วันอังคาร, สิงหาคม 31, 2553

Daily News Online หน้าการเมือง เอ็ม79ถล่มช่อง11เย้ยรัฐบาล

Daily News Online หน้าการเมือง เอ็ม79ถล่มช่อง11เย้ยรัฐบาล
จาก อัลบั้มเดลินิวส์ออนไลน์

ยิงใส่กลางวันแสกๆโชคดีไม่มีเจ็บ-ตาย

ลูบคมรัฐบาล สุดอหังการ มือมืดซัดเอ็ม 79 ถล่มสถานีโทรทัศน์ “ช่อง 11” เล่นงานกลางวันแสก ๆ โชคยังดีไม่มีใครตาย-เจ็บ “ภาณุพงศ์” มั่นใจโยงคดีคิงพาวเวอร์ เชื่อฝีมือคนร้ายกลุ่มเดียวกัน สงสัยลอบยิงออกมาจากรถยนต์ ขณะวิ่งอยู่บนดอนเมืองโทลล์เวย์ เร่งประสานขอทีวีวงจรปิดทุกจุด “มาร์ค” เต้นกำชับดูแลสถานที่สำคัญ “สุเทพ” สั่งศอฉ.คุมเข้ม 11 จุดล่อแหลมเมืองกรุง หากตำรวจไม่พอให้ดึงทหารช่วยเสริม “ปณิธาน” ฟันธงหวังผล ไม่อยากให้มีเลือกตั้ง โยนเผือกร้อนรัฐบาลจัดฉากสร้างสถานการณ์ เผยในรอบปีนี้ถูกบึ้มเป็นครั้งที่3 ยังจับมือใครดมไม่ได้ ส่วนคดีลอบยิง”คิงพาวเวอร์” ตร.ยันได้ภาพกลุ่มผู้ต้องสงสัย เร่งขยายผลแกะรอยหาเบาะแส ล่าสุดประสานผู้เชี่ยวชาญ การยิงเอ็ม 79 จากสหรัฐฯมาช่วยเหลือด้วย สมาคมนักข่าวฯร่อนแถลงการณ์ วอนเลิกคุกคามสื่อฯ

เหตุคนร้ายยิงถล่มอาวุธสงครามกลาง กรุงอีก เกิดขึ้น เมื่อเวลา 13.20 น. วันที่ 31 ส.ค. พ.ต.ท.อรุณ อุ่นเมตตาอารี พงส. (สบ 3) สน.สุทธิสาร รับแจ้งมีเหตุระเบิดที่ลานจอดรถด้านหน้าสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (สทท. ช่อง 11) ถนนวิภาวดีรังสิต แขวง-เขตดินแดง จึงรายงานเหตุให้ผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับชั้น จากนั้นรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วย พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. พล.ต.ต.สาโรจน์ พรหมเจริญ ผบก.น.2 พล.ต.ต.ฉันทวิทย์ รามสูตร ผบก. สส.บช.น. เจ้าหน้าที่เก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด (อีโอดี) และกำลังทหารจำนวนหนึ่ง พร้อมปิดกั้นไม่ให้ผู้เกี่ยวข้องเข้าไปบริเวณจุดเกิดเหตุ

ยิงเอ็ม79 ถล่ม“ช่อง11”

สำหรับจุดเกิดเหตุอยู่บริเวณลานจอดรถ ด้านหน้าอาคารสำนักงาน ห่างจาก ประตูใหญ่ด้านหน้าไปประมาณ 15 เมตร มีรถยนต์ถูกสะเก็ดระเบิด ชนิดเอ็ม 79 เจาะตามตัวถังและกระจกแตกได้รับความเสียหาย 4 คัน คือ รถเก๋งโตโยต้า คัมรี สีบรอนซ์ทอง ทะเบียน ภม 4593 กรุงเทพมหานคร ถูกแรงระเบิดกระจกหลังแตก, รถเก๋งฮอนด้า ซีวิค สีบรอนซ์ทอง ทะเบียน วง 8822 กรุงเทพมหานคร กระโปรงหน้ารถได้รับความเสียหาย, รถเก๋งนิสสัน ซันนี่ สีน้ำเงิน ทะเบียน กบ 2622 นนทบุรี กระจกหูช้างด้านหลังแตก และรถตู้นิสสัน เออร์แวน สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน ฮจ 6331 กรุงเทพมหานคร ติดสติกเกอร์สำนักข่าวแห่งชาติ NNT ถูกสะเก็ดระเบิดที่หลังคารถ และสะเก็ดระเบิดฝังอยู่ที่ตัวถังด้านขวา นอกจากนี้ยังมีกิ่งไม้หักจำนวนหนึ่ง แต่ไม่มีผู้ได้รับอันตราย

โชคดีไม่มีใครบาดเจ็บ

นายสมชาย หนุนเกื้อ อายุ 54 ปี หัวหน้าหมวดยานยนต์ กรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งอยู่ใกล้บริเวณจุดเกิดเหตุพอดีและรอดพ้นอันตรายมาได้แบบปาฏิหาริย์ เล่าเหตุการณ์อย่างตื่นเต้นว่า ก่อนเกิดเหตุกำลังยืนคุย โทรศัพท์อยู่ใต้ต้นไม้ จากนั้นได้ยินเสียงตูมดังสนั่นหวั่นไหว 1 ครั้ง กิ่งไม้หักสะบั้นลงมาด้วย พอหันไปดูที่ลานจอดรถพบว่ามีกลุ่มควันเกิดขึ้นแถว ๆ รถยนต์จึงรีบวิ่งหนีเข้าไปหลบบริเวณป้อมยาม โชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ เพราะพนักงานส่วนหนึ่งไปรับประทานอาหารเที่ยงจึงไม่มีคนอยู่บริเวณลานจอดรถ ถ้าเป็นช่วงเที่ยงจะมีคนนำรถออก ไปรับประทานอาหารและมีผู้มาติดต่อจำนวนมาก อาจทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บก็เป็นได้

“องอาจ”ลงพื้นที่ทันควัน

ในขณะตำรวจกำลังตรวจสอบบริเวณเกิดเหตุ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ในฐานะกำกับดูแลสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ ได้เดินทางมาร่วมตรวจสอบด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดี ให้สัมภาษณ์ว่า พอได้รับรายงานจาก น.ส.รัตนา เจริญศักดิ์ ผอ.สทท.11 จึงรีบเดินทางมาทันทีพร้อมเรียกประชุมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดว่า เหตุการณ์ดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับสถานีหรือไม่ หลังจากประชุมเสร็จสิ้นจึงเชื่อว่าคงไม่เกี่ยวข้องกับสถานี เพราะขณะนี้ ช่อง 11 ได้เปิดกว้างมีเวทีให้ทุกฝ่ายได้แสดงความคิดเห็นไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้าน รัฐบาล เอ็นจีโอ

สั่งตรวจสอบทีวีวงจรปิด

นายองอาจ กล่าวต่อว่า หลังเกิดเหตุจึงสั่งการให้เลขาฯรีบประสานไปยัง กทม. ให้ช่วยตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่อยู่โดยรอบบริเวณจุดเกิดเหตุทั้งหมดอย่างเร่งด่วน พร้อมกันนี้ได้รายงานให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี รับทราบแล้ว ส่วนในรายละเอียดทางคดีและวิถีกระสุนการยิงเป็นหน้าที่ของตำรวจ ขยายผลเบื้องต้นคาดว่าน่าจะยิงมาจากทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์หรือจากพื้นราบบนถนนวิภาวดีรังสิต สำหรับ ที่ผ่านมาเคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับช่อง 11 มาแล้ว 2 ครั้ง ตนก็ได้สั่งการให้ติดตั้งกล้อง วงจรปิดบริเวณทางเข้าด้านหน้าสถานี แต่กล้องยังไม่สามารถจับภาพคนร้ายได้ เนื่องจากมีกำแพงกั้นบนโทลล์เวย์

ตร.ไม่ฟันธงยิงจากจุดใด

ด้าน พล.ต.ท.สัณฐาน ผบช.น. เปิดเผยว่า ขณะเกิดเหตุระเบิดมีตำรวจอยู่บนทางด่วนโทลล์เวย์ทั้งสองฝั่งจึงเชื่อว่าคนร้ายไม่น่ายิงลงมาจากโทลล์เวย์ถือเป็นเรื่องยากที่จะเกิดขึ้นเพราะมีตำรวจอยู่ประจำ นอกจากนี้เมื่อตรวจสอบกล้องวงจรปิดของทางด่วนโทลล์เวย์ ยังไม่พบรถต้องสงสัยแต่อย่างใด เบื้องต้นจึงสันนิษฐานว่าอาจจะยิงจากพื้นราบจุดใดจุดหนึ่งแต่ยังไม่ทราบมาจากทิศทางใดแน่ ล่าสุดจึงมอบหมายเจ้าหน้าที่จาก 3 หน่วยงานเข้ามาร่วมตรวจสอบ คือ หน่วยเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิดจาก บก.ตปพ. บช.น. เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน และเจ้าหน้าที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ของ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เนื่องจากระเบิดนั้นตกลงมาใส่กิ่งไม้จึงอาจจะทำให้ตรวจสอบวิถีการยิงได้ยาก สำหรับเศษกระสุนที่พบนั้น เป็นลูกกระสุนเอ็ม 79 ขนาด 44 มม. หัวสีทอง แบบธรรมดา ไม่ใช่แบบเจาะเกราะ

แฉมีคนโทรฯถามผังรายการ

ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากเจ้าหน้าที่พฐ. ว่า ปกติกระสุนเอ็ม 79 เมื่อยิงออกไปแล้วเมื่อกระทบสิ่งกีดขวางจะระเบิดทันที ในกรณีที่เกิดขึ้นนั้นถือว่าโชคดีมากที่กระสุนไปโดนกิ่งไม้ก่อนจึงระเบิดขึ้นแล้วสะเก็ดกระเด็นไปถูกรถยนต์ หากกระสุนไปตกใส่บริเวณถังน้ำมันรถยนต์ก็สามารถเกิดระเบิดทั้งคันได้หรือหากตกลงพื้นก็จะเป็นหลุมสะเก็ดจะกระจายมากกว่านี้อีก

ทั้งนี้มีรายงานว่า ช่วงเช้าก่อนเกิดเหตุ มีผู้หญิงโทรศัพท์เข้าสอบถามเจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวของ สทท.11 ว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบรายการ “เจาะข่าวร้อน ล้วงข่าวลึก” เมื่อเจ้าหน้าที่แจ้งกลับไปว่าเป็นรายการเช่าเวลาของสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมแห่งหนึ่ง ผู้หญิงลึกลับจึงได้วางสายไปทันที ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จะได้เร่งตรวจสอบต้นทางโทรศัพท์ว่ามาจากไหนและเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ด้วยหรือไม่

เจอถล่มมาแล้ว 2 ครั้ง

ก่อนหน้านี้สถานีวิทยุโทรทัศน์ฯสทท. 11 เคยถูกคนร้ายยิงถล่มด้วยเอ็ม 79 และปาระเบิดใส่มาแล้วรวม 2 ครั้ง คือ วันที่ 27 มี.ค. 53 เวลาประมาณ 22.08 น. คนร้ายยิงระเบิดเอ็ม 79 มาตกใส่เต็นท์ทหารที่มาตั้งรักษาความปลอดภัยในช่วงเวลาดังกล่าว ทำให้ทหารบาดเจ็บ 3 นาย รถยนต์เสียหาย 1 คัน ต่อมาเวลาประมาณ 23.40 น. วันที่ 4 เม.ย. 53 ขณะที่ตำรวจปจ.และทหารรักษาการณ์บริเวณประตูเข้า-ออกด้านหน้า ริมถนนวิภาวดีรังสิตขาเข้า ได้มีคนร้ายเป็นชาย 2 คน สวมหมวกกันน็อก ซิ่ง จยย. ผ่านมาแล้วขว้างลูกระเบิด ขนาดเอ็ม 67 ไปตกลงในคูน้ำด้านหน้าสถานีฯ พอเกิดระเบิดจึงไม่มีใครได้รับอันตราย

“ปทีป”สั่งดูแลพื้นที่สำคัญ

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ. ปทีป ตันประเสริฐ รักษาราชการแทน ผบ.ตร. เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ที่ปรึกษา (สบ 10) ซึ่งดูแลพื้นที่นครบาล ร่วมกับ พล.ต.ท. สัณฐาน ผบช.น. ยังไม่กล้าฟันธงในตอนนี้ ว่าเกิดจากประเด็นทางการเมืองหรือไม่ เราดูทุกประเด็น ส่วนการเฝ้าระวังพื้นที่ก็กำชับ บช.น.ไว้ตลอด และ บช.ส.ดูด้านการข่าว เมื่อถามว่ามีเหตุระเบิดเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เป็นสัญญาณเตือนเหตุวินาศกรรมตามที่พรรคเพื่อไทยระบุหรือไม่ พล.ต.อ.ปทีป ตอบว่ายังไม่ถึงขั้นนั้น แต่ทางพื้นที่นครบาลก็มีตำรวจดูแลอยู่ โดยเฉพาะสถานที่ที่เป็นเชิงสัญลักษณ์ทางการเมือง เช่น สำนักงาน ป.ป.ช. พรรคการเมือง ฯลฯ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สตช.มีการแจ้งเตือนทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องให้เข้มงวด สืบสวนหาข่าวด้านความปลอดภัย หลังข้อมูลทางด้านการข่าวแจ้งเตือน พบความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ไม่หวังดีที่วางแผนก่อวินาศกรรม สร้างสถานการณ์รุนแรงที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน และห้างสรรพสินค้าที่มีสายสัมพันธ์กับกลุ่มการเมืองซึ่งมีหลายสาขา โดยตำรวจหน่วยที่เกี่ยวข้องมีการสั่งการวางแผนสืบสวนหาข่าวรับมือป้องกันเหตุแล้ว

นายกฯกำชับศอฉ.ดูแล

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ยังไม่ทราบรายละเอียด และยังสรุปอะไรไม่ได้ ต้องรอให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการ เมื่อถามว่าหน่วยงานด้านความมั่นคงได้มีการรายงานสถานการณ์ความมั่นคงเข้ามาอย่างไรบ้างหรือไม่เพราะในเดือน ก.ย. มีวันที่เป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองและจะมีกลุ่มคนออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองครั้งใหญ่นั้น นายกฯกล่าวว่า วันที่เป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองมีค่อนข้างถี่ ทั้งนี้เรามีการระมัดระวังในเรื่องการเคลื่อนไหวต่าง ๆ ตราบเท่าที่การเคลื่อนไหวอยู่ในขอบของกฎหมายก็ไม่เป็นปัญหาอะไร อย่างไรก็ดีต้องมีการเฝ้าดูตามสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ดูแลอยู่

ฟันธงพวกป่วนเมือง

นายปณิธาน วัฒนายากร โฆษกประจำสำนักนายกฯ ให้สัมภาษณ์ว่า นายกฯได้สั่งการให้ตรวจสอบกรณีนี้อย่างเร่งด่วนว่าจะมีความเชื่อมโยงกับการระเบิดที่ซอยรางน้ำหรือไม่เพราะมีลักษณะเป็นการยิงจากที่สูงเช่นเดียวกัน และสถานที่หน้าคิงเพาเวอร์กับช่อง11ก็มีทางด่วนยกระดับ ซึ่งกลุ่มผู้ที่ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อก่อความไม่สงบโดยใช้อาวุธ เอ็ม 79 คาดว่าเป็นกลุ่มที่มีความต้องการเคลื่อนไหวเพื่อให้มีการเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ทางการเมือง หรือเรียกว่าเป็นกลุ่มเคลื่อนไหวที่ไม่ต้องการให้การเมืองเข้าสู่ระบบที่ถูกต้อง ซึ่งกลุ่มนี้จะใช้อาวุธเอ็ม 79 ในการเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่จะต้องดำเนินการสอบสวนอย่างเร่งด่วน เพื่อป้องกันที่จะไม่ให้เกิดเหตุอย่างนี้ในสถานที่อื่น ๆ

“กลุ่มนี้น่าจะมีเป้าหมายที่จะทำให้เกิดความปั่นป่วนและพยายามที่จะสร้าง สถานการณ์ทางการเมืองว่ารัฐบาลไม่มีเสถียร ภาพ ไม่สามารถที่จะสั่งการให้เจ้าหน้าที่มีความเข้มงวดในการจับกุมเอาคนร้ายมาดำเนินคดีได้ รวมทั้งไม่ต้องการให้บ้านเมืองเป็นระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ และไม่ต้องการให้เกิดการเลือกตั้ง เพราะถ้าเกิดการเลือกตั้งกลุ่มคนเหล่านี้ก็จะสูญเสีย อำนาจ”

ปัดรัฐสร้างสถานการณ์

ผู้สื่อข่าวถามว่ามีการมองว่ารัฐบาลสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเองเพื่อคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินไว้ และเมื่อมีการยิงเอ็ม 79 เมื่อไรก็ไม่สามารถจับตัวคนร้ายได้ นายปณิธาน ตอบว่า ประเด็นนี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกจึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เร่งดำเนินการสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงให้ได้ เพราะเกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างนี้ตลอดมา และยืนยันว่ารัฐบาลเองพร้อมที่จะเลือกตั้งได้ตลอดเวลา ซึ่งนายกฯยืนยันแล้วว่าในต้นปีจะเดินเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งอย่างเต็ม ตัวไม่ว่าเรื่องการแก้ไข รธน. และคณะกรรม การปฏิรูปชุดต่าง ๆ ก็ได้นำเสนอประเด็นที่มองเห็นข้อสรุปได้อย่างเป็นรูปธรรมแล้ว ดังนั้นในปีหน้ารัฐบาลพร้อมที่จะลงสนามการเลือกตั้ง

ส่วนที่มีการมองว่ารัฐบาลเป็นคนสร้างสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรงเพื่อที่จะคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินนั้น นายปณิธาน กล่าวว่า ขณะนี้ได้สั่งห้ามทหารทุกหน่วยใช้อาวุธปืนเอ็ม 79 ยกเว้นเฉพาะบางหน่วยที่ยังมีความจำเป็นเท่านั้น ดังนั้นจะเห็นว่าทหารประจำการจะไม่มีอาวุธปืนเอ็ม 79 อยู่ในการครอบครอง อย่างไรก็ดีจะต้องกำชับเจ้าหน้าที่ให้มีความเข้มงวดในการตรวจตราพื้นที่ให้มาก กว่าเดิม โดยเฉพาะพื้นที่สำคัญจะต้องเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด ไม่ว่าทำเนียบรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคการเมืองที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคอื่น ๆ

“เฉลิม”ชี้หวังไม่ให้เลือกตั้ง

ที่พรรคเพื่อไทย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน และประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงเหตุการณ์ระเบิดในพื้นที่ กทม. ว่า ขณะนี้มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่ชอบทำโพล แล้วเห็นว่าไม่สามารถสู้พรรคเพื่อไทยได้ในการเลือกตั้งจึงพยายามที่จะสร้างสถานการณ์เพื่อดึงระยะเวลาการเลือกตั้งออกไป จนถึงขนาดจะไม่ให้มีการเลือกตั้งในระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งเป็นคนกลุ่มเดียวกับที่ทำซีดีโจมตี พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯไปแจกที่อีสาน 1 ล้านแผ่น แต่ไม่ได้ผล ล่าสุดได้ยินอีกว่าจะทำหนังสือโจมตีอีก 2.5 ล้านเล่ม ไปแจกอีก และการกระทำทั้งหมดไม่ใช่ฝีมือตำรวจหรือทหาร เพราะพวกนี้รักบ้านรักแผ่นดิน แต่เป็นฝีมือกลุ่มที่หวังประโยชน์ ของแค่นี้ดูก็รู้ว่าใครได้ประโยชน์ และอยากถามว่าในเวลาที่ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คนกลุ่มไหนกันที่พกพาอาวุธได้อย่างนี้

แบงก์ชาติแนะเร่งจับคนร้าย

นายเมธี สุภาพงษ์ ผอ.ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงเหตุการณ์ระเบิดใน กทม. ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องว่า อาจจะมีผลกระทบบ้าง เพราะหากจะพูดว่าไม่ได้รับผลกระทบคงเป็นไปไม่ได้ อยากให้ฝ่ายความมั่นคงหาตัวผู้กระทำผิดโดยเร็ว เพราะแสดงให้เห็นความพยายามของผู้ก่อเหตุที่จะทำให้ทางการเห็นว่าการมี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่ได้มีผลแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามตนเชื่อว่ารัฐบาลน่าจะดูแลสถาน การณ์ได้ ธปท. ไม่ได้กังวลต่อปัญหานี้เท่าไหร่ เพราะเหตุระเบิดเกิดเป็นครั้งคราวและไม่ได้มีความรุนแรงไม่ได้กระจายในวงกว้าง ขณะที่นักท่องเที่ยวก็ไม่ได้ตกใจหรือปรับลดลง สังเกตได้จากระบบการเตือนภัยก็อยู่ระดับเดิมไม่ได้เพิ่มขึ้น

ลุยคลี่ปม“คิงเพาเวอร์”

ก่อนหน้านี้ช่วงเช้าวันเดียวกัน พล.ต.ท.สัณฐาน ผบช.น. กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีคนร้ายยิงระเบิดเอ็ม 79 อาคาร คิงเพาเวอร์ ซอยรางน้ำ ท้องที่ สน.พญาไท เมื่อวันที่ 26 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า มีความคืบหน้าในเรื่องของภาพกลุ่มผู้ต้องสงสัยที่ได้จากกล้องวงจรปิดอยู่ระหว่างการตรวจพิสูจน์ว่า คนกลุ่มนี้เป็นคนร้ายหรือไม่ ซึ่งประเด็นสำคัญที่ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ มอบหมายในที่ประชุมคือ ต้องหาพยานหลักฐานมาพิสูจน์ให้ได้ พร้อมนำองค์ความรู้เกี่ยวกับระเบิดเอ็ม 79 ว่า เมื่อตกกระทบพื้นแล้วเศษ หรือวัตถุระเบิดจะสาดไปทิศทางใดบ้างโดย จะมีการเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านระเบิดเอ็ม 79 จากประเทศสหรัฐอเมริกา มาช่วยดูเรื่องของทิศทางที่แท้จริง หากเรารู้ทิศทางแล้วการสืบสวนสอบสวนก็จะง่ายขึ้น เดินไปอย่างถูกต้องไม่ผิดทิศทางไปทางอื่น

ไม่ประมาทบึ้มรถไฟฟ้าฯ

ผบช.น. กล่าวต่อว่า ตอนนี้เราติด ต่อไปแล้วอยู่ที่ว่า เขาจะมาช่วงไหนจะรีบแจ้งสื่อทราบทันที ส่วนพยานหลักฐานที่ได้จากภาพกล้องวงจรปิดซึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยนั้น เราตรวจสอบอยู่อย่างต่อเนื่องมีภาพปรากฏ จริง แต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเป็นคนร้ายหรือไม่ ส่วนผู้ต้องสงสัยจริง ๆ จะมีกี่คน นั้นต้องขอปิดเป็นข้อมูลไว้ก่อน ส่วนกระแส ข่าวอาจมีการก่อวินาศกรรมรถไฟฟ้าใต้ดินนั้น แม้ตำรวจจะยังไม่มีการข่าวในเรื่องนี้ แต่ก็มีตำรวจชุดเคลื่อนที่เร็วคอยดูแลอยู่แล้ว โดยดูทุกเรื่องประมาทไม่ได้ในยามบ้านเมืองอย่างนี้

เชื่อมโยงคดีคิงเพาเวอร์

ต่อมาเวลา 16.30 น. ที่ บช.น. พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ที่ปรึกษา (สบ 10) พร้อมด้วย พล.ต.ท.สัณ ฐาน ผบช.น. พล.ต.ต.บุญส่ง พานิชอัตรา รอง ผบช.น. พ.ต.อ.ธวัชชัย เมฆประเสริฐสุข รอง ผบก.พฐ.บช.ก. เรียกประชุมพื่อเตรียมการรวบรวมพยานหลักฐานเร่งรัดคดีดังกล่าวและวางแผนการดำเนินการการทำงานของตำรวจ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ว่า คดีที่เกิดขึ้นนี้เป็นคดีที่มีความสำคัญอีกคดีหนึ่ง ในเบื้องต้นจากการรวบรวมพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ เชื่อว่าเป็นกลุ่มคนร้ายชุดเดียวกับที่ยิง เอ็ม 79 ใส่ตึกคิงเพาเวอร์ เชื่อว่าคนร้ายใช้ยานพาหนะเป็นรถยนต์ เพราะฉะนั้นบุคคลหรือประชาชน ที่ผ่านไปมาในช่วงเวลาเกิดเหตุ หากท่าน พบเห็นรถต้องสงสัยหรือคิดว่ามีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการสืบสวนไม่ว่าข้อมูลจะผิดหรือถูกไม่เป็นไร ขอให้รีบโทรฯแจ้งเบาะแสมาที่เบอร์ 191 ทันที เบื้องต้นเชื่อว่าคนร้ายยิง เอ็ม 79 มาจากบนถนน โดยยิงออกมาจากภายในรถยนต์

ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นการยิงมาจากพื้นราบหรือบนทางด่วนโทลล์เวย์ พล.ต.อ. ภาณุพงศ์ ตอบว่า ดูจากข้อมูลของผู้ชำนาญการในเบื้องต้นน่าจะเป็นการยิงจากบนทางด่วนโทลล์เวย์ โดยยิงออกมาจากรถยนต์ แต่หากตำรวจได้พยานหลักฐานจากกล้องวงจรปิดก็จะมีการดำเนินการเพื่อสอบสวนทางคดีต่อไป และหากได้พยานหลักฐานที่ชัดเจน ก็จะแจ้งให้สื่อมวลชนทราบอีก ครั้งหนึ่ง

สมาคมฯสื่อแถลงการณ์

ขณะที่สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมแถลงการณ์ เรื่อง หยุดคุกคามสื่อมวลชนกรณีเกิดเหตุยิงระเบิดตกภายในสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยว่า 1.ขอให้ทุกฝ่ายตระหนักว่าสื่อมวลชน ผู้สื่อข่าว ช่างภาพ ทำหน้าที่รายงานข่าวและข้อเท็จจริงตามหน้าที่ของตนไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งกับใคร เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรตกเป็นเป้าหมายของการข่มขู่ คุกคามและแทรกแซงไม่ว่าจากฝ่ายใด และ 2.ขอเรียกร้องไปยังฝ่ายความมั่นคงซึ่งมีหน้าที่ในการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองเร่งสอบสวนจับกุมผู้ก่อเหตุมาลงโทษตามกฎหมายโดยเร็ว เพื่อสร้างหลักประกันการคุ้มครองสวัสดิภาพและความปลอดภัยของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนโดยส่วนรวม

“เทือก”แจงคดียิง“เสธ.แดง”

ส่วนที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคงและ ผอ.ศอฉ. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ น.ส. ขัตติยา สวัสดิผล ลูกสาวของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ไปให้ข้อมูลกับคณะกรรมาธิการของวุฒิสภา และแสดงความอึดอัดใจที่ รัฐบาล มัวแต่ดำเนินคดีกับผู้ก่อการร้ายแต่ ไม่ยอมหาคนที่สังหาร “เสธ.แดง” หรือยิงผู้ชุมนุมว่า สื่อมวลชนไม่ค่อยฟังคำชี้แจงของตนที่ชี้แจงไปทุกวัน ในฐานะ ผอ.ศอฉ. ได้สั่งการให้กรมสอบสวนคดีพิเศษได้จัด ทีมสืบสวนสอบสวนเอาข้อเท็จจริงรายละเอียดเกี่ยวกับผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ตั้งแต่เดือนมี.ค.-พ.ค. ทั้งหมด 89 ราย ซึ่งเสธ.แดง เป็นรายหนึ่งที่อยู่ในจำนวนนั้น โดยตนให้เวลาชัดเจนว่า 60 วันให้กลับมารายงาน เราทำทุกกรณีให้ชัดเจนโปร่งใสที่สุด

โคมลอยทีมไล่ล่าเสื้อแดง

เมื่อถามว่า กรณีการลอบยิง เสธ. แดง น่าจะทำได้ง่ายเพราะมีคนเห็นเหตุการณ์เป็นร้อย และตำรวจก็มีเครื่องมือวัดวิถีกระสุน นายสุเทพ กล่าวว่า ขอให้คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหลายช่วยกรุณาไปเป็น พยานให้ เจ้าหน้าที่จะได้สอบอย่างละเอียด ส่วนกรณีที่เกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนไล่ยิงถล่มนายกฤษดา กล้าหาญ แนวร่วมเสื้อแดงที่ จ.เชียงใหม่ ทางตำรวจมุ่งน้ำหนักน่าจะเป็นประเด็นที่นายกฤษดา และครอบครัวเป็นกลุ่มคนเสื้อแดงชัดเจนมาก โดยมีรายงานว่าขณะนี้ใน จ.เชียงใหม่ มี “กลุ่มคนมีสี” ตั้งหน่วยไล่ล่าคนเสื้อแดงขึ้นมาว่า “ไม่น่าจะเป็นจริง ตนก็ได้อ่านข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์เหมือนกันและตนจะสอบถามในที่ประชุม ศอฉ. ด้วย”

คุมเข้ม11จุดล่อแหลม

ที่กองทัพบก ช่วงเย็นวันเดียวกัน พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. แถลงข่าวว่า ในที่ประชุมได้พูดถึงการก่อเหตุ ด้วยการยิงลูกกระสุนเอ็ม 79 ในพื้นที่สถานีโทรทัศน์ สทท.11 ซึ่งทาง ผอ.ศอฉ. ได้สั่งกำชับเจ้าหน้าที่ให้เน้นด้านทำงานการข่าว โดยให้ ผอ.สำนักข่าวกรอง เป็นหลักในการประสานเรื่องนี้อย่างเข้มข้น นอกจากนี้ ให้มีการตรวจสอบกล้องวงจรปิด การทางพิเศษ และ กทม. ให้นำภาพมาเชื่อมโยงกันเพื่อหาข้อมูลหลักฐาน นอกจากนั้นให้เพิ่มกำลังตำรวจในพื้นที่ต่าง ๆ โดยบริเวณสถานีโทรทัศน์ สทท.11 สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5

ทั้งนี้มีรายงานข่าวแจ้งว่า ศอฉ. ได้ระบุว่ามีพื้นที่ล่อแหลมต่อการก่อเหตุทั่วกรุงเทพฯ จำนวน 11 จุด ซึ่งนายสุเทพได้สั่งให้ตำรวจไปประชุมว่าต้องการกำลังเพิ่มหรือไม่ หากกำลังตำรวจมีไม่เพียงพอก็ให้แจ้งมาที่ ศอฉ. จะจัดกำลังทหารเข้าไปช่วยสนับสนุนในการรักษาความปลอดภัยทันที

ตร.เชียงใหม่เร่งขยายผล

ส่วนที่ จ.เชียงใหม่ พ.ต.อ.ทวีศักดิ์ ศรีทองสุข ผกก.สภ.หางดง จ.เชียงใหม่ เปิดเผยถึงความคืบหน้าเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนเอชเค ขับรถไล่ประกบยิงนายกฤษดา กล้าหาญ อายุ 21 ปี อดีตการ์ดเสื้อแดงเชียงใหม่จนได้รับบาดเจ็บสาหัส เหตุเกิดช่วงกลางดึกวันที่ 29 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า กำลังตรวจหาภาพวงจรปิดตามสี่แยกไฟแดง ตั้งแต่จุดถนนคนเดิน เรื่อยมาตามสี่แยก ต่าง ๆ ก่อนมาถึงจุดเกิดเหตุเพราะเชื่อว่าคนร้ายจะต้องขับรถประกบตามมาตลอดทาง หากเราได้ภาพเหล่านั้นเชื่อว่าจะหาตัวกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุได้ง่ายขึ้น ส่วนการสอบปากคำผู้บาดเจ็บยืนยันไม่เคยมีปัญหาขัดแย้งกับใครมาก่อน คดีนี้ทางผู้บังคับบัญชาเร่งรัดคดีมา เพราะถือเป็นคดีที่อุกอาจสะเทือนขวัญ คนร้ายใช้อาวุธสงครามก่อเหตุในที่สาธารณะ อย่างไรก็ดีเชื่อว่าจะสามารถติดตามจับกุมตัวคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมายได้เร็ว ๆ นี้

“น.1” ติวเข้มตั้งด่านทั่วกรุง

ผู้สื่อข่าวรายงาน เพิ่มเติม เมื่อเวลา 18.00 น. ที่ บช.น. พล.ต.ท.สัณฐาน ผบช.น. ได้เรียกประชุมด่วน รอง ผบช.น. พร้อมด้วย ผบก.น.1-9 ไปจนถึง ผกก. 88 สน. และตัวแทนทหารจากกองทัพภาคที่ 1 เพื่อประชุมวางมาตรการการทำงานในการดูแลความปลอดภัยในพื้นที่กรุงเทพฯ ภายหลังการประชุมนานเกือบ 2 ชม. พล.ต.ท. สัณฐาน เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ทุก บก.ไปทำแผนการดูแลพื้นที่ให้เรียบร้อย ส่วนในวันนี้ก็จะมีการวางกำลังตำรวจอย่างเต็มที่เพื่อป้องกันเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ หากไม่เพียงพอได้เสนอขอกำลังสนับสนุนจาก บช.ภ.1,2,7 และ ตชด.เข้ามาช่วยร่วมตรวจตราและตั้งจุดตรวจ 24 ชม.ให้เข้มข้นมากกว่าเดิม.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น