จจริงว่าหน้าที่ของส.ส.นอกจากจะอยู่ในสภาแล้ว ยังมี หน้าที่ตรวจสอบหาข้อมูล ดังนั้นต้องแยกแยะ

ผู้สื่อข่าวถามว่าแต่การเข้าไปพบผู้ต้องหาเพื่อสืบหาข้อมูลต่างๆ เป็นหน้าที่ของหน่วยงานราชการที่รับผิดชอบอยู่แล้ว นายศิริโชคกล่าวว่า นี่มันไม่ใช่เรื่องคดี แต่เป็นการหาข้อมูลทั่วไป การไปเอาหน่วยงานราชการมาทำก็เป็นการแทรกแซง

"ผมไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ เปิดเผยตัวเองและเดินเข้าไปในเรือนจำถูกต้องตามกฎระเบียบทุกอย่าง เพียงแต่บางทีสังคมอาจรู้สึกในความที่อยู่ในแวดวงของนายกฯ แต่ข้อเท็จจริงต้องยอมรับว่าส.ส.นอกจากมีหน้าที่ในสภาแล้ว ต้องมีหน้าที่ต่อประชาชน มีความรับผิดชอบปกป้องผลประโยชน์ของประเทศเมื่อจำเป็น เช่นเดียวกับกรณีนายวิกเตอร์ บูท เราเข้าไปหาข้อมูลเบื้องต้นและไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดี" คนสนิทนายกฯ กล่าว

เมื่อถามว่าคนในรัฐบาลและพรรคประชาธิปัตย์บอกว่ารัฐบาลและพรรคไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง รู้สึกอย่างไร นายศิริโชคกล่าวว่า ไม่น้อยใจ มันเป็นข้อเท็จจริงที่อธิบายมาตลอด นายสุเทพและทุกคนยืนยันว่าเราแยกกันทำงาน ฝ่ายนิติบัญญัติทำงานเรื่องหนึ่ง ฝ่ายบริหารทำงานอีกเรื่องหนึ่ง แต่ทั้งสองฝ่ายต้องเชื่อมข้อมูลกัน ตนในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติก็เอาข้อมูลมาให้ฝ่ายบริหาร ส่วนจะดำเนินการอย่างไรเป็นสิทธิและหน้าที่ของฝ่ายบริหาร ตนอยากให้แยกแยะระหว่างไปเอาข้อมูลกับการยุ่งเกี่ยวกับคดี เป็นคนละเรื่องกัน และไม่คิดว่าตัวเองถูกลอยแพ ยิ่งวิจารณ์เท่าไหร่ยิ่งเพิ่มความแข็งแกร่ง ถือเป็นยาชูกำลัง คนเราถ้าไม่ทำงานก็ไม่ถูกตำหนิ แต่เมื่อเราทำงานก็ต้องกล้ายืนต่อสู้กับกระแส

"ตราบใดที่ผมยังเป็นส.ส.อยู่ จะทำหน้าที่ตรวจสอบอย่างนี้ต่อไป และคิดว่านายกฯ คงไม่ต้องการให้คนใกล้ชิดมีไว้เพื่อเดินตามอย่างเดียว แต่เรื่องนี้ยืนยันว่านายกฯ ไม่ได้สั่ง เป็นการทำหน้าที่ของผม" คนสนิทนายกฯ กล่าว และว่า ตนทำงานบนดินทั้งนั้น ถ้าเป็นงานใต้ดินก็หมาย ความว่าเป็นงานที่ผิดกฎหมาย

ต่อข้อถามว่าได้คุยกับนายสุเทพหรือยัง นายศิริโชคกล่าวว่า ยังไม่ได้พูดคุยกัน แต่เข้าใจกันอยู่แล้ว นายสุเทพเป็นเลขาธิการพรรค ตนเป็นลูกพรรค สิ่งที่นายสุเทพพูดไม่มีอะไรหวือหวา และพูดตามข้อเท็จจริง ตนไม่คิดว่าถูกลอยแพ สิ่งที่นายสุเทพพูดทำให้สังคมเชื่อมั่นและเข้าใจมากขึ้น

เมื่อถามว่านายกฯ มีความเห็นอย่างไร นายศิริโชคกล่าวว่า "นายกฯ ก็หยอกล้อว่าทำไมทีมสโต๊กแพ้เชลซีเยอะเหลือเกิน"

เมื่อถามว่าพรรคประชาธิปัตย์กำลังเล่น 2 หน้าหรือไม่ คนสนิทนายกฯ กล่าวว่า วันนี้จะหันไปทางไหนก็วิจารณ์ทั้งนั้น ทั้งเรื่องถูกลอยแพ หรือเล่น 2 หน้า แต่อยากให้สังคมเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม และระบอบประชา ธิปไตย การทำงานของตนไม่ทำให้เรื่องนายวิกเตอร์ บูทบานปลาย มีแต่ประเทศไทยเท่านั้นที่บานปลาย แต่สหรัฐกับรัสเซียไม่ได้สนใจเลย แม้แต่วิกเตอร์ บูท ก็บอกว่าเป็นเรื่องโจ๊กถ้าอยู่ในรัสเซีย

เมื่อถามว่าสรุปว่าข้อมูลที่ได้มานั้นเพื่อนำมาประกอบการทำงานของฝ่ายบริหาร นายศิริโชคกล่าวว่า ข้อมูลที่ได้ฝ่ายบริหารจะเอาไปใช้ตัดสินใจหรือไม่ เป็นสิทธิ ตนไม่สามารถบอกฝ่ายบริหารเอาข้อมูลมาใช้ แต่อย่างน้อยทำหน้าที่ของประชาชน ในฐานะส.ส.นำข้อมูลที่คิดว่าเหมาะสม เป็นประโยชน์ ดีกว่ามาเสียดายภายหลัง เมื่อถามว่าคิดหรือไม่ว่าถ้าคนชื่อศิริโชคเป็นประชา ชนทั่วไปทางเรือนจำจะอนุญาตให้เข้าพบกับผู้ต้องหา นายศิริโชคกล่าวว่า คิดว่าเรือนจำดูตามเหตุและผล ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย ถ้าพูดอย่างที่ถาม หมายความว่าคนที่อยู่ใกล้ชิดนายกฯ ทุกคนต้องนั่งเงียบเฉยๆ ไม่ทำอะไร ส่วนตัวคิดว่าไม่ใช่ คนใกล้ชิดนายกฯ ยิ่งต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้นายกฯ หรือฝ่ายบริหารได้เห็นข้อเท็จจริงในภาพรวม

ผู้สื่อข่าวถามว่านายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ระบุว่า พฤติกรรมไม่เหมาะสม และยิ่งทำให้เรื่องบานปลาย คนสนิทนายกฯ กล่าวว่า คิดว่าบางครั้งข้อมูลของแต่ละคนที่ได้มาอาจได้ไม่ครบถ้วน

"ผมไม่อยากไปต่อว่าประธานส.ว.เพราะ ท่านมีหน้าที่ดูแลส.ว.อยู่แล้ว แต่เผอิญว่าผมเป็น ส.ส.และหน้าที่ของเราชัดเจนว่าการไปหาข้อมูลกับการไปยุ่งเกี่ยวกับคดีเป็นคนละเรื่องกัน แล้วที่ประธานส.ว.ยกตัวอย่างว่าถ้าเป็นผู้พิพากษาท่านจะไม่คุยกับทั้งโจทก์และจำเลยนั้นแน่นอน เพราะท่านมีส่วนได้ส่วนเสีย แต่กรณีนี้ท่านยืนยันชัดเจนว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยไม่มีทางถูกแทรกแซง ผมไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับคดีนี้เลย ผมเพียงแต่ไปเอาข้อมูล บางครั้งท่านอาจถูกคำถามนำก็เลยตอบไป แต่เชื่อว่าท่านทราบดีว่าเรื่องนี้ทำหน้าที่โดยบริสุทธิ์ใจเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศในนามส.ส.คนหนึ่ง" คนสนิทนายกฯ กล่าว

เมื่อถามว่าต่อไปต้องระวังในการทำหน้าที่มากขึ้นหรือไม่ นายศิริโชคกล่าวว่า ธรรมดาก็ระวังอยู่แล้ว ไม่เคยโอนเอนไปตามกระแส แต่ดูตามกฎระเบียบ ข้อกฎหมาย และการเป็น ส.ส.ไม่ใช่แค่เพียงยกมือในสภา แต่มีหน้าที่ดูแลและปกป้องผลประโยชน์ประเทศ

ก่อนหน้านั้น นายลักษณ์ นิติวัฒนวิจารณ์ ทนายความของนายวิกเตอร์ บูท เดินทางมาทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นหนังสือถึงนายอภิสิทธิ์ นายกฯ เพื่อขอความเป็นธรรมให้ดำเนินคดีนายวิกเตอร์ บูท อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยไม่จำเป็นต้องสนใจแรงกดดันจากสหรัฐ ซึ่งส่งเครื่องบินมาจอดรอรับตัวที่ท่าอากาศยานทหาร บน.6 แล้ว ทั้งที่กระบวนการยุติธรรมของไทยยังไม่ยุติ

นายลักษณ์กล่าวว่า หนังสือขอความเป็นธรรมดังกล่าว เขียนด้วยลายมือทั้งหมด มีเนื้อหา 11 หน้า และมีลายเซ็นของนายบูทกำกับไว้ สำหรับเนื้อหาของหนังสือดังกล่าวสรุปใจความสาระสำคัญว่าขอให้นายกฯ สั่งการเจ้าหน้าที่คุ้มครองผู้ต้องหาตามกฎหมาย เพราะถ้าทางการไทยส่งตัวนายวิกเตอร์ให้กับสหรัฐ อาจไม่ได้รับความเป็นธรรม และอาจได้รับอันตรายต่อชีวิต ร่างกายและเสรีภาพ ไม่ให้มีการข่มขู่ เพื่อนำตัวนายวิกเตอร์ บูท ให้สหรัฐ เนื่องจากไทยและสหรัฐมีสนธิสัญญาว่าด้วยการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน และพ.ร.บ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ.2472 ที่ระบุว่าการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนต้องเป็นข้อตกลงระหว่างรัฐต่อรัฐ และหากขอให้ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ประเทศผู้ร้องต้องแสดงพยานหลักฐานให้ครบถ้วนมาพร้อมกับคำขอ แต่ปรากฏว่าทางการสหรัฐกลับส่งมาแต่คำขอเท่านั้น และยื่นพยานหลักฐานแค่บางส่วนเท่านั้น

ส่วนกรณีสหรัฐขอถอนคดีที่สองคือคดีฟอกเงินออกจากการพิจารณาของศาลไทย เพื่อจะได้รับตัวนายวิกเตอร์ บูท ไปดำเนินคดี หลังจากศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีที่หนึ่งไปแล้วนั้น นายลักษณ์กล่าวว่า การจะขอถอนคดีจากศาลไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ถ้าศาลไทยอนุญาตให้สหรัฐถอนคดีนี้จริง ตนจะทำหนังสือขอให้นายกฯ ใช้อำนาจไม่ส่งตัวนายวิกเตอร์ บูท เป็นผู้ร้ายข้ามแดน เนื่องจากสนธิสัญญาระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสหรัฐว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน และ พ.ร.บ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ.2472 ที่ระบุว่าการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนต้องเป็นข้อตกลงระหว่างรัฐบาลที่เป็นผู้พิจารณา ไม่ใช่เป็นเรื่องระหว่างศาลของทั้ง 2 ประเทศ เพราะศาลมีอำนาจพิจารณาเรื่องการควบคุมหรือปล่อยตัวผู้ต้องหาเท่านั้น จึงเชื่อว่ารัฐบาลน่าจะมีสิทธิ์ยับยั้งการส่งตัวนายวิกเตอร์ บูท ได้

นายลักษณ์กล่าวอีกว่า คดีของนายวิกเตอร์ บูท ได้พิจารณาก่อนที่พ.ร.บ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ.2551 จะมีผลบังคับใช้ จึงต้องกลับไปใช้พ.ร.บ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ.2472 ที่ระบุว่าจะส่งตัวได้ ก็ต่อเมื่อส่งคำขอมาพร้อมพยานหลักฐานครบถ้วน แต่สหรัฐกลับส่งมาแต่คำขอเท่านั้นโดยยื่นพยานหลักฐานบางส่วน เพราะเก็บพยานหลักฐานอีกส่วนหนึ่งในซองแล้วเก็บไว้ในตู้นิรภัย ซึ่งตนร้องในชั้นศาลให้เปิดเผยหลักฐานดังกล่าว แต่ถูกปฏิเสธ โดยฝ่ายสหรัฐอ้างว่าต้องคุ้มครองพยานหลักฐาน อย่างไรก็ตามถ้าเป็นไปได้ ขอให้เปิดโอกาสให้ตนได้เข้าพบนายกฯ เพื่อพูดคุยเรื่องดังกล่าวให้เกิดความชัดเจน

จากนั้นนายลักษณ์ ไปที่ศาลอาญา รัชดาฯ เพื่อตรวจดูรายละเอียดสำนวนส่งผู้ร้ายข้ามแดน นายลักษณ์กล่าวว่า จากที่ตรวจดูสำนวนยังไม่ปรากฏว่าอัยการสำนักงานต่างประเทศยื่นคำร้องขอถอนฟ้องการขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนนายวิกเตอร์เพิ่มเติมครั้งที่ 2 อีก 6 ข้อหาแต่อย่างใด ทั้งนี้หากอัยการยื่นเมื่อใด ตามขั้นตอนกระบวนพิจารณาคดี ศาลจะมีหมายแจ้งคู่ความเพื่อสอบถามว่าจะคัดค้านหรือไม่ ซึ่งตนพร้อมยื่นคัดค้านทันที โดยมีประเด็นเกี่ยวกับเจตนาของทางการสหรัฐที่ตั้งข้อหาไม่เป็นธรรม รวมทั้งการยื่นคำร้องขอถอนฟ้องในเวลาต่อมาหลังจากที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน เพื่อหวังที่จะให้ศาลมีคำสั่งยกคำร้องทั้งหมดตั้งแต่การยื่นขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนเพิ่มเติมฉบับที่ 2 โดยไม่ต้องไต่สวนว่าน่าจะมีการกระทำผิดข้อหานั้นหรือไม่

"ตามปกติในคดีอื่น เมื่อมีการยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง ต้องสอบถามคู่ความอีกฝ่ายว่าจะคัดค้านหรือไม่ ส่วนความจำเป็นว่าต้องไต่สวนหรือไม่เป็นดุลพินิจศาล แต่หากจะไต่สวน ศาลน่าจะนัดวันเดียวกับที่นัดไต่สวนคำร้องขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนฉบับที่ 2 วันที่ 4 ต.ค. เพื่อไม่ให้เสียเวลาวันนัดที่กำหนดไว้แล้วซึ่งคดีอื่นมักจะปฏิบัติอย่างนี้" นายลักษณ์กล่าว

---------------------------------------------


"กษิต" กร้าว!! ซัดสหรัฐฯ ไม่ให้เกียรติศักดิ์ศรีไทย กรณีส่งเครื่องบินรอรับตัว "บูท" ชี้เสมือนการบีบบังคับ

นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ถึงกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระบุว่าให้กระทรวงการต่างประเทศไปทำความเข้าใจกับสหรัฐอเมริกาและรัสเซียกรณีนายวิคเตอร์ บูท ว่า ดำเนินการอยู่แล้วและได้หารือกับทั้งสองประเทศมาโดยตลอดว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมของไทย ซึ่งมีความอิสระ เป็นเอกเทศ และเป็นมืออาชีพ

ทั้งนี้ก่อนเดินทางไปต่างประเทศตนพูดกับสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาไปแล้วว่าการส่งเครื่องบินของสหรัฐฯ มาจอดรอเพื่อรับตัวนายบูท ที่สนามบินดอนเมือง เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมเพราะ ต้องเคารพในกระบวนการภายในของเราด้วย

"ทั้งสองประเทศต้องให้ความเคารพกระบวนการยุติธรรม รวมถึงศักดิ์ศรีของประเทศไทย ไม่ควรมาทำสิ่งใดที่เสมือนเป็นการมาบีบกัน ซึ่งดูไม่ดีต่อศักดิ์ศรีและความเป็นรัฐไทย ที่เขาต้องให้ความเคารพความเป็นอธิปไตยและกระบวนการทางกฎหมายของไทย เรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องที่มิตรประเทศไม่ควรทำกัน"นายกษิตกล่าว

ส่วนกรณีที่นายศิริโชคเข้าพบนายบูท รวมถึงประเด็นที่นายจตุพรหมพันธ์ พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ระบุว่าไทยยื่นเงื่อนไขแลกตัวบูทกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำให้กลายเป็นเรื่องการเมืองในประเทศนั้น นายกษิตยืนยันว่า ไม่ใช่นโยบายรัฐบาลที่จะมายื่นหมูยื่นแมวระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ กับนายบูท โดยอยากให้เอาข้อเท็จจริงมาพูดกันมากกว่าไม่ใช่การโกหก เพ้อฝัน หรือคิดเองเออเอง

เพราะทั้งเรื่องนายบูทและพ.ต.ท.ทักษิณเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่เรื่องการแลกเปลี่ยนทางการเมือง รัฐบาลทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเป็นการแทรกแซงและข้ามหน้าข้ามตากระบวนการยุติธรรม พูดแบบนั้นเสียหายอย่างมากต่อประเทศ ก

ด้าน นายศิริศักดิ์ ติยะพรรณ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีต่างประเทศ กล่าวถึงความคืบหน้าการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนนายบูท ว่า กระทรวงการต่างประเทศ มีหนังสือหารือถึงนายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด( อสส.) เกี่ยวกับขั้นตอนและข้อกฎหมายการส่งผู้ร้ายข้ามแดน

ซึ่งจะต้องไปตรวจดูรายละเอียดในหนังสือดังกล่าวก่อนว่าอัยการจะต้องพิจารณาและให้ความเห็นตอบกลับหนังสือของกระทรวงการต่างประเทศเรื่องใดบ้าง ซึ่งไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ ส่วนการยื่นคำร้องถอนฟ้องนายบูท สำนวนที่ นั้น 2 ขอ ยืนยันว่ายังไม่มีการดำเนินการใด ๆ

ที่มาข้อมูล : มติชนออนไลน์ วันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553 เวลา 20:02:16 น.
--------------------------------------------


หลุมดำ

ข้อมูลโดย: เหล็กใน
ที่มาข้อมูล: ข่าวสดรายวัน หน้า 6 วันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7215


นาทีนี้ นายศิริโชค โสภา ผู้สถาปนาตำแหน่งใหม่ "ผู้ช่วยนายกรัฐมนตรี" คงไม่ต่างจาก "หลุมดำ" ที่พร้อมจะดูดทุกอย่างให้ผลุบหายไป

เมื่อก่อเรื่องที่ทำให้ประเทศไทย ตกอยู่ในสถานการณ์ขัดแย้งระหว่างประเทศที่น่าจับตาอีกครั้ง นับจากสงคราม โลกครั้งที่ 2

คนที่ศึกษาประวัติศาสตร์ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ย่อมทราบดีว่าในห้วงแรกประเทศไทย ถูกนานาชาติผลักให้ไปอยู่กับฝ่าย"อักษะ"นำโดยเยอรมันและญี่ปุ่น เพราะยอมให้ญี่ปุ่นกรีธาทัพผ่านเข้ามา และให้ความร่วมมือในหลายๆด้าน

รวมไปถึงประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร ที่มีสหรัฐ เป็นแกนนำด้วย

จวบจนสงครามสงบพร้อมกับความพ่ายแพ้ของฝ่ายอักษะ ประเทศไทยหวุดหวิดจะกลายเป็นประเทศที่แพ้สงครามไปด้วย

โชคดีที่มีขบวนการเสรีไทย ซึ่งเคลื่อนไหวอยู่ในอเมริกาและอังกฤษ รวมทั้งในเมืองไทย จับมือกับฝ่ายสัมพันธมิตร ทั้งการข่าวและอื่นๆ

ไทยจึงรอดพ้นหายนะครั้งนั้นมาได้

ผ่านมาหลายสิบปี ไม่น่าเชื่อว่าประเทศไทยกำลังถูกพาเข้าไปสู่สถานการณ์คล้ายๆ กันอีก

เป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจากคนเพียง 2 คน

หนึ่งคือวิกเตอร์ บูท เจ้าพ่ออาวุธสงคราม

หนึ่งคือนายศิริโชค


นายวิกเตอร์ ทำให้เมืองไทยตกอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่าง 2 มหาอำนาจคือสหรัฐ และรัสเซีย ที่ต่างก็ต้องการตัวไปสอบสวน

ส่วนนายศิริโชค ทำให้สหรัฐ และรัสเซีย เพ่งมองอย่างไม่วางใจว่านำเรื่อง"การเมือง"เข้ามาพัวพันกับการตัดสินใจส่งตัวนายวิกเตอร์ ให้กับประเทศใด ประเทศหนึ่ง หรือไม่!??

ก่อนหน้านี้ไม่ว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยจะมีท่าทีอย่างใด เรายืนยันได้เต็มปากเต็มคำว่านี่คือการตัดสินของกระบวนการยุติธรรม ซึ่งไม่มีอะไรก้าวล่วงได้

ทว่าพลันที่นายศิริโชค ไปปรากฏตัวพูดคุยกับนายวิกเตอร์ ในเรือนจำ พร้อมกับการออกมาแฉของนายวิกเตอร์ ผ่านทางภรรยา ว่าเข้าไปสอบถามเกี่ยวกับขบวนการค้าอาวุธสงคราม เพื่อเชื่อมโยงถึงพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

ทำให้เกิดปัญหาป่วนไปหมด

ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไร หรือแก้ตัวแบบไหน ถามว่า 2 ประเทศมหาอำนาจย่อมมีสิทธิ์คิดในทางลบ กรณีที่ประเทศตัวเองไม่ได้ตัวนายวิกเตอร์ เพราะมีข้อต่อรองทางการเมืองมาเกี่ยวข้อง

บวกกับปัญหาความเหลื่อมล้ำกันอย่างมากของผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายระหว่าง "เสื้อเหลือง" และ "เสื้อแดง" ซึ่งเชื่อว่าทั้งสหรัฐ และรัสเซีย ย่อมรู้และเห็นว่าอะไรเป็นอะไร

ลำพังไม่มีการเมืองเข้าไปเกี่ยวกับปัญหาการส่งตัวนายวิกเตอร์ ประเทศไทยก็เหนื่อยหนักอยู่แล้ว

พอมีนักการเมืองเข้ามายุ่งอีก ประเทศไทยไม่ใช่แค่เหนื่อยเท่านั้น แต่อาจจะถึงขั้นเดือดร้อนได้ง่ายๆ

แค่จะทำลายนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม ถึงขนาดเอาประเทศชาติเป็นเดิมพันเชียวหรือ!??

เรียก “ขัตติยา” แจง “เสธแดง” ถูกยิง ลูกสาวลั่นรู้ว่าใครทำ แต่พูดไม่ได้ ฉะยับ “ดีเอสไอ” ไม่เป็นมืออาชีพ มีแต่คนเคียดแค้น เกลียดรัฐบาล

ิby Goosehhardcore on 2010-08-31- 08.54 am
ที่มาข้อมูล: มติชนออนไลน์, วันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553 เวลา 18:20:28 น.
ที่มาภาพ: ไทยอีนิวส์

จาก อัลบั้มภาพThai E news

จาก อัลบั้มภาพThai E news
คนเสื้อแดงนัดรวมตัวกันที่แยกศาลาแดงเมื่อค่ำวันก่อนเพื่อรำลึกเหตุการณ์และสถานที่เสธ.แดงถูกสังหาร และจัดแสดงละครสั้นถึงนาทีการสังหาร โดยมีนายนที สรวารี แสดงเป็นเสธ.แดง

"น้องเดียร์"โวยดีเอสไอไม่เป็นมืออาชีพดองคดีฆ่า"เสธ.แดง"รู้ดีฝีมือใคร ลั่นเกลียด รบ.ชุดนี้ดีแต่ป้ายสี ปชช.

คกก.ติดตามสถานการณ์การเมืองวุฒิฯ เรียก “ขัตติยา” แจง “เสธแดง” ถูกยิง ลูกสาวลั่นรู้ว่าใครทำ แต่พูดไม่ได้ ฉะยับ “ดีเอสไอ” ไม่เป็นมืออาชีพ มีแต่คนเคียดแค้น เกลียดรัฐบาล

ที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม มีการประชุมคณะกรรมการติดตามสถานการณ์บ้านเมือง วุฒิสภา มีนายจิตติพจน์ วิริยะโรจน์ ส.ว.ศรีสะเกษ เป็นประธาน เชิญน.ส.ขัตติยา สวัสดิผล บุตรสาว พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธแดงชี้แจง กรณีพล.ต.ขัตติยะ ถูกยิงเสียชิวิต ในสถานที่ชุมนุมของกลุ่มสื้อแดง โดย นายสิงห์ชัย ทุ่งทอง ส.ว.อุทัยธานี คณะกรรมการฯ ระบุพล.ต.ขัตติยะ ที่ผ่านมาจะเป็นอย่างไร อยู่ข้างไหน ถือเป็นอีกเรื่อง แต่การถูกฆาตรกรรมใจกลางเมือง เป็นเรื่องที่อุจอาจ รับไม่ได้ ขณะที่ พล.ต.ท.ยุทธนา ไทยภักดี ส.ว.สรรหา ถามว่า หลังพล.ต.ขัตติยะ เสียชีวิต ทางครอบครัวได้รับการเยียวยาอะไรบ้าง นอกจากนี้ส.ว.หลายคนยังสอบถามน.ส.ขัตติยาถึงผู้บงการสังหาร และกรณีที่มีภาพ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีต นายกฯ ถ่ายรูปคู่กับพล.ต.ขัตติยะที่ต่างประเทศ ทั้งสองมีความสัมพันธ์กันอย่างไร

น.ส.ขัตติยา ชี้แจงว่า กรณีพล.ต.ขัตติยะเสียชีวิต ทางครอบครัวได้รับเงินจากภาครัฐจำนวน 4 แสนบาท ตรงนี้ตนไม่ได้ซีเรียสอะไร แต่ตนมีปัญหาตรงที่ คดีของไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย โดยเฉพาะ กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ที่ดำเนินการเรื่องนี้ช้ามาก เสมือนทำงานแบบไม่เป็นมืออาชีพ จากที่ได้ถามความคืบหน้าคดีจากดีเอสไอ มีการหาสำนวนของพล.ต.ขัตติยะถึงครึ่งชั่วโมง แสดงถึงความไม่ใส่ใจ หนำซ้ำกรณีที่อัยการเข้ามาดูแลคดีอัยการยังอ่านสำนวนพร้อมตำรวจที่กำลังสอบปากคำตนในคราวเดียว

“ส่วนใครที่เป็นคนทำคุณพ่อ เดียร์ ไม่อยากพูด เดี๋ยวจะโดนหมิ่นประมาท แต่พอทราบอยู่ในใจว่าเป็นกลุ่มไหน เพราะคนที่ทำมีไม่มีกลุ่มที่ได้ผลประโยชน์ แต่กังวลว่า อัยการอาจไม่สั่งฟ้องคดีนี้ เพราะหลักฐานน้อยเกินไป เพราะถ้าพยานเห็นไม่ตรงกัน 2 คน เช่น วิถีกระสุน ที่ไม่รู้มาจากไหน เพราะจากการสอบพยาน 2 ปาก ก็บอกตรงกันอย่างนั้น และกรณีที่คุณพ่อหันหน้าไปทางไหน ขณะที่ถูกยิง บ้างก็ว่า หันหน้าไปทางรถไฟฟ้า บ้างก็ว่า หันหน้าไปทางพระบรมรูปรัชการที่ 6 แต่คดีนี้มีอายุความ 20 ปี ซึ่งเดียร์จะพยายามเรื่อยๆ”น.ส.ขัตติยากล่าว

น.ส.ขัตติยากล่าวว่า ส่วนคณะกรรมการปรองดอง ที่รัฐบาลตั้งขึ้นเพื่อเยียวยา ตน ไม่เห็นด้วยตั้งแต่แรก เพราะตั้งโดยรัฐบาล และมั่นใจด้วยว่า คนที่ตายมีมากกว่า 90 ศพ อยากให้รัฐบาลรับผิดชอบคนตาย แสดงความจริงใจ หาคนมาลงโทษให้ได้ ไม่ใช่เอะอะก็จะหาแต่ผู้ก่อการร้าย ขณะนี้ทั้งตน และผู้สูญเสียทุกคน มีความเคียดแค้น ความรู้สึกตอนนี้ตนเกลียดรัฐบาลชุดนี้มาก เพราะหลอกประชาชนไปวันๆ โดยเฉพาะการป้ายสี อย่างกรณีนายสุรชัย เทวรัตน์ หรือ นายหรั่ง ที่ถูกจับ แล้วดีเอสไอ ออกมาแถลงข่าวว่า เป็นบุคคลใกล้ชิดกับพล.ต.ขัตติยะ เป็นบุคคลที่ยิงเอ็ม 79 แต่สุดท้ายก็มาปฏิเสธภายหลัง ไม่ทราบว่าดีเอสไอเอาอะไรมาตัดสิน ที่ดีเอสไอแถลงล้วนเป็นเท็จทั้งสิ้น ส่วนภาพถ่ายคู่กับ พ.ต.ท.ทักษิณ และการเดินทางไปต่างประเทศของพล.ต.ขัตติยะ ตนไม่ทราบ เพราะพล.ต.ขัตติยะเดินทางตลอดเวลา และตนไม่เคยสอบถามเกี่ยวกับเรื่องนี้

“เรื่องการคุกคาม ที่ผ่านมาเดียร์ยังไม่เคยโดน แต่ก่อนหน้านี้ที่ไม่เป็นข่าว มีทหารจากม.พัน 4 ไปค้นบ้านช่วงเดือน เม.ย.และ พ.ค. เพื่อค้นหาคุณพ่อ มีการเหยียบหลังคนในบ้าน ใช้เท้าถีบประตูห้องนอนเดียร์เพื่อหาว่าพล.ต.ขัตติยะอยู่หรือไม่ ส่วนระเบิดที่พบในบ้าน ก็ล้วนแต่นำมาวางเองเพื่อสร้างเรื่องทั้งสิ้น นอกจากนี้ขอรบกวนไปยังวุฒิสภาสอบถามไปยัง ผู้รับผิดชอบ กรณีการรับบำเหน็จตกทอด บูตรมีสิทธิ์รับหรือไม่ เพราะคุณพ่อรับราชการมา 30 ปี ทำความดีให้กับประเทศ แต่ตั้งแต่โดนพักงานมาตั้งแต่เดือน ม.ค. ไม่ได้รับเงินเดือน ถ้าไม่ได้ จะได้ไม่ต้องรอ เรื่องนี้เพื่อนพ่อที่เป็นตท. 11 บอกว่า สามารถขอบำเหน็จตกทอดได้ แต่ผบ.ทบ.ต้องไม่ใช่อยู่ในยุค พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา”น.ส.ขัตติยากล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมหารือเห็นตรงกันว่า กรณีบำเหน็จตกทอดของพล.ต.ขัตติยะ โดนเพียงถูกพักราชการไม่ใช่การไล่ออก สามารถรับบำเหน็จตกทอดได้ โดยที่ประชุมจะทำหนังสือสอบถามไปยังปลัดกระทรวงกลาโหมต่อไป นอกจากนี้ที่ประชุม ยังมีมติให้น.ส.ขัตติยาเป็นตัวกลางติดต่อประสาน ไปยังญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมทั้งหมด ว่า ขณะนี้มีความเป็นอยู่อย่างไร ถูกคุกคามจากภาครัฐหรือไม่ โดยจะมีการตั้งเวทีพูดคุยแลกเปลี่ยนกับญาติผู้เสียชีวิตตามพื้นที่ต่างๆต่อไป

หมอดูทำนายดวงเมือง ตุลาฯอาจเกิดปฏิวัติ

by Goosehhardcore on 2010-08-30 - 04.30 pm

จาก อัลบั้ม ข่าวสดออนไลน์

หมอดูทำนายดวงเมือง ตุลาฯอาจเกิดปฏิวัติ
ที่มาข้อมูล : ข่าวสดออนไลน์

เมื่อวันที่ 26 ส.ค. โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ นายภิญโญ พงศ์เจริญ นายกสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ และประธานสภาโหราจารย์ ให้สัมภาษณ์ก่อนการเปิดงานสัมมนาโหราศาสตร์ ระหว่างประเทศ ถึงดวงเมืองของประเทศไทย ว่า ขณะนี้ ดวงเมืองมีพระเคราะห์สำคัญ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดาวอังคารกับดาวเสาร์ ซึ่งในส่วนของดาวอังคาร เป็นดาวประจำราศีของดวงเมือง และดาวเสาร์ เป็นเจ้าเรือนกรรมมะ หมายถึงการบริหารราชการแผ่นดิน ตอนนี้อยู่ในภพอริ หมายถึงมีอุปสรรค ปัญหาซึ่งจะต้องต่อสู้ แก้ไข กับปัญหานานาชนิด เพราะฉะนั้น ใครที่จะมาเป็นรัฐบาล ก็ต้องอดทด ต่อสู้แก้ไขกับอุปสรรค


นายภิญโญ กล่าวว่า ช่วงดาวเสาร์ โคจรอยู่ตรงนี้ จะยาวนานไปถึงปี 2555 ดวงเมืองก็ยังจะต้องมีปัญหาวุ่นวายไปอีก 2 ปี แต่ยังมีดาวที่ให้คุณ คือดาวพฤหัส ที่จะโคจรเข้าสู่ราศีเมษ ในเดือน พ.ค.ปีหน้า ก็จะไปทับลักขณากำเนิดของดวงเมือง และไปทับอาทิตย์ เหตุการณ์ทางการเมืองก็น่าจะดีขึ้น เพราะในตำราดาวพฤหัสกับอาทิตย์ เป็นคู่มิตรกัน หมายถึงเรื่องของชื่อเสียง ผลประโยชน์ แต่ก็ยังมีดาวที่ให้โทษคงอยู่ด้วย โดยมองว่า ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองและความแตกแยกทางสังคมยังคงมีอยู่ต่อไปจนถึงปี 2555


เพราะฉะนั้น ก็ต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดความรุนแรงจนถึงขั้นนองเลือด เพราะดาวนพเคราะห์กำลังบีบอยู่ ตอนนี้จะเห็นว่าดาวเสาร์อยู่ตรงราศีกันต์กุมกับดาวอาคาร ราหูอยู่ตรงราศีคนยิงธนู อีกไม่นานราหูก็จะเคลื่อนไปราศีพฤศจิก ในเดือนพ.ค.ปีหน้า ก็จะทำมุมปลายหอก ไปสู่ดวงเมือง เพราะฉะนั้นแม้ว่าดาวพฤหัสจะให้คุณ แต่ดาวให้โทษก็ยังคงให้โทษอยู่เช่นกัน ดังนั้น ต้องประคับประคองให้ดี


ผู้สื่อข่าวถามว่า ถามถึงดวงผู้นำประเทศของนายกรัฐมนตรี หรือไม่ นายภิญโญ กล่าวว่า ดวงของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ลักขณาอยู่ราศีกรกฎ มีอาทิตย์คุมอยู่ ท่านผ่านวิกฤติมาตอนดาวอังคาร อยู่ราศีกรกฎ ซึ่งก็ผ่านมาแล้ว ขณะนี้ระมัดระวังอย่างเดียว คือ เรื่องความปลอดภัย ส่วนนายกรัฐมนตรีจะอยู่จนครบวาระหรือเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองหรือไม่ นายภิญโญ ทำนายว่า รัฐบาลคงจะอยู่ได้อีกสักพัก เพราะหากดวงดาวเคลื่อน เหตุการณ์ต่าง ๆ ก็จะเคลื่อนตามไปด้วย

ด้านนายภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล ผู้อำนวยการสถาบันศาสตร์แห่งชาติ แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปีนี้เป็นปีขาล ธาตุทอง เป็นปีเสือดุ แต่ดุอย่างมีคุณธรรม เพราะฉะนั้น ใครทำอะไรที่ไม่ดี ก็มักจะถูกตอบสนองอย่างรวดเร็วในแง่ของดวงชะตาแต่ละบุคคล เดือนสิงหาคม ถือว่าเป็นเดือนวอก เป็นเดือนแห่งความวุ่นวาย จุกจิก ข่าวลือ ออกมาวุ่นวายหนัก


พอเดือนกันยายน ก็จะเป็นเรื่องของผลประโยชน์ การรับปากอะไรต่าง ๆ แล้วไม่ได้ทำตามที่ตกลงไว้ ก็จะมาก่อความปั่นป่วน ทั้งในส่วนของข้าราชการ หรือนักธุรกิจ ที่ไม่สามารถ ทำตามได้ ก็จะโยงไปถึงเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นเดือน 9 ซึ่งเป็นดวงที่วุ่นวายกับพวกผู้ชายโดยเฉพาะ สังเกตดูจะมีปัญหาทั้งเดือนตุลาคม และพฤษภาคม ซึ่งถือเป็นเดือน 3 เดือน 6 เดือน 9 ของคนจีน ประกอบกับเดือนตุลาคม คนจีนเชื่อว่า เป็นดวงจอ เป็นธาตุไฟ

สำหรับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นปีมะโรง ธาตุไม้ พอธาตุไม้ แต่เดือนจอชง กับมะโรง และเป็นธาตุไฟที่เผาธาตุไม้ และช่วงอายุของนายกรัฐมนตรี ก็อยู่ในช่วงเคราะห์ด้วย ควบคู่ไปกับการเจอเดือนที่ไม่ดี ก็จะประสบปัญหาหลายด้าน เพราะฉะนั้น เดือนต.ค.จะเป็นเดือนที่หนักที่สุดของตัวนายกรัฐมนตรี ที่ดูแลรัฐบาลอยู่ พอแกนนำรัฐบาลมีปัญหาก็จะนำไปสู่คนอื่น ๆ


เพราะฉะนั้นถ้าจะทำอะไรอยู่ก็ต้องระวัง ถึงขั้นอาจจะมีเรื่องของอาวุธ ระเบิด ปืนไฟ มาสร้างปัญหากับบ้านเมือง โยงไปถึงขั้นบุคคลในเครื่องแบบ ทั้งทหาร ตำรวจ จะต้องออกมาดูแลบ้านเมือง และหากหนักๆ ก็อาจถึงขั้นต้องเสียเลือดเสียเนื้อ และสุดท้ายอาจจะมีการรัฐประหารเกิดขึ้นในปลายปีนี้ ก็อยากให้ระมัดระวังในเรื่องนี้

วันอาทิตย์, สิงหาคม 29, 2553

เขมรลอออง

by goosehhardcore on 2010-08-30 - 09.35 am



เขมรลอออง
ข้อมูลโดย : ทวี สุรฤทธิกุล
ที่มาข้อมูล : posttoday.com

ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เรียกว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้ง “ประวัติศาสตร์” เลยทีเดียว หลังการลาออกของที่ปรึกษาใหญ่คนดัง....

ชื่อบทความวันนี้ท่านจะอ่านว่าอย่างไร ระหว่าง “เข-มอน-ลอ-ออง” “เข-มะ-รน-ออ-อง” “ขะ-เหมน-ลอ-ออง” หรือ “ขะ-เหมน-ละ-ออ-อง”

ที่ถูกต้องคือคำสุดท้าย เพราะเป็นชื่อเพลงไทยเดิมเพลงหนึ่ง บางคนอาจจะเขียน ค-ควาย-การันต์ ต่อท้าย ง-งู แต่ในตำราประวัติศาสตร์ที่ผู้เขียนเคยเรียนมา ท่านเขียนห้วนๆ อย่างนี้ ซึ่งก็น่าจะถูกต้องมากกว่า เพราะเขมรไม่ใช่แขก แม้จะรับวัฒนธรรมแขก (ฮินดู) มาก็ตามที อย่างเจ้าเขมรที่เคยมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของพระมหากษัตริย์ไทยในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีและพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ก็มีปรากฏชื่ออยู่ เช่น นักองตน นักองนน นักองเอง และนักองด้วง เป็นต้น

บทความวันนี้เขียนขึ้นด้วยความฝันหวานว่า ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาหรือที่คนไทยคุ้นปากชอบเรียกว่าเขมรนี้ น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เรียกว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้ง “ประวัติศาสตร์” เลยทีเดียว หลังการลาออกของที่ปรึกษาใหญ่คนดังคนนั้น แล้วกลับมามีสัมพันธ์ทางการทูตกันเป็นปกติ

ผู้เขียนมีสมมติฐานว่า ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนหนึ่งเกิดจากการแสดงออกระหว่างกันในแบบที่เรียกว่า “ยกตนข่มท่าน” หรือ “ดูหมิ่นเหยียดหยาม” และ “กดขี่” อีกฝ่ายหนึ่ง อย่างที่นักรัฐศาสตร์เรียกว่า “การแสดงฐานะอำนาจที่เหนือกว่า” เพื่อที่จะครอบครองหรือกำราบอีกประเทศหนึ่งให้เชื่อฟังหรือยอมตาม โดยเฉพาะในยุคที่มีการ “แผ่อำนาจ” หรือ “ล่าเมืองขึ้น” ในยุคโบราณ

ดินแดนที่ฝรั่งเรียกว่า “อินโดจีน” (เพราะตั้งอยู่ระหว่างอินเดียกับจีน) อันเป็นที่ตั้งของประเทศไทยและเพื่อนบ้าน ในอดีตจะมีชาติใหญ่ๆ อยู่เพียง 2 ชาติที่เป็น “ตัวเอก” ขับเคี่ยวต่อสู้กัน คือไทยกับพม่า ด้วยเป็นสงคราม “แผ่พระบรมเดชานุภาพ” ระหว่างกษัตริย์ของชาติทั้งสองนี้ ส่วนชาติอื่นๆ จะอยู่ในฐานะ “ตัวประกอบ” บ้างก็เป็นพื้นที่กันชนแบบมอญ ลาว และเขมร หรืออย่างมลายูก็อยู่ในที่ห่างไกล โดยจะมีความสัมพันธ์กันอย่างหลวมๆ และส่วนใหญ่จะต่างคนต่างอยู่ เว้นแต่ว่าบางยุคก็มีการไป “ผนึก” เข้ามา ที่อาจจะเป็นความต้องการของชาติเล็กที่มา “สวามิภักดิ์” เพื่อความปลอดภัย และบางยุคชาติใหญ่ก็อาจจะมีการยกทัพไป “สั่งสอน” บ้าง เพื่อไม่ให้

เอาใจออกห่างหรือเป็น “งูเห่า” ที่จะมาลอบกัดได้ภายหลัง

สมัยนั้นความเป็น “ประเทศ” หรือรูปแบบการปกครองที่เรียกว่า “รัฐ” ยังไม่เกิดขึ้น จนกระทั่งชาติตะวันตกคือฝรั่งเศสและอังกฤษได้เข้ามายึดครองประเทศแถบนี้ ประเทศไทยอาจจะอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบอยู่บ้าง เพราะยึดครองพื้นที่ของชาติอื่นๆ ไว้ได้เป็นจำนวนมาก จึงพอจะแบ่งให้ฝรั่งทั้งสองชาติแลกกับอธิปไตยในดินแดนที่เหลืออยู่ อย่างที่เป็น “ประเทศไทย” ในทุกวันนี้

ปัญหาเรื่องเขตแดนที่มีการ “ปักปัน” กันมาแต่ครั้งนั้น ในทิศตะวันตกและทิศใต้ดูจะมีปัญหาไม่มาก เพราะอังกฤษมี “มาตรฐาน” ในเรื่องนี้สูงกว่าฝรั่งเศส ที่ได้สร้างปัญหาให้ไทยกับประเทศเพื่อนบ้านไว้มาก ไม่ว่าจะเป็นลาวหรือเขมร แต่เรื่องเขตแดนนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้เขียนต้องการจะโต้แย้ง เพราะเมื่อมันเป็น “เรื่อง” ของอดีตก็ต้องปล่อยให้ “เรื่อง” ในอนาคตเข้ามาเยียวยา

ดังนั้น ถ้าเราต้องการสร้าง “อนาคตที่ดี” ก็ต้องเริ่ม “วันนี้ที่ดี” เพื่อให้วันนี้เป็น “อดีตที่ดี” สำหรับวันต่อๆ ไปที่จะเป็นอนาคตที่ดีนั้น

ผู้เขียนมาลองสมมติว่า ถ้าไทยกับประเทศเพื่อนบ้านเริ่มที่จะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน โดยลืมปัญหาเขตแดนระหว่างกันไว้ก่อน อนาคตของประชาชนในประเทศแถบนี้ก็น่าจะดีขึ้นตามไปด้วย ทั้งนี้เป็นไปตามปัจจัยของความเป็น “อันหนึ่งอันเดียวกัน” ที่กำลังเป็นกระแสหลักของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในขณะนี้

หลายคนเชื่อว่าโลกกำลังเปลี่ยนไปสู่ความเป็น “อันหนึ่งอันเดียวกัน” หรือ Unity ที่ต่างจากในอดีตที่ประเทศใหญ่ชอบบังคับให้ประเทศ บริวาร “เป็นแบบเดียวกัน” หรือ Uniformity เพราะโดยหลัก การของ Unity ทุกประเทศแม้จะแตกต่างกันแต่ก็สามารถที่จะอยู่ร่วมกันได้ อย่างที่ได้เกิดขึ้นแล้วในยุโรป ที่มีการรวมกันเป็น “สหภาพยุโรป” (Euro Union) นั้น หรือที่ในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็พยายามที่จะเป็น “อันหนึ่งอันเดียวกัน” ในรูปแบบของ “ประชาคมอาเซียน” ที่ประกาศว่าจะเริ่มต้นใน ค.ศ. 2015 นั้น

ความจริงแล้ว ประเทศในยุโรปก็มีปัญหาของการรบพุ่งแย่งชิงดินแดนกันมาอย่างรุนแรง จนเกิด “มหาสงคราม” ขึ้นหลายครั้ง รวมทั้งสงครามโลกทั้งสองครั้งนั้นด้วย แต่ผู้นำในยุคหลังๆ พยายามที่จะ “ลืมประวัติ ศาสตร์” เหล่านั้นเสีย แน่นอนว่าในจิตใจของประชาชนในแต่ละชาติก็ยังคงมี “บาดแผล” ที่ไม่อาจจะลบเลือนได้จากความทรงจำ แต่ทุกคนก็พยายามที่จะ “กักเก็บ” ไว้ในที่ที่สงบ และ “เพาะเยื่อสมานฉันท์” ให้เกิดขึ้นใหม่อย่างแข็งแรง

ตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า พลังของความเป็นสหภาพยุโรปสามารถแก้ไขปัญหาที่ร้ายแรงได้ก็คือ วิกฤตการเงินที่เกิดขึ้นในกรีซ และสเปนเมื่อต้นปีนี้ ที่สามารถ “ระงับ” ไปได้อย่างทันท่วงที ก็ด้วยการระดมความช่วยเหลือจากชาติยุโรปหลายๆ ประเทศนั่นเอง

ในดินแดนแถบนี้ที่ในอดีตมีชื่อว่า “สุวรรณภูมิ” เพราะเป็นอู่ข้าวอู่น้ำที่สำคัญ และก็มีศักยภาพพอที่จะเป็น “ซูเปอร์ มาร์เก็ตของโลก” ได้ในอนาคต เพราะเพียงตลาดข้าวในปัจจุบัน ไทยกับเวียดนามก็ครองฐานะเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ รวมทั้งยางพาราและปาล์มน้ำมัน ที่มีมาเลเซียและอินโดนีเซีย เป็นผู้ครองตลาด ไม่รวมพืชผลอีกหลายชนิดที่ยังสามารถพัฒนาได้อีกมาก รวมทั้งแหล่งประมง และพลังงานในทะเล ที่จะทำให้ดินแดนแถบนี้เจริญรุ่งเรืองไปได้อีกนาน

ในอดีตกองเชียร์ไทยกับพม่ามักจะทะเลาะกันเรื่องฟุตบอล กับลาวพี่ไทยก็ยังเรียกว่า “อ้ายน้อง” กับกัมพูชาก็ยังมี “ปมเดือด” อยู่อีกมาก แต่ถ้าไปดูความสัมพันธ์ที่เป็น “ภาพจริง” ในการเชื่อมโยงของประชาชนระหว่างประเทศเหล่านี้ ที่ดูได้จากการค้าขายระหว่างกัน หรืองานบุญประเพณีต่างๆ โดยเฉพาะตามแนวชายแดนนั้น ยังมีภาพที่ “น่ารัก” ให้เห็นอยู่โดยทั่วไป

ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคย กล่าวถึงประเทศเพื่อนบ้านแถบนี้ว่า เหมือนกับคนในครอบครัวเดียวกัน แม้จะทะเลาะกันบ้างก็ตัดกันไม่ขาด ผู้นำและศิลปินไทยในอดีตจึงได้แสดงความสัมพันธ์อันแนบแน่นไว้ใน “ดนตรี” อย่างที่รวมแนวเพลงของทุกเชื้อชาติในดินแดนแถบนี้รำลึกไว้ในเพลงไทยเดิม

เหมือนจะบอกว่า ทุกคนในดินแดนแถบนี้ “ร้องเพลงเดียวกัน” มานานแล้ว

หอเจี๊ยะ1.7แสนล.ปชป.-ภูมิใจไทย ชิง 'รถไฟมังกร'



หอเจี๊ยะ1.7แสนล.ปชป.-ภูมิใจไทย ชิง 'รถไฟมังกร'
ข้อมูลโดย posttoday.com

สลับเหลี่ยมเฉือนคม ปชป.-ภูมิใจไทย ชิงงบลงทุนระบบ 1.76 แสนล้านบาท
พรรคประชาธิปัตย์ สลับกันชิงเหลี่ยมเฉือนคมกันไปมาอย่างต่อเนื่องกับพรรคภูมิใจไทย ตั้งแต่เรื่องการประมูลขายข้าวในกระทรวงพาณิชย์ ข้ามมากระทรวงคมนาคม ที่ดองโครงการรถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน รวมถึงล่าสุดการชิงเป็นตัวนำงบลงทุนระบบ 1.76 แสนล้านบาท ที่ ครม.อนุมัติ

ขณะที่กระทรวงคมนาคมภายใต้พรรคภูมิใจไทย กำลังจะเดินหน้าแผนลงทุนระบบรางกับจีน ทางพรรคประชาธิปัตย์นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีได้ชิงเดินทางไปเยือนจีนตัดหน้า พร้อมนำมารายงานให้ ครม.ทราบว่า สาธารณรัฐประชาชนจีนได้ยื่นข้อเสนอที่จะเข้ามาช่วยสนับสนุนการก่อสร้างเส้นทางรถไฟเชื่อมระหว่างไทย-ลาว-จีน และอาจจะต่อเชื่อมผ่านจากทางตอนใต้ของไทย จากสุไหงโกลก ไปมาเลเซีย โดยก่อสร้างเป็นระบบสแตนดาร์ดเกต รางขนาด 1.435 เมตร ที่สำคัญชงต่อให้นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบขนส่งทางรางและระบบขนส่งมวลชน และตั้งนายโสภณซารัมย์ รมว.คมนาคม พรรคภูมิใจไทย เป็นที่ปรึกษา

ผลดังกล่าวทำให้นายโสภณ พรรคภูมิใจไทย ได้เร่งแผนงานลงทุนระบบรางเดิมให้เร็วขึ้น ยกคณะเดินทางด่วนไปจีน วันที่25-27 ส.ค.ที่ผ่านมา ดันแผนปรับปรุงระบบรางรถไฟ และการผลักดันโครงการรถไฟความเร็วสูง หรือไฮสปีดเทรน

เป็นที่น่าสังเกตว่า ทุกเรื่องที่เป็นเมกะโปรเจกต์ของกระทรวงคมนาคม ทางพรรคประชาธิปัตย์จะขอเข้ามามีส่วนร่วมหรือขอให้ศึกษาซ้ำไปซ้ำมา จนงานไม่เดินหน้า อาทิโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ที่มอบหมายให้นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่เป็นประธานกำหนดระยะเวลา 2 เดือนแล้วเสร็จ

นอกจากนี้ ขณะที่ผู้บริหารกระทรวงคมนาคมเดินทางไปจีนเพื่อร่วมหารือเรื่องการร่วมลงทุนระบบราง ทางสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจกระทรวงการคลัง ของพรรคประชาธิปัตย์ได้ยกทีมผู้บริหารและนักข่าวไปดูงานที่จีนเช่นกัน แต่ไปคนละแห่ง ซึ่งเรื่องนี้กระทรวงคมนาคมไปเพียง 3 วัน และกลับมาชิงแถลงข่าวที่สนามบินสุวรรณภูมิเลย

นายโสภณกล่าวหลังกลับจากสาธารณรัฐประชาชนจีนว่า ขณะนี้จีนสนใจที่จะเข้าร่วมลงทุนทำโครงการรถไฟความเร็วสูงในเส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคาย ขนาดราง1.435 เมตร ของการรถไฟแห่งประเทศไทย(ร.ฟ.ท.) เพื่อเชื่อมต่อการขนส่งระหว่างประเทศไทย-ลาว-จีน ซึ่งกระทรวงคมนาคมจะต้องเร่งจัดทำกรอบการดำเนินงานในโครงการนี้ทั้งหมดเพื่อเสนอให้ ครม.รับทราบ

จากนั้นจะต้องผ่านกระบวนการตามมาตรา 190 ตามรัฐธรรมนูญให้รัฐสภาพิจารณาและนำไปเจรจากับจีน พร้อมนำข้อสรุปต่างๆ มารายงานให้รัฐสภาทราบอีกครั้งก่อนที่จะเดินหน้าต่อไป คาดว่ากระบวนการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจะแล้วเสร็จในปี 2554 จากนั้นจะเริ่มก่อสร้างได้ภายในปี 2555

ในส่วนของการก่อสร้างรางรถไฟขนาด1 เมตรนั้น จะพัฒนาให้ความเร็วเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ ร.ฟ.ท. กำหนดไว้ประมาณ 80-120 กม./ชม. หรือเฉลี่ย 100 กม./ชม. จะต้องเพิ่มความเร็วเป็น 120 กม./ชม.

"ไทยเราเสียโอกาสมามากแล้ว เพราะขณะนี้จีน-ลาวได้สำรวจเส้นทางในลาว ซึ่งจะก่อสร้างเส้นทางรถไฟต่อเชื่อมระหว่างโมฮั่น-หลวงพระบาง-เวียงจันทน์ ระยะทาง420 กม. คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2554 ระยะเวลาก่อสร้าง 5 ปี ซึ่งไทยจะต้องเร่งการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงให้เสร็จทันใกล้เคียงกับลาว เพื่อเชื่อมโครงข่ายรถไฟในภูมิภาค ส่งเสริมด้านการขนส่งสินค้าและคน เบื้องต้นคาดว่าจะจัดทำกรอบความร่วมมือและเจรจาระหว่างไทย-จีน รายงานต่อที่ประชุม ครม.ภายในสัปดาห์หน้านี้" นายโสภณ กล่าว

สาเหตุที่ต้องผลักดันไฮสปีดเทรนเพราะผลตอบแทนเชิงพาณิชย์สูงถึง 20%ซึ่ง ร.ฟ.ท.ต้องการทำให้เกิดผลประโยชน์และรายได้มาชดเชยภาระหนี้ ส่วนการร่วมลงทุนกับจีนเป็นเรื่องที่กระทรวงการคลังต้องรับไปพิจารณา

นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวเสริมว่า จีนพิจารณาความเป็นไปได้ของเส้นทางรถไฟหลังจากคณะผู้นำจีน นายเจิ้งหมิงหลี่ อธิบดีจากกระทรวงรถไฟ ได้นำคณะเข้ามาดูสภาพพื้นที่ในไทยระหว่างกรุงเทพฯ-หนองคายพบว่า เส้นทางในไทยจะดำเนินการก่อสร้างได้ง่ายกว่าลาว เนื่องจากอยู่ในเขตภูเขาไม่เกิน 30% ดังนั้น คาดว่าระยะทางจากเดิมที่สำรวจไว้จากกรุงเทพฯ-หนองคาย ระยะทาง 615 กม. จะสั้นลงเหลือเพียง 580 กม.เท่านั้น และมีความเร็วสูง 200 กม./ชม. มีสถานีที่จอดทั้งสิ้น 16 สถานี และไทยจะทำรางเดี่ยว คาดว่าจะใช้เงินน้อยกว่าลาวที่ใช้รางคู่ ใช้เงินลงทุนกว่า 8 แสนล้านบาทดังนั้นไทยจะมีค่าก่อสร้างถูกกว่า 30-40%

"เราจะใช้แนวเส้นทางเดิมที่มีอยู่ทั้งหมดให้มากที่สุด แต่สิ่งที่เป็นห่วงคือทางโค้งจะต้องมีรัศมีกว้าง 4,500 ม. โดยจีน-ลาวไทย จะก่อสร้างทางจากคุนหมิง-เวียงจันทน์-หนองคาย-กรุงเทพฯ ระยะทางรวมกว่า 1,000 กม. ซึ่งหากแล้วเสร็จจะช่วยให้สามประเทศสามารถขนส่งสินค้าไปสู่ยุโรปได้สะดวก และมีต้นทุนค่าขนส่งต่ำลงมากกว่าปัจจุบัน" นายสุพจน์ กล่าว

นายสุพจน์ กล่าวว่า การดำเนินการครั้งนี้จะทำให้เกิดภาพความชัดเจนในการลงทุนว่า ในอนาคตจะมีการก่อสร้างท่าเรือปากบารา ขยายท่าเรือสงขลา 2 ฯลฯ หรือไม่ เพราะโครงสร้างรถไฟจะเชื่อมระบบโครงข่ายคมนาคมภายในประเทศ ทั้งการวางแผนแม่บทสร้างสถานีรับ-ส่งสินค้าในแต่ละภูมิภาคให้เป็นเรื่องเดียวกันทั้งหมดด้วย

ความคิดเห็นบางประการ
คุณ spicy_gang: แผนปรองดองแผ่วไปแล้ว ตลาดหุ้นขึ้นช่วยชีวิตรัฐบาลนักการเมืองแล้วไม่ต้องทำอะไรแล้ว เศรษฐกิจพาไปเองตามกลไกตลาด(ตามบุญตามกรรม) นักการเมืองก็ตีข่าวว่าได้ทำให้ เศรษฐกิจดีขึ้นแล้วจะได้หันไปกอบโกย แผนปรองดองลืมไปแล้วไม่ต้องปรองดองแล้วเดี๋ยวก็ ลืมๆกันไปเกิดปัญหาค่อยงัดเอามาว่ากันใหม่ ตอนนี้โอกาสทองมาแล้วเงินตั้ง 1.7 ล้านรีบ คว้าไว้ก่อน สิบเปอร์เซ็นยี่สิบเปอร์เซ็นต์ก็ได้กันเป็นแสนล้านแล้วนักการเมืองไทยกำลังจะ รวยแล้วน้ำขึ้นให้รีบตักโบราณว่าไว้ อ้ออย่าลืมเสียภาษีด้วยนะแล้วอย่าลืมแจ้งบัญชีทรัพย์สิน ด้วย ส่วนประชาชนตาดำๆที่รอคอยความรวยรอไปก่อนนะเพราะตลาดหุ้นขึ้นแล้วได้แต่ฝัน ตัวเลขตามไปแหละรวยแค่คิดก็พอแต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวหาเสียงคราวหน้านักการเมืองอย่างนี้ แหละจะไปโปรยคำหวานๆอีกเวลาพูดเหมือนรู้ไปหมดพวกเรารู้ปัญหาท่านดีที่สุดว่าท่านน่ะจน ถ้าอยากรวยก็เลือพวกเราสิ คนอื่นไม่รู้ปัญหาท่านหรอก รอก่อน รอก่อน !!!!! นักการเมืองไทยกำลังทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายกำลังใช้สิทธิเสรีภาพตามระบอบ ประชาธิปไตยกำลังทำหน้าที่กอบโกยเงินทองเป็นแสนล้าน งานนี้หนักมาก ????? นับว่า เป็นผู้ทรงเกียรติน่ายกย่องหลายๆเด้อ 29 ส.ค. 2553 ,12:33 น.

เอ้าทึ้งกันเข้าไป นักโกงเมือง นักการเมืองแย่งกันกอบโกย ไหนหละที่บอกว่าจะช่วยแก้ ปัญหาความยากจน จะพัฒนาโน่นนี่นั่น สุดท้ายก็แย่งผลประโยชน์กัน ?????

คุณ uth380: สองมือล้วงกระเป๋า สองเท้าก้าวเข้ามา ; รัฐบาลทั้งพรรคปชป.และพรรคภท. บริหารงานในราชการแผ่นดินเหมือนเล่นรถมอเตอร์ไซด์ใต่ถัง แต่แทนที่จะเป็น มอเตอร์ไซด์เราก็เอารถไฟมาแทนและให้วิ่งวนอยู่ในถังไม่ต้องออกไปใหน หมดรอบก็ให้ คนดูแล้วลงไปแล้วรับคนดูชุดใหม่ขึ้นมาดู มันก็เหมือนรัฐบาลชุดนี้ทั้งคณะที่เปลี่ยนผู้ แสดงไปเรื่อยหาความแน่นอนไม่ได้ วันนี้ออกมานั่งแถลงข่าวว่าจะทำนั่นทำนี่แต่พอหา เงินไม่ได้ก็เงียบหายไป พอหายไปสักพักก็ออกมาบอกอีกว่าต้อง*..เงินมาถึงจะทำได้ หรือก็บอกว่าต้องเอารถไฟระบบนั้นระบบนี้ถึงจะมีผู้ร่วมทุน ทำงานซ้ำซากวนเวียน อยู่ในถังจนคนดูเริ่มเอียน แต่จริงๆแล้วก็คือเรื่องผลประโยขน์เท่านั้น 28 ส.ค. 2553 ,11:28 น.

พรรคการเมือง (มือ) ใหม่ ปมผู้นำ-นโยบายไม่ชัด....ไม่ได้เกิด

ิby Goosehhardcore on 2010-08-30 - 08.47 am

จาก อัลบั้มโพสต์ทูเดย์

พรรคการเมือง (มือ) ใหม่ ปมผู้นำ-นโยบายไม่ชัด....ไม่ได้เกิด
ข้อมูลโดย...ทีมข่าวการเมือง posttoday.com
30 สิงหาคม 2553 เวลา 06:59 น.

ผ่านไปแล้วสำหรับการเลือกตั้ง สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (สก.) และสมาชิกสภาเขต (สข.) เมื่อวันที่ 29 ส.ค. หลายฝ่ายต่างจับตาไปที่พรรคการเมืองใหม่ หรือกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เดิม ว่าจะสามารถปักธงได้หรือไม่ แต่ถือว่าน่าผิดหวัง เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคการเมืองใหม่กลับหลุดเป้า

ทั้งที่ก่อนหน้านี้ “สมศักดิ์ โกศัยสุข” หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ เคยระบุแบบแบ่งรับแบ่งสู้ว่า หากคนออกมาใช้สิทธิกันมากๆ ทางพรรคหวังว่าจะได้ สก. อย่างน้อย 10 ที่นั่ง หวังในเขตพื้นที่ กทม. ชั้นใน เช่น พระนคร ดุสิต สัมพันธวงศ์ ป้อมปราบศัตรูพ่าย ราชเทวี บางรัก ฯลฯ

ผลการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นส่งผลให้พรรคการเมืองใหม่ต้องทบทวนการทำงานการเมืองอย่างจริงจัง ว่าจะมีการปรับกลยุทธ์อย่างไร ซึ่งคงไม่ง่ายนัก โดยเฉพาะปัญหาพื้นที่ทับซ้อนกับพรรคประชาธิปัตย์ จนพรรคการเมืองใหม่ไม่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นทางเลือกใหม่ได้

โดยความทับซ้อนตรงนี้ไม่ใช่การทับซ้อนเชิงนโยบาย แต่เป็นการทับซ้อนเชิงสัญลักษณ์ ที่พรรคประชาธิปัตย์และพรรคการเมืองใหม่ต่างมีคู่แข่งขั้วเดียวกัน คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรแต่เมื่อต้องมีการเลือกตั้งเรื่องแบบนี้ก็ไม่มีใครสามารถยอมให้กันได้

โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ หากยอม“ซูเอี๋ย” จนถูกแบ่งเสียงไปได้ ก็คงเสียหน้าอย่างหนักในฐานะรัฐบาลที่กุมอำนาจรัฐอย่างเบ็ดเสร็จ เพราะทั้งรัฐบาลและผู้ว่าฯ กทม. ก็เป็นของประชาธิปัตย์ เห็นได้ชัดว่าพรรคการเมืองใหม่เสียเปรียบอย่างมากหากต้องลงแข่งขันในสถานการณ์ที่ถือว่าโดนแซนด์วิช และเป็นกระดูกคนละเบอร์

“ตระกูล มีชัย” อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เห็นว่า เหตุที่พรรคการเมืองใหม่ไม่สามารถแจ้งเกิดได้ เนื่องจาก 1.การเป็นพรรคการเมืองน้องใหม่ที่ไม่มีฐานเสียงเป็นของตัวเอง อีกทั้งผู้สมัครส่วนใหญ่ยังโนเนม ทำให้ไม่สามารถเข้าป้ายได้ ซึ่งการเลือกตั้งท้องถิ่นแบบนี้ต้องอาศัยฐานเสียงขาประจำล้วนๆ

“การเลือกตั้งในสนามเล็กไม่มีแรงดึงดูดหรือกระแสให้คน กทม.ออกมาใช้สิทธิอย่างครึกโครมเหมือนการเลือกตั้งทั่วไปดังนั้นคนที่มาใช้สิทธิจะเป็นฐานเสียงประจำของแต่ละพรรคการเมืองเท่านั้น ซึ่งมีอยู่ไม่มาก สาเหตุนี้ทำให้พรรคการเมืองน้องใหม่เกิดยากและไม่สามารถเป็นพรรคทางเลือกที่สามได้”

ตระกูล บอกว่า สำหรับพรรคการเมืองใหม่ ก็เห็นจุดอ่อนเรื่องนี้เช่นกัน จึงเป็นที่มาของการออกแคมเปญรณรงค์รอบสุดท้ายด้วยสโลแกน “ออกมา ออกมา ออกมา หยุด! การเมืองเก่าขอโอกาสเราได้เริ่ม” แต่ก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคประชาธิปัตย์และเพื่อไทยถือว่าเป็นสินค้าขึ้นห้างไปแล้ว ต่างกับพรรคการเมืองใหม่ที่เปรียบเหมือนสินค้าแบกะดินที่ยังไม่สามารถเปิดตลาดแย่งลูกค้าจาก 2 พรรคการเมืองใหญ่ได้

จุดอ่อนข้อที่ 2 คือความไม่ชัดเจนเชิงนโยบาย โดยเฉพาะสโลแกน “การเมืองใหม่ เปลี่ยนกรุงเทพฯ ใหม่” และ “กรุงเทพฯ ทราบแล้วเปลี่ยน” หมายความว่าอย่างไร เปลี่ยนอะไร เปลี่ยนแบบไหน ซึ่งถือว่าเป็นการประกาศนโยบายที่ลอยมาก เมื่อเทียบกับพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทย ที่เลือกประกาศการต่อยอดการทำงานของพรรคตนเองอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งเรื่องการสานต่อนโยบายในฐานะรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ และการทำงานตรวจสอบของพรรคเพื่อไทยในฐานะฝ่ายค้าน

3.ข้อจำกัดเรื่องทุนและผู้นำพรรค ที่การเลือกตั้งทุกระดับต้องใช้ทุนหรือกระสุนดินดำด้วยกันทั้งสิ้น แต่พรรคการเมืองใหม่ยังไม่มี ผิดกลับพรรคการเมืองใหญ่ทั้งสองพรรคที่มีกลุ่มทุนใหญ่เคียงข้างอยู่แล้ว รวมถึงปัจจัยผู้นำพรรค ที่ “สมศักดิ์” ไม่โดดเด่นเท่า “สนธิ ลิ้มทองกุล” อดีตหัวหน้าพรรคที่มีแฟนคลับมากกว่าแกนนำคนอื่นๆ ในกลุ่ม พธม.

อย่างไรก็ตาม “ตระกูล” มองในมุมบวกว่า สิ่งที่พรรคการเมืองใหม่ได้จากการลงสนามแข่งขันครั้งนี้ คือ การได้เช็กแฟนพันธุ์แท้กลุ่มพธม. ที่สนับสนุนให้กลุ่ม พธม. เป็นพรรคการเมืองมีอยู่แค่ไหน เพื่อที่จะนำไปปรับกลยุทธ์และบทบาททางการเมืองต่อไป อย่างน้อยการเลือกตั้งครั้งนี้ถือว่าพรรคการเมืองใหม่ได้ประกาศตัวเข้ามาเล่นการเมืองในระบบแล้ว

ทั้งนี้ “สุริยะใส กตะศิลา” เองยอมรับกับผลการเลือกตั้งที่เกิดขึ้น เพราะรู้ว่าการเลือกตั้ง สก. และ สข. ถ้ามีผู้ใช้สิทธิไม่เกิน 50% โอกาสที่พรรคอื่นจะได้แจ้งเกิดคงยาก เพราะส่วนใหญ่มีฐานเสียงกันอยู่แล้ว แต่ยืนยันว่าไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร พรรคการเมืองใหม่จะเดินหน้าลงแข่งขันเลือกตั้งทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่นต่อไป โดยเฉพาะการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ที่พรรคคาดว่าจะมีขึ้นภายใน 2 ปี หรือเร็วกว่านั้นถ้าพรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบ พรรคได้เตรียมการในเรื่องนี้แล้ว

แน่นอนว่า ผลการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นพรรคการเมืองใหม่คงนิ่งนอนใจไม่ได้ โดย “สมบัติธำรงธัญวงศ์” อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ชี้ว่า บทเรียนจากการเลือกตั้งครั้งนี้ของพรรคการเมืองใหม่ ทำให้เห็นว่าการที่พรรคการเมืองใหม่ซึ่งพัฒนามาจากการเป็นกลุ่ม พธม. ซึ่งเป็นกลุ่มกดดันมาเป็นพรรคการเมือง โดยหวังว่าจะมีกลุ่มสนับสนุนจำนวนมากเหมือนตอนที่เป็นกลุ่ม พธม. โดยเฉพาะในพื้นที่ กทม. ที่สามารถมีข้อมูลข่าวสารมากกว่าพื้นที่อื่นๆ แสดงว่าประชาชนอยากให้กลุ่ม พธม. เป็นกลุ่มกดดันมากกว่าพรรคการเมือง

ทั้งนี้ พรรคการเมืองใหม่ต้องทบทวนบทเรียนที่เกิดขึ้นว่า ที่ผ่านมาพรรคการเมืองใหม่ยังขาดความโดดเด่น โดยเฉพาะในเรื่องผู้นำและกรรมการบริหารพรรค

นักวิชาการผู้นี้วิเคราะห์ว่า หากพรรคการเมืองใหม่ต้องการปักธงในการเมืองระดับชาติต้องทำงานให้หนักกว่านี้ เพราะขนาดในพื้นที่ กทม. ซึ่งถือว่าเป็นพื้นที่สำคัญของพรรคการเมืองใหม่แท้ๆ ยังไม่ประสบความสำเร็จ ดังนั้นพรรคต้องทำงานให้น่าเชื่อถือ ซึ่งจะนำไปสู่ความสำเร็จทางการเมืองได้ โดยเฉพาะในส่วนของนโยบาย เพราะลำพังแค่ขายไอเดียเรื่องไม่เอาระบอบทักษิณ หรือปลุกชาตินิยมคงไม่เพียงพอ เพราะตรงนี้เป็นบทบาทของพธม. ไม่ใช่พรรคการเมืองใหม่

ทั้งหมดนี้ต้องติดตามว่าพรรคการเมืองใหม่จะนำบทเรียนที่เกิดขึ้นไปแก้ไขเพื่อก้าวไปเล่นการเมืองระดับชาติต่อไป หรือจะถอดใจกลับไปเป็นกลุ่มกดดันทางการเมืองแบบเดิม อีกไม่นานคงได้รู้กัน