วันจันทร์, มกราคม 31, 2554
"อัมสเตอร์ดัม" ชูประเด็น "อภิสิทธิ์" มีสัญชาติอังกฤษ ฟ้องศาลอาญาระหว่างประเทศ
VDO Link โรเบริด อัมสเตอร์ดัม 31/01/11
"อัมสเตอร์ดัม" ชูประเด็น "อภิสิทธิ์" มีสัญชาติอังกฤษ ฟ้องศาลอาญาระหว่างประเทศ
นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความของนปช. เปิดเผยผ่านวีดีโอลิงค์จากประเทศญี่ปุ่น ว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา สำนัำกงานทนายความของเขาได้ยื่นเอกสารฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ต่อศาลอาญาระหว่างประเทศแล้ว โดยเขาใช้ประเด็นที่นายอภิสิทธิ... ถือสัญชาติอังกฤษ เพราะเกิดที่ประเทศอังกฤษในปี 2507 มาใช้ในการยื่นฟ้อง
เนื่องจากอังกฤษ เป็นประเทศที่ให้สัตยาบันต่อธรรมนูญกรุงโรม ของศาลอาญาระหว่างประเทศแล้ว ซึ่งตามกฎหมายสามารถดำเนินคดีกับผู้ที่มีสัญชาติของประเทศที่ให้สัตยาบัน ได้ทันที
ส่วนเนื้อหาในคำร้องนั้นมี 250หน้า และนายโร เบิร์ต เปรียบเทียบการสลายการชุมนุมของกลุ่ม นปช.คล้ายกับเหตุการณ์รุนแรงที่ประเทศอียิปต์ในปัจจุบัน จากการฆาตกรรม การจับกุมผู้คน และความพยายามในการแทรกแซงพยานหลักฐาน เพื่อใส่ความทางอาญาผู้ชุมนุม
คำแถลงของ นายโรเบิร์ต ยังอ้างคำให้การของพยาน รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญ นายโจ เรย์ วิตตี้ อดีตจ่ากองทัพบก ซึ่งเชี่ยวชาญเรื่องการควบคุมฝูงชน สังกัดหน่วยปฏิบัติการพิเศษ หรือ สวาท ของสำนักงานตำรวจแห่งนครลอสแอลเจิลลีส ซึ่งระบุว่า การปฏิบัติการของกองทัพบกไทย เมื่อวันที่ 19พฤษภาคม 2553เป็นการปฏิบัติการทางทหาร ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อการสังหารพลเรือนผู้บริสุทธิ์เพื่อจะได้ปราบปรามผู้ ชุมนุมกลุ่ม นปช.
ส่วนกรณีระเบิดสังหารทหารกลุ่มหนึ่ง เมื่อวันที่ 10เมษายน ปีเดียวกัน นั้น อาจเป็นเรื่องที่ฝ่ายทหารก่อขึ้นเอง เพื่อเป็นข้ออ้างในการยิงปืนเข้าใส่กลุ่มประชาชนโดยฝ่าฝืนกฎการใช้กำลังของ กองทัพ นายโรเบิร์ต ยังกล่าวด้วยว่า การยื่นคำร้องครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรก ที่มีความพยายามรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานอย่างครบถ้วนและเป็นระบบมาก ที่สุด เพื่อชี้ให้เห็นว่า มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยความจงใจก่อให้เกิดความรุนแรงจนเกินกว่าที่จะรับ ได้ จึงต้องการคำตอบและต้องมีผู้รับผิดชอบก่อนหน้านี้
ขณะที่นายจตุพร กล่าวถึงข่าวการรัฐประหารในประเทศ โดยอ้างว่า ข้อมูลว่า มีอดีตนายทหาร ยศ นาวาอากาศตรี ไปร่วมวันทหารม้า ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ทั้งที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง จึงสงสัยว่าเป็นการซ่องสุมเพื่อการก่อการปฏิวัติหรือไม่
Ref: บทความของฟ้าอัสดง ฯ on FB
วันเสาร์, มกราคม 29, 2554
ปฏิวัตินะจ๊ะ!
ปฏิวัตินะจ๊ะ!
“ปีเถาะ 2554 เป็นปีที่ต้องต่อสู้กันทรหดทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ ใครก็ตามที่เป็นรัฐบาลต้องเผชิญวิกฤตการณ์รุนแรงที่สุด ฝ่ายค้านจะแย่งอำนาจ คนในเครื่องแบบจะรอให้ทั้ง 2 ฝ่ายเพลี่ยงพล้ำลง ส่วนประชาชนตาดำๆและยากจนจะหวาดผวา ปัญหาคอร์รัปชันจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆตั้งแต่ต้นปี ถึงขนาดรัฐบาลต้องมีอันเป็นไป เหตุการณ์ของประเทศจะพลิกผันอย่างที่ไม่เคยเห็น และจะเกิดความว่างเปล่า ไม่มีนัก การเมืองพรรคใดหลงเหลืออยู่ในระบบ พรรคการเมืองจะสูญสิ้นไปจากประวัติศาสตร์การเมืองไทย”
คำพยากรณ์ของโหราจารย์ชื่อดัง “โสรัจจะ นวลอยู่” ที่พยากรณ์ดวงเมืองปี 2554 และชี้ว่าดาวสีเลือดได้รับแสงจากดาวมฤตยูในช่วงเดือนมีนาคม 2554 เป็นดาวปฏิวัตินองเลือดในมุมร่วมธาตุ เกิดสภาพการณ์เดือดพลุ่งพล่านไม่สงบ เกิดเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า เกิดศึกสงครามทั้งภายในและภายนอก เกิดความยุ่งยากทางการเมืองขนาดหนัก ซึ่งผู้เป็นใหญ่และผู้คนสำคัญจะร่วงหล่นกันมาก อำนาจเก่าๆของคนเก่าๆจะเสื่อมถอย จะเกิดเหตุการณ์นองเลือดรุนแรง กลุ่มชน ฝูงชนอาจจะเคลื่อนไหวโดยการสนับสนุนของผู้มีอำนาจเก่าอย่างเร้นลับ และเกิดการปฏิวัติรัฐประหารอีกครั้ง
“นักการเมืองชั่วพึงระวังเอาไว้ ถึงเวลานั้นประชาชนอาจลุกฮือขึ้นมาฆ่าเองโดยไม่แคร์ขื่อแปบ้านเมือง ดวงของบ้านเมืองใกล้ถึงจุดนี้แล้ว”
“สฤษดิ์ 2” ทหารครองเมือง!
การพยากรณ์ของโหรโสรัจจะจึงเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์มากมายในทุกวงการ ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เช่นเดียวกับหมอนิด (กิจจา ทวีกุลกิจ) ที่ยืนยันว่าการปฏิวัติรัฐประหารมีโอกาสเกิดสูงมาก ไม่ว่าก่อนหรือหลังการเลือกตั้ง เพราะการเมืองและบ้านเมืองวุ่นวายหนัก ทั้งเคยพยากรณ์ว่าทหารเกิดการปีนเกลียวกัน แต่ไม่รู้ว่าฝ่ายไหนจะชิงลงมือก่อน ปีสองปีนี้ทหารยังมีบทบาทและมีอำนาจยิ่งกว่าปีที่ผ่านมา ทั้งอาจได้เห็น “สฤษดิ์ 2” พรรคการเมืองจึงมีสิทธิพักงานยาว
แม้ที่ผ่านมา “ผู้นำรอด แต่ประเทศไม่รอด” เพราะคนรับกรรมคือพ่อค้า ประชาชน ไม่ใช่นักการเมือง หมอนิดยังเตือน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ว่าจะทำการอะไรต้องรอบคอบและระวังจะผิดพลาด หรือทำสำเร็จแล้วแต่ส่งไม้ต่อให้กับคนดวงไม่ดีประเทศก็จะเสียหาย
ขณะที่นายภิญโญ พงศ์เจริญ นายกสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ เตือนให้ระวังจะเกิดความรุนแรงถึงขั้นนองเลือด เช่นเดียวกับนายภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล ประธานกรรมการสถาบันศาสตร์แห่งชีวิตแห่งประเทศไทย พยากรณ์ว่า บ้านเมืองจะปั่นป่วนถึงขั้นมีอาวุธ ระเบิด ปืนไฟ สร้างปัญหาจนคนในเครื่องแบบต้องออกมาดูแลบ้านเมือง แต่ถ้าสถานการณ์รุนแรงถึงขั้นนองเลือดก็หนีไม่พ้นปฏิวัติรัฐประหาร ถ้าผู้ใหญ่ในบ้านเมืองไม่ต้องการให้ถึงขั้นนั้นต้องอดทนและใจเย็น เอาน้ำเย็นเข้าลูบ และให้ผู้มีความสามารถประสานมือทั้งสิบทิศคุยกับทุกฝ่าย
รัฐบาลชนวนวิกฤต?
การพยากรณ์ของโหรดังหลายคนจึงสอดคล้องกับสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ เพราะตั้งแต่ปลายปี 2553 ก็มีสัญญาณความวุ่นวายในบ้านเมืองเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่กรณี 7 คนไทยที่ถูกฝ่ายกัมพูชาจับกุมตัวและนำมาสู่การชุมนุมใหญ่ของกลุ่มพันธมิตร ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่เรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกเอ็มโอยู 43 ถอนตัวออกจากคณะกรรมการมรดกโลก และใช้ความเด็ดขาดผลักดันชาวกัมพูชาออกไปจากแผ่นดินไทย ส่วนกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ยังเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมกรณีเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต”
ขณะที่รัฐบาลก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากมายว่าล้มเหลวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และเต็มไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชัน โดยเฉพาะช่วงใกล้จะหมดวาระของรัฐบาลมีการนำงบประมาณไปใช้หาเสียงและจัดสรรผล ประโยชน์ให้กับพรรคร่วมรัฐบาลตามโครงการต่างๆ หรืออย่างที่เห็นล่าสุดก็คือ นโยบายประชาวิวัฒน์ที่เป็นการลดแหลก แจก แถม โดยไม่คิดถึงอนาคตของประเทศ เพราะมัวแต่คิดถึงอนาคตการเลือกตั้งครั้งต่อไปเท่านั้น
แม้แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เพิ่งผ่านวาระ 2 ที่แก้ไขเรื่องเขตเลือกตั้งเป็นเขตเดียวเบอร์เดียว และสัดส่วน ส.ส.เลือกตั้งกับ ส.ส.บัญชีรายชื่อเป็น 375 ต่อ 125 ก็เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของนักการเมืองเองทั้งสิ้น
แม้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะประกาศแผนปฏิรูปประเทศ โดยตั้งคณะกรรมการต่างๆขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นคณะของนายอานันท์ ปันยารชุน นายแพทย์ประเวศ วะสี นายคณิต ณ นคร และนายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ผ่านมาแล้วหลายเดือนแทบจะไม่มีอะไรคืบหน้า นอกจากข้อเสนอ 6 ข้อของนายสมบัติให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่รัฐบาลเลือกเฉพาะประเด็นที่เอื้อประโยชน์กับรัฐบาลและพวกพ้องเท่านั้น ประเด็นที่เห็นชัดว่าสวนทางระบอบประชาธิปไตยชัดๆ อย่างเช่น ส.ว.สรรหาที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งกลับไม่กล้าแตะต้อง
รักชาติแบบพันธมิตรฯ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรฯที่เคยให้การสนับสนุน นายอภิสิทธิ์ แต่กลับมาขับไล่รัฐบาลนั้น ได้ออกมาประณามนายอภิสิทธิ์ว่าเป็นจอมโกหก โดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ได้ไล่เรียงมาตั้งแต่ปี 2548 ที่นำพันธมิตรฯออกมาสู้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จนเกิดการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และนายอภิสิทธิ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ล้วนสู้เพื่อหลักการทั้งสิ้น ไม่ได้สู้เพื่อพรรคประชาธิปัตย์ หรือเพื่อใคร แต่มวลชนอีกส่วนหนึ่งต่อสู้เพราะเห็นว่าประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่ดีจึงอยาก ให้ปกครองบ้านเมือง แต่วันนี้คนที่ชูนายอภิ-สิทธิ์เพราะคิดว่ายังขายได้ ขายได้กับคนโง่ๆ ประเทศไทยฉิบหาย นอกจากเพราะนักการเมืองเลวแล้วยังมีคนโง่ๆที่หลงในความหล่อ
“ยังไม่เคยเห็นนายกฯคนไหนโกหกเท่านายกฯคนนี้ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกฯที่ปลิ้นปล้อนที่สุด แต่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯที่โกหกมากที่สุด วันนี้นอกจากจะใช้วิชามารเรื่องข่าวแล้วเขายังฝันว่าเราจะมีอยู่แค่หยิบมือ เดียว แต่เขาเข้าใจผิด ที่ผ่านมาเราไม่ได้สู้เพื่อประชาธิปัตย์ แต่เราสู้เพื่อชาติบ้านเมือง”
ขณะที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ยืนยันว่า ข้อเรียกร้องทั้ง 3 ข้อเป็นสิ่งที่รัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ทำได้ง่าย และสามารถทำได้นานแล้วแต่ไม่ยอมทำ อ้างว่าจะเกิดสงคราม ถ้ากลัวก็เปลี่ยนเพลงชาติหรือยกเลิกไปเลย ถ้าจะเป็นประเทศขี้กลัว ทั้งยังพูดถึงบทบาทของกองทัพว่า
“ทหารอย่างพวกผมไม่ได้มีไว้สำหรับอวดเด็กกับอวดผู้ใหญ่เท่านั้น อวดเด็กคือจัดงานวันเด็กให้เด็กไปดูแสนยานุภาพที่ซื้อมาด้วยเงินแพงๆ อวดผู้ใหญ่คือสวนสนาม อวดเด็ก อวดผู้ใหญ่ อวดไป แต่เขามีไว้เพื่อปกป้องดินแดน พวกผมถูกฝึกมากินเบี้ยเลี้ยง เงินเดือน เพื่อสู้รบทำอย่างเดียวคือปกป้องดินแดน แต่เขมรขู่เอาๆ กำลังที่เราเอามาเป็นกำลังในการต่อรองไม่ต้องใช้อำนาจกองทัพบก กองทัพเรือ ใช้แค่บางส่วนของกองทัพอากาศเขมรก็หงอแล้ว เพราะเครื่องบินรบที่ทันสมัยเขมรมี 4 ลำ มิก 21 ใช้ไม่ได้แล้ว เก่าเกินไป บินไม่ได้ ของเรามีเอฟ 5 เอฟ 16 เป็นร้อยลำ”
ผลประโยชน์แอบแฝง?
ท่าทีของกลุ่มพันธมิตรฯจึงไม่ใช่แค่เรียกร้อง 3 ข้อ แต่ยังต้องการให้รัฐบาลและกองทัพใช้มาตรการที่เด็ดขาดรุนแรงกับฝ่ายกัมพูชา อีกด้วย อย่างที่ พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ แกนนำพันธมิตรฯและอดีตประธานที่ปรึกษากองบัญชาการกองทัพไทย ปราศรัยว่า ภาคใต้เคยมีปัญหาชนกลุ่มน้อยกับมาเลเซีย ลาวมีปัญหาม้ง แต่ก็เจรจาส่งกลับและไม่มีปัญหาอะไร ไม่ต้องมีเอ็มโอยูอะไร แต่ประเทศไทยกลับแสดงความอ่อนแอกับการยกเลิกเอ็มโอยู 43 ยิ่งนายอภิสิทธิ์เถียงข้างๆคูๆยิ่งชี้ให้เห็นว่าต้องมีผลประโยชน์แอบแฝงแน่ นอน เพราะมีแหล่งทรัพยากรที่ประเทศใหญ่ๆจ้องจะเอา และเป็นประเทศมหาอำนาจทั้งสิ้น การเป็นสมาชิกยูเนสโกไม่ใช่ออกแล้วจะอดตาย ทุกวันนี้เข้าร่วมแล้วฉิบหายมากกว่า
“พื้นที่บริเวณชายแดนไทย-พม่าน่าเป็นห่วงเช่นกัน ถ้าไม่เลิกเอ็มโอยู 43 พม่าอาจจะคิดแบบกัมพูชาในอนาคตเพื่อจะเอาดินแดนบ้าง เพราะเรามันอ่อนแอ พวกเรามาทำหน้าที่ในวันนี้ถูกต้องแล้ว ยิ่งใหญ่กว่า 193 วันที่ผ่านมาอีก เพราะ 193 วันไล่บุคคลและระบอบที่ชั่วร้ายออกไปแต่ไม่หมดสิ้น ดังนั้น จะกำจัดให้หมดต้องใช้เวลา แต่การรักษาแผ่นดินไทย วันนี้ถ้าไม่ออกมาให้มากเสียดินแดนแน่นอน”
ใครขายชาติ?
แต่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กลับตั้งคำถามถึงข้อเรียกร้อง 3 ข้อของกลุ่มพันธมิตรฯว่าเป็นอันตรายต่อบ้านเมือง และนายกรัฐมนตรีทำตามไม่ได้ สงสัยทำไมจึงยื่นข้อเสนอที่เป็นไปไม่ได้ ซึ่งฝ่ายพันธมิตรฯก็ถามกลับทันทีว่าใครกันแน่ที่ขายชาติ ท่าทีของนายสุเทพจึงสมควรตำหนิอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะบิดเบือนอย่างร้ายกาจแล้ว หากย้อนหลังบทบาทของนายสุเทพก็มีส่วนสำคัญในการย่ำยีหัวใจคนไทย ยอมอ่อนข้อให้กับต่างชาติจนทำให้สุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียอธิปไตย
นายสุเทพเคยระบุว่า 7 คนไทยรุกล้ำดินแดนกัมพูชาลึกเข้าไปถึง 1.2 กิโลเมตร พร้อมทั้งให้ยอมรับคำตัดสินของศาลกัมพูชา ซึ่งเป็นคำพูดในทำนองเดียวกับผู้นำอื่นๆในรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นนายอภิสิทธิ์ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ไม่มีกองทัพก็อยู่ไม่ได้
จึงเห็นได้ชัดเจนว่าข้อเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตรฯไม่ใช่เพื่อเจรจาและประนี ประนอม แต่ต้องการให้รัฐบาลทำตามที่เรียกร้อง จึงไม่แปลกที่จะมีการตั้งคำถามถึงการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรฯครั้งนี้ ว่ามีเบื้องหลังอะไรมากกว่าที่เป็นข่าวหรือไม่
กลุ่มพันธมิตรฯต้องการให้กองทัพเข้ามามีบท บาทในการแก้ปัญหาอย่างไร แค่ไหน?
เพราะในทางปฏิบัติผู้นำกองทัพต้องทำตามคำสั่งของรัฐบาล ยกเว้นแต่จะเกิดการปฏิวัติรัฐประหาร อย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า กองทัพต้องปฏิบัติหน้าที่ตามกรอบของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชุดนี้หรือชุดไหนก็แก้ปัญหาชายแดนมาตามลำดับ จนท้ายสุดมาอยู่ที่เอ็มโอยู 43 ทหารก็ต้องทำตามกรอบของการพัฒนา ไม่ใช่ทหารจะไปทำอะไรใครก็ได้ ตรงไหนที่มีความชัดเจนของเส้นเขตแดนก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าตรงไหนมีปัญหาจะมีสัญญาในการดูแลกัน
“ถ้าไม่รักประเทศชาติจะเป็นทหารได้อย่างไร ผมอยากจะรู้นัก ใครอยากจะพูดอะไรต่างๆก็ตาม ให้กลับไปคิดและทบทวนดูสิว่าอะไรควรพูด ไม่ควรพูด ที่ทหารไม่พูดเพราะพูดไปแล้วจะทำให้เกิดความเพลี่ยงพล้ำในการเจรจาพูดคุย มีอะไรต้องมาพูดกันหมดเลยหรือ ซึ่งมันไม่ใช่ รัฐมนตรีกลาโหมก็ทำเต็มที่ กองทัพ
ก็ทำเต็มที่ แล้วท่านมาบอกว่ากองทัพบกกลัวใคร ทำไมไม่ทำ มีผลประโยชน์อะไรหรือเปล่า ท่านเอาอะไรมากล่าวอ้างผมไม่รู้ กองทัพไม่เคยกลัวใคร ซึ่งผมไม่อยากจะพูดคำนี้ แต่ผมเป็น ผบ.ทบ. ทหารบกทั้งกองทัพมีจำนวน 200,000 กว่าคน เขาก็ดูอยู่ว่าผมปกป้องศักดิ์ศรีของเขาหรือเปล่า ผมก็ต้องปกป้องเขา เพราะผมรู้ว่าลูกน้องผมเขาไม่ได้ทำอย่างนั้น เขาสูญเสียอะไรต่างๆมามากมาย ลูกเมียเดือดร้อน ผมพูดไปก็จะหาว่ากองทัพบกทวงบุญคุณอีก และผมจะพูดอะไรได้ ผมต้องปล่อยให้ด่าอยู่ข้างเดียวหรือไง กองทัพถูกด่าข้างเดียวไม่ถูก ผมว่าไม่เป็นธรรม ท่านต้องช่วยกองทัพ วันนี้ถ้าท่านไม่มีกองทัพ ไม่มีเจ้าหน้าที่ ไม่มีทหาร ไม่มีคนทำงาน ท่านจะอยู่อย่างไร ท่านไปถามตัวของท่านเองก็แล้วกัน”
“เชื้ออุบาทว์” ยังอยู่
คำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์เรื่องบทบาทของกองทัพกับนายสุเทพ ซึ่งตั้งคำถามถึงข้อเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตรฯที่รัฐบาลทำไม่ได้นั้น ทำให้มีหลายฝ่ายเห็นด้วยกับคำพูดของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ที่กล่าวก่อนจะมีการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรฯว่า “ความพยายามก่อการรัฐประหารยังมีเชื้อหลงเหลือ”
โดย พล.อ.ชวลิตยืนยันว่า โอกาสการทำรัฐประหารเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง เพราะอีกฝ่ายต้องการยื้ออำนาจต่อไป จึงมีการปล่อยข่าวรัฐประหารเพื่อโยนหินถามทาง แม้วันนี้จะทำได้ยากเพราะประชาชนตื่นตัว แต่ต้องร่วมกันป้องกันไม่ให้เกิดรัฐประหาร ซึ่งมีทางเดียวคือต้องให้มวลชนตื่นตัว ใครคิดเปลี่ยนแปลงในทางไม่ถูกต้องประชาชนต้องไม่ยอมรับ
ทำไมต้องรัฐประหาร?
การออกมาเตือนเรื่องการปฏิวัติรัฐประหารของ พล.อ.ชวลิตจึงไม่ใช่การปล่อยข่าวหรือโกหกตอแหลอย่างไร้สาระเหมือนนักการ เมืองมากมายขณะนี้ แต่การปฏิวัติรัฐประหารมีความเป็นไปได้ตลอดเวลาสำหรับการเมือง ตราบใดที่บ้านเมืองยังอยู่ในมือของกลุ่มผู้มีอำนาจนอกระบบและผู้นำกองทัพ ขณะที่นักการเมืองยังเป็นแค่ “นักเลือกตั้ง” และ “พวกลากตั้ง” เข้ามา
ที่สำคัญนายอภิสิทธิ์ก็เหมือนน้ำท่วมปากกับกระแสข่าวการทุจริตคอร์รัปชันในรัฐบาล แม้จะไม่มี
ใบเสร็จแต่โครงการมากมายก็มีหลักฐานส่อว่าไม่โปร่งใส โดยเฉพาะพรรคร่วมรัฐบาล แต่นายอภิสิทธิ์ก็ไม่กล้าแตะต้องหรือเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรีที่ถูกกล่าวหาเพียง เพื่อไม่ให้รัฐบาลล้มหรือตัวเองยังเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป ซึ่งนายสนธิได้นำมาโจมตีนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์มาโดยตลอด
อย่างการประมูลข้าวมีนักการเมืองได้ประโยชน์หลายพันล้านบาท การอนุญาตนำเข้าน้ำมันปาล์มเพื่อให้นักการเมืองของพรรคเก่าแก่ขนน้ำมันปาล์ม เถื่อนเข้ามาได้และมีกำไรมากขึ้น การตั้งปลัดกระทรวงมหาดไทยข้ามลำดับอาวุโสถึง 50 อันดับ การแต่งตั้งตำรวจระดับผู้กำกับก็มีการตั้งโต๊ะในทำเนียบรัฐบาลเก็บเงินหัวละ 3-5 ล้านบาท
แต่ขณะเดียวกันก็มีคำถามว่าพรรคการเมืองใหม่จะมีที่ยืนในเวทีการเมือง หรือไม่ เพราะหลังจากการเลือกตั้ง ส.ก.-ส.ข. ในกรุงเทพมหานครที่พรรคการ เมืองใหม่แจ้งเกิดไม่ได้เลยแม้แต่ที่นั่งเดียว การออกมาของพันธมิตรฯครั้งนี้มีเบื้องหลังเพื่อหาที่ยืนหรือไม่? บทบาทของพันธมิตรฯจะเป็นอย่างไรต่อไปหากมีการเลือกตั้ง แต่ถ้ามีการปฏิวัติรัฐประหารก็เท่ากับว่าทุกพรรคการเมืองถูกบอนไซเหมือนกัน หมด หรืออาจถูกล้างไพ่ใหม่ทั้งหมด หรือการออกมาของพันธมิตรฯก็เพื่อปูพรมแดงให้ทหารเดินออกมาปฏิวัติรัฐประหาร เหมือน 19 กันยายน 2549 อีกหรือไม่?
ปฏิวัติ...นะจ๊ะ!
ในขณะที่กองทัพก็มักจะอ้างความมั่นคง การหมิ่นสถาบัน และข้อหาฉกาจฉกรรจ์ เพื่อกำจัดนักการเมืองชั่วที่คอร์รัปชันทุกครั้งในการยึดอำนาจ แต่ไม่เคยพูดถึงความโปร่งใส การจัดซื้อในกองทัพ งบลับทหาร หรือแม้แต่การแย่งชิงอำนาจกันเอง โดยเฉพาะนับตั้งแต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ซึ่งรัฐบาลและนัก การเมืองต่างเอาอกเอาใจกองทัพเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์นับแสนล้าน หรืองบประมาณของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ที่ไม่ยอมเปิดเผย นอกจากนี้ที่ผ่านมายังมีการกล่าวหาเรื่องการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆที่ ไม่โปร่งใสหลายโครงการ ไม่ว่าจะเป็นเรือเหาะที่กลายเป็นเรือเหี่ยวที่บินไม่ได้ ตำนานไม้ล้างป่าช้า-จีที 200 การจัดซื้อรถหุ้มเกราะจากยูเครน หรือการจัดซื้อรถยุทธวิธี (ปิกอัพ) กันกระสุนจำนวน 300 คัน ราคาคันละ 2.5 ล้านบาทที่ยังฝุ่นตลบอยู่
ดังนั้น การปฏิวัติรัฐประหารจึงอาจไม่ใช่แค่การปัดกวาดนักการเมืองและพรรคการเมือง เน่าๆออกจากระบบเท่านั้น แต่ยังอาจเป็นการจัดสรรผลประโยชน์ต่างๆภายในกองทัพและกลุ่มผู้มีอำนาจต่างๆ ให้ลงตัว แถมยังสามารถกวาดขยะของกองทัพเองซุกไว้ใต้พรมสีเหลืองอร่ามได้อีกด้วย
นายอภิสิทธิ์จึงต้องพยายามทำทุกวิถีทางไม่ให้เกิดการปฏิวัติรัฐประหาร เพื่อจะอยู่ในอำนาจต่อไปให้นานที่สุด แม้จะเป็นผู้นำที่สั่งการอะไรไม่ได้ก็ตาม แต่อย่างน้อยนายอภิสิทธิ์ยังสามารถเดิน สายสร้างภาพรำป้อ เป็น “พระเอกลิเก” ขวัญใจพ่อยกแม่ยก ต่อไปได้เรื่อยๆ...
จนกว่าจะเกิดการปฏิวัติ...นะจ๊ะ!
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 296 วันที่ 29 มกราคม - 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 หน้า 16 คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน 2011-01-28
โลกวันนี้: พท.ปูดแผนจตุรทิศชี้ปฏิวัติไม่ใช่โคมลอย
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย(พท.) กล่าววันที่ 29 มกราคม ว่าคณะที่ปรึกษาด้านการเมือง ความมั่นคง ของพรรคได้หารือกันถึงสถานการณ์ของประเทศระบุว่า ข่าวการเตรียมการปฏิวัติอาจไม่ใช่เรื่องการปล่อยข่าว แต่ไฟจะเกิดได้ย่อมมีควัน แผนดังกล่าวมีลักษณะคล้ายบันได 4 ขั้นตอนล้มรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ด้วยการเกิดม็อบผู้ชุมนุม สุดท้ายก็ออกมาปฏิวัติ 2549 และพบว่าได้มีการใช้อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่หลังจากการล้มรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี และมาเข้มข้นในช่วงปี 2552-2553
โดยแผนมีดังนี้
1.ทิศแห่งพลัง คือการสร้างพลังให้แข็งแรงกับเครือข่ายของตน ด้วยการให้มือและแขนขาของตนทำงานได้อย่างแข็งแรง
2.ทิศแห่งเงินตรา มีลักษณะการทำคุณให้คนใกล้ชิดด้วยการใช้เงินมหาศาลในทุกระบบ
3.ทิศแห่งกฎเกณฑ์ พบว่าเป็นการวางกฎเกณฑ์เพื่อให้คู่ต่อสู้อ่อนแอในทุกรูปแบบ และพ่ายแพ้ไปในที่สุด ด้วยการเขียนกติกาต่างๆ ในสังคมเอง เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ
4.ทิศแห่งอำนาจ ดูจะสอดคล้องความเป็นจริงมากขึ้นหลังจาก การจุดประเด็นเรื่องการปฏิวัติในหลายวันที่ผ่านมาและการออกมาชุมนุมของ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
กระแสปฏิวัติแรง‘อภิสิทธิ์’ระทึกบินร่วมประชุมWEFที่สวิส
กระแสข่าวปฏิวัติ ยังแรงแม้หลายฝ่ายจะเรียงหน้าออกมาปฏิเสธ “อภิสิทธิ์” ลุ้นระทึกต้องบินร่วมประชุม World Economic Forum ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ตั้งแต่วันที่ 28-31 ม.ค. จะได้กลับหรือไม่ เรียก “สุเทพ” เข้ารับนโยบายทำงานช่วงนั่งรักษาการนายกฯ โฆษกวอร์รูมพรรคเพื่อแผ่นดินระบุสถานการณ์ขณะนี้ผิดปรกติหลายอย่าง ทั้งการชุมนุมของหลายกลุ่มและการจับคนร้ายพร้อมอาวุธเตรียมป่วนเมือง แนะนายกฯชิงตัดหน้ายุบสภาเลือกตั้งใหม่ก่อนถูกครหาได้อำนาจเพราะทหารและต้อง ลงจากตำแหน่งเพราะทหาร “จาตุรนต์” เชื่อมีกลุ่มคนพยายามใช้ความรุนแรงบีบให้เปลี่ยนแปลงทางการเมืองด้วยวิธีการ ที่สลับซับซ้อน ขณะที่ “ประวิตร-อภิสิทธิ์-สุเทพ” ประสานเสียงยืนยันไม่มีปฏิวัติแน่
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงเรื่องการประชุมเตรียมปฏิวัติของนายทหารระดับ สูง โดยระบุว่า “ผมไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน หากพวกคุณอยากรู้ให้ไปถามนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ว่าไปเอาข่าวนี้มาจากไหน”
ซัด “จตุพร” ใส่ร้ายกองทัพ
พล.อ.ประวิตรกล่าวอีกว่า นายจตุพรชอบใส่ร้ายกองทัพและพูดอะไรโดยไม่คิด ไม่มีความรับผิดชอบ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า จะไม่มีการปฏิวัติ เพราะทหารคงไม่คิดเรื่องนี้
“มาร์ค” ยังมั่นใจในตัว “ประวิตร”
ผู้สื่อข่าวถามว่ายังมั่นใจในตัว พล.อ.ประวิตรอยู่ใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า มั่นใจ
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องการปฏิวัติอยู่ๆก็มีข่าวลือออกมา ไม่รู้ไปเอากันมาจากไหน
“สุเทพ” เชื่อไม่มีปฏิวัติแน่
“ไม่มีหรอกครับ ทำไม่ได้หรอกครับ ผมไม่บ้าไปด้วย ไม่รู้เอามาจากไหน” นายสุเทพกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอภิสิทธิ์มีกำหนดการเดินทางไปร่วมประชุมประจำปี World Economic Forum (WEF) ครั้งที่ 41 ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 28-31 ม.ค. นี้ โดยนายกฯได้เรียกนายสุเทพที่จะนั่งรักษาการนายกฯเข้าพบเพื่อมอบหมายภารกิจ และนโยบายในการดูแลสถานการณ์การเมือง
“จำลอง” ไม่สนทหารจะปฏิวัติหรือไม่
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยืนยันว่า พันธมิตรฯออกมาชุมนุมเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ ไม่ได้หวังเรื่องอื่น
“ใครจะปฏิวัติ ใครจะมาเป็นรัฐบาลเราไม่ได้สนใจ แต่ถ้ามาแล้วทำไม่ถูกต้องเราก็ต้องออกมา เราไม่ได้ชุมนุมให้มีปฏิวัติ เรามีเป้าหมายเดียวคือกดดันให้รัฐบาลออกมาทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดินตามรัฐ ธรรมนูญ มาตรา 77” พล.ต.จำลองกล่าว
พผ. ชี้สถานการณ์ชักแปลกๆ
นพ.ภูมินทร์ ลีธีระประเสริฐ โฆษกวอร์รูมพรรคเพื่อแผ่นดิน ยอมรับว่า เวลานี้มีกระแสข่าวการปฏิวัติออกมาอย่างต่อเนื่อง มีการพูดถึงขั้นว่าปีนี้จะไม่มีการเลือกตั้ง
“สถานการณ์การเมืองเวลานี้ค่อนข้างแปลกๆหลายเรื่อง ทั้งการชุมนุมที่ออกมาพร้อมกันหลายกลุ่มและการจับกุมผู้ที่เตรียมอาวุธก่อ ความไม่สงบ สถานการณ์ทุกอย่างดูจะเชื่อมโยงกัน ทางที่ดีนายกรัฐมนตรีควรพิจารณาให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นโดยเร็ว จะได้ไม่ต้องให้คนอื่นเขาพูดดูถูกว่าเป็นรัฐบาลได้ก็เพราะทหาร พ้นจากตำแหน่งก็เพราะทหาร” นพ.ภูมินทร์กล่าว
“จาตุรนต์” ระบุมีความคิดเปลี่ยนแปลง
นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานสถาบันศึกษาการพัฒนาประชาธิปไตยและอดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า ให้ประชาชนจับตาการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ เพราะเชื่อว่าไม่เพียงต้องการให้ไทยกับกัมพูชาขัดแย้งกันมากยิ่งขึ้นเท่า นั้น แต่อาจแฝงความพยายามที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่รุนแรงด้วย วัตถุประสงค์ที่ลึกลับซับซ้อนแบบที่หาเหตุผลตามปรกติไม่ได้
“เทพไท” ย้ำไม่มีข้ออ้างให้ปฏิวัติ
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า กระแสเรื่องการปฏัวัติเป็นเพียงการสร้างข่าว เพราะขณะนี้ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะใช้เป็นข้ออ้างในการปฏิวัติ
“คนที่พูดเรื่องปฏิวัติเป็นการคิดเอาเอง และเป็นพวกที่ต้องการโค่นล้มรัฐบาลด้วยวิธีการใดก็ได้จึงออกมาพูดเรื่อง ปฏิวัติ” นายเทพไทกล่าวและว่า นอกจากไม่มีเหตุผลที่จะทำการปฏิวัติแล้วรัฐบาลยังได้รับการสนับสนุนจากหลาย ฝ่าย พรรคประชาธิปัตย์จึงไม่วิตกกังวลใดๆต่อกระแสการปฏิวัติ มั่นใจว่าทั้งหมดเป็นเรื่องของข่าวลือ อยากให้คนปล่อยข่าวนี้ยุติเสียที
นายเทพไทกล่าวอีกว่า นายกรัฐมนตรีพูดชัดเจนแล้วว่าจะยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนภายในเดือน เม.ย. หรือ พ.ค. นี้ จึงไม่จำเป็นอะไรที่ต้องปฏิวัติ
ที่มา:
1) นิตยสารโลกวันนี้ (update: 2011-01-29 14:04:07)
2) รื่องจากปก จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้ ปีที่ 12 ฉบับที่ 2980 ประจำวัน ศุกร์ ที่ 28 มกราคม 2011
โดยแผนมีดังนี้
1.ทิศแห่งพลัง คือการสร้างพลังให้แข็งแรงกับเครือข่ายของตน ด้วยการให้มือและแขนขาของตนทำงานได้อย่างแข็งแรง
2.ทิศแห่งเงินตรา มีลักษณะการทำคุณให้คนใกล้ชิดด้วยการใช้เงินมหาศาลในทุกระบบ
3.ทิศแห่งกฎเกณฑ์ พบว่าเป็นการวางกฎเกณฑ์เพื่อให้คู่ต่อสู้อ่อนแอในทุกรูปแบบ และพ่ายแพ้ไปในที่สุด ด้วยการเขียนกติกาต่างๆ ในสังคมเอง เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ
4.ทิศแห่งอำนาจ ดูจะสอดคล้องความเป็นจริงมากขึ้นหลังจาก การจุดประเด็นเรื่องการปฏิวัติในหลายวันที่ผ่านมาและการออกมาชุมนุมของ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
กระแสปฏิวัติแรง‘อภิสิทธิ์’ระทึกบินร่วมประชุมWEFที่สวิส
กระแสข่าวปฏิวัติ ยังแรงแม้หลายฝ่ายจะเรียงหน้าออกมาปฏิเสธ “อภิสิทธิ์” ลุ้นระทึกต้องบินร่วมประชุม World Economic Forum ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ตั้งแต่วันที่ 28-31 ม.ค. จะได้กลับหรือไม่ เรียก “สุเทพ” เข้ารับนโยบายทำงานช่วงนั่งรักษาการนายกฯ โฆษกวอร์รูมพรรคเพื่อแผ่นดินระบุสถานการณ์ขณะนี้ผิดปรกติหลายอย่าง ทั้งการชุมนุมของหลายกลุ่มและการจับคนร้ายพร้อมอาวุธเตรียมป่วนเมือง แนะนายกฯชิงตัดหน้ายุบสภาเลือกตั้งใหม่ก่อนถูกครหาได้อำนาจเพราะทหารและต้อง ลงจากตำแหน่งเพราะทหาร “จาตุรนต์” เชื่อมีกลุ่มคนพยายามใช้ความรุนแรงบีบให้เปลี่ยนแปลงทางการเมืองด้วยวิธีการ ที่สลับซับซ้อน ขณะที่ “ประวิตร-อภิสิทธิ์-สุเทพ” ประสานเสียงยืนยันไม่มีปฏิวัติแน่
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงเรื่องการประชุมเตรียมปฏิวัติของนายทหารระดับ สูง โดยระบุว่า “ผมไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน หากพวกคุณอยากรู้ให้ไปถามนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ว่าไปเอาข่าวนี้มาจากไหน”
ซัด “จตุพร” ใส่ร้ายกองทัพ
พล.อ.ประวิตรกล่าวอีกว่า นายจตุพรชอบใส่ร้ายกองทัพและพูดอะไรโดยไม่คิด ไม่มีความรับผิดชอบ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า จะไม่มีการปฏิวัติ เพราะทหารคงไม่คิดเรื่องนี้
“มาร์ค” ยังมั่นใจในตัว “ประวิตร”
ผู้สื่อข่าวถามว่ายังมั่นใจในตัว พล.อ.ประวิตรอยู่ใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า มั่นใจ
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องการปฏิวัติอยู่ๆก็มีข่าวลือออกมา ไม่รู้ไปเอากันมาจากไหน
“สุเทพ” เชื่อไม่มีปฏิวัติแน่
“ไม่มีหรอกครับ ทำไม่ได้หรอกครับ ผมไม่บ้าไปด้วย ไม่รู้เอามาจากไหน” นายสุเทพกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอภิสิทธิ์มีกำหนดการเดินทางไปร่วมประชุมประจำปี World Economic Forum (WEF) ครั้งที่ 41 ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 28-31 ม.ค. นี้ โดยนายกฯได้เรียกนายสุเทพที่จะนั่งรักษาการนายกฯเข้าพบเพื่อมอบหมายภารกิจ และนโยบายในการดูแลสถานการณ์การเมือง
“จำลอง” ไม่สนทหารจะปฏิวัติหรือไม่
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยืนยันว่า พันธมิตรฯออกมาชุมนุมเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ ไม่ได้หวังเรื่องอื่น
“ใครจะปฏิวัติ ใครจะมาเป็นรัฐบาลเราไม่ได้สนใจ แต่ถ้ามาแล้วทำไม่ถูกต้องเราก็ต้องออกมา เราไม่ได้ชุมนุมให้มีปฏิวัติ เรามีเป้าหมายเดียวคือกดดันให้รัฐบาลออกมาทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดินตามรัฐ ธรรมนูญ มาตรา 77” พล.ต.จำลองกล่าว
พผ. ชี้สถานการณ์ชักแปลกๆ
นพ.ภูมินทร์ ลีธีระประเสริฐ โฆษกวอร์รูมพรรคเพื่อแผ่นดิน ยอมรับว่า เวลานี้มีกระแสข่าวการปฏิวัติออกมาอย่างต่อเนื่อง มีการพูดถึงขั้นว่าปีนี้จะไม่มีการเลือกตั้ง
“สถานการณ์การเมืองเวลานี้ค่อนข้างแปลกๆหลายเรื่อง ทั้งการชุมนุมที่ออกมาพร้อมกันหลายกลุ่มและการจับกุมผู้ที่เตรียมอาวุธก่อ ความไม่สงบ สถานการณ์ทุกอย่างดูจะเชื่อมโยงกัน ทางที่ดีนายกรัฐมนตรีควรพิจารณาให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นโดยเร็ว จะได้ไม่ต้องให้คนอื่นเขาพูดดูถูกว่าเป็นรัฐบาลได้ก็เพราะทหาร พ้นจากตำแหน่งก็เพราะทหาร” นพ.ภูมินทร์กล่าว
“จาตุรนต์” ระบุมีความคิดเปลี่ยนแปลง
นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานสถาบันศึกษาการพัฒนาประชาธิปไตยและอดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า ให้ประชาชนจับตาการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ เพราะเชื่อว่าไม่เพียงต้องการให้ไทยกับกัมพูชาขัดแย้งกันมากยิ่งขึ้นเท่า นั้น แต่อาจแฝงความพยายามที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่รุนแรงด้วย วัตถุประสงค์ที่ลึกลับซับซ้อนแบบที่หาเหตุผลตามปรกติไม่ได้
“เทพไท” ย้ำไม่มีข้ออ้างให้ปฏิวัติ
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า กระแสเรื่องการปฏัวัติเป็นเพียงการสร้างข่าว เพราะขณะนี้ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะใช้เป็นข้ออ้างในการปฏิวัติ
“คนที่พูดเรื่องปฏิวัติเป็นการคิดเอาเอง และเป็นพวกที่ต้องการโค่นล้มรัฐบาลด้วยวิธีการใดก็ได้จึงออกมาพูดเรื่อง ปฏิวัติ” นายเทพไทกล่าวและว่า นอกจากไม่มีเหตุผลที่จะทำการปฏิวัติแล้วรัฐบาลยังได้รับการสนับสนุนจากหลาย ฝ่าย พรรคประชาธิปัตย์จึงไม่วิตกกังวลใดๆต่อกระแสการปฏิวัติ มั่นใจว่าทั้งหมดเป็นเรื่องของข่าวลือ อยากให้คนปล่อยข่าวนี้ยุติเสียที
นายเทพไทกล่าวอีกว่า นายกรัฐมนตรีพูดชัดเจนแล้วว่าจะยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนภายในเดือน เม.ย. หรือ พ.ค. นี้ จึงไม่จำเป็นอะไรที่ต้องปฏิวัติ
ที่มา:
1) นิตยสารโลกวันนี้ (update: 2011-01-29 14:04:07)
2) รื่องจากปก จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้ ปีที่ 12 ฉบับที่ 2980 ประจำวัน ศุกร์ ที่ 28 มกราคม 2011
วันพุธ, มกราคม 26, 2554
แผนล็อกงบประมาณล่วงหน้า
แผนล็อกงบประมาณล่วงหน้า
ต้องบอกว่างานนี้รัฐบาลใส่เกียร์ห้า ภายใต้อัตราเร่งเครื่องแบบแปลกๆ
เมื่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 24 ม.ค. อนุมัติกรอบของร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรวดเดียว 2 ฉบับ
หนึ่ง คือ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณกลางปี 2554 วงเงิน 1 แสนล้านบาท โดยคาดว่าจะสามารถเบิกจ่ายได้ในช่วงเดือน มี.ค.นี้
งบกลางส่วนใหญ่ใช้เพื่อชดเชยเงินคงคลัง อีกส่วนใช้ลงทุนในส่วนท้องถิ่น 5,900 ล้านบาท และฟื้นฟูอุทกภัยอีก 1 หมื่นล้านบาท
ฉบับที่สอง คือกรอบ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 วงเงิน 2.25 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.7% จากปีก่อน หรือเพิ่ม 1.8 แสนล้านบาท
แบ่งเป็นรายจ่ายประจำ 1,820,313.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณที่ผ่านมา 9.6% รายจ่ายการลงทุน 382,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.7% และเป็นรายจ่ายเพื่อชำระคืนเงินกู้ 47,186.4 ล้านบาท
เป็นการจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล 3.5 แสนล้านบาท ขาดดุลลดลง 16.7% หรือ 7 หมื่นล้านบาท จากปีงบ 2554 ที่ขาดดุล 4.2 แสนล้านบาท
การอนุมัติกฎหมายงบประมาณล่าสุดถือว่า เหาะเหินเดินอากาศมาในช่วงที่กำลังจะเปิดสภาผู้แทนราษฎรเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550
เรียกได้ว่าประจวบเหมาะ!!!
สิ่งที่คนวงในวิเคราะห์กันก็คือ รัฐบาลกำลัง “ล็อก” ตัวเลขงบประมาณก้อนใหม่ เพื่อใช้เป็นเสบียงกรังในการเลือกตั้งที่จะมาถึง
โดยคาดว่างบกลางปีจะเข้าสภาได้ภายในวันที่ 16 ก.พ. ส่วนงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 จะเข้าหลังจากนั้น 12 เดือน
เท่ากับว่ารัฐบาลจะมีเงินก้อนหนึ่งปูพรมออกมาเพื่อซื้อใจผู้ที่ได้รับผล กระทบจากอุทกภัย ซึ่งแน่นอนว่าจะช่วยให้เศรษฐกิจไตรมาสแรกกระฉับกระเฉงขึ้น
ส่วน “ไฮไลต์” จริงๆ ก็คืองบประมาณปี 2555 ที่เป็นงบก้อนใหญ่ และมีผลต่อเศรษฐกิจการเมืองของประเทศชาติอย่างยิ่งยวด
เพราะบรรดานักการเมืองต่างก็จ้องตาเป็นมัน เพราะหมายถึงชิงความได้เปรียบดึงเงินลงพื้นที่หาเสียง
แต่งานนี้รัฐบาลยิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว เพราะสามารถล่อใจพรรคร่วมรัฐบาลในการโหวตแก้รัฐธรรมนูญ และลดแรงกดดันฝ่ายค้านไม่ให้กดดันแรงเกินไป
ส่วนรัฐบาลประชาธิปัตย์ก็จำเป็นต้องใช้เงินในการสร้างสังคมรัฐสวัสดิการ ล่าสุดยังมีนโยบายประชาวิวัฒน์ออกมา ซึ่งทุกเรื่องล้วนต้องใช้งบประมาณอัดฉีดลงสู่รากหญ้าทั้งสิ้น ...
นายมนตรี โสคติยานุรักษ์ นักวิชาการ จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือนิด้า มองว่า ปัญหาเฉพาะหน้าของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีขณะนี้ คือ มีนโยบายด้านสวัสดิการสังคมออกมามาก แต่เม็ดเงินที่จะนำไปใช้ตามนโยบายค่อนข้างจำกัด
เนื่องจากฐานการจัดเก็บรายได้ของประเทศไทยต่ำมาก เพียง 17% ของมูลค่าทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพี ถือว่าต่ำมาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นทั่วโลกที่สัดส่วนอยู่ที่ 30% ของจีดีพี
สมมติว่ามูลค่าจีดีพีไทยอยู่ที่ 10 ล้านล้านบาท ฐานการจัดเก็บรายได้มีแค่ 1.5 ล้านล้านบาทเท่านั้น ขณะที่งบประมาณรายจ่ายของประเทศปี 2554 อยู่ที่ 2.07 ล้านล้านบาท ทำให้ต้องกู้หนี้มาลงทุน
“ผมมองว่า สถานะของประเทศไทยจริงๆ ขณะนี้ รัฐบาลควรจะมีรายได้ประมาณ 3 ล้านล้านบาทต่อปี มาพัฒนาประเทศ จะช่วยให้รัฐบาลไม่ต้องกู้เงินมากเกินไปจนเป็นภาระของลูกหลานในวันข้างหน้า” นายมนตรี กล่าว
เมื่อประเทศที่เป็นต้นแบบของรัฐสวัสดิการอย่างสวีเดน มีฐานรายได้ภาษีอยู่ที่ 50% ของจีดีพี หากประเทศไทยทำได้เช่นนี้ ก็จะมีงบประมาณมาพัฒนาประเทศถึงปีละ 5 ล้านล้านบาท
ประเด็นสำคัญก็คือเมื่อรัฐบาลเก็บรายได้เข้ามามากแล้ว ก็ต้องสร้างรูปธรรมให้ประชาชนเห็นด้วยว่าเงินนั้นเอาไปใช้เป็นประโยชน์อย่างไร
ดังนั้น การคิดนโยบายและที่มาของรายได้ในการขับเคลื่อนของรัฐบาลต้องคิด “ทั้งระบบ” ถ้าอยากดูแลประชาชน แต่ไม่มีเงิน สุดท้ายก็ต้องเป็นหนี้
“คำถามก็คือ คนที่จะมาชำระหนี้เป็นใครก็คือประชาชน ดังนั้น จึงต้องสร้างกลไกดูแลประชาชน ที่ไม่เป็นภาระต่ออนาคตด้วย” นายมนตรี ระบุ
หากร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2555 เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรในสมัยประชุมวาระ 1 เมื่อไหร่ เท่ากับว่ารัฐบาลล็อกเงินได้แล้ว เพราะเมื่อรัฐบาลใหม่มา การจะ “รื้อหรือโละ” กฎหมายฉบับนี้คงเป็นไปได้ยาก
ถ้าเปรียบกับภาพยนตร์ไทยสมัยก่อน ตัวเอกที่ชื่อประชาธิปัตย์สามารถบอกได้ดังๆ ว่า “เราล้อมไว้หมดแล้ว”
งานนี้ถ้ามาร์คไม่ตกม้าตายกับปัญหาค่าครองชีพที่แพงหูฉี่ ปัญหาการเมืองแดงเหลืองร้อนฉ่า และปัญหากัมพูชาที่วุ่นวายถึงขีดสุด
การเลือกตั้งใหม่ที่อาจจะมาถึงในเดือนเม.ย.พ.ค.นี้ ประชาธิปัตย์น่าจะได้เปรียบคู่แข่งทางการเมืองค่อนข้างชัดเจน
เพราะมีทั้งกระแสและกระสุนครบมือ!!!
ที่มา : MSNการเงินและธนาคาร
Last update : 1/25/2011 11:16:36 AM
ต้องบอกว่างานนี้รัฐบาลใส่เกียร์ห้า ภายใต้อัตราเร่งเครื่องแบบแปลกๆ
เมื่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 24 ม.ค. อนุมัติกรอบของร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรวดเดียว 2 ฉบับ
หนึ่ง คือ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณกลางปี 2554 วงเงิน 1 แสนล้านบาท โดยคาดว่าจะสามารถเบิกจ่ายได้ในช่วงเดือน มี.ค.นี้
งบกลางส่วนใหญ่ใช้เพื่อชดเชยเงินคงคลัง อีกส่วนใช้ลงทุนในส่วนท้องถิ่น 5,900 ล้านบาท และฟื้นฟูอุทกภัยอีก 1 หมื่นล้านบาท
ฉบับที่สอง คือกรอบ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 วงเงิน 2.25 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.7% จากปีก่อน หรือเพิ่ม 1.8 แสนล้านบาท
แบ่งเป็นรายจ่ายประจำ 1,820,313.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณที่ผ่านมา 9.6% รายจ่ายการลงทุน 382,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.7% และเป็นรายจ่ายเพื่อชำระคืนเงินกู้ 47,186.4 ล้านบาท
เป็นการจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล 3.5 แสนล้านบาท ขาดดุลลดลง 16.7% หรือ 7 หมื่นล้านบาท จากปีงบ 2554 ที่ขาดดุล 4.2 แสนล้านบาท
การอนุมัติกฎหมายงบประมาณล่าสุดถือว่า เหาะเหินเดินอากาศมาในช่วงที่กำลังจะเปิดสภาผู้แทนราษฎรเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550
เรียกได้ว่าประจวบเหมาะ!!!
สิ่งที่คนวงในวิเคราะห์กันก็คือ รัฐบาลกำลัง “ล็อก” ตัวเลขงบประมาณก้อนใหม่ เพื่อใช้เป็นเสบียงกรังในการเลือกตั้งที่จะมาถึง
โดยคาดว่างบกลางปีจะเข้าสภาได้ภายในวันที่ 16 ก.พ. ส่วนงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 จะเข้าหลังจากนั้น 12 เดือน
เท่ากับว่ารัฐบาลจะมีเงินก้อนหนึ่งปูพรมออกมาเพื่อซื้อใจผู้ที่ได้รับผล กระทบจากอุทกภัย ซึ่งแน่นอนว่าจะช่วยให้เศรษฐกิจไตรมาสแรกกระฉับกระเฉงขึ้น
ส่วน “ไฮไลต์” จริงๆ ก็คืองบประมาณปี 2555 ที่เป็นงบก้อนใหญ่ และมีผลต่อเศรษฐกิจการเมืองของประเทศชาติอย่างยิ่งยวด
เพราะบรรดานักการเมืองต่างก็จ้องตาเป็นมัน เพราะหมายถึงชิงความได้เปรียบดึงเงินลงพื้นที่หาเสียง
แต่งานนี้รัฐบาลยิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว เพราะสามารถล่อใจพรรคร่วมรัฐบาลในการโหวตแก้รัฐธรรมนูญ และลดแรงกดดันฝ่ายค้านไม่ให้กดดันแรงเกินไป
ส่วนรัฐบาลประชาธิปัตย์ก็จำเป็นต้องใช้เงินในการสร้างสังคมรัฐสวัสดิการ ล่าสุดยังมีนโยบายประชาวิวัฒน์ออกมา ซึ่งทุกเรื่องล้วนต้องใช้งบประมาณอัดฉีดลงสู่รากหญ้าทั้งสิ้น ...
นายมนตรี โสคติยานุรักษ์ นักวิชาการ จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือนิด้า มองว่า ปัญหาเฉพาะหน้าของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีขณะนี้ คือ มีนโยบายด้านสวัสดิการสังคมออกมามาก แต่เม็ดเงินที่จะนำไปใช้ตามนโยบายค่อนข้างจำกัด
เนื่องจากฐานการจัดเก็บรายได้ของประเทศไทยต่ำมาก เพียง 17% ของมูลค่าทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพี ถือว่าต่ำมาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นทั่วโลกที่สัดส่วนอยู่ที่ 30% ของจีดีพี
สมมติว่ามูลค่าจีดีพีไทยอยู่ที่ 10 ล้านล้านบาท ฐานการจัดเก็บรายได้มีแค่ 1.5 ล้านล้านบาทเท่านั้น ขณะที่งบประมาณรายจ่ายของประเทศปี 2554 อยู่ที่ 2.07 ล้านล้านบาท ทำให้ต้องกู้หนี้มาลงทุน
“ผมมองว่า สถานะของประเทศไทยจริงๆ ขณะนี้ รัฐบาลควรจะมีรายได้ประมาณ 3 ล้านล้านบาทต่อปี มาพัฒนาประเทศ จะช่วยให้รัฐบาลไม่ต้องกู้เงินมากเกินไปจนเป็นภาระของลูกหลานในวันข้างหน้า” นายมนตรี กล่าว
เมื่อประเทศที่เป็นต้นแบบของรัฐสวัสดิการอย่างสวีเดน มีฐานรายได้ภาษีอยู่ที่ 50% ของจีดีพี หากประเทศไทยทำได้เช่นนี้ ก็จะมีงบประมาณมาพัฒนาประเทศถึงปีละ 5 ล้านล้านบาท
ประเด็นสำคัญก็คือเมื่อรัฐบาลเก็บรายได้เข้ามามากแล้ว ก็ต้องสร้างรูปธรรมให้ประชาชนเห็นด้วยว่าเงินนั้นเอาไปใช้เป็นประโยชน์อย่างไร
ดังนั้น การคิดนโยบายและที่มาของรายได้ในการขับเคลื่อนของรัฐบาลต้องคิด “ทั้งระบบ” ถ้าอยากดูแลประชาชน แต่ไม่มีเงิน สุดท้ายก็ต้องเป็นหนี้
“คำถามก็คือ คนที่จะมาชำระหนี้เป็นใครก็คือประชาชน ดังนั้น จึงต้องสร้างกลไกดูแลประชาชน ที่ไม่เป็นภาระต่ออนาคตด้วย” นายมนตรี ระบุ
หากร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2555 เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรในสมัยประชุมวาระ 1 เมื่อไหร่ เท่ากับว่ารัฐบาลล็อกเงินได้แล้ว เพราะเมื่อรัฐบาลใหม่มา การจะ “รื้อหรือโละ” กฎหมายฉบับนี้คงเป็นไปได้ยาก
ถ้าเปรียบกับภาพยนตร์ไทยสมัยก่อน ตัวเอกที่ชื่อประชาธิปัตย์สามารถบอกได้ดังๆ ว่า “เราล้อมไว้หมดแล้ว”
งานนี้ถ้ามาร์คไม่ตกม้าตายกับปัญหาค่าครองชีพที่แพงหูฉี่ ปัญหาการเมืองแดงเหลืองร้อนฉ่า และปัญหากัมพูชาที่วุ่นวายถึงขีดสุด
การเลือกตั้งใหม่ที่อาจจะมาถึงในเดือนเม.ย.พ.ค.นี้ ประชาธิปัตย์น่าจะได้เปรียบคู่แข่งทางการเมืองค่อนข้างชัดเจน
เพราะมีทั้งกระแสและกระสุนครบมือ!!!
ที่มา : MSNการเงินและธนาคาร
Last update : 1/25/2011 11:16:36 AM
มติชนออนไลน์: เปิดวาทกรรม"สนธิ ลิ้มทองกุล" ว่าด้วยผู้นำแบบ"อภิสิทธิ์" ไฉนเปลี๊ยนไป๋?
เมื่อเวลาประมาณ 20.45 น. วันที่ 25 ม.ค. 2554 ที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ขึ้นปราศรัยที่เวทีสะพานมัฆวาน รังสรรค์ ถึงการต่อสู้ของกลุ่มพันธมิตรฯและแนวร่วมคนไทยรักชาติ กรณีปัญหาความขัดแย้งดินแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งทางกลุ่มได้ตั้ง 3 ข้อเรียกร้อง ต่อรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คือ 1. ยกเลิกบันทึกข้อตกลงปักปันและสำรวจเขตแดนทางบกร่วมไทย-กัมพูชาปี 2543 (เอ็มโอยู43) 2.ให้ถอนตัวจากกรรมการมรดกโลก และ3. ให้ผลักดันชาวกัมพูชาพ้นไปจากอธิปไตยของไทย
ทั้งนี้ นายสนธิได้กล่าวโจมตี การทำงานของรัฐบาลไทยในปัจจุบันถึงท่าทีปัญหาชายแดน-ไทย กัมพูชา โดยเฉพาะ นายอภิสิทธิ์ พร้อมยืนยันว่า ตั้งแต่ปี 2548 ที่ตนนำพันธมิตรฯ ออกมาสู้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็เป็นการสู้เพื่อศีลธรรม เพื่อขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณออกไป ไม่ได้แบ่งพี่น้องประชาชนว่าจะเป็นคนภาคอะไร จนกระทั่งมีการปฏิวัติ 19 ก.ย. ผ่านเหตุการณ์ 7 ตุลาฯ 51 ที่ต้องมีการต่อสู้และสูญเสียคนไปหลายคน เหตุการณ์วันที่ 17 เม.ย.52 ที่ตนโดนยิง ล้วนแต่เป็นการสู้เพื่อหลักการทั้งสิ้น ไม่ได้สู้เพื่อพรรคประชาธิปัตย์หรือใครเลย
นี่เป็นส่วนหนึ่ง ของวาทกรรม ของ แกนนำพันธมิตรฯ ที่พูดถึงนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ของประเทศไทย ครั้งล่าสุด ในพ.ศ. 2554 นี้ ผ่านคลิปปราศรัย บนเวทีสะพารมัฆวานรังสรรค์
“คุณไม่ยอมที่จะจัดการกับปัญหาของชาติบ้านเมือง กลัวว่าต่างชาติจะมองว่าคุณมือเปื้อนเลือด แต่คุณปล่อยให้เขาเผาไปครึ่งเมือง ให้ทหารตายไปเป็น 10 คน ไม่คิดว่าคุณมือเปื้อนเลือดเหรือ ถ้าไม่เหลืออด ผมก็ไม่อยากวิพากษณ์วิจารณ์ นายกฯ อภิสิทธิ์ เพราะผมเป็นคนให้โอกาสเขา เหมือนที่เคยให้โอกาส พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เพราะว่าพันธมิตรฯ ไม่ใช่คนที่ไม่มีเหตุผล หรือคนที่จะทวงบุญคุณ”
" ต่อไปนี้ พี่น้องอย่าไปทวงบุญคุณพรรคประชาธิปัตย์ ถือเสียว่าที่เขาได้เป็นรัฐบาลเพราะเราเที่ยวนี้ เหมือนหมาตัวหนึ่งที่มาเยี่ยวราดเรา อย่าไปสนใจมัน ที่เราอยู่ยงคงกระพันอยู่ทุกวันนี้ เพราะเรายืนอยู่บนหลักการปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พ.ต.ท.ทักษิณรับผลกรรมไปแล้ว จะขอพูดต่อ 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดินว่า อีกไม่นานนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ จะได้รับกฎแห่งกรรมในเร็วๆ นี้เช่นกัน"
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ เกือบ 5 ปีก่อน หลังเหตุการณ์รัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 เป็นต้นมา ถึงปัจจุบัน นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้พูดถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อครั้งยังเป็นฝ่ายค้านไว้ ยกตัวอย่าง(บางส่วน) ไล่ลำดับดังนี้ ....
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน 7 เมษายน 2550 : สนธิเสนอเลือกตั้งปี 52
"ผมติดใจคำพูดของคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อยู่คำพูดหนึ่ง วันนี้ผมก็ดู คุณ อภิสิทธิ์บอกว่า พวกเราหมายถึงพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนักการเมืองมืออาชีพ ไม่ใช่นักเลือกตั้ง คำพูดนี้สำคัญมาก คือนักการเมืองถ้ามืออาชีพจริง เข้ามาบริหารจัดการบ้านเมืองอย่างมืออาชีพ คำว่ามืออาชีพถ้าผมแปลตามนัยคุณอภิสิทธิ์ คือว่าบริหารบ้านเมืองอย่างมีประสิทธิผลและมีประสิทธิภาพ และโปร่งใส ผมต่อให้ด้วย แต่ถ้านักเลือกตั้งแล้วไม่ใช่ นักเลือกตั้งคือลงทุนในการเลือกตั้งแล้วเข้ามาเพื่อกอบโกยผลประโยชน์กลับไป คุณแอ้ม ผมจะต่อเรื่องนี้สักนิดหนึ่ง ผมรู้ว่าถ้าทางพรรคประชาธิปัตย์ฟังสิ่งที่ผมพูดหรือว่าพรรคชาติไทยฟัง หรือว่าพรรคหลายๆ พรรคฟัง
หลายๆ คนอาจจะต่อว่าผม แต่ผมคิดว่าถ้าพรรคประชาธิปัตย์ต้องการเป็นนักการเมืองมืออาชีพ จะต้องไม่ว่าผมเรื่องนี้ หรือว่าพรรคการเมืองใดก็ตามต้องการเป็นนักการเมืองมืออาชีพจะต้องเห็นด้วย กับผม ผมกำลังจะพูด และผมเคยพูดแล้ว และจะพูดต่อไปอีกหลายๆ ครั้ง และผมจะเชิญชวนคุณผู้ชมทางบ้านให้ลองหยุดคิดในสิ่งที่ผมจะพูดต่อไป คิดด้วยเหตุด้วยผล สิ่งที่เป็นวงจรอุบาทว์ของเรา คือเรามีรัฐบาล มีนักธุรกิจอย่างคุณทักษิณ ชินวัตร ที่เข้ามากอบโกย ใช้ช่องว่างทางรัฐธรรมนูญเข้ามา เพื่อที่จะมาคอร์รัปชั่นและขายชาติ คำถามที่เราไม่เคยตอบตัวเราเอง และบางครั้งเราตอบแล้วเราก็ลืมมันไป"
30 ส.ค. 2551 ให้สัมภาษณ์นายไมเคิล คอนเน่อร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมือง ประจำมหาวิทยาลัยลา โทรเบ้ ในออสเตรเลีย
"พรรคประชาธิปัตย์น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี สำหรับการปฏิรูปการเมือง โดยให้พรรคร่วมรัฐบาลเปลี่ยนข้างมาจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ในการจัดตั้ง รัฐบาล"
19 ก.ย. 53 ครอบรอบ 4 ปี รัฐประหาร ,บ้านพระอาทิตย์
“เราไม่เคยคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญแต่ก็ควรถาม ประชาชนก่อน ถ้าเขาเห็นด้วยเราก็เห็นด้วย แต่นายกฯ กลับใช้วิถีเผด็จการ หากปี 2551 เราไม่ได้ออกมาคัดค้านการแก้รัฐธรรมนูญของรัฐบาลพรรคพลังประชาชนนั้น บุคคลที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองก็จะได้กลับมาเล่นการเมืองอีก และในวันนี้พรรคประชาธิปัตย์ก็จะต้องนั่งมุมใดมุมหนึ่งของสภา ไม่ใช่ฝั่งรัฐบาล เราคัดค้านจนมีคนเสียชีวิต บาดเจ็บ แต่ศพเหล่านั้นก็ถูกพรรคประชาธิปัตย์เหยียบพวกเขาขึ้นเป็นรัฐบาล” นายสนธิ
นายอภิสิทธิ์ มีความจริงใจ ยังมีอีกหลายประเด็นที่สามารถแก้เพื่อให้ภาคประชาชนได้ร่วมตรวจสอบนักการเมือง แต่ก็หามีไม่ นาย อภิสิทธิ์ ก็เป็นเพียงแค่นักการเมือง แต่ไม่ใช่ผู้ที่จะทำให้เกิดการเมืองใหม่ อย่างไรก็ตามตนเชื่อว่านายอภิสิทธิ์ จะยุบสภาหนีปัญหา เจบีซี เพราะรู้ดีว่าถ้าสภาผ่านกรอบการประชุมไปได้ ก็เท่ากับเป็นการนับ 1 การเสียดินแดนเกือบ 2 ล้านไร่ จึงต้องยุบสภาเพื่อไม่ต้องรับผิดชอบ โดยมีการดึงพันธมิตรฯเข้ามาเป็นเครื่องมือ เพื่ออ้างความวุ่นวายเหมือนกับที่เหยียบศพพันธมิตรฯ และเนรคุณพันธมิตรฯ เป็นนายกฯ
ที่มา: มติชนออนไลน์ (update: วันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2554 เวลา 13:09:44 น.)
วันอังคาร, มกราคม 25, 2554
ว่าด้วยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา กับปัญหาการต่อสู้ของขบวนการประชาธิปไตย
บันทึกของ วิสา คัญทัพ ฉบับที่ 9
โดย Visa Khanthap ณ วันที่ 25 มกราคม 2011 เวลา 20:33 น.
ว่าด้วยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา กับปัญหาการต่อสู้ของขบวนการประชาธิปไตย
หยุดเอาความขัดแย้งทางชนชาติ
มากลบเกลื่อนความขัดแย้งทางชนชั้น
เมื่อ ใดก็ตามที่ปัญหาความขัดแย้งทางชนชั้นดำเนินไปอย่างดุเดือดแหลมคมและรุนแรง องค์ประกอบและแนวร่วมต่างๆของ “คนชั้นสูง” บวก “คนชั้นกลางส่วนบน” ซึ่งรวมกันเป็นชนชั้นปกครองก็จะดำเนินการสร้างเรื่องปลุกระดมความคลั่งชาติ เพื่อให้เกิดความขัดแย้งทางชนชาติ
ขอย้ำว่า ความขัดแย้งทางชนชั้นถึงที่สุดแล้วคือเรื่องผลประโยชน์ อำนาจบารมี ความไร้ซึ่งความเสมอภาค ภราดรภาพ และความเป็นธรรม ส่วนความขัดแย้งทางชนชาติเป็นผลสืบเนื่องมาจากชนชั้นสูงที่ต้องการสร้าง อิทธิพลและครอบครองผลประโยชน์ จึงสร้างรัฐชาติขึ้นมา แล้วทำสงครามรบราแย่งชิงดินแดนสร้างแคว้นสร้างอาณาจักร ทั้งๆที่ประชาชนธรรมดาสามัญมิได้ดำรงเผ่าพันธุ์ไว้เพื่อขัดแย้งและต่อสู้ หากดำรงเผ่าพันธุ์ไว้ด้วยความรักความสัมพันธ์อันดีน้ำใจไมตรี และภราดรภาพ ชายแดนของทุกประเทศในโลกที่ความขัดแย้งทางชนชั้นอยู่ในระดับต่ำถึงต่ำที่สุด มักจะเป็นชายแดนที่สันติสงบ ประชาชนไปมาหาสู่สัมพันธ์กัน สืบผสมเผ่าพันธุ์กัน เป็นพี่เป็นน้องเป็นญาติกัน ทำมาค้าขาย ไปมาหาสู่ ข้ามแดน make love not war อยู่ร่วมกันโดยปกติสุข
สังคมไทยวันนี้เป็น อย่างไร ความขัดแย้งทางชนชั้นดุเดือดแหลมคม บารมีและอำนาจของคนชั้นสูง ขุนศึก ศักดินาถูกท้าทายลึกซึ้งและกว้างขวางอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ความขัดแย้งทางชนชาติจึงถูกกลุ่มสมุนบริวารที่รับใช้อำนาจเก่าหยิบยกขึ้นมา เพื่อกลบเกลื่อนความขัดแย้งทางชนชั้น หมายลวงให้คนเสื้อแดงบางส่วนหลงทาง ดีที่แกนนำหลักขององค์กรเสื้อแดงยึดกุมแนวทางการต่อสู้ทางชนชั้นได้มั่นคง ทั้งเข้าใจประวัติศาสตร์ความเป็นมาเรื่องข้อพิพาทระหว่างดินแดนไทยกัมพูชา แจ่มชัด ส่วนคนชั้นล่างอันเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคมก็ตื่อนตัวในเรื่องการต่อสู้ทางชน ชั้น และไม่ใส่ใจจดจำการศึกษาประวัติศาสตร์ชาตินิยมบิดเบือนที่กระทรวงศึกษาธิการ ของรัฐชาติพยายามยัดเยียดให้ตลอดมาทุกรุ่นของเยาวชนตลอดร่วมร้อยปีที่ผ่านมา
ขุนวิจิตรวาทการไปเอาแผนที่จากเวียดนามที่เขียนโดยฝรั่งเศสมาอธิบายความให้จอม พล ป.พิบูลสงครามฟังว่าคนไทยมีเผ่าพันธุ์กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป เลยเกิดความคิดที่จะรวมชาติไทยซึ่งไม่รู้ว่ามีจริงหรือเปล่า เพื่อทำลายความหลากหลายทางชนชาติที่มีอยู่ในอาณาจักรสยาม (ซึ่งอยู่ในฐานะผู้ถูกปกครอง) คำถามก็คือประชาชนธรรมดาทั่วไปพูดภาษาอะไรกันบ้าง และชนชั้นผู้ปกครองพูดภาษาอะไรในเวลานั้น โดยที่ภาษาไทยกับภาษาลาวแทบไม่ได้ต่างกันอยู่แล้วโดยพื้นฐาน พูดกันโดยไม่ต้องใช้ล่ามแปลก็เข้าใจเรียกว่า 80 กว่าเปอร์เซ็นต์ขึ้นไป เว้นเสียแต่สำเนียงเสียงที่ต่างกันไปเท่านั้น ชนชั้นผู้ปกครองในเมืองเวลานั้นอาจพูดภาษาลาวสำเนียงเมืองหลวงก็ได้ หรือพูดเหน่อแบบสุพรรณฯ สำเนียงเมืองหลวงสมัยอยุธยาเป็นอย่างไร หรือสมัยต้นรัตนโกสินทร์เป็นอย่างไร เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน กระทั่งสำเนียงพูดสมัยขุนวิจิตรวาทการเองก็คงไม่เหมือนสำเนียงคนกรุงเทพฯใน ปัจจุบันนี้ (ชิมิ) เช่นนี้เป็นต้น ผมขออนุญาตยกข้อความซึ่งเรียบเรียงจากเค้าความบางตอนในต้นฉบับของหนังสือ "MA VIE MOUVEMENTEE" ฯ โดยปรีดี พนมยงค์ เขียนที่ชานกรุงปารีส เมื่อ 2 เมษายน 2517
(สาเหตุแห่งการเปลี่ยนชื่อประเทศสยามเป็นประเทศไทย นั้น สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2481 นายพันเอกหลวงพิบูลสงคราม(ยศและบรรดาศักดิ์ขณะนั้น) ได้รับแต่งตั้งจากคณะผู้สำเร็จราชการในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ เป็นนายกรัฐมนตรี ในบรรดารัฐมนตรีแห่งรัฐบาลนั้น มีข้าพเจ้าด้วยผู้หนึ่งซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และมีหลวงวิจิตรวาทการ อธิบดีกรมศิลปากร เป็นรัฐมนตรีลอย (ไม่ว่าการกระทรวง)
ต่อมาประมาณอีก 4-5 เดือน หลวงวิจิตรวาทการได้เดินทางไปฮานอย เพื่อชมกิจการโบราณคดีของสำนักตะวันออกไกลฝรั่งเศส เมื่อหลวงวิจิตรฯ กลับจากฮานอย ได้นำแผนที่ฉบับหนึ่งซึ่งสำนักฝรั่งเศสนั้นได้จัดทำขึ้น แสดงว่ามีคนเชื้อชาติไทยอยู่มากมายหลายแห่งในแหลมอินโดจีน ในประเทศจีนใต้ ในพม่า และในมณฑลอัสสัมของอินเดีย
ครั้นแล้วผู้ฟังวิทยุ กระจายเสียงได้ยินและหลายคนยังคงจำกันได้ว่า สถานีวิทยุกรมโฆษณาการ (ต่อมาปัจจุบันคือ กรมประชาสัมพันธ์) ได้กระจายเสียงเพลงที่หลวงวิจิตรฯรำพันถึงชนเชื้อชาติไทยที่มีอยู่ในดินแดน ต่างๆ และมีการโฆษณาเรื่อง "มหาอาณาจักรไทย" ที่จะรวมชนเชื้อชาติไทยในประเทศต่างๆ เข้าเป็นมหาอาณาจักรเดียวกัน ทำนองที่ฮิตเลอร์กำลังทำอยู่ในยุโรป ในการรวมชนเชื้อชาติเยอรมันในประเทศต่างๆ ให้เข้าอยู่ในมหาอาณาจักรเยอรมัน
ใน การประชุมวันหนึ่ง นายกรัฐมนตรีได้เสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาปัญหาด่วนนอกระเบียบวาระ โดยให้หลวงวิจิตรวาทการเป็นผู้แถลงให้เปลี่ยนชื่อ "ประเทศสยาม" เป็น "ประเทศไทย" โดยนำสำเนาแผนที่ฉบับที่สำนักตะวันออกไกลฝรั่งเศสทำไว้ ว่าด้วยแหล่งของชนเชื้อชาติไทยต่างๆ มาแสดงในที่ประชุมด้วย โดยอ้างว่า "สยาม" มาจากภาษาสันสกฤต "ศยามะ" แปลว่า "ดำ" จึงไม่ใช่ชื่อประเทศของคนเชื้อชาติไทยซึ่งเป็นคนผิวเหลืองไม่ใช่ผิวดำ และอ้างว่าคำว่า "สยาม" แผลงมาจากจีน "เซี่ยมล้อ"
การ เปลี่ยนชื่อสยามมาเป็นประเทศไทย นอกจากจะเป็นการทำลายความหลากหลายทางชาติพันธุ์ในสยามลงไปแล้ว แท้จริงข้อที่ว่าได้ “รวบรวมชนเผ่าไทย” นั้นยังน่าสงสัยว่า “ชนเผ่าไทย” มีจริงหรือไม่ ลำพังแผนที่ที่เอามาจากฝรั่งเศสย่อมไม่มีน้ำหนักพอเพียงที่จะทำให้เชื่อได้ ตามฝรั่งว่า การที่บอกว่ามีไทยอยู่ในที่ต่างๆทั่วอินโดจีน อาจหมายถึงไทยในความหมายที่เป็น “คน” ก็ได้เพราะในภาษาลาว คำว่า “ไท” มีความหมายว่า “คน” “ไทบ้านใด๋” ก็คือ “คนที่ไหน” เท่านั้นเอง จึงเป็นความเข้าใจผิดพลาด
ผมมีความเชื่อว่าสิ่งยืนยันถึงลักษณะ การดำรงอยู่ของชาติพันธุ์ที่ดีที่สุดน่าจะอยู่ที่ภาษา ภาษาที่ถือว่าเป็นต้นกำเนิดของภาษาไทย อย่างศิลาจารึกสมัยสุโขทัยก็ถูกนักประวัติศาสตร์รุ่นใหม่ ปฏิเสธด้วยหลักฐานยืนยันว่าเป็นเรื่องที่ทำขึ้นในภายหลัง ดังนั้นจึงแทบไม่จำเป็นต้องสงสัยเลย หากศึกษาอย่างลึกซึ้งแล้วจะพบคำตอบว่ารากที่มาของภาษาไทยอาจมาจากภาษาลาว ภาษาเขมร และภาษาบาลีสันสกฤต ภาษาไทยเหมือนภาษาลาวเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ชนิดที่ไม่ต้องอาศัยล่ามแปลดัง กล่าว ส่วนภาษาเขมร มีคำไทยเหมือนคำเขมรกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ที่บอกว่าตัวเลขไทย ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๐ แท้จริงแล้วเอามาจากเขมรหรือเปล่าเป็นเรื่องที่น่าค้นคว้า พ้นจากเรื่องของภาษาก็คงเป็นเรื่องของศิลปวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม ซึ่งจะยืนยันถึงอัตลักษณ์แห่งชาติพันธุ์ได้เป็นอย่างดี พูดให้ถึงที่สุด ปรางแขก ปรางสามยอดที่ลพบุรี ประสาทหินพิมายที่โคราช หรือเขาพนมรุ้งที่บุรีรัมย์ และอื่นๆ ฯลฯ ย่อมเป็นของขอม หรือขแมร์ทั้งสิ้น หากพิจารณาย้อนไปยังยุคแห่งอานาจักรชัยวรมันที่ 7 เพราะฉะนั้น การพิจารณาปัญหาการปักปันเขตแดนจะเอายุคอาณาจักรซึ่งไม่เคยมีแผนที่แบ่งเขต มาปะปนกับยุครัฐชาติในปัจจุบันไม่ได้ ลองฟังทัศนะของนักประวัติศาสตร์อย่าง อ.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
“ปัญหามันเกิดเมื่อ 100 กว่าปีก่อน สมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อฝรั่งเข้ามา ก็นำแผนที่ พิกัด การปักปันเขตแดนเข้ามาในภูมิภาคนี้ ทั้งที่สมัยนั้น ไม่มีหรอกคำว่าเขตแดน รัฐชาติก็ยังไม่มี ยังเป็นอาณาจักร ซึ่งอาณาจักรจะเล็กหรือใหญ่ ก็ขึ้นอยู่กับศูนย์กลาง ว่ามีอำนาจแค่ไหน ถ้ามีมากก็ขยายกว้าง ถ้ามีน้อยก็หดลง ครั้งหนึ่งกัมพูชาเคยกว้างใหญ่ไพศาลมาก แต่พอเสื่อมก็หดลงอย่างที่เห็นปัจจุบัน เรื่องเขตแดนจึงเป็นมรดกของฝรั่งโดยแท้ ประเทศไทยก็รับมาจากสยาม กัมพูชาก็รับมาจากฝรั่งเศส ซึ่งบางคนคิดว่าไทยกับสยามเหมือนกัน ผมว่าไม่เหมือนนะ วิธีคิดไม่เหมือนกัน เหมือนกัมพูชาสมัยนั้นกับสมัยนี้ก็คิดไม่เหมือนกัน”
“กระแส ชาตินิยมมันปลุกได้เป็นครั้งคราวแล้วแต่ประเด็น ถ้าประเด็นมันฮอตก็ปลุกขึ้นได้ แต่สมัยปัจจุบันโลกมันเปลี่ยนไปเยอะ คนมีข้อมูลข่าวสารมาก ทำให้รู้อะไรที่ไม่เคยรู้ สิ่งที่เคยรู้เฉพาะในหมู่ผู้ปกครองก็รู้กันมากขึ้น บ้านเมืองเราอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่รุนแรงมาก เปลี่ยนจากความคิดเดิมมาเป็นความคิดใหม่ แต่หลายอย่างมันเปลี่ยนไม่ทัน อย่างตำราเรียนของกระทรวงศึกษาธิการ ที่พูดเฉพาะการเสียดินแดน 14 ครั้ง แต่ไม่เคยบอกว่า ได้ดินแดนอะไรมาบ้าง
ถ้าคุณไปเปิดหนังสือ “แผนที่ภูมิศาสตร์ไทย” ของ ทองใบ แตงน้อย ที่ให้เด็กม.4 ม.5 เรียน หนังสือเล่มนี้ได้สร้างอคติให้กับคนไทยได้อย่างวิเศษสุด เพราะทำให้มองอะไรด้านเดียว เขียนแผนที่ตั้งแต่สมัยสุโขทัย-อยุธยาว่ามีอาณาเขตเท่าไร ทั้งที่ในยุคนั้นยังไม่มีแผนที่ ไม่มีเขตแดน ยังเป็นอาณาจักรอยู่ การทำแผนที่ของไทย เริ่มครั้งแรกสมัยรัชกาลที่ 5 ที่รัฐบาลสยามจ้าง James McCarthy ทำ แผนที่ เมื่อปี ค.ศ.1888/พ.ศ.2431 ก่อนหน้านั้นสยามไม่มีแผนที่ มีแต่แผนการเดินทัพ ซึ่งไม่ได้บอกเขตแดนอะไรเลย บอกแค่ว่าหงสาวดีมาเจอกับอยุธยาแถวๆนี้แหล่ะ แต่หนังสือของทองใบ กลับบอกว่าสุโขทัย-อยุธยามีเท่าไร แล้วเขียนแค่ว่าไทยเสียดินแดนไปเท่าไร โดยไม่ได้บอกว่าเคยได้มาเท่าไร ทำให้คนไทยคิดว่า ไอ้นี่ก็ของเราๆ
แผนที่ซึ่งรัฐบาลสยามให้ทำครั้งแรก หรือแผนที่ McCarthy ตอนนั้นยังไปกินลาวและเขมรอยู่ แต่ค่อยๆหดลงไปเรื่อยๆ แต่เวลาทองใบ แดงน้อยเขียนหนังสือกลับบอกว่ามี ซึ่งหมายความว่า ตำราเรียนนั้นไม่ใช่ประวัติศาสตร์ แต่เป็น อประวัติศาสตร์ เรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่มาก อ.ธงชัย วินิจกูล เป็นคนแรกที่ชี้ประเด็นนี้* ถ้าไม่แก้ตำราเรียนของทองใบ แตงน้อย ก็ยากมากที่จะแก้ไขอคติของคน คนไทยก็จะบอกว่าไอ้นี่ก็ของเรา ทั้งที่ความจริงมันเป็นของเขา ลาวเป็นของใคร ก็ต้องของคนลาว แต่คนไทยเอามาหนหนึ่ง แล้วหลุดมือไป ถามว่าตอนนี้จะไปเอากลับมาได้ไหม ไม่ได้แล้ว..เพราะมันเกิดชาตินิยมในลาว หรือเราจะไปเอาเสียมเรียบ พระตะบอง ศรีโสภณคืนจากกัมพูชาได้หรือเปล่า..ก็ไม่ได้”
เมื่อศิลาจารึกที่ นับว่าเก่าที่สุดยังถูกพิสูจน์ทราบว่าเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาภายหลัง เพื่อเขียนประวัติศาสตร์ตัวเองให้ยิ่งใหญ่ แล้วยังจะมีอะไรอีกเล่าที่บอกว่าเป็น “ของไทย” เครื่องดนตรี พิณ แคน ระนาด ซอ เมื่อขุดค้นรากที่มาแล้วก็หาไม่พบความเป็นของไทย ชนชั้นสูงที่ผูกขาดการปกครองในอดีตบิดเบือนประวัติศาสตร์หลายเรื่อง ที่สำคัญคือ การเปลี่ยนชื่อจากสยามมาเป็นไทย ได้ส่อเค้าให้เห็นการเปลี่ยนความรักสามัคคีของทุกหมู่เหล่าเผ่าพันธุ์อัน หลากหลายให้กลายไปเป็นไทยเดียวที่มีแต่ชื่อหากปราศจากวิญญาณ
ศูนย์รวม ความเป็นชาติย่อมอยู่ที่ประชาชน ถ้าไทยเป็นชื่อที่ขุนวิจิตรมาตราและจอมพล ป.พิบูลสงคราม คิดขึ้นจากแผนที่ฝรั่งเศสที่อาจไม่รู้เรื่องชาวอุษาคเนย์ที่แท้จริง เหตุที่คิดในวันนั้นกำลังจะส่งผลให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกในวันนี้ด้วยน้ำ มือของ “ชนชั้นสูง” กลุ่มเดิม เพราะปัญหาชนชาติ เนื้อแท้ก็คือปัญหาชนชั้น ถ้าเรายังเป็นประเทศสยาม พิณแคนระนาดซอก็ย่อมเป็นเครื่องดนตรีสยามอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะสยามอยู่มานับเป็นพันปีแล้วขณะที่ประเทศไทยของ จอมพล ป.อยู่มายังไม่ถึงเจ็ดสิบปีเลย
เพราะฉะนั้นการต่อสู้ทางชนชั้นขณะนี้ กำลังขับเคลื่อนไปม้วนเอาความขัดแย้งทางชนชาติเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งจะรวมไปพัวพันถึงความสงสัยในเรื่องชื่อประเทศไทยที่ทำไมต้องเปลี่ยนจาก สยาม ทำไม เพราะเหตุใด เปลี่ยนแล้วดีหรือไม่ดี ถูกหรือผิด ทำให้ชาติเจริญก้าวหน้าหรือเสื่อมโทรมถอยหลัง สามัคคีหรือแตกแยก โดยที่เวลานี้ตัวละครที่เปิดการแสดงนำร่องก่อนเป็น “กัมพูชา” แต่หากจัดการไม่ถูก ตัวละครก็จะเป็นเพื่อนบ้านชาติอื่นๆต่อไป เท่ากับว่าชื่อประเทศไม่เป็นมงคลนำมาซึ่งความแตกแยกทั้งชาวสยามด้วยกันเอง และเพื่อนบ้านใกล้เคียง อย่าลืมว่าเมื่อเรานึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้คุ้มครอง เรามักจะนึกถึงพระสยามเทวาธิราช ไม่เห็นมีใครอ้างถึงพระไทยเทวาธิราชเลย ลองไปฟัง อ.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ เปรียบเทียบสยามเป็นบ้านทรายทอง ส่วนประเทศไทยเป็นแค่บ้านสว่างวงศ์
“คำว่าสยาม หรือ Siam นั้นหมายถึงดินแดนหรือแผ่นดิน หมายถึงบ้านเมือง ส่วนคำว่าไทย Thai/Tai หมายถึงคนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในดินแดนนี้ อาศัยร่วมกับคนชนเชื้อชาติอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นไทย/ไท ลาว คนเมือง คนอีสาน มอญ เขมร กูย แต้จิ๋ว กวางตุ้ง ฮกเกี้ยน ไหหลำ จาม ชวา มลายู ซาไก มอแกน ทมิฬ เปอร์เซีย อาหรับ ฮ่อ พวน ไทดำ ผู้ไท ขึน เวียด ยอง ลั๊วะ ม้ง เย้า กะเหรี่ยง ปะหล่อง มูเซอร์ อะข่า ขะมุ มลาบรี ชอง ญากูร์ ฝรั่งชาติต่างๆ แขกชาติต่างๆ ลูกครึ่งอีกเยอะมาก..ดังนั้นเราจะต้องไม่สับสนระหว่างบ้านเมืองกับคนที่อาศัยอยู่ในบ้านในเมืองนี้ ยก ตัวอย่าง อุปมาอุปมัยให้เห็นชัดๆ ก็คือบ้านทรายทองเป็นนามของบ้าน แต่คนที่อยู่ในบ้านนั้น มีทั้งสว่างวงศ์ มีทั้งพินิตนันท์ ถ้าอยู่ๆ วันดีคืนร้ายพวก สว่างวงศ์ลุกขึ้นมายึดอำนาจแย่งชิงไป แล้วก็เปลี่ยนชื่อเสียใหม่เป็นบ้านสว่างวงศ์ก็คงพิลึกพิลั่น” (ชาญวิทย์ เกษตรศิริ)
ถึง วันนี้ ความพยายามที่จะ “รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย” โดยบิดเบือนความจริงแห่งความเป็นมาของสยามเดิมทำท่าว่าจะไปไม่รอด เพราะชาติเชื้อต่างๆในสยาม แท้จริงแล้วก็มิได้มี “คนไทย”เป็นส่วนใหญ่ หรือหนักกว่านั้น“ไทย”อาจไม่มีจริง ไทยเป็นเพียงคำที่แปลว่า “คน” ดังที่ได้กล่าวมา ที่สำคัญ ทุกคนที่ถูกบังคับให้เป็นไทยต้องเป็นไพร่เป็นข้าของคนชั้นสูงที่กดขี่เอารัด เอาเปรียบ แม้ในยุคโลกเจริญรุดหน้าเป็นโลกไร้พรหมแดนขณะนี้เสรีภาพที่แท้จริงก็ยังไม่ บังเกิดขึ้น
ถึงที่สุดคนก็จะตั้งคำถามกับตัวเองว่า “กูเป็นคนไทยหรือเปล่า” และถ้ากูไม่ใช่คนไทย แผ่นดินนี้เป็นของกูหรือเปล่า ถ้าแผ่นดินนี้เป็น “สยาม” แผ่นดินนี้ก็เป็นของกู แต่ถ้าแผ่นดินนี้เป็น “ประเทศไทย” แผ่นดินนี้กูก็ต้องต่อสู้เพื่อกอบกู้เอกราชกลับคืนมา เหมือนดั่งเหตุการณ์สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งลึกๆแล้ว รัฐไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เนื่องเพราะคนเหล่านั้นเกิดความรู้สึกไม่ใช่ไทยดังกล่าว และแผ่นดินที่เขาอยู่วันนี้ก็ไม่ใช่แผ่นดินสยามเดิม หากเป็นแผ่นดินประเทศไทยซึ่งมิใช่แผ่นดินของเขา
เราต้องยอมรับว่า การปราบปรามเข่นฆ่าไล่ล่าคนเสื้อแดง ผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและความเป็นธรรมวันนี้ นอกจากปลุกจิตสำนึกการต่อสู้ทางชนชั้นแล้ว ยังปลุกประเด็นปัญหาชนชาติขึ้นมาเป็นเงาตามตัว เพราะคนที่ถูกปราบปรามดังกล่าวเป็นคนชั้นล่างจากท้องถิ่นต่างจังหวัด เหนือ อีสาน กลาง ใต้ ซึ่งไม่ได้พูดภาษาไทยบางกอกอยู่แล้ว
ดังนั้นจึงอยาก ถามว่า การปลุกกระแสคลั่งชาติของพันธมิตรเสื้อเหลืองคือการทำงานเพื่อกลบเกลื่อนการ ต่อสู้ทางชนชั้นให้กลายเป็นเรื่องคนไทยแตกแยกกันเพราะปัญหาความขัดแย้งทางชน ชาติใช่หรือไม่ ทั้งนี้ก็เพื่อปกป้องฐานะครอบงำของชนชั้นสูงให้ดำรงอยู่อย่างสง่างามและทรง บารมีต่อไป
สรุปแล้ว ไม่ว่าจะมองในมุมไหน ความขัดแย้งทางชนชาติล้วนมาจากการปลุกกระแสของคนชั้นสูงที่ดำรงฐานะเป็นผู้ ปกครองเพื่อผลประโยชน์ของตนเองเป็นด้านหลัก ประชาชนจำต้องฉลาด รู้เท่าทัน แยกแยะประเด็นให้ออก ไม่ตกเป็นเครื่องมือ หลงวู่วามไปตามกระแส ซึ่งจะส่งผลเสียหายให้กับประเทศชาติในท้ายที่สุด.
(บันทึกเขียนเสร็จ วันที่ 25 มกราคม 2554)
โดย Visa Khanthap ณ วันที่ 25 มกราคม 2011 เวลา 20:33 น.
ว่าด้วยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา กับปัญหาการต่อสู้ของขบวนการประชาธิปไตย
หยุดเอาความขัดแย้งทางชนชาติ
มากลบเกลื่อนความขัดแย้งทางชนชั้น
เมื่อ ใดก็ตามที่ปัญหาความขัดแย้งทางชนชั้นดำเนินไปอย่างดุเดือดแหลมคมและรุนแรง องค์ประกอบและแนวร่วมต่างๆของ “คนชั้นสูง” บวก “คนชั้นกลางส่วนบน” ซึ่งรวมกันเป็นชนชั้นปกครองก็จะดำเนินการสร้างเรื่องปลุกระดมความคลั่งชาติ เพื่อให้เกิดความขัดแย้งทางชนชาติ
ขอย้ำว่า ความขัดแย้งทางชนชั้นถึงที่สุดแล้วคือเรื่องผลประโยชน์ อำนาจบารมี ความไร้ซึ่งความเสมอภาค ภราดรภาพ และความเป็นธรรม ส่วนความขัดแย้งทางชนชาติเป็นผลสืบเนื่องมาจากชนชั้นสูงที่ต้องการสร้าง อิทธิพลและครอบครองผลประโยชน์ จึงสร้างรัฐชาติขึ้นมา แล้วทำสงครามรบราแย่งชิงดินแดนสร้างแคว้นสร้างอาณาจักร ทั้งๆที่ประชาชนธรรมดาสามัญมิได้ดำรงเผ่าพันธุ์ไว้เพื่อขัดแย้งและต่อสู้ หากดำรงเผ่าพันธุ์ไว้ด้วยความรักความสัมพันธ์อันดีน้ำใจไมตรี และภราดรภาพ ชายแดนของทุกประเทศในโลกที่ความขัดแย้งทางชนชั้นอยู่ในระดับต่ำถึงต่ำที่สุด มักจะเป็นชายแดนที่สันติสงบ ประชาชนไปมาหาสู่สัมพันธ์กัน สืบผสมเผ่าพันธุ์กัน เป็นพี่เป็นน้องเป็นญาติกัน ทำมาค้าขาย ไปมาหาสู่ ข้ามแดน make love not war อยู่ร่วมกันโดยปกติสุข
สังคมไทยวันนี้เป็น อย่างไร ความขัดแย้งทางชนชั้นดุเดือดแหลมคม บารมีและอำนาจของคนชั้นสูง ขุนศึก ศักดินาถูกท้าทายลึกซึ้งและกว้างขวางอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ความขัดแย้งทางชนชาติจึงถูกกลุ่มสมุนบริวารที่รับใช้อำนาจเก่าหยิบยกขึ้นมา เพื่อกลบเกลื่อนความขัดแย้งทางชนชั้น หมายลวงให้คนเสื้อแดงบางส่วนหลงทาง ดีที่แกนนำหลักขององค์กรเสื้อแดงยึดกุมแนวทางการต่อสู้ทางชนชั้นได้มั่นคง ทั้งเข้าใจประวัติศาสตร์ความเป็นมาเรื่องข้อพิพาทระหว่างดินแดนไทยกัมพูชา แจ่มชัด ส่วนคนชั้นล่างอันเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคมก็ตื่อนตัวในเรื่องการต่อสู้ทางชน ชั้น และไม่ใส่ใจจดจำการศึกษาประวัติศาสตร์ชาตินิยมบิดเบือนที่กระทรวงศึกษาธิการ ของรัฐชาติพยายามยัดเยียดให้ตลอดมาทุกรุ่นของเยาวชนตลอดร่วมร้อยปีที่ผ่านมา
ขุนวิจิตรวาทการไปเอาแผนที่จากเวียดนามที่เขียนโดยฝรั่งเศสมาอธิบายความให้จอม พล ป.พิบูลสงครามฟังว่าคนไทยมีเผ่าพันธุ์กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป เลยเกิดความคิดที่จะรวมชาติไทยซึ่งไม่รู้ว่ามีจริงหรือเปล่า เพื่อทำลายความหลากหลายทางชนชาติที่มีอยู่ในอาณาจักรสยาม (ซึ่งอยู่ในฐานะผู้ถูกปกครอง) คำถามก็คือประชาชนธรรมดาทั่วไปพูดภาษาอะไรกันบ้าง และชนชั้นผู้ปกครองพูดภาษาอะไรในเวลานั้น โดยที่ภาษาไทยกับภาษาลาวแทบไม่ได้ต่างกันอยู่แล้วโดยพื้นฐาน พูดกันโดยไม่ต้องใช้ล่ามแปลก็เข้าใจเรียกว่า 80 กว่าเปอร์เซ็นต์ขึ้นไป เว้นเสียแต่สำเนียงเสียงที่ต่างกันไปเท่านั้น ชนชั้นผู้ปกครองในเมืองเวลานั้นอาจพูดภาษาลาวสำเนียงเมืองหลวงก็ได้ หรือพูดเหน่อแบบสุพรรณฯ สำเนียงเมืองหลวงสมัยอยุธยาเป็นอย่างไร หรือสมัยต้นรัตนโกสินทร์เป็นอย่างไร เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน กระทั่งสำเนียงพูดสมัยขุนวิจิตรวาทการเองก็คงไม่เหมือนสำเนียงคนกรุงเทพฯใน ปัจจุบันนี้ (ชิมิ) เช่นนี้เป็นต้น ผมขออนุญาตยกข้อความซึ่งเรียบเรียงจากเค้าความบางตอนในต้นฉบับของหนังสือ "MA VIE MOUVEMENTEE" ฯ โดยปรีดี พนมยงค์ เขียนที่ชานกรุงปารีส เมื่อ 2 เมษายน 2517
(สาเหตุแห่งการเปลี่ยนชื่อประเทศสยามเป็นประเทศไทย นั้น สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2481 นายพันเอกหลวงพิบูลสงคราม(ยศและบรรดาศักดิ์ขณะนั้น) ได้รับแต่งตั้งจากคณะผู้สำเร็จราชการในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ เป็นนายกรัฐมนตรี ในบรรดารัฐมนตรีแห่งรัฐบาลนั้น มีข้าพเจ้าด้วยผู้หนึ่งซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และมีหลวงวิจิตรวาทการ อธิบดีกรมศิลปากร เป็นรัฐมนตรีลอย (ไม่ว่าการกระทรวง)
ต่อมาประมาณอีก 4-5 เดือน หลวงวิจิตรวาทการได้เดินทางไปฮานอย เพื่อชมกิจการโบราณคดีของสำนักตะวันออกไกลฝรั่งเศส เมื่อหลวงวิจิตรฯ กลับจากฮานอย ได้นำแผนที่ฉบับหนึ่งซึ่งสำนักฝรั่งเศสนั้นได้จัดทำขึ้น แสดงว่ามีคนเชื้อชาติไทยอยู่มากมายหลายแห่งในแหลมอินโดจีน ในประเทศจีนใต้ ในพม่า และในมณฑลอัสสัมของอินเดีย
ครั้นแล้วผู้ฟังวิทยุ กระจายเสียงได้ยินและหลายคนยังคงจำกันได้ว่า สถานีวิทยุกรมโฆษณาการ (ต่อมาปัจจุบันคือ กรมประชาสัมพันธ์) ได้กระจายเสียงเพลงที่หลวงวิจิตรฯรำพันถึงชนเชื้อชาติไทยที่มีอยู่ในดินแดน ต่างๆ และมีการโฆษณาเรื่อง "มหาอาณาจักรไทย" ที่จะรวมชนเชื้อชาติไทยในประเทศต่างๆ เข้าเป็นมหาอาณาจักรเดียวกัน ทำนองที่ฮิตเลอร์กำลังทำอยู่ในยุโรป ในการรวมชนเชื้อชาติเยอรมันในประเทศต่างๆ ให้เข้าอยู่ในมหาอาณาจักรเยอรมัน
ใน การประชุมวันหนึ่ง นายกรัฐมนตรีได้เสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาปัญหาด่วนนอกระเบียบวาระ โดยให้หลวงวิจิตรวาทการเป็นผู้แถลงให้เปลี่ยนชื่อ "ประเทศสยาม" เป็น "ประเทศไทย" โดยนำสำเนาแผนที่ฉบับที่สำนักตะวันออกไกลฝรั่งเศสทำไว้ ว่าด้วยแหล่งของชนเชื้อชาติไทยต่างๆ มาแสดงในที่ประชุมด้วย โดยอ้างว่า "สยาม" มาจากภาษาสันสกฤต "ศยามะ" แปลว่า "ดำ" จึงไม่ใช่ชื่อประเทศของคนเชื้อชาติไทยซึ่งเป็นคนผิวเหลืองไม่ใช่ผิวดำ และอ้างว่าคำว่า "สยาม" แผลงมาจากจีน "เซี่ยมล้อ"
การ เปลี่ยนชื่อสยามมาเป็นประเทศไทย นอกจากจะเป็นการทำลายความหลากหลายทางชาติพันธุ์ในสยามลงไปแล้ว แท้จริงข้อที่ว่าได้ “รวบรวมชนเผ่าไทย” นั้นยังน่าสงสัยว่า “ชนเผ่าไทย” มีจริงหรือไม่ ลำพังแผนที่ที่เอามาจากฝรั่งเศสย่อมไม่มีน้ำหนักพอเพียงที่จะทำให้เชื่อได้ ตามฝรั่งว่า การที่บอกว่ามีไทยอยู่ในที่ต่างๆทั่วอินโดจีน อาจหมายถึงไทยในความหมายที่เป็น “คน” ก็ได้เพราะในภาษาลาว คำว่า “ไท” มีความหมายว่า “คน” “ไทบ้านใด๋” ก็คือ “คนที่ไหน” เท่านั้นเอง จึงเป็นความเข้าใจผิดพลาด
ผมมีความเชื่อว่าสิ่งยืนยันถึงลักษณะ การดำรงอยู่ของชาติพันธุ์ที่ดีที่สุดน่าจะอยู่ที่ภาษา ภาษาที่ถือว่าเป็นต้นกำเนิดของภาษาไทย อย่างศิลาจารึกสมัยสุโขทัยก็ถูกนักประวัติศาสตร์รุ่นใหม่ ปฏิเสธด้วยหลักฐานยืนยันว่าเป็นเรื่องที่ทำขึ้นในภายหลัง ดังนั้นจึงแทบไม่จำเป็นต้องสงสัยเลย หากศึกษาอย่างลึกซึ้งแล้วจะพบคำตอบว่ารากที่มาของภาษาไทยอาจมาจากภาษาลาว ภาษาเขมร และภาษาบาลีสันสกฤต ภาษาไทยเหมือนภาษาลาวเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ชนิดที่ไม่ต้องอาศัยล่ามแปลดัง กล่าว ส่วนภาษาเขมร มีคำไทยเหมือนคำเขมรกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ที่บอกว่าตัวเลขไทย ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๐ แท้จริงแล้วเอามาจากเขมรหรือเปล่าเป็นเรื่องที่น่าค้นคว้า พ้นจากเรื่องของภาษาก็คงเป็นเรื่องของศิลปวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม ซึ่งจะยืนยันถึงอัตลักษณ์แห่งชาติพันธุ์ได้เป็นอย่างดี พูดให้ถึงที่สุด ปรางแขก ปรางสามยอดที่ลพบุรี ประสาทหินพิมายที่โคราช หรือเขาพนมรุ้งที่บุรีรัมย์ และอื่นๆ ฯลฯ ย่อมเป็นของขอม หรือขแมร์ทั้งสิ้น หากพิจารณาย้อนไปยังยุคแห่งอานาจักรชัยวรมันที่ 7 เพราะฉะนั้น การพิจารณาปัญหาการปักปันเขตแดนจะเอายุคอาณาจักรซึ่งไม่เคยมีแผนที่แบ่งเขต มาปะปนกับยุครัฐชาติในปัจจุบันไม่ได้ ลองฟังทัศนะของนักประวัติศาสตร์อย่าง อ.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
“ปัญหามันเกิดเมื่อ 100 กว่าปีก่อน สมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อฝรั่งเข้ามา ก็นำแผนที่ พิกัด การปักปันเขตแดนเข้ามาในภูมิภาคนี้ ทั้งที่สมัยนั้น ไม่มีหรอกคำว่าเขตแดน รัฐชาติก็ยังไม่มี ยังเป็นอาณาจักร ซึ่งอาณาจักรจะเล็กหรือใหญ่ ก็ขึ้นอยู่กับศูนย์กลาง ว่ามีอำนาจแค่ไหน ถ้ามีมากก็ขยายกว้าง ถ้ามีน้อยก็หดลง ครั้งหนึ่งกัมพูชาเคยกว้างใหญ่ไพศาลมาก แต่พอเสื่อมก็หดลงอย่างที่เห็นปัจจุบัน เรื่องเขตแดนจึงเป็นมรดกของฝรั่งโดยแท้ ประเทศไทยก็รับมาจากสยาม กัมพูชาก็รับมาจากฝรั่งเศส ซึ่งบางคนคิดว่าไทยกับสยามเหมือนกัน ผมว่าไม่เหมือนนะ วิธีคิดไม่เหมือนกัน เหมือนกัมพูชาสมัยนั้นกับสมัยนี้ก็คิดไม่เหมือนกัน”
“กระแส ชาตินิยมมันปลุกได้เป็นครั้งคราวแล้วแต่ประเด็น ถ้าประเด็นมันฮอตก็ปลุกขึ้นได้ แต่สมัยปัจจุบันโลกมันเปลี่ยนไปเยอะ คนมีข้อมูลข่าวสารมาก ทำให้รู้อะไรที่ไม่เคยรู้ สิ่งที่เคยรู้เฉพาะในหมู่ผู้ปกครองก็รู้กันมากขึ้น บ้านเมืองเราอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่รุนแรงมาก เปลี่ยนจากความคิดเดิมมาเป็นความคิดใหม่ แต่หลายอย่างมันเปลี่ยนไม่ทัน อย่างตำราเรียนของกระทรวงศึกษาธิการ ที่พูดเฉพาะการเสียดินแดน 14 ครั้ง แต่ไม่เคยบอกว่า ได้ดินแดนอะไรมาบ้าง
ถ้าคุณไปเปิดหนังสือ “แผนที่ภูมิศาสตร์ไทย” ของ ทองใบ แตงน้อย ที่ให้เด็กม.4 ม.5 เรียน หนังสือเล่มนี้ได้สร้างอคติให้กับคนไทยได้อย่างวิเศษสุด เพราะทำให้มองอะไรด้านเดียว เขียนแผนที่ตั้งแต่สมัยสุโขทัย-อยุธยาว่ามีอาณาเขตเท่าไร ทั้งที่ในยุคนั้นยังไม่มีแผนที่ ไม่มีเขตแดน ยังเป็นอาณาจักรอยู่ การทำแผนที่ของไทย เริ่มครั้งแรกสมัยรัชกาลที่ 5 ที่รัฐบาลสยามจ้าง James McCarthy ทำ แผนที่ เมื่อปี ค.ศ.1888/พ.ศ.2431 ก่อนหน้านั้นสยามไม่มีแผนที่ มีแต่แผนการเดินทัพ ซึ่งไม่ได้บอกเขตแดนอะไรเลย บอกแค่ว่าหงสาวดีมาเจอกับอยุธยาแถวๆนี้แหล่ะ แต่หนังสือของทองใบ กลับบอกว่าสุโขทัย-อยุธยามีเท่าไร แล้วเขียนแค่ว่าไทยเสียดินแดนไปเท่าไร โดยไม่ได้บอกว่าเคยได้มาเท่าไร ทำให้คนไทยคิดว่า ไอ้นี่ก็ของเราๆ
แผนที่ซึ่งรัฐบาลสยามให้ทำครั้งแรก หรือแผนที่ McCarthy ตอนนั้นยังไปกินลาวและเขมรอยู่ แต่ค่อยๆหดลงไปเรื่อยๆ แต่เวลาทองใบ แดงน้อยเขียนหนังสือกลับบอกว่ามี ซึ่งหมายความว่า ตำราเรียนนั้นไม่ใช่ประวัติศาสตร์ แต่เป็น อประวัติศาสตร์ เรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่มาก อ.ธงชัย วินิจกูล เป็นคนแรกที่ชี้ประเด็นนี้* ถ้าไม่แก้ตำราเรียนของทองใบ แตงน้อย ก็ยากมากที่จะแก้ไขอคติของคน คนไทยก็จะบอกว่าไอ้นี่ก็ของเรา ทั้งที่ความจริงมันเป็นของเขา ลาวเป็นของใคร ก็ต้องของคนลาว แต่คนไทยเอามาหนหนึ่ง แล้วหลุดมือไป ถามว่าตอนนี้จะไปเอากลับมาได้ไหม ไม่ได้แล้ว..เพราะมันเกิดชาตินิยมในลาว หรือเราจะไปเอาเสียมเรียบ พระตะบอง ศรีโสภณคืนจากกัมพูชาได้หรือเปล่า..ก็ไม่ได้”
เมื่อศิลาจารึกที่ นับว่าเก่าที่สุดยังถูกพิสูจน์ทราบว่าเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาภายหลัง เพื่อเขียนประวัติศาสตร์ตัวเองให้ยิ่งใหญ่ แล้วยังจะมีอะไรอีกเล่าที่บอกว่าเป็น “ของไทย” เครื่องดนตรี พิณ แคน ระนาด ซอ เมื่อขุดค้นรากที่มาแล้วก็หาไม่พบความเป็นของไทย ชนชั้นสูงที่ผูกขาดการปกครองในอดีตบิดเบือนประวัติศาสตร์หลายเรื่อง ที่สำคัญคือ การเปลี่ยนชื่อจากสยามมาเป็นไทย ได้ส่อเค้าให้เห็นการเปลี่ยนความรักสามัคคีของทุกหมู่เหล่าเผ่าพันธุ์อัน หลากหลายให้กลายไปเป็นไทยเดียวที่มีแต่ชื่อหากปราศจากวิญญาณ
ศูนย์รวม ความเป็นชาติย่อมอยู่ที่ประชาชน ถ้าไทยเป็นชื่อที่ขุนวิจิตรมาตราและจอมพล ป.พิบูลสงคราม คิดขึ้นจากแผนที่ฝรั่งเศสที่อาจไม่รู้เรื่องชาวอุษาคเนย์ที่แท้จริง เหตุที่คิดในวันนั้นกำลังจะส่งผลให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกในวันนี้ด้วยน้ำ มือของ “ชนชั้นสูง” กลุ่มเดิม เพราะปัญหาชนชาติ เนื้อแท้ก็คือปัญหาชนชั้น ถ้าเรายังเป็นประเทศสยาม พิณแคนระนาดซอก็ย่อมเป็นเครื่องดนตรีสยามอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะสยามอยู่มานับเป็นพันปีแล้วขณะที่ประเทศไทยของ จอมพล ป.อยู่มายังไม่ถึงเจ็ดสิบปีเลย
เพราะฉะนั้นการต่อสู้ทางชนชั้นขณะนี้ กำลังขับเคลื่อนไปม้วนเอาความขัดแย้งทางชนชาติเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งจะรวมไปพัวพันถึงความสงสัยในเรื่องชื่อประเทศไทยที่ทำไมต้องเปลี่ยนจาก สยาม ทำไม เพราะเหตุใด เปลี่ยนแล้วดีหรือไม่ดี ถูกหรือผิด ทำให้ชาติเจริญก้าวหน้าหรือเสื่อมโทรมถอยหลัง สามัคคีหรือแตกแยก โดยที่เวลานี้ตัวละครที่เปิดการแสดงนำร่องก่อนเป็น “กัมพูชา” แต่หากจัดการไม่ถูก ตัวละครก็จะเป็นเพื่อนบ้านชาติอื่นๆต่อไป เท่ากับว่าชื่อประเทศไม่เป็นมงคลนำมาซึ่งความแตกแยกทั้งชาวสยามด้วยกันเอง และเพื่อนบ้านใกล้เคียง อย่าลืมว่าเมื่อเรานึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้คุ้มครอง เรามักจะนึกถึงพระสยามเทวาธิราช ไม่เห็นมีใครอ้างถึงพระไทยเทวาธิราชเลย ลองไปฟัง อ.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ เปรียบเทียบสยามเป็นบ้านทรายทอง ส่วนประเทศไทยเป็นแค่บ้านสว่างวงศ์
“คำว่าสยาม หรือ Siam นั้นหมายถึงดินแดนหรือแผ่นดิน หมายถึงบ้านเมือง ส่วนคำว่าไทย Thai/Tai หมายถึงคนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในดินแดนนี้ อาศัยร่วมกับคนชนเชื้อชาติอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นไทย/ไท ลาว คนเมือง คนอีสาน มอญ เขมร กูย แต้จิ๋ว กวางตุ้ง ฮกเกี้ยน ไหหลำ จาม ชวา มลายู ซาไก มอแกน ทมิฬ เปอร์เซีย อาหรับ ฮ่อ พวน ไทดำ ผู้ไท ขึน เวียด ยอง ลั๊วะ ม้ง เย้า กะเหรี่ยง ปะหล่อง มูเซอร์ อะข่า ขะมุ มลาบรี ชอง ญากูร์ ฝรั่งชาติต่างๆ แขกชาติต่างๆ ลูกครึ่งอีกเยอะมาก..ดังนั้นเราจะต้องไม่สับสนระหว่างบ้านเมืองกับคนที่อาศัยอยู่ในบ้านในเมืองนี้ ยก ตัวอย่าง อุปมาอุปมัยให้เห็นชัดๆ ก็คือบ้านทรายทองเป็นนามของบ้าน แต่คนที่อยู่ในบ้านนั้น มีทั้งสว่างวงศ์ มีทั้งพินิตนันท์ ถ้าอยู่ๆ วันดีคืนร้ายพวก สว่างวงศ์ลุกขึ้นมายึดอำนาจแย่งชิงไป แล้วก็เปลี่ยนชื่อเสียใหม่เป็นบ้านสว่างวงศ์ก็คงพิลึกพิลั่น” (ชาญวิทย์ เกษตรศิริ)
ถึง วันนี้ ความพยายามที่จะ “รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย” โดยบิดเบือนความจริงแห่งความเป็นมาของสยามเดิมทำท่าว่าจะไปไม่รอด เพราะชาติเชื้อต่างๆในสยาม แท้จริงแล้วก็มิได้มี “คนไทย”เป็นส่วนใหญ่ หรือหนักกว่านั้น“ไทย”อาจไม่มีจริง ไทยเป็นเพียงคำที่แปลว่า “คน” ดังที่ได้กล่าวมา ที่สำคัญ ทุกคนที่ถูกบังคับให้เป็นไทยต้องเป็นไพร่เป็นข้าของคนชั้นสูงที่กดขี่เอารัด เอาเปรียบ แม้ในยุคโลกเจริญรุดหน้าเป็นโลกไร้พรหมแดนขณะนี้เสรีภาพที่แท้จริงก็ยังไม่ บังเกิดขึ้น
ถึงที่สุดคนก็จะตั้งคำถามกับตัวเองว่า “กูเป็นคนไทยหรือเปล่า” และถ้ากูไม่ใช่คนไทย แผ่นดินนี้เป็นของกูหรือเปล่า ถ้าแผ่นดินนี้เป็น “สยาม” แผ่นดินนี้ก็เป็นของกู แต่ถ้าแผ่นดินนี้เป็น “ประเทศไทย” แผ่นดินนี้กูก็ต้องต่อสู้เพื่อกอบกู้เอกราชกลับคืนมา เหมือนดั่งเหตุการณ์สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งลึกๆแล้ว รัฐไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เนื่องเพราะคนเหล่านั้นเกิดความรู้สึกไม่ใช่ไทยดังกล่าว และแผ่นดินที่เขาอยู่วันนี้ก็ไม่ใช่แผ่นดินสยามเดิม หากเป็นแผ่นดินประเทศไทยซึ่งมิใช่แผ่นดินของเขา
เราต้องยอมรับว่า การปราบปรามเข่นฆ่าไล่ล่าคนเสื้อแดง ผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและความเป็นธรรมวันนี้ นอกจากปลุกจิตสำนึกการต่อสู้ทางชนชั้นแล้ว ยังปลุกประเด็นปัญหาชนชาติขึ้นมาเป็นเงาตามตัว เพราะคนที่ถูกปราบปรามดังกล่าวเป็นคนชั้นล่างจากท้องถิ่นต่างจังหวัด เหนือ อีสาน กลาง ใต้ ซึ่งไม่ได้พูดภาษาไทยบางกอกอยู่แล้ว
ดังนั้นจึงอยาก ถามว่า การปลุกกระแสคลั่งชาติของพันธมิตรเสื้อเหลืองคือการทำงานเพื่อกลบเกลื่อนการ ต่อสู้ทางชนชั้นให้กลายเป็นเรื่องคนไทยแตกแยกกันเพราะปัญหาความขัดแย้งทางชน ชาติใช่หรือไม่ ทั้งนี้ก็เพื่อปกป้องฐานะครอบงำของชนชั้นสูงให้ดำรงอยู่อย่างสง่างามและทรง บารมีต่อไป
สรุปแล้ว ไม่ว่าจะมองในมุมไหน ความขัดแย้งทางชนชาติล้วนมาจากการปลุกกระแสของคนชั้นสูงที่ดำรงฐานะเป็นผู้ ปกครองเพื่อผลประโยชน์ของตนเองเป็นด้านหลัก ประชาชนจำต้องฉลาด รู้เท่าทัน แยกแยะประเด็นให้ออก ไม่ตกเป็นเครื่องมือ หลงวู่วามไปตามกระแส ซึ่งจะส่งผลเสียหายให้กับประเทศชาติในท้ายที่สุด.
(บันทึกเขียนเสร็จ วันที่ 25 มกราคม 2554)
วันจันทร์, มกราคม 24, 2554
ไข่ชั่งกิโลฯป่วน พ่อค้าคนกลางโวยถูกตัดตอน มองปัญหาปลายเหตุ เชื่อสุดท้ายเหลว !!
ขายไข่เป็นกิโลกรัมส่อเค้าวุ่นหนัก คนซื้อ-ผู้ค้าไข่ตั้งคำถาม จะเปลี่ยนระบบให้วุ่นวายไปทำไม กับการคิดกำไร 5-10 สตางค์ มองปัญหาที่ปลายเหตุ แต่กลับไม่ยอมไปดูแลราคาไข่ ณ หน้าฟาร์มที่ประกาศขึ้นกันโครม ๆ ครั้งละ 10 สตางค์ เชื่อสุดท้ายเหลว กลายเป็นนโยบายสร้างภาพ ด้าน "ล้ง" หวั่นกลัวถูกตัดตอนออกจากระบบค้าไข่ไก่ในปัจจุบัน
การเพิ่มทางเลือกให้กับประชาชนตามนโยบายของรัฐบาลด้วยการขอความร่วมมือให้ พ่อค้า-แม่ค้าในตลาดสดขายไข่ไก่เป็นกิโลกรัม (ก.ก.) ควบคู่กับการขายไข่เป็นเบอร์แบบเดิม ได้สร้างความวุ่นวายให้กับทั้งผู้บริโภคและระบบการค้าไข่ไก่ในปัจจุบัน เมื่อมีการคำนวณออกมาแล้วพบว่า ไม่ว่าจะซื้อไข่ไก่เป็นเบอร์หรือซื้อไข่ไก่เป็น ก.ก. ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ แต่วิธีการซื้อไข่ไก่เป็น ก.ก.กลับเพิ่มภาระและความยุ่งยากให้กับทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย
กรมการ ค้าภายใน โดยนางวัชรี วิมุกตายน อธิบดี ได้ "ขอความร่วมมือ" ไปยังตลาดสดและผู้ค้าไข่ไก่ให้เพิ่มช่องทางเลือกในการซื้อไข่ไก่ให้กับผู้ บริโภคจากปัจจุบันที่จำหน่ายไข่ไก่เป็นเบอร์ (เบอร์ 0-5) มาเป็นการจำหน่ายเป็น ก.ก.ด้วยวิธีชั่งในราคา ก.ก.ละ 50-52 บาท โดยเชื่อว่า ผู้ขายจะประหยัดต้นทุนคัดไข่ไปได้ 5-10 บาท/ก.ก. (ฟองละ 10 สตางค์) และผู้ซื้อจะประหยัดเงินลงไปได้ 2-3 บาท/ก.ก. การขายไข่เป็น ก.ก.จะเริ่มจำหน่ายตามตลาดสดธงฟ้าในต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" ได้สอบถามไปยังผู้ค้าไข่ไก่ในตลาดส่วนใหญ่ตอบตรงกันว่า ระบบการขายไข่ไก่เป็น ก.ก.จะสร้างความยุ่งยากมากกว่าการขายเป็นเบอร์ในปัจจุบัน โดยสิ่งที่ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายไข่จะต้องเจอหลังวันที่ 1 กุมภาพันธ์ก็คือ 1) ความเสียหายจากการเลือกไข่ในกระจาดแบบคละขายเป็น ก.ก. บางคนต้องการไข่เป็นจำนวนมากก็จะเลือกไข่เบอร์ 4-5 ขณะที่บางคนต้องการไข่ใหญ่ก็จะเลือกแต่เบอร์ 0-2 ในกระจาด ในแง่ผู้ขายต้องการให้ไข่ทุกเบอร์กระจายกันอยู่ในการซื้อแต่ละครั้ง (1 ก.ก.) ยิ่งเลือกมากความเสี่ยงที่จะเกิดจากไข่แตกก็สูงมากขึ้นด้วย
2) เรื่องของน้ำหนักไข่ในแต่ละฟอง เนื่องจากการขายไข่เป็น ก.ก.คิดเป็นหน่วยกรัม หรือ 1,000 กรัม เท่ากับ 1 ก.ก. แต่น้ำหนักของไข่แต่ละฟองจะหายไปตลอดการเดินทางตั้งแต่ฟาร์มมาถึงมือผู้ บริโภค ถึงแม้ว่าตั้งไข่ไก่ไว้เฉย ๆ น้ำหนักไข่ก็จะลดลงทุกวัน อาทิ นำไข่ 1 ฟอง แช่ไว้ที่ความเย็น 2-4 องศา เป็นเวลา 3 เดือน น้ำหนักไข่จะเหลือเท่ากับครึ่งฟอง เนื่องจากการระเหยของน้ำในไข่ ปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ ผู้ค้าซื้อไข่ไก่ตามเบอร์แต่ต้องมาขายเป็น ก.ก. ยิ่งนานวันน้ำหนักไข่ยิ่งลดลง
3) ปัญหาไข่บุบไข่เปลือกไม่สวย ตามปกติไข่ประเภทนี้ราคาขายจะลดลงครึ่งหนึ่งของราคาปกติตามเบอร์ เมื่อเปลี่ยนระบบการซื้อไข่เป็น ก.ก.ผู้ขายย่อมนำไข่เหล่านี้เข้ามาคละไว้ในกระจาด ขณะที่ผู้ซื้อก็ไม่ต้องการไข่ประเภทนี้ แต่จะเลือกตามขนาดที่ตนต้องการมากกว่า
4) เกิดปัญหาเรื่องการโกงตาชั่ง จากความจริงที่ว่า ทุกวันนี้ตาชั่งในตลาดไม่เที่ยงตรง ดังนั้นโอกาสที่ผู้ซื้อจะได้ไข่น้ำหนักครบ 1,000 กรัม จึงเป็นไปได้ยาก
ในแง่ของฟาร์มผู้ผลิตไข่ไก่ ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการขายไข่เป็น ก.ก. และเริ่มกังวลกันว่า หากกรมการค้าภายในจะบังคับให้ระบบการขายไข่ทั้งประเทศเป็นแบบ ก.ก.โดยยกเลิกการขายไข่เป็นเบอร์แล้ว แรงงานคัดไข่ภายในประเทศที่เชื่อกันว่าน่าจะมีไม่น้อยกว่า 30,000-50,000 คน จะต้องตกงาน เกิดการลงทุนสูญเปล่าไปกับเครื่องคัดแยกไข่ที่มีระดับราคาตั้งแต่ 100,000 บาทไปจนกระทั่งถึง 20-30 ล้านบาท จะทำอย่างไร
"ความจริงการขายไข่ เป็น ก.ก.เคยทดลองทำมาแล้วเมื่อประมาณ 10-12 ปีก่อนที่ห้างโรบินสัน รัชดาฯ แต่ปรากฏว่าประสบความล้มเหลว เกิดปัญหาไข่แตกไข่เสียหายจากการชั่ง-เลือกไข่ของผู้ซื้อ ซึ่งโดยทั่วไปอาจเห็นว่า ไข่แตกไข่เสียไปบ้างไม่น่าจะกระทบกับผู้ขาย แต่ธุรกิจนี้กำไรกันที่ราคาขายไข่ต่อฟอง 2-5 สตางค์ ดังนั้นความเสียหายของไข่แต่ละใบเมื่อรวมกันมาก ๆ เข้า ผู้ขายก็รับไม่ไหว ส่งผลให้ต้องเลิกไปในที่สุด" ผู้ค้าไข่รายหนึ่งกล่าว
ทางด้านผู้ค้า ส่งไข่ไก่หรือล้ง ซึ่งจัดเป็นกลไกสำคัญ 1 ใน 3 ของระบบการค้าไข่ไก่ในปัจจุบัน (ฟาร์ม-พ่อค้าคนกลาง/ล้ง-พ่อค้า/แม่ค้าปลีก) ให้ความเห็นกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า การขายไข่เป็น ก.ก.เท่ากับเป็นความพยายามที่จะตัดวงจรล้งออกจากระบบการค้าไข่ไก่ในปัจจุบัน จากความเชื่อที่ว่า พ่อค้าคนกลางเป็นผู้บวกกำไรสูงสุด
"หน้าที่ของ ล้งก็คือ ผู้กระจายไข่ไก่เข้าสู่ช่องทางการจัดจำหน่าย เราจึงเป็น 1 ใน 3 ของกลไกหลักในการค้าปัจจุบัน กำไรของล้งมาจากการหักต้นทุนค่าขนส่ง-ค่าแรงงาน-ความเสี่ยงที่จะเกิดความ เสียหายต่อสินค้าอยู่ในระดับ 10-20 สตางค์ จากราคาไข่ ณ หน้าฟาร์มที่เรารับมา พอเราส่งไข่ต่อให้กับพ่อค้าแม่ค้าในตลาดเขาก็จะบวกเข้าไปอีก 10-30 สตางค์ ขึ้นอยู่กับภาวะที่ไข่ออกสู่ตลาดในช่วงนั้น ๆ ดังนั้นจะเห็นได้ว่า สาเหตุที่ไข่มีราคาแพงนั้นอยู่ที่ราคาไข่ ณ หน้าฟาร์มที่ปัจจุบันถูกประกาศโดยสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ ขึ้นราคาครั้งละ 10 สตางค์ ยกตัวอย่าง ไข่เบอร์ 3 ปัจจุบันราคาหน้าฟาร์มอยู่ที่ 2.90 บาท/ฟอง มาถึงตลาดราคาขายปลีกอยู่ 3.05 สตางค์ หรือราคาขยับขึ้นมาแค่ 15 สตางค์/ฟอง เท่านั้น"
ส่วนความแตกต่างระหว่างการขายไข่เป็นเบอร์กับการขายไข่ เป็น ก.ก.นั้นพบว่า หากผู้บริโภคเลือกซื้อไข่เป็นเบอร์ระหว่างเบอร์ 0-3 จะได้ราคาถูกกว่าการซื้อเป็น ก.ก.ประมาณ 5-7 บาท แต่หากผู้บริโภคเลือกซื้อไข่ระหว่างเบอร์ 4-5 จะต้องซื้อในราคาที่แพงกว่าการซื้อเป็น ก.ก.ประมาณ 6-9 บาท (ตารางประกอบ) "ดังนั้นความได้เปรียบเสียเปรียบตรงนี้จะขึ้นอยู่กับว่า พ่อค้าแม่ค้าจะเลือกคละไข่เบอร์อะไรในกระจาดมากน้อยแค่ไหน"
ที่มา: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ (update: วันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2554 เวลา 20:12:19 น.)
วันอาทิตย์, มกราคม 23, 2554
ถนนสายสีแดง อาทิตย์ที่ 23 มกราคม 2554
Ref: taprajak4 | มกราคม 23, 2011 |
คนเสื้อแดงเดินทางจากแยกราชประสงค์ ไป อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน
รายงาน ณ.หน้าตลาดมหานาค กรุงเทพฯ
Thailand's red-shirt ดังไปทั่วโลก
23 ม.ค.54 Thailand's red-shirt ดังไปทั่วโลก ขอบคุณภาพจากสำนักข่าว AP
@ รอยเตอร์ 23 ม.ค.54 รอยเตอร์เขียนข่าวเชิงวิเคราะห์ เขียนเปรียบเทียบความแข็งแกร่งของคนเสื้อแดงได้ดีมาก ชอบๆ ให้เครดิตจำนวนคนที่เยอะด้วย About 30,000 anti-government "red shirts" rallied in Thailand's capital on Sunday in another show of strength that heralds a rocky run-up to an election due this year.แถมยังสัมภาษณ์คุณบุญศรี อายุ 42 จ.นครราชสีมาด้วย ว๊าว ดีใจด้วย ดังไปเลย
http://www.reuters.com/article/idUSSGE70M00R20110123
@ 23 ม.ค.54 ข่าวจากสำนักข่าวซินหัว ของประเทศจีน พาดหัวข่าว Thousands of 'Red Shirts' rally in Thai capital : Thousands of Thai "Red Shirts" gathered in Bangkok on Sunday, police said, to mark eight months since a deadly military crackdown on their mass anti-government protest last year.
http://www.mysinchew.com/node/51926
@ สำนักข่าว AFP : 23 ม.ค.54 Thousands of Thai "Red Shirts" gathered in Bangkok on Sunday, police said, to mark eight months since a deadly military crackdown on their mass anti-government protest last year. Wearing their trademark colour and singing the "Red in the Land" anthem, protesters waved banners reading "Liar State!" and held aloft pictures of their hero, fugitive former premier Thaksin Shinawatra. Police said around 27,000 people joined the peaceful demonstration by the Reds, whose April and May rally last year calling for snap elections ended in clashes between troops and protesters that left more than 90 people dead. (แหม..คุณตำรวจ ประเมินคนเสื้อเองแค่ 27,000 คนเองหรือคะ กลัวนายจะตกใจหรือไง )
http://www.google.com/hostednews/afp/article/ALeqM5hJdU2cqwQqmOYksepBJepRBfOoRQ?docId=CNG.5015a9f8705f68f43bc0253d8f9facc3.8a1
ที่มา: จากอัลบั้ม Thailand's red-shirt ดังไปทั่วโลก โดย Nipaporn Freedom
วันเสาร์, มกราคม 22, 2554
คำแปลคำสัมภาษณ์ฮุนเซ็น
จาก รูปภาพบนกระดาน โดย Nipaporn Freedom |
ดูคลิปข่าวจากช่อง 3 (ซึ่งแปลถูก แต่ขำคำแปลภาษาเขมรจากเว็ป IF มาก) : สมเด็จฮุนเซ็นบอกว่า “ผมโกรธคนไม่กี่คน ผมไม่ได้โกรธ ปชช.ชาวสยามทั้งหมด และผมโกรธ นสพ.ห่วยๆ เป็นหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ 2 ฉบับในเมืองไทย อุจจาระราคาแพงมากในประเทศไทยเพราะว่าชาวไทยให้มันเป็นของขวัญแก่นายกรัฐมนตรีถึงขนาดนั้น เค้าก็ยังไม่ยอมลาออกจากตำแหน่ง, คุณมันเป็นไอ้หัวขโมยอำนาจจริงๆ ถ้าหากคุณไม่เชื่อ ก็ลองจัดการเลือกตั้งดูสิ แล้วคุณจะแพ้ , ภรรยาผมแต่งเครื่องแบบทหาร แล้วมันไปหนักไปรบกวนคุณอภิสิทธิ์ตรงไหน
ในบรรดา ส.ส.สยามแล้ว ไม่มีใครเลวร้ายเท่ากับคนนี้ ถ้าคุณไม่ยอมพูดความจริงกับผมเกี่ยวกับทหารส ยามรุกรานกัมพูชาเมื่อ 15 ก.ค.51 ผมขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์หักคอคุณ ขอให้คุณถูกยิงตาย ถูกรถชนตาย ถูกไฟฟ้าช็อตตาย หรือถูกปืนลั่น ฯลฯ...
ผมด่าคุณมาหลายครั้งแล้ว คุณเจ็บปวดบ้างหรือเปล่า ถ้าคุณตอบกลับมา ผมก็จะด่าคุณกลับไปอีก ผมส่งจดหมายฉบับหนึ่งถึงประชาชนชาวสยามทั้งมวล บอกกับพวกเขาว่า ไม่เคยมียุคใดสมัยใดมาก่อนที่สังคมสยามจะยุ่งเหยิงเท่าภายใต้ยุคคุณอภิสิทธิ์ การต่างประเทศก็เลวร้ายอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน คุณสั่งให้พวกเสื้อเหลืองช่วยทำให้เกิดรัฐประหารและให้เขายึดสยามบิน ผมสั่งให้คณะรัฐมนตรี รวมทั้งกองโฆษกและหน่วยปฏิบัติการเร่งด่วนอัดเสียงปราศรัยของผมและแปลเป็นภาษาอังกฤษ นายอภิสิทธิ์จะยอมสาบานไหม” (มิน่าล่ะ สุเทพ เทือกฯ ถึงได้ กราบขอบพระคุณสมเด็จฮุนเซ็น)
@ ชมคลิปช่อง 3 (ต้นฉบับ) ย้อนหลัง
http://www.youtube.com/watch?v=TNII3Z8umQI&feature=player_embedded
@ แล้วมาฟังผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษาเขมรแปล (อ่านแล้ว ถึงกับขำกลิ้งเลย) RE: ข่าว ฮุนเซนด่ามาร์ค “ขอชัดๆ อีกที” โพสต์โดย คุณอุลต้าแมว เว็ป IF Today, 06:22 PM Post: #15 Pex เลขา : สรยุทธ์แปลคลาดเคลื่อนค่ะ..เดี้ยนเป็นผู้เชี่ยวชาญแปลไทยเขมร เป็นไทยการเมืองธุรกิจ ตามนี้เลย คุณมาร์ค “ผมโกรธคนไทยบางคนเท่านั้น และหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษเ..ยๆ อีก 2 ฉบับ นายกส้นตีน โดนขี้ขว้างแล้ว แม่มยังไม่ยอมลาออก มึงมันไอ้นักโจรกรรมการเลือกตั้ง ถ้าไม่ใช่ มึงลองเลือกตั้งดู แล้วมึงจะรู้ว่ามึงน่ะล่องจุ๊น ล่องแก่ง... ไอ้ควาย!!!!..........ฯลฯ............
http://www.fsurf.com/browse.php?u=Oi8vd3d3LmludGVybmV0ZnJlZWRvbS51cy90aHJlYWQtMTAwODYuaHRtbA%3D%3D&b=13
ที่มา: จากอัลบั้ม รูปภาพบนกระดาน โดย Nipaporn Freedom
วันพฤหัสบดี, มกราคม 20, 2554
"อุ๋ย"ติงขึ้นดบ.ถ่วงศก.โต เหน็บธปท.กลัวเงินเฟ้อเกินเหตุ เตือนตรึงน้ำมันทำปท.หายนะ
จาก อัลบั้มประชาชาติธุรกิจออนไลน์ |
"อุ๋ย"ติงขึ้นดบ.ถ่วงศก.โต เหน็บธปท.กลัวเงินเฟ้อเกินเหตุ เตือนตรึงน้ำมันทำปท.หายนะ
"หม่อมอุ๋ย"เหน็บ ธปท.ห่วงเงินเฟ้อเกินเหตุ ชี้ขึ้นดอกเบี้ยถ่วงเศรษฐกิจโต แนะขยายเป้าเงินเฟ้อเป็น 2-4.5% นักวิชาการร่วมยำ ชี้จีดีพีโตไม่ถึง 5% ถือว่ารัฐบาลสอบไม่ผ่าน ค้านขึ้นดอกเบี้ย-ตรึงพลังงาน ทำประเทศไปไม่รอด ฟากสถาบันปัญญาภิวัฒน์เตือนโถมประชานิยมมาก รัฐบาลจะกลายเป็นกรมประชานุเคราะห์ยักษ์
เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2554 ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และอดีตรองนายกรัฐมนตรีกล่าวในงานเสวนา "เศรษฐกิจไทย 2011" ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ว่า เสถียรภาพเศรษฐกิจไทยถือว่าดีหมด ยกเว้นภาคอสังหาริมทรัพย์ที่มีปัญหาราคาสูงขึ้น แต่การแก้ปัญหาควรจะใช้มาตรการที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยหยุดยั้งด้วยการกำหนดอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกันที่เข้มงวดขึ้น
แต่ที่น่าห่วงคือ กลัวว่านักทฤษฎีบางคนที่นั่งในคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะใช้นโยบายดอกเบี้ย ปัญหาที่ต้องคิด คือ การขยายตัวปีนี้อาจต่ำกว่าปี 2553 ขณะที่เศรษฐกิจยุโรปก็ยังไม่ฟื้นตัว ทำไม ธปท.ต้องห่วงเงินเฟ้อมากในเมื่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจก็ไม่ได้พุ่งแรง การจะไปใช้นโยบายดอกเบี้ยจะฉุดการเติบโตทางเศรษฐกิจ
"ถ้า ธปท.เป็นห่วงว่าเงินเฟ้อจะหลุดกรอบเป้าหมายก็ควรเปลี่ยนกรอบหมายเงินเฟ้อเป็น 2-4.5% จากปัจจุบันที่ใช้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 0.5-3% ซึ่งระดับที่ 4.5% ยังถือว่าเป็นเงินเฟ้ออ่อนๆ จะไปแก้ดอกเบี้ยติดลบทำไม ในเมื่อเงินเฟ้อไม่ใช่ปัญหา และหากดูสาเหตุที่ทำให้เงินเฟ้อเร่งตัวสูงขึ้นก็มาจากต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นจากราคาน้ำมันและราคาพืชผลที่ผลต่อเงินเฟ้อประมาณ 2-3%"
นายสมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ กล่าวว่า ไม่ว่าจะรัฐบาลชุดไหน ถ้าทำให้เศรษฐกิจโตไม่ถึง 5% ถือว่าฝีมือไม่ถึง และอย่าใช้นโยบายมหภาคไปรับใช้นโยบายบางอย่างที่ต้องไม่เป็นนักปฏิบัติการประชานิยม หากยังคิดถึงแต่เรื่องนี้จะเลิกยาก และจะถลำลึก ที่สุดรัฐบาลจะกลายเป็นกรมประชานุเคราะห์ยักษ์
ทั้งนี้ เงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นจากปัจจัยพื้นฐานต้องระวังเพราะจะพุ่งสูงขึ้นไม่มีที่สิ้นสุด การขึ้นดอกเบี้ยอาจไม่ได้แก้ปัญหา แต่นโยบายที่จะแก้ปัญหาได้ รัฐบาลคงต้องหาทางเพิ่มผลผลิต ซึ่งประเด็นที่ต้องระวังให้มาก คือ นโยบายมหภาคติดคุกประชานิยม เลิกยากและจะกลายเป็นตัวแปรทางการเมือง เกิดวัฒนธรรมร้องขอ
นายกิตติ ลิ่มสกุล อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า รัฐบาลอย่าไปทำเรื่องจิ๊บจ๊อยประเภทไข่ไก่ น้ำมัน ต้องไปทำที่โครงสร้างพื้นฐาน ทั้งนี้ คาดว่าจีดีพีปีนี้จะขยายตัวที่ 3.5-4.5% และเห็นด้วยกับ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ที่ ธปท.ควรปรับกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น เพราะอาจจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่ออัตราการเติบโตของเศรษฐกิจได้ ขณะเดียวกันรัฐบาลควรจะเลิกอุดหนุนราคาพลังงาน แม้จะเสียคะแนนนิยมไปบ้าง ไม่อย่างนั้นประเทศจะไปไม่รอด
นายสมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง กล่าวว่า การเมืองจะเลวร้ายไปอีกหลายปี คาดปีนี้การเมืองยังไม่จบ แต่คงไม่หนักเท่ากับปีที่แล้ว ทั้งนี้ การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่มาจากการบริโภคในประเทศและการลงทุน น่าจะทำให้ตัวเลขจีดีพีในปีนี้ไม่ใช่ 3% กว่าอย่างที่คาดกัน แต่อาจจะขยายตัวสูงถึง 4-5%
ที่มา: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ (update:วันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2554 เวลา 09:16:00 น.)
วันอาทิตย์, มกราคม 16, 2554
Dailyworldtoday: เสร็จนา..ฆ่าโคถึก
Dailyworldtoday
“ผมต้องพูดแรงนิดหนึ่ง ผมว่ากระทรวงการต่างประเทศคือกระทรวงข..า..ยชาติ ทุกวันนี้คุณกษิต ภิรมย์ นี่ผมผิดหวังในตัวคุณกษิตมาก คุณกษิต ภิรมย์ กับคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ รู้เห็นเป็นใจกันทุกเรื่อง คุณกษิต ภิรมย์ ฉกฉวยโอกาสในช่วงของการชุมนุมพันธมิตรฯไปสร้างชื่อตัวเอง สมัยคุณกษิต ภิรมย์ อยู่ก็ขึ้นเวทีด่าเขมร อย่างโน้นด่าเขมรอย่างนี้ วันนี้คุณกษิต ภิรมย์ ออกมาพูดในเรื่องนี้เป็นการปกป้องเขมรหมด”
นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แสดงความไม่พอใจอย่างมากกับท่าทีของรัฐบาลและกองทัพในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ทางเอเอสทีวีเมื่อวันศุกร์ที่ 7 มกราคมที่ผ่านมา กรณีกัมพูชาจับ 7 คนไทยที่มีนายวีระ สมความคิด กับนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ รวมอยู่ด้วย แต่ท่าทีของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยเฉพาะนายวีระ สมความคิด กับนางราตรี ไพรพัฒนไพบูลย์ ถูกตั้งข้อหาเพิ่มว่าพยายามประมวลข่าวสารซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อการป้องกันประเทศตามมาตรา 27 และมาตรา 446 ของกฎหมายกัมพูชา
“เป็นเรื่องที่เจ็บช้ำน้ำใจที่สุดในชีวิตตั้งแต่เกิดมา เจ็บช้ำน้ำใจตรงไหนรู้ไหม ตรงที่ว่าพอมีเรื่องแล้วรัฐบาลไทย ทหารไทย ข้าราชการไทย นักการเมืองไทยไม่มีศักดิ์ศรี ไม่มีศักดิ์ศรี เหมือนกับว่าเรายอมเขมรมันหมดทุกเรื่อง แล้วเขมรคือใคร ไอ้ประเทศซึ่งฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มัน จนทุกวันนี้มันยังไม่สามารถจะหาธรรมาภิบาลในประเทศชาติของมันได้เลย”
นายสนธิยังถามว่า นายอภิสิทธิ์และ พล.อ.ประวิตรมีหัวใจเป็นคนไทยหรือเปล่า
“การที่เขมรจะเอาคนทีมคุณวีระ คุณพนิชไปขึ้นศาล ถ้านายกรัฐมนตรีมีความเป็นลูกผู้ชายแล้วกล้าปกป้องประเทศไทย ถ้า พล.อ.ประวิตรเป็นอดีตทหารเสือราชินี เป็นทหารจริงๆ มีจิตใจเป็นทหาร ถ้านายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง เป็นคนไทยจริงๆ ต้องประกาศให้ชัดเจนว่าคุณเอา 7 คนไปขึ้นศาลไม่ได้ เพราะนี่ดินแดนไทย ต้องปล่อยออกมาเดี๋ยวนี้ ถ้าคุณไม่ปล่อยมีเรื่องกับเราทันที เพราะนี่พื้นที่เรา บ้านเราเขาทำตรงกันข้าม เขาไปเป็นพยานให้กับเขมรว่าคนไทยรุกดินแดนไทย นี่คุณหัวใจคนไทยหรือเปล่า”
ย้อนคดียิง “สนธิ”
คำพูดของนายสนธิยิ่งทำให้หลายคนต้องย้อนไปถึงการลอบสังหารนายสนธิเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2552 จนถึงวันนี้ยังไม่สามารถจับคนยิงหรือคนบงการได้ อีกทั้งเรื่องยังเงียบหายไปอย่างน่าประหลาด ทั้งที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ยืนยันว่าคดีนี้จะไม่เป็นมวยล้ม หลังจากมีการออกหมายจับนายทหารชั้นประทวน สังกัดศูนย์สงครามพิเศษ จังหวัดลพบุรี ซึ่งมีการพยายามพาดพิงไปถึง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบกขณะนั้น
ขณะที่นายสนธิได้ออกมาแถลงถึงขบวนการสังหารตนเองหลังจากรักษาตัวและเก็บตัวเงียบมาระยะหนึ่ง โดยยืนยันว่ามีผู้พยายามส่งเจ้าหน้าที่มาพูดคุยว่าผิดเป้าหรือไม่ แต่เชื่อว่าเป็นกฐินสามัคคี ทั้งยังฝากถึงนายอภิสิทธิ์ว่าอย่าปกครองบ้านเมืองด้วยคำพูด แต่ต้องจับคนยิงให้ได้ ไม่อย่างนั้นประเทศไทยก็ไม่ต่างอะไรกับบ้านป่าเมืองเถื่อนที่ใครมีอำนาจ มีปืนก็ยิงใครก็ได้
“ขบวนการที่ยิงผมเท่าที่ทราบมี 14 คน เป็นทหาร 13 คน เป็นตำรวจ 1 คน และทหารมีพื้นเพมาจากป่าหวายทั้งหมด บางคนบอกว่าคนบางคนในดีเอสไอเป็นคนวางแผนฆ่าผม แต่ผมบอกว่าคนในดีเอสไอคงจะไปสั่งทหารป่าหวายไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นน่าจะเป็นกฐินสามัคคี ผมไม่ติดใจอะไร จับได้ก็ได้ จับไม่ได้ต้องถือเป็นโชคร้ายของบ้านเมือง คนอย่างผมถูกลอบสังหารได้ อย่างนายอภิสิทธิ์หรือสูงกว่านายกฯก็ต้องถูกสังหารได้โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
เกือบตายเพราะ “สี”
การลอบสังหารนายสนธิครั้งนั้นเชื่อว่ามาจากการปราศรัยที่อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2552 โดยนายสนธิได้พูดเป็นปริศนาเรื่องของ “สี” ซึ่งเกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์ว่า
“ทำไมต้องจับมือกับเนวิน (ชิดชอบ) และใครไปบังคับให้พรรคร่วมรัฐบาลมาร่วมกับประชาธิปัตย์ ทำ ไมถึงมี “สีน้ำเงิน” มาฆ่า “สีแดง” และ “สีฟ้า” ขอยืม “สีกากี” มาฆ่า “สีเหลือง” และพี่น้องจะเข้าใจอย่างลึกซึ้ง อย่างลึกซึ้ง เพราะว่าเรื่องพวกนี้ถ้าไม่อธิบายกันแบบป่าทั้งป่าจะไม่เข้าใจ และผมอยากให้คนใต้ที่ไม่ชอบผมตอนนี้ให้ตั้งใจฟังดีๆ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ไม่ได้ยืนบนเวทีหรือยืนบนพระแม่ธรณีเพื่อให้คนชอบหรือไม่ชอบ แต่นายสนธิจะยืนอยู่บนความถูกต้อง”
นับตั้งแต่นั้นมานายสนธิก็ประกาศแตกหักกับพรรคประชาธิปัตย์อย่างชัดเจน เพราะแม้แต่ “เปลวสีเงิน” คอลัมนิสต์ชื่อดังใน “ไทยโพสต์” ยังตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับวันที่ 18 เมษายน 2552 ว่าเป็นวิกฤตการเมืองที่ต้องเตือนสติทั้งคนเสื้อเหลืองและเสื้อแดง โดยใช้หัวข้อเรื่องว่า “ลับแลอำนาจ “ฆ่าสนธิ” ปั่นเหลือง-แดงฆ่ากัน” โดยระบุว่า คนเสื้อเหลืองและคนเสื้อแดงต่างตกเป็นเครื่องมือของคนบางคนที่จ้องฉกฉวยโอกาสหลอกล่อให้ฆ่ากันเอง ซึ่งเกิดจาก “มือที่มองไม่เห็น” ที่สร้างสถานการณ์เพื่อรักษาอำนาจและผลประโยชน์ของตนและพวกพ้อง
พันธมิตรฯศัตรู ปชป.
ดังนั้น กว่า 2 ปีที่ผ่านมากลุ่มพันธมิตรฯ โดยเฉพาะนายสนธิได้ออกมาโจมตีนายอภิสิทธิ์และรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งนายสนธิประณามว่า ระบบการเมืองขณะนี้เป็นลักษณะการสืบทอดอำนาจต่อเนื่องจากตนเองไปที่เมีย ลูก เพื่อน แล้วยังจับมือกันกินรถเมล์ 69,000 ล้านบาท สนามบินรันเวย์ที่ 3 อีก 75,000 ล้านบาท ถนนไร้ฝุ่นอีกกี่หมื่นล้านบาท เบ็ดเสร็จงบประมาณแผ่นดิน 180,000 ล้านบาท ถูกชัก 10 เปอร์เซ็นต์คือ 180,000 ล้านบาท หรือ 15 เปอร์เซ็นต์ 270,000 ล้านบาท เอามาจัดสรรเข้ากระเป๋าพวกนักการเมืองเพื่อเอาเงินก้อนนี้กลับไปซื้อเสียงอีกครั้งหนึ่ง แล้วกลับมาเพื่อกินงบประมาณกันอีก
นายสนธิยังประณามว่า พรรคร่วมรัฐบาลขณะนี้เหมือนปล้นกลางแดด มือถือดาบ คาดผ้าประเจียด ไอ้เสือเอาวา ปล้น ไม่เหมือนยุคทักษิณที่มีธุรกิจเป็นของตัวเอง ใช้กฎหมายบีโอไอ หรือแก้กฎหมายสรรพสามิตให้ไม่ต้องจ่ายค่าสัมปทานเพื่อเอื้อธุรกิจของตนเอง แต่ยุคนี้เปลี่ยนเป็นการทำโครงการที่ใช้งบประมาณมากๆ เช่น ถนนไร้ฝุ่น จำนำข้าว มือใครยาวสาวได้สาวเอา นายอภิสิทธิ์จึงได้แต่นั่งทำตาปริบๆ เพราะกลัวพรรคร่วมรัฐบาลจะถอนตัว
แต่วันนี้นายสนธิคงไม่ปฏิเสธว่านายอภิสิทธิ์ไม่ใช่เป็น “ผู้นำฟันน้ำนม” หรือ “หุ่นเชิด” ที่ไร้เดียงสาอีกต่อไปแล้ว เพราะแม้แต่นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย และนายบรรหาร ศิลปอาชา แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา ยังออกปากอย่างเกรงขามและถากถางว่าใหญ่โตจนไม่เห็นหัวคนแก่แล้ว
ดังนั้น ใครจะเย้ยหยันว่า “รักนะ...เด็กโง่” แต่สำหรับพันธมิตรฯและนายสนธิที่ประกาศชุมนุมใหญ่ทั้งเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และกรณีชายแดนไทย-กัมพูชานั้นกลายเป็นเรื่องของการใช้หนี้แผ่นดิน ซึ่งนายสนธิยืนยันว่าจะชุมนุมแม้จะมีไม่กี่คนก็ตาม เพราะวันนี้บรรดาแม่ยกนายอภิสิทธิ์ต่างหลงใหลในกิเลส ซึ่งน่าสงสารที่สุดในโลก
“ในวันข้างหน้าถ้ามีคนหล่อกว่านายอภิสิทธิ์ พูดเพราะกว่า ก็จะเปลี่ยนไปชอบอีกคน คนที่หนาด้วยกิเลสพูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ คนพวกนั้นมุ่งที่ความสวยงาม ความหล่อเหลา มองคนที่ภายนอกจริงๆ คนพวกนี้ผมรังเกียจมาก รู้ว่าไม่ควรพูดแต่ต้องพูด เพราะรู้สึกว่าไม่อยากเสียเวลากับคนไร้สาระแบบนี้”
“อภิสิทธิ์โมฆะบุรุษ”
แต่สำหรับคนเสื้อแดงแล้วนายอภิสิทธิ์คือผู้ต้องหาในการสั่งฆ่าประชาชน แม้วันนี้หลายฝ่ายจะเชื่อว่ายากจะเอาผิดได้ตามกระบวนการยุติธรรม แต่ก็ดีกว่า “ตายฟรี” และถูก “ขังฟรี” อย่างที่อาจารย์กฤตยา อาชวนิชกุล ศูนย์สิทธิมนุษยชน มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” 91 ศพ และบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 คน สาเหตุส่วนใหญ่มาจากการถูกยิงบริเวณศีรษะโดยใช้อาวุธสงคราม และแพทย์ยังให้ความเห็นว่าถูกกระสุนความเร็วสูง ซึ่งตรงกับผลการชันสูตรศพที่ถูกเปิดเผยออกมา โดยเฉพาะกรณี 6 ศพในวัดปทุมวนาราม
ยิ่งหลังวันที่ 10 เมษายน รัฐบาลอภิสิทธิ์ได้ใช้วาทกรรม “ก่อการร้าย” กล่าวหาและไล่ล่าคนเสื้อแดง ขณะที่เหตุการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ใช้คำว่า “ผู้ก่อความไม่สงบ” เท่านั้น การที่รัฐบาลคิดคำนี้ขึ้นมาเพื่อสร้างความสกปรกให้สะอาด สร้างความชอบธรรมให้รัฐบาล แล้วสร้างความอัปลักษณ์ให้กับคนเสื้อแดง ทั้งที่สิ่งที่รัฐบาลใช้อำนาจอำมหิตจัดการกับประชาชนนั้นเป็นสิ่งที่สกปรกและน่าผิดหวัง ซึ่งประชาชนสามารถเกลียดรัฐบาลได้ แต่รัฐบาลไม่มีสิทธิเกลียดประชาชน และไม่มีอำนาจสั่งฆ่าประชาชน
“นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เคยพูดกับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ต่อเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 ว่านายสมชายเป็นคนหรือไม่ แต่ดิฉันจะไม่ถามว่านายอภิสิทธิ์เป็นคนหรือไม่ เพราะรู้ว่าเป็นคนอยู่แล้ว นอกจากนี้ในสมัยนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ได้อภิปรายโจมตีนายบรรหาร ตอนหนึ่งนายอภิสิทธิ์กล่าวหานายบรรหารว่าเป็นโมฆะบุรุษ แต่กับเหตุการณ์นี้มีการสั่งสลายการชุมนุมทำให้คนเสียชีวิตจำนวนมาก แต่นายอภิสิทธิ์ยังอยู่ในอำนาจ นายอภิสิทธิ์จึงเป็นโมฆะบุรุษ และรัฐบาลชุดนี้ก็เป็นโมฆะรัฐบาล”
เสร็จศึกฆ่าพันธมิตรฯ
กรณีกัมพูชาจับ 7 คนไทยจนถึงบทบาทของพันธมิตรฯวันนี้จึงถูกเปรียบเปรยเหมือนคำพังเพย “เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าพันธมิตรฯ” อย่างที่พันธมิตรฯออกมาประณามพรรคประชาธิปัตย์และนายอภิสิทธิ์ว่า “เนรคุณ” ทั้งที่พันธมิตรฯเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จนสามารถล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ขณะเดียวกันการชุมนุมยืดเยื้อนานเกือบ 200 วันจนสามารถล้มรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายอภิสิทธิ์จึงได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีนั้นเป็นเพราะพันธมิตรฯเช่นกัน แม้จะตั้งรัฐบาลโดยมีกองทัพจับมือกับกลุ่มนายเนวินก็ตาม
ชะตากรรมของกลุ่มพันธมิตรฯและนายสนธิก็ไม่ต่างกับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ที่เคยยิ่งใหญ่และกุมอำนาจเด็ดขาด แต่ปัจจุบันเป็นได้แค่หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อมีการเลือกตั้งจะเป็นพรรคต่ำสิบหรือต่ำห้า ทั้งที่ก่อนหน้านี้ถูกคาดการณ์ว่าจะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีก่อนนายอภิสิทธิ์เสียอีก
จึงไม่แปลกที่นายสนธิจะแสดงความไม่พอใจและโจมตีนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ว่าเนรคุณต่างๆนานา ทั้งยังโกหก ตระบัดสัตย์เป็นเนืองนิจ โดยเฉพาะนายกษิตที่เป็นเหมือนคนของพันธมิตรฯแต่กลับออกมาตอบโต้และกล่าวหากลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งกำลังสร้างความเสียหายให้กับบ้านเมือง เพราะไม่รู้ข้อเท็จจริงแล้วยังปลุกระดมให้เกิดความโกรธแค้น และไม่สมควรจะเอากองทัพมากดดัน
มาร์คปุกคุ้ง
นายสนธิสรุปว่า นายกษิตกับนายอภิสิทธิ์เป็น “ของเก๊” ทั้งหมด ทั้งตั้งฉายานายอภิสิทธิ์ว่า “มาร์คปุกคุ้ง” หมายถึงกระบี่วิญญูชนจอมปลอม คือนักการเมืองหรือผู้มีอำนาจฆ่าคู่ต่อสู้ทางการเมือง ฆ่าญาติมิตร ฆ่าเพื่อนฝูงผู้หวังดี แม้แต่คนที่ต่อสู้ให้ตนเองขึ้นมาใหญ่ก็ฆ่า ในช่วงที่ตัวเองเป็นใหญ่ก็ต้องการโชว์ว่าซื่อสัตย์ แต่พอลับหลังก็แอบไปจับมือกับโจรเพื่อจะปล้นชาติ ปล้นแผ่นดิน
แกนนำพันธมิตรฯและกลุ่มประชาชนไทยหัวใจรักชาติจึงไม่เชื่อความจริงใจของนายอภิสิทธิ์ ทั้งยังมีบางคนมองว่านายอภิสิทธิ์และคนในกองทัพบางคนถือโอกาสยืมมือสมเด็จฮุน เซน ทำลายพันธมิตรฯ เพราะหากปล่อยให้พันธมิตรฯกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้งอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจใหม่ ซึ่งไม่ใช่พรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มอีลิตอย่างปัจจุบัน โดยกลุ่มพันธมิตรฯยืนยันจะชุมนุมใหญ่ยืดเยื้อในวันที่ 25 มกราคมนี้แน่นอน เพื่อคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมทั้งเรียกร้องให้ยกเลิกบันทึกเอ็มโอยู 2543 แต่นายสนธิอาจลืมไปว่าความยิ่งใหญ่ของพันธมิตรฯก่อนหน้านี้ส่วนหนึ่งมาจากบรรดาแม่ยกของนายอภิสิทธิ์ คนของพรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่มอีลิตที่มีพลังมหาศาลจาก “สีพิเศษ”
“มันทุเรศไง เมืองไทยเป็นเมืองซึ่งด้อยปัญญา รัฐบาลทำไมเราถึงมีนักการเมืองชั่วๆ ทหารเลวๆบางคนเกิดขึ้นมาได้ เหตุผลเพราะว่าคนไทยไร้ปัญญา เมื่อคนไทยไร้ปัญญาแล้วมันหลอกเรื่องอะไรก็หลอกได้ แต่มันหลอกเรื่องกฎแห่งกรรมไม่ได้ ผมเชื่อเหลือเกินในเรื่องกฎแห่งกรรม ผมคิดว่ามันใกล้มาแล้ว”
นายสนธิกล่าวอย่างเจ็บปวด ซึ่งคงไม่ปฏิเสธว่าสภาพของคนเสื้อเหลืองวันนี้ไม่ได้แตกต่างจากคนเสื้อแดงมากนักที่โดนต้ม โดนหลอกจากนักการเมืองเลวๆ กลุ่มอีลิต และกองทัพที่วันนี้ปูอำนาจไว้อย่างมั่นคงแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องใช้บริการจากบรรดา “โคถึก” อีกต่อไป
พรรคประชาธิปัตย์จึงกล้าออกมาประกาศว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส.ส.เขตต้องมี 375 คน และ ส.ส. บัญชีรายชื่อ 125 คน รวมทั้ง ส.ว.สรรหาก็ยังมีอยู่ต่อไป เพราะนั่นคือฐานอำนาจของกลุ่มอีลิตในรัฐสภา อีกทั้งยังเป็นการลดอำนาจพรรคเพื่อไทยและกลุ่มที่ยังจงรักภักดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณอีกด้วย
เสียงขู่ของนายสนธิและกลุ่มพันธมิตรฯจึงมีแต่ลดลงเรื่อยๆ เพราะกลุ่มที่เคยสนับสนุนค่อยๆถอยห่างออกไป การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯและเครือข่ายจึงไม่มีพลังเหมือนในอดีต ขณะที่พรรคการเมืองใหม่เองก็เหมือนแท้งตั้งแต่เกิด จนถูกสบประมาทว่าอาจไม่ได้ ส.ส. แม้แต่ที่นั่งเดียวหากมีการเลือกตั้ง
“เหลือง-แดง” ปลดวิกฤต
จึงไม่สายเกินไปที่นายสนธิจะกลับไปทบทวนที่เคยพูดถึงคนเสื้อเหลืองและคนเสื้อแดงว่ามีอยู่อย่างหนึ่งที่เหมือนกันคืออุดมการณ์ที่ต้องการ “ปฏิวัติสังคม” แม้ไม่ง่ายที่จะเปลี่ยนแปลงในชั่วข้ามคืน
แต่ไม่ได้ปิดประตูตาย เพราะไม่ว่าเสื้อเหลืองหรือเสื้อแดงก็คือประชาชนที่ต้องการความยุติธรรมและประชาธิปไตยที่แท้จริงที่เป็นของประชาชน ไม่ใช่ให้พวกเหลือบการเมืองมาแสวงหาผลประโยชน์
ที่สำคัญคนเสื้อเหลืองและคนเสื้อแดงไม่เคยคิดจะเข่นฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่งเลย ขณะที่นายอภิสิทธิ์และคนในกองทัพกลับไม่สะทกสะท้านกับการใช้กำลังปราบปรามประชาชนจนตายไปเกือบร้อย
การเดินหน้าปฏิวัติสังคมโดยประชาชนจึงเป็นวิธีเดียวที่จะสามารถปลดแอกการเมืองน้ำเน่าภายใต้เงาอุบาทว์ของกลุ่มอีลิตและ “มือที่มองไม่เห็น” ได้
เพราะไม่เช่นนั้นนายสนธิและพันธมิตรฯก็ยากจะต้องรับชะตากรรมเช่นเดียวกับคนเสื้อแดงขณะนี้ที่ถูกยัดเยียดเป็น “ผู้ก่อการร้าย” และติดคุกยาวเพื่อไม่ให้เป็น “หอกข้างแคร่”
แม้แต่นายอภิสิทธิ์เองก็ตาม แม้วันนี้จะเป็น “คนโปรด” ของกลุ่มอีลิตและคนในกองทัพ แต่เมื่อ “เสร็จศึก” ก็หนีไม่พ้น “กฎแห่งกรรม” และเป็น “โคถึก” ที่มิแคล้วต้องถูกฆ่าเช่นเดียวกับนายสนธิในวันนี้
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 294 วันที่ 15-21 มกราคม พ.ศ. 2554 หน้า 16 คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน
2011-01-17
“ผมต้องพูดแรงนิดหนึ่ง ผมว่ากระทรวงการต่างประเทศคือกระทรวงข..า..ยชาติ ทุกวันนี้คุณกษิต ภิรมย์ นี่ผมผิดหวังในตัวคุณกษิตมาก คุณกษิต ภิรมย์ กับคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ รู้เห็นเป็นใจกันทุกเรื่อง คุณกษิต ภิรมย์ ฉกฉวยโอกาสในช่วงของการชุมนุมพันธมิตรฯไปสร้างชื่อตัวเอง สมัยคุณกษิต ภิรมย์ อยู่ก็ขึ้นเวทีด่าเขมร อย่างโน้นด่าเขมรอย่างนี้ วันนี้คุณกษิต ภิรมย์ ออกมาพูดในเรื่องนี้เป็นการปกป้องเขมรหมด”
นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แสดงความไม่พอใจอย่างมากกับท่าทีของรัฐบาลและกองทัพในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ทางเอเอสทีวีเมื่อวันศุกร์ที่ 7 มกราคมที่ผ่านมา กรณีกัมพูชาจับ 7 คนไทยที่มีนายวีระ สมความคิด กับนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ รวมอยู่ด้วย แต่ท่าทีของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยเฉพาะนายวีระ สมความคิด กับนางราตรี ไพรพัฒนไพบูลย์ ถูกตั้งข้อหาเพิ่มว่าพยายามประมวลข่าวสารซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อการป้องกันประเทศตามมาตรา 27 และมาตรา 446 ของกฎหมายกัมพูชา
“เป็นเรื่องที่เจ็บช้ำน้ำใจที่สุดในชีวิตตั้งแต่เกิดมา เจ็บช้ำน้ำใจตรงไหนรู้ไหม ตรงที่ว่าพอมีเรื่องแล้วรัฐบาลไทย ทหารไทย ข้าราชการไทย นักการเมืองไทยไม่มีศักดิ์ศรี ไม่มีศักดิ์ศรี เหมือนกับว่าเรายอมเขมรมันหมดทุกเรื่อง แล้วเขมรคือใคร ไอ้ประเทศซึ่งฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มัน จนทุกวันนี้มันยังไม่สามารถจะหาธรรมาภิบาลในประเทศชาติของมันได้เลย”
นายสนธิยังถามว่า นายอภิสิทธิ์และ พล.อ.ประวิตรมีหัวใจเป็นคนไทยหรือเปล่า
“การที่เขมรจะเอาคนทีมคุณวีระ คุณพนิชไปขึ้นศาล ถ้านายกรัฐมนตรีมีความเป็นลูกผู้ชายแล้วกล้าปกป้องประเทศไทย ถ้า พล.อ.ประวิตรเป็นอดีตทหารเสือราชินี เป็นทหารจริงๆ มีจิตใจเป็นทหาร ถ้านายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง เป็นคนไทยจริงๆ ต้องประกาศให้ชัดเจนว่าคุณเอา 7 คนไปขึ้นศาลไม่ได้ เพราะนี่ดินแดนไทย ต้องปล่อยออกมาเดี๋ยวนี้ ถ้าคุณไม่ปล่อยมีเรื่องกับเราทันที เพราะนี่พื้นที่เรา บ้านเราเขาทำตรงกันข้าม เขาไปเป็นพยานให้กับเขมรว่าคนไทยรุกดินแดนไทย นี่คุณหัวใจคนไทยหรือเปล่า”
ย้อนคดียิง “สนธิ”
คำพูดของนายสนธิยิ่งทำให้หลายคนต้องย้อนไปถึงการลอบสังหารนายสนธิเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2552 จนถึงวันนี้ยังไม่สามารถจับคนยิงหรือคนบงการได้ อีกทั้งเรื่องยังเงียบหายไปอย่างน่าประหลาด ทั้งที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ยืนยันว่าคดีนี้จะไม่เป็นมวยล้ม หลังจากมีการออกหมายจับนายทหารชั้นประทวน สังกัดศูนย์สงครามพิเศษ จังหวัดลพบุรี ซึ่งมีการพยายามพาดพิงไปถึง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบกขณะนั้น
ขณะที่นายสนธิได้ออกมาแถลงถึงขบวนการสังหารตนเองหลังจากรักษาตัวและเก็บตัวเงียบมาระยะหนึ่ง โดยยืนยันว่ามีผู้พยายามส่งเจ้าหน้าที่มาพูดคุยว่าผิดเป้าหรือไม่ แต่เชื่อว่าเป็นกฐินสามัคคี ทั้งยังฝากถึงนายอภิสิทธิ์ว่าอย่าปกครองบ้านเมืองด้วยคำพูด แต่ต้องจับคนยิงให้ได้ ไม่อย่างนั้นประเทศไทยก็ไม่ต่างอะไรกับบ้านป่าเมืองเถื่อนที่ใครมีอำนาจ มีปืนก็ยิงใครก็ได้
“ขบวนการที่ยิงผมเท่าที่ทราบมี 14 คน เป็นทหาร 13 คน เป็นตำรวจ 1 คน และทหารมีพื้นเพมาจากป่าหวายทั้งหมด บางคนบอกว่าคนบางคนในดีเอสไอเป็นคนวางแผนฆ่าผม แต่ผมบอกว่าคนในดีเอสไอคงจะไปสั่งทหารป่าหวายไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นน่าจะเป็นกฐินสามัคคี ผมไม่ติดใจอะไร จับได้ก็ได้ จับไม่ได้ต้องถือเป็นโชคร้ายของบ้านเมือง คนอย่างผมถูกลอบสังหารได้ อย่างนายอภิสิทธิ์หรือสูงกว่านายกฯก็ต้องถูกสังหารได้โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
เกือบตายเพราะ “สี”
การลอบสังหารนายสนธิครั้งนั้นเชื่อว่ามาจากการปราศรัยที่อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2552 โดยนายสนธิได้พูดเป็นปริศนาเรื่องของ “สี” ซึ่งเกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์ว่า
“ทำไมต้องจับมือกับเนวิน (ชิดชอบ) และใครไปบังคับให้พรรคร่วมรัฐบาลมาร่วมกับประชาธิปัตย์ ทำ ไมถึงมี “สีน้ำเงิน” มาฆ่า “สีแดง” และ “สีฟ้า” ขอยืม “สีกากี” มาฆ่า “สีเหลือง” และพี่น้องจะเข้าใจอย่างลึกซึ้ง อย่างลึกซึ้ง เพราะว่าเรื่องพวกนี้ถ้าไม่อธิบายกันแบบป่าทั้งป่าจะไม่เข้าใจ และผมอยากให้คนใต้ที่ไม่ชอบผมตอนนี้ให้ตั้งใจฟังดีๆ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ไม่ได้ยืนบนเวทีหรือยืนบนพระแม่ธรณีเพื่อให้คนชอบหรือไม่ชอบ แต่นายสนธิจะยืนอยู่บนความถูกต้อง”
นับตั้งแต่นั้นมานายสนธิก็ประกาศแตกหักกับพรรคประชาธิปัตย์อย่างชัดเจน เพราะแม้แต่ “เปลวสีเงิน” คอลัมนิสต์ชื่อดังใน “ไทยโพสต์” ยังตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับวันที่ 18 เมษายน 2552 ว่าเป็นวิกฤตการเมืองที่ต้องเตือนสติทั้งคนเสื้อเหลืองและเสื้อแดง โดยใช้หัวข้อเรื่องว่า “ลับแลอำนาจ “ฆ่าสนธิ” ปั่นเหลือง-แดงฆ่ากัน” โดยระบุว่า คนเสื้อเหลืองและคนเสื้อแดงต่างตกเป็นเครื่องมือของคนบางคนที่จ้องฉกฉวยโอกาสหลอกล่อให้ฆ่ากันเอง ซึ่งเกิดจาก “มือที่มองไม่เห็น” ที่สร้างสถานการณ์เพื่อรักษาอำนาจและผลประโยชน์ของตนและพวกพ้อง
พันธมิตรฯศัตรู ปชป.
ดังนั้น กว่า 2 ปีที่ผ่านมากลุ่มพันธมิตรฯ โดยเฉพาะนายสนธิได้ออกมาโจมตีนายอภิสิทธิ์และรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งนายสนธิประณามว่า ระบบการเมืองขณะนี้เป็นลักษณะการสืบทอดอำนาจต่อเนื่องจากตนเองไปที่เมีย ลูก เพื่อน แล้วยังจับมือกันกินรถเมล์ 69,000 ล้านบาท สนามบินรันเวย์ที่ 3 อีก 75,000 ล้านบาท ถนนไร้ฝุ่นอีกกี่หมื่นล้านบาท เบ็ดเสร็จงบประมาณแผ่นดิน 180,000 ล้านบาท ถูกชัก 10 เปอร์เซ็นต์คือ 180,000 ล้านบาท หรือ 15 เปอร์เซ็นต์ 270,000 ล้านบาท เอามาจัดสรรเข้ากระเป๋าพวกนักการเมืองเพื่อเอาเงินก้อนนี้กลับไปซื้อเสียงอีกครั้งหนึ่ง แล้วกลับมาเพื่อกินงบประมาณกันอีก
นายสนธิยังประณามว่า พรรคร่วมรัฐบาลขณะนี้เหมือนปล้นกลางแดด มือถือดาบ คาดผ้าประเจียด ไอ้เสือเอาวา ปล้น ไม่เหมือนยุคทักษิณที่มีธุรกิจเป็นของตัวเอง ใช้กฎหมายบีโอไอ หรือแก้กฎหมายสรรพสามิตให้ไม่ต้องจ่ายค่าสัมปทานเพื่อเอื้อธุรกิจของตนเอง แต่ยุคนี้เปลี่ยนเป็นการทำโครงการที่ใช้งบประมาณมากๆ เช่น ถนนไร้ฝุ่น จำนำข้าว มือใครยาวสาวได้สาวเอา นายอภิสิทธิ์จึงได้แต่นั่งทำตาปริบๆ เพราะกลัวพรรคร่วมรัฐบาลจะถอนตัว
แต่วันนี้นายสนธิคงไม่ปฏิเสธว่านายอภิสิทธิ์ไม่ใช่เป็น “ผู้นำฟันน้ำนม” หรือ “หุ่นเชิด” ที่ไร้เดียงสาอีกต่อไปแล้ว เพราะแม้แต่นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย และนายบรรหาร ศิลปอาชา แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา ยังออกปากอย่างเกรงขามและถากถางว่าใหญ่โตจนไม่เห็นหัวคนแก่แล้ว
ดังนั้น ใครจะเย้ยหยันว่า “รักนะ...เด็กโง่” แต่สำหรับพันธมิตรฯและนายสนธิที่ประกาศชุมนุมใหญ่ทั้งเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และกรณีชายแดนไทย-กัมพูชานั้นกลายเป็นเรื่องของการใช้หนี้แผ่นดิน ซึ่งนายสนธิยืนยันว่าจะชุมนุมแม้จะมีไม่กี่คนก็ตาม เพราะวันนี้บรรดาแม่ยกนายอภิสิทธิ์ต่างหลงใหลในกิเลส ซึ่งน่าสงสารที่สุดในโลก
“ในวันข้างหน้าถ้ามีคนหล่อกว่านายอภิสิทธิ์ พูดเพราะกว่า ก็จะเปลี่ยนไปชอบอีกคน คนที่หนาด้วยกิเลสพูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ คนพวกนั้นมุ่งที่ความสวยงาม ความหล่อเหลา มองคนที่ภายนอกจริงๆ คนพวกนี้ผมรังเกียจมาก รู้ว่าไม่ควรพูดแต่ต้องพูด เพราะรู้สึกว่าไม่อยากเสียเวลากับคนไร้สาระแบบนี้”
“อภิสิทธิ์โมฆะบุรุษ”
แต่สำหรับคนเสื้อแดงแล้วนายอภิสิทธิ์คือผู้ต้องหาในการสั่งฆ่าประชาชน แม้วันนี้หลายฝ่ายจะเชื่อว่ายากจะเอาผิดได้ตามกระบวนการยุติธรรม แต่ก็ดีกว่า “ตายฟรี” และถูก “ขังฟรี” อย่างที่อาจารย์กฤตยา อาชวนิชกุล ศูนย์สิทธิมนุษยชน มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” 91 ศพ และบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 คน สาเหตุส่วนใหญ่มาจากการถูกยิงบริเวณศีรษะโดยใช้อาวุธสงคราม และแพทย์ยังให้ความเห็นว่าถูกกระสุนความเร็วสูง ซึ่งตรงกับผลการชันสูตรศพที่ถูกเปิดเผยออกมา โดยเฉพาะกรณี 6 ศพในวัดปทุมวนาราม
ยิ่งหลังวันที่ 10 เมษายน รัฐบาลอภิสิทธิ์ได้ใช้วาทกรรม “ก่อการร้าย” กล่าวหาและไล่ล่าคนเสื้อแดง ขณะที่เหตุการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ใช้คำว่า “ผู้ก่อความไม่สงบ” เท่านั้น การที่รัฐบาลคิดคำนี้ขึ้นมาเพื่อสร้างความสกปรกให้สะอาด สร้างความชอบธรรมให้รัฐบาล แล้วสร้างความอัปลักษณ์ให้กับคนเสื้อแดง ทั้งที่สิ่งที่รัฐบาลใช้อำนาจอำมหิตจัดการกับประชาชนนั้นเป็นสิ่งที่สกปรกและน่าผิดหวัง ซึ่งประชาชนสามารถเกลียดรัฐบาลได้ แต่รัฐบาลไม่มีสิทธิเกลียดประชาชน และไม่มีอำนาจสั่งฆ่าประชาชน
“นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เคยพูดกับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ต่อเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 ว่านายสมชายเป็นคนหรือไม่ แต่ดิฉันจะไม่ถามว่านายอภิสิทธิ์เป็นคนหรือไม่ เพราะรู้ว่าเป็นคนอยู่แล้ว นอกจากนี้ในสมัยนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ได้อภิปรายโจมตีนายบรรหาร ตอนหนึ่งนายอภิสิทธิ์กล่าวหานายบรรหารว่าเป็นโมฆะบุรุษ แต่กับเหตุการณ์นี้มีการสั่งสลายการชุมนุมทำให้คนเสียชีวิตจำนวนมาก แต่นายอภิสิทธิ์ยังอยู่ในอำนาจ นายอภิสิทธิ์จึงเป็นโมฆะบุรุษ และรัฐบาลชุดนี้ก็เป็นโมฆะรัฐบาล”
เสร็จศึกฆ่าพันธมิตรฯ
กรณีกัมพูชาจับ 7 คนไทยจนถึงบทบาทของพันธมิตรฯวันนี้จึงถูกเปรียบเปรยเหมือนคำพังเพย “เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าพันธมิตรฯ” อย่างที่พันธมิตรฯออกมาประณามพรรคประชาธิปัตย์และนายอภิสิทธิ์ว่า “เนรคุณ” ทั้งที่พันธมิตรฯเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จนสามารถล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ขณะเดียวกันการชุมนุมยืดเยื้อนานเกือบ 200 วันจนสามารถล้มรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายอภิสิทธิ์จึงได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีนั้นเป็นเพราะพันธมิตรฯเช่นกัน แม้จะตั้งรัฐบาลโดยมีกองทัพจับมือกับกลุ่มนายเนวินก็ตาม
ชะตากรรมของกลุ่มพันธมิตรฯและนายสนธิก็ไม่ต่างกับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ที่เคยยิ่งใหญ่และกุมอำนาจเด็ดขาด แต่ปัจจุบันเป็นได้แค่หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อมีการเลือกตั้งจะเป็นพรรคต่ำสิบหรือต่ำห้า ทั้งที่ก่อนหน้านี้ถูกคาดการณ์ว่าจะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีก่อนนายอภิสิทธิ์เสียอีก
จึงไม่แปลกที่นายสนธิจะแสดงความไม่พอใจและโจมตีนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ว่าเนรคุณต่างๆนานา ทั้งยังโกหก ตระบัดสัตย์เป็นเนืองนิจ โดยเฉพาะนายกษิตที่เป็นเหมือนคนของพันธมิตรฯแต่กลับออกมาตอบโต้และกล่าวหากลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งกำลังสร้างความเสียหายให้กับบ้านเมือง เพราะไม่รู้ข้อเท็จจริงแล้วยังปลุกระดมให้เกิดความโกรธแค้น และไม่สมควรจะเอากองทัพมากดดัน
มาร์คปุกคุ้ง
นายสนธิสรุปว่า นายกษิตกับนายอภิสิทธิ์เป็น “ของเก๊” ทั้งหมด ทั้งตั้งฉายานายอภิสิทธิ์ว่า “มาร์คปุกคุ้ง” หมายถึงกระบี่วิญญูชนจอมปลอม คือนักการเมืองหรือผู้มีอำนาจฆ่าคู่ต่อสู้ทางการเมือง ฆ่าญาติมิตร ฆ่าเพื่อนฝูงผู้หวังดี แม้แต่คนที่ต่อสู้ให้ตนเองขึ้นมาใหญ่ก็ฆ่า ในช่วงที่ตัวเองเป็นใหญ่ก็ต้องการโชว์ว่าซื่อสัตย์ แต่พอลับหลังก็แอบไปจับมือกับโจรเพื่อจะปล้นชาติ ปล้นแผ่นดิน
แกนนำพันธมิตรฯและกลุ่มประชาชนไทยหัวใจรักชาติจึงไม่เชื่อความจริงใจของนายอภิสิทธิ์ ทั้งยังมีบางคนมองว่านายอภิสิทธิ์และคนในกองทัพบางคนถือโอกาสยืมมือสมเด็จฮุน เซน ทำลายพันธมิตรฯ เพราะหากปล่อยให้พันธมิตรฯกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้งอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจใหม่ ซึ่งไม่ใช่พรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มอีลิตอย่างปัจจุบัน โดยกลุ่มพันธมิตรฯยืนยันจะชุมนุมใหญ่ยืดเยื้อในวันที่ 25 มกราคมนี้แน่นอน เพื่อคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมทั้งเรียกร้องให้ยกเลิกบันทึกเอ็มโอยู 2543 แต่นายสนธิอาจลืมไปว่าความยิ่งใหญ่ของพันธมิตรฯก่อนหน้านี้ส่วนหนึ่งมาจากบรรดาแม่ยกของนายอภิสิทธิ์ คนของพรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่มอีลิตที่มีพลังมหาศาลจาก “สีพิเศษ”
“มันทุเรศไง เมืองไทยเป็นเมืองซึ่งด้อยปัญญา รัฐบาลทำไมเราถึงมีนักการเมืองชั่วๆ ทหารเลวๆบางคนเกิดขึ้นมาได้ เหตุผลเพราะว่าคนไทยไร้ปัญญา เมื่อคนไทยไร้ปัญญาแล้วมันหลอกเรื่องอะไรก็หลอกได้ แต่มันหลอกเรื่องกฎแห่งกรรมไม่ได้ ผมเชื่อเหลือเกินในเรื่องกฎแห่งกรรม ผมคิดว่ามันใกล้มาแล้ว”
นายสนธิกล่าวอย่างเจ็บปวด ซึ่งคงไม่ปฏิเสธว่าสภาพของคนเสื้อเหลืองวันนี้ไม่ได้แตกต่างจากคนเสื้อแดงมากนักที่โดนต้ม โดนหลอกจากนักการเมืองเลวๆ กลุ่มอีลิต และกองทัพที่วันนี้ปูอำนาจไว้อย่างมั่นคงแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องใช้บริการจากบรรดา “โคถึก” อีกต่อไป
พรรคประชาธิปัตย์จึงกล้าออกมาประกาศว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส.ส.เขตต้องมี 375 คน และ ส.ส. บัญชีรายชื่อ 125 คน รวมทั้ง ส.ว.สรรหาก็ยังมีอยู่ต่อไป เพราะนั่นคือฐานอำนาจของกลุ่มอีลิตในรัฐสภา อีกทั้งยังเป็นการลดอำนาจพรรคเพื่อไทยและกลุ่มที่ยังจงรักภักดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณอีกด้วย
เสียงขู่ของนายสนธิและกลุ่มพันธมิตรฯจึงมีแต่ลดลงเรื่อยๆ เพราะกลุ่มที่เคยสนับสนุนค่อยๆถอยห่างออกไป การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯและเครือข่ายจึงไม่มีพลังเหมือนในอดีต ขณะที่พรรคการเมืองใหม่เองก็เหมือนแท้งตั้งแต่เกิด จนถูกสบประมาทว่าอาจไม่ได้ ส.ส. แม้แต่ที่นั่งเดียวหากมีการเลือกตั้ง
“เหลือง-แดง” ปลดวิกฤต
จึงไม่สายเกินไปที่นายสนธิจะกลับไปทบทวนที่เคยพูดถึงคนเสื้อเหลืองและคนเสื้อแดงว่ามีอยู่อย่างหนึ่งที่เหมือนกันคืออุดมการณ์ที่ต้องการ “ปฏิวัติสังคม” แม้ไม่ง่ายที่จะเปลี่ยนแปลงในชั่วข้ามคืน
แต่ไม่ได้ปิดประตูตาย เพราะไม่ว่าเสื้อเหลืองหรือเสื้อแดงก็คือประชาชนที่ต้องการความยุติธรรมและประชาธิปไตยที่แท้จริงที่เป็นของประชาชน ไม่ใช่ให้พวกเหลือบการเมืองมาแสวงหาผลประโยชน์
ที่สำคัญคนเสื้อเหลืองและคนเสื้อแดงไม่เคยคิดจะเข่นฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่งเลย ขณะที่นายอภิสิทธิ์และคนในกองทัพกลับไม่สะทกสะท้านกับการใช้กำลังปราบปรามประชาชนจนตายไปเกือบร้อย
การเดินหน้าปฏิวัติสังคมโดยประชาชนจึงเป็นวิธีเดียวที่จะสามารถปลดแอกการเมืองน้ำเน่าภายใต้เงาอุบาทว์ของกลุ่มอีลิตและ “มือที่มองไม่เห็น” ได้
เพราะไม่เช่นนั้นนายสนธิและพันธมิตรฯก็ยากจะต้องรับชะตากรรมเช่นเดียวกับคนเสื้อแดงขณะนี้ที่ถูกยัดเยียดเป็น “ผู้ก่อการร้าย” และติดคุกยาวเพื่อไม่ให้เป็น “หอกข้างแคร่”
แม้แต่นายอภิสิทธิ์เองก็ตาม แม้วันนี้จะเป็น “คนโปรด” ของกลุ่มอีลิตและคนในกองทัพ แต่เมื่อ “เสร็จศึก” ก็หนีไม่พ้น “กฎแห่งกรรม” และเป็น “โคถึก” ที่มิแคล้วต้องถูกฆ่าเช่นเดียวกับนายสนธิในวันนี้
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 294 วันที่ 15-21 มกราคม พ.ศ. 2554 หน้า 16 คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน
2011-01-17
วันศุกร์, มกราคม 14, 2554
วิบากกรรมคนไทยดอกเบี้ยพุ่ง-สินค้าแพง
“ของแพง” กลายเป็นเงาร้ายขย่มขวัญมนุษย์เงินเดือน ข้าราชการรายได้ต่ำ และคนรายได้น้อยหาเช้ากินค่ำมากขึ้นทุกวันต่อเนื่อง
แม้ว่ารัฐบาลจะออกประชาวิวัฒน์ของขวัญ 9 ชิ้น ดูแลสวัสดิการ ความเป็นอยู่ทำมาหากินของคนรากหญ้า ดูแลสินค้าอาหาร พลังงาน แต่ว่าสถานการณ์ความเป็นจริงกลับสวนทาง
ตั้งแต่วันที่ 9 ม.ค. 2554 ที่รัฐบาลแกะกล่องของขวัญชิ้นโบแดง แทนที่สินค้าต่างๆ จะพาเหรดขานรับขยับราคาลง เป็นน้ำรดหัวใจคนจนให้มีความหวัง แต่ก็ผิดคาด
ราคาไข่ไก่และเนื้อสัตว์ที่เป็นหนึ่งในของขวัญที่รัฐบาลมอบให้ปีใหม่ ต่างจ่อขยับราคาขึ้นสวนมาตรการประชาวิวัฒน์ เพราะที่ผ่านมาต้นทุนเพิ่ม และยังไม่ได้ปรับราคาขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีผู้ประกอบการออกมาสับแหลกนโยบายแก้ปัญหาราคา ด้วยการชั่งไข่ไก่ขายเป็นกิโล และเลิกการผูกขาดอาหารเลี้ยงสัตว์ เพื่อทำให้ราคาถูกลง ก็เป็นเรื่องที่เกาไม่ถูกที่คัน และสร้างความสับสนให้กับตลาดและผู้บริโภค
ยังไม่ทันข้ามคืน รัฐบาลก็ประกาศให้ผู้ผลิตราคาน้ำมันปาล์มขึ้นราคาพรวดเดียวขวดละ 9 บาท ทำให้ราคาน้ำมันขายปลีกจาก 38 บาทปลายๆ วิ่งไปแตะขวดละ 50 บาท ทำเอาคนหาเช้ากินค่ำสะอื้น เงิน 100 บาท ซื้อน้ำมันได้ไม่เต็ม 2 ขวด เพื่อประทังชีพ ยังไม่นับต้องซื้อข้าว ผัก ที่ราคาก็ไม่เคยลดลง
ขณะที่พ่อค้าแม่ค้าข้าวแกงต่างๆ ขยับราคาขึ้นเป็นทิวแถว จากจานละ 2530 บาท ทะลุไป 4050 บาท เพราะหมู เนื้อ ไข่ น้ำมัน ผักล้วนแพงขึ้น คนขายสุดอั้นทนเข้าเนื้อไม่ไหว ต้องผลักภาระให้ลูกค้ารายได้น้อยแบบไม่มีทางเลือก
ในรายที่ใจแข็งไม่ขึ้นราคา ก็ใช้วิธีลดปริมาณ เพื่อให้ขายได้แบบมีกำไรอยู่รอด ขณะที่คนกินก็ต้องทำใจ กินได้ไม่เต็มอิ่ม หากต้องการอิ่มเท่าเดิมก็ต้องยอมจ่ายเพิ่ม
ลำพังสถานการณ์อาหารที่กินเพื่อมีชีวิตอยู่ขั้นพื้นฐาน ไม่ได้กินหรูหราฟู่ฟ่า ก็ทำให้มนุษย์เงินเดือน คนรายได้น้อย เลือดตาแทบกระเด็นชักหน้าไม่ถึงหลังแล้ว เพราะรายจ่ายเพิ่ม แต่รายได้ไม่ขยับ แม้เงินเดือนเพิ่มก็ยังวิ่งไล่ไม่ทันเงินเฟ้อที่สูงกว่า 3% อยู่ดี
ขณะที่มองไปอนาคตยังมีเรื่องร้ายให้ผวาได้อีก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่ปรับสูงขึ้น หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) 0.25% ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายไปอยู่ที่ 2.25% ต่อปี
จะว่าไปแล้วดอกเบี้ยขยับขึ้น 0.25% ไม่กระเทือนคนรายได้สูง แถมยังมีแต่ได้ เพราะคนรวยชื่อก็บอกอยู่แล้วมีเงินไม่มีหนี้ ดอกเบี้ยขึ้นได้ดอกเงินฝากมากขึ้น ทำให้รวยขึ้นไปอีก
แต่สำหรับคนจนรายได้น้อย ต้องบอกว่าเงินเก็บไม่ต้องพูดถึง เงินเดือนแต่ละเดือนหมุนแทบไม่ชนเดือน
ส่วนเรื่องหนี้ยิ่งกว่ามีทั้งหนี้บัตรเครดิต หนี้บัตรเงินสด หนี้บ้าน หนี้รถ ซึ่งหากดอกเบี้ยสินเชื่อขยับขึ้นไป 0.25% เท่ากับโดนเข้าไปสามสี่เด้ง รวมๆ แล้วภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นหลายเปอร์เซ็นต์ ทำให้ภาระที่ต้องผ่อนต่อเดือนรวมทุกรายการวิ่งท่วมรายได้
อย่างที่บอกว่า ลำพังภาระค่าใช้ซื้อกินอยู่ที่สูงขึ้นก็ชักหน้าไม่ถึงหลังแล้ว และยังมีภาระหนี้บานขึ้นแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวอีก เห็นทีจะหมุนเงินไม่ทัน และในไม่ช้าต้องผิดชำระเป็นหนี้เสีย ต้องวิ่งหาเงินนอกระบบมาโปะแบบไม่มีทางเลือกในที่สุด
ยิ่งแนวโน้มดอกเบี้ยยังขยับไม่สุด หลายฝ่ายคาดการณ์กันว่าต้องขึ้นอีกอย่างน้อย 1% ก็เห็นทีคนจนและมนุษย์เงินเดือนจะต้องหมดอนาคต ไม่พอกิน แถมหนี้ท่วมหัวหาทางรอดไม่เจอ
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันก็ยังพุ่งไม่หยุดผ่าน 90 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ทำให้ราคาขายปลีกภายในประเทศ โดยเฉพาะราคาดีเซล ทำท่าจะอั้นไม่อยู่ที่ 30 บาทต่อลิตร จะอุดก็คาดว่าได้อีกไม่นานต้องปล่อยมือ เพราะเงินหมดหน้าตัก ยิ่งมีการคาดว่าราคาน้ำมันตลาดโลกปีนี้วิ่งผ่าน 100150 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันบ้านเราต้องวิ่งไป 3540 บาทต่อลิตร ภายในปีนี้คงได้เห็นไม่ยาก
เมื่อไปถึงจุดนั้นก็จะกลายเป็นปัญหา“งูกินหาง” กันไม่หยุด น้ำมันแพง ดอกเบี้ยขึ้น ของราคาสินค้าพริก กะปิ น้ำปลา หมูเห็ดเป็ด ไก่แพงขึ้น และคนที่รับกรรมทนทุกข์ก็หนีไม่พ้นคนรายได้น้อย มนุษย์เงินเดือน ข้าราชการรายได้ต่ำ ซึ่งรัฐบาลไม่สามารถนำพาฝ่ามรสุมนี้ไปได้ ก็ไม่วายกระทบเศรษฐกิจมีปัญหา สังคมวุ่นวายรอบใหม่
ยังไม่รวมกับพ่อค้าผู้ประกอบการ ที่ฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าไม่เป็นธรรม กักตุนสินค้า ปั่นราคา ทำให้กรรมตกอยู่กับผู้บริโภคตาดำๆ
ขณะที่รัฐบาลได้แต่นั่งมองตาปริบๆ เพราะผลประโยชน์ทางการเมือง กับทางธุรกิจ แนบแน่นจนแยกกันไม่ออก หาความเป็นธรรมไม่เจอ
ถึงวันนี้ ไม่มีใครปฏิเสธแล้วว่า เงาร้ายวิกฤตของแพงแล้วแพงอีกไม่มีที่สิ้นสุด ก่อตัวเป็นวิกฤตรอบด้านกัดกินคนรายได้น้อยรวดเร็วแรงรุนแรงกว่าที่หลายฝ่าย ประเมิน
หากรัฐบาลยังไม่ตื่นตัวหามาตรการรับมือให้เป็นวาระแห่งชาติ เห็นทีรากหญ้า คนรายได้น้อย จะล้มทั้งยืน จนนับศพไม่ถ้วน
ที่มา: http://www.posttoday.com/วิเคราะห์/เศรษฐกิจ/69438...
ชื่อบทความ: “ของแพง” กลายเป็นเงาร้ายขย่มขวัญมนุษย์เงินเดือน ข้าราชการรายได้ต่ำ และคนรายได้น้อยหาเช้ากินค่ำมากขึ้นทุกวันต่อเนื่อง โดย...ทีมข่าวการเงิน
วันพุธ, มกราคม 12, 2554
ฮุนเซนชี้แจงจุดยืนความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา
“ฮุนเซน” ชี้ ยอมย้ายหมู่บ้านจากเขาพระวิหาร เพราะทำตามยูเนสโก ไม่ได้เกี่ยวกับไทยและ MOU43 ยอมคืนความสัมพันธ์ทางการทูต เพราะไทยถอนทหารจากวัดแก้วฯ เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.53 ประกาศกร้าว “สมาชิกรัฐสภาไทยมีเอกสิทธิ์เฉพาะในแผ่นดินไทย เมื่อเขาเข้ามาในแผ่นดินกัมพูชาเพื่อตรวจสอบที่ดิน กัมพูชามีสิทธิทุกประการที่จะจับกุม”
เว็บไซต์ฟิฟทีนมูฟ รายงานข่าวระบุว่า “ฮุนเซน ตบหน้าอภิสิทธิ์ ฉาดใหญ่ ระบุย้ายชุมชุนเขมรที่พระวิหารไม่เกี่ยวกับไทย ไม่เกี่ยวกับ MOU43 แต่ทำตามยูเนสโก ระบุ ไม่เคยยอมรับตามที่อภิสิทธิ์กล่าวอ้างว่า ความขัดแย้งไทย-เขมร เกิดจากการขึ้นทะเบียนปราสาท แต่ความขัดแย้งแท้จริงมาจากไทยรุกล้ำกัมพูชา เตือนยูเนสโกและนานาชาติอย่าเข้าใจผิด เพราะอภิสิทธิ์บิดเบือน ตบท้ายชงหวาน อภิสิทธิ์-ประวิตร-ประยุทธ์ เป็นคนรักชาติ พูดตรงกับเขมรไม่มีใครเสียดินแดน ชี้ นิ้วพวกหัวรุนแรงไทยกล่าวหาเลื่อนลอย ย้ำความสัมพันธ์การทูตเป็นปกติแล้วเพราะไทยถอนทหารพ้นวัดแก้วฯ”
เว็บไซต์วิสัยทัศน์ใหม่กัมพูชา เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2553 ตีพิมพ์เผยแพร่สุนทรพจน์ของสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน นายกรัฐมนตรี ระหว่างพิธีปิดการประชุมกระทรวงพัฒนาชนบท ประจำปี 2553 โดยในตอนท้ายได้ชี้แจงจุดยืนความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา ที่ระบุว่า ตนไม่เคยยอมรับว่า การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกเป็นสาเหตุของความตึงเครียดระหว่าง สองประเทศ ระหว่างการพูดคุยกับผู้นำไทย ก็ได้ยืนยันจุดยืนดังกล่าว
ทั้งยังระบุว่า ตนยอมรับเพียงแค่ว่าความตึงเครียดเกิดจากการที่ทหารไทยรุกล้ำกัมพูชา เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2551 เตือนนานาชาติและยูเนสโก ไม่ให้เข้าใจผิดเนื่องจากความพยายามบิดเบือนของฝ่ายไทย ประกาศย้ำว่า ความสัมพันธ์ทางการทูตกลับมาเป็นปกติเต็มขั้นเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2553 ที่ทหารไทยถอนออกจากวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ อ้างผู้นำรัฐบาลไทย และกองทัพพูดตรงกันกับกัมพูชา ว่า ไม่มีใครเสียดินแดน เรียกกลุ่มคนไทยที่เคลื่อนไหวเรื่องพิพาทเขตแดนไทย-กัมพูชา เป็น “พวกหัวรุนแรง” และกล่าวหาว่า กล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอยและผิดๆ ชมเปาะ อภิสิทธิ์ ประวิตร ประยุทธ์ เป็นผู้รักชาติ ก่อนระบุว่า การย้ายหมู่บ้านใกล้ปราสาทพระวิหารไม่เกี่ยวกับไทย แต่เป็นไปตามข้อเรียกร้องของยูเนสโก ตอนท้ายพูดถึงกรณืการจับตัว 7 คนไทย เรียก วีระ สมความคิด ว่า “หมอนี่”
เว็บไซต์ฟิฟทีนมูฟ แปลและเรียบเรียงสุนทรพจน์ของฮุน เซน ในประเด็นชี้แจงความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ดังนี้
เรื่อง การชี้แจงจุดยืนความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา
ผมขอใช้โอกาสนี้อธิบายบางประเด็นเกี่ยวกับการคืนความสัมพันธ์กับ ประเทศไทย หลังการปรับกำลัง สามารถพูดได้ว่า สถานการณ์ที่วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ได้ถูกแก้ไขแล้ว อย่างไรก็ตาม ผมต้องการทำความชัดเจนในบางประเด็น
ประการแรก ผมไม่เคยยอมรับแม้แต่น้อยว่าการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกนำสู่ ไปความตึงเครียดระหว่างกัมพูชากับไทย หากใครที่กรุงเทพฯ อ้างอย่างนั้น ผมจะบอกว่า ผิด ในการหารือของผมกับนายกรัฐมนตรีไทย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และผู้นำไทยคนอื่นๆ ผมไม่เคยเห็นด้วยว่าการขึ้นทะเบียน (ปราสาทพระวิหาร) นำไปสู่ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศ ผมอยากกระตุ้นเตือนยูเนสโกและเพื่อนชาวต่างชาติอื่นๆ ไม่ให้ถูกหลอกและเข้าใจผิดจากความพยายามบิดเบือนของคนหนึ่งคนใด
ผมยอมรับเฉพาะว่าความตึงเครียดเกิดจากการรุกรานของทหารไทย เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2551 ผมได้บอกอย่างชัดเจนว่า แม้เอกอัครราชทูต (ระหว่างสองประเทศ) กลับมาทำหน้าที่เหมือนเดิม ผมยังไม่นับว่าความสัมพันธ์ของเรากลับสู่ขั้นปกติอย่างเต็มที่ ความสัมพันธ์ขั้นปกติอย่างเต็มที่จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทหาร (ไทย) ที่รุกล้ำได้ถอนออกจากพระเจดีย์วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ดังเช่นเมื่อเวลา 10.30 น.ของวันที่ 1 ธันวาคม 2553 เมื่อทหารได้ปรับกำลังออกจากพระเจดีย์แก้วสิกขาคีรีสวาระ ผมประกาศการบรรลุความสัมพันธ์ขั้นปกติอย่างเต็มที่
ประการที่สอง เกี่ยวกับการตีความว่า กัมพูชาได้รุกล้ำแผ่นดินไทยราว 1.8 ล้านไร่ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่กัมพูชากลายเป็นผู้รุกรานแผ่นดินของคนอื่น ปกติในประวัติศาสตร์จะได้ยินแค่เพียงว่านั่นและนั่นรุกรานกัมพูชา และในบางคราวเราถูกกล่าวหาว่าเป็นหุ่นเชิดของบางประเทศ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้รัฐบาลไทยและกองทัพไทยได้ยืนยันว่าเขาไม่ได้เสียดินแดน นี่ยืนยันว่า พวกหัวรุนแรงเหล่านั้นกล่าวหาอย่างผิดๆ และไร้หลักฐาน ผมแน่ใจว่า รัฐบาลไทย นายกรัฐมนตรีไทย รัฐมนตรีกลาโหม ประวิตร วงษ์สุวรรณ และผู้บัญชาการทหารบกคนใหม่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เคยมาพบผมก่อนนี้ ทั้งหมดเป็นคนรักชาติ (สำหรับประเทศไทย) เมื่อทั้งสองฝ่ายยืนยันว่า ไม่มีการเสียดินแดน มันดีอย่างยิ่งที่เราไม่มีอะไรต้องกังวล หากมีความกังวลเกี่ยวกับการย้ายหมู่บ้าน K1 จากปราสาท (พระวิหาร) การย้ายหมู่บ้านไม่ได้เป็นไปตามความต้องการของไทย แต่เป็นไปตามข้อเรียกร้องขององค์การพระวิหาร และยูเนสโก
วันนี้เราได้จับกุม 7 คนไทยเสื้อเหลือง ที่ล่วงล้ำดินแดนกัมพูชา หนึ่งในนั้นเป็นสมาชิกรัฐสภาและบางส่วนเป็นสื่อมวลชน หนึ่งในนั้นคือ หมอนี่ วีระ สมความคิด พวกเขาจะถูกส่งมายังพนมเปญ มีการแทรกแซงเราให้ปล่อยตัวสมาชิกรัฐสภา ผมบอก (กับคนที่มาก้าวก่ายว่า) สมาชิกรัฐสภาไทยมีเอกสิทธิ์เฉพาะในแผ่นดินไทย เมื่อเขาเข้ามาในแผ่นดินกัมพูชาเพื่อตรวจสอบที่ดิน กัมพูชามีสิทธิทุกประการที่จะจับกุม
ฯพณฯ สา เขง (Sar Kheng) รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมหาดไทย รายงานมายังผมว่าขั้นตอนของคดีนี้จะเป็นการนำตัวไปยังตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เมื่อมาถึง จากนั้นจะถูกนำตัวไปยังศาล ส่วนข้อกล่าวหาจะขึ้นกับศาล หลังถูกตั้งข้อกล่าวหาพวกเขาจะถูกส่งตัวไปยังเรือนจำ ผมหวังว่า นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ จะเข้าใจระบบกฎหมายของกัมพูชา ซึ่งไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย ผมคิดว่า การจับกุมจะไม่นำไปสู่ความบาดหมางทางการทูตระหว่างกัมพูชาและไทยอีกครั้ง
หมายเหตุ: “วิสัยทัศน์ใหม่กัมพูชา” เป็นเว็บไซต์ของรัฐบาลกัมพูชา ผ่านความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรี ฮุนเซน เมื่อ 13 มกราคม 2541 ให้เป็นจดหมายข่าวอย่างเป็นทางการของรัฐบาล เป็นเว็บไซต์เชิงเอกสารที่ให้การเข้าถึงข้อมูล มุมมอง นโยบาย และการตัดสินใจของกัมพูชา ข้อมูลถูกตีพิมพ์โดยคณะรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีมีเป้าหมายที่จะให้แหล่ง ข้อมูลและเอกสารอย่างเป็นทางการจากนายกรัฐมนตรี
ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์ 2011 01 13
Ref: http://goosehhardcore.forums2u.com/t325-topic
เว็บไซต์ฟิฟทีนมูฟ รายงานข่าวระบุว่า “ฮุนเซน ตบหน้าอภิสิทธิ์ ฉาดใหญ่ ระบุย้ายชุมชุนเขมรที่พระวิหารไม่เกี่ยวกับไทย ไม่เกี่ยวกับ MOU43 แต่ทำตามยูเนสโก ระบุ ไม่เคยยอมรับตามที่อภิสิทธิ์กล่าวอ้างว่า ความขัดแย้งไทย-เขมร เกิดจากการขึ้นทะเบียนปราสาท แต่ความขัดแย้งแท้จริงมาจากไทยรุกล้ำกัมพูชา เตือนยูเนสโกและนานาชาติอย่าเข้าใจผิด เพราะอภิสิทธิ์บิดเบือน ตบท้ายชงหวาน อภิสิทธิ์-ประวิตร-ประยุทธ์ เป็นคนรักชาติ พูดตรงกับเขมรไม่มีใครเสียดินแดน ชี้ นิ้วพวกหัวรุนแรงไทยกล่าวหาเลื่อนลอย ย้ำความสัมพันธ์การทูตเป็นปกติแล้วเพราะไทยถอนทหารพ้นวัดแก้วฯ”
เว็บไซต์วิสัยทัศน์ใหม่กัมพูชา เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2553 ตีพิมพ์เผยแพร่สุนทรพจน์ของสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน นายกรัฐมนตรี ระหว่างพิธีปิดการประชุมกระทรวงพัฒนาชนบท ประจำปี 2553 โดยในตอนท้ายได้ชี้แจงจุดยืนความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา ที่ระบุว่า ตนไม่เคยยอมรับว่า การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกเป็นสาเหตุของความตึงเครียดระหว่าง สองประเทศ ระหว่างการพูดคุยกับผู้นำไทย ก็ได้ยืนยันจุดยืนดังกล่าว
ทั้งยังระบุว่า ตนยอมรับเพียงแค่ว่าความตึงเครียดเกิดจากการที่ทหารไทยรุกล้ำกัมพูชา เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2551 เตือนนานาชาติและยูเนสโก ไม่ให้เข้าใจผิดเนื่องจากความพยายามบิดเบือนของฝ่ายไทย ประกาศย้ำว่า ความสัมพันธ์ทางการทูตกลับมาเป็นปกติเต็มขั้นเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2553 ที่ทหารไทยถอนออกจากวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ อ้างผู้นำรัฐบาลไทย และกองทัพพูดตรงกันกับกัมพูชา ว่า ไม่มีใครเสียดินแดน เรียกกลุ่มคนไทยที่เคลื่อนไหวเรื่องพิพาทเขตแดนไทย-กัมพูชา เป็น “พวกหัวรุนแรง” และกล่าวหาว่า กล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอยและผิดๆ ชมเปาะ อภิสิทธิ์ ประวิตร ประยุทธ์ เป็นผู้รักชาติ ก่อนระบุว่า การย้ายหมู่บ้านใกล้ปราสาทพระวิหารไม่เกี่ยวกับไทย แต่เป็นไปตามข้อเรียกร้องของยูเนสโก ตอนท้ายพูดถึงกรณืการจับตัว 7 คนไทย เรียก วีระ สมความคิด ว่า “หมอนี่”
เว็บไซต์ฟิฟทีนมูฟ แปลและเรียบเรียงสุนทรพจน์ของฮุน เซน ในประเด็นชี้แจงความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ดังนี้
เรื่อง การชี้แจงจุดยืนความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา
ผมขอใช้โอกาสนี้อธิบายบางประเด็นเกี่ยวกับการคืนความสัมพันธ์กับ ประเทศไทย หลังการปรับกำลัง สามารถพูดได้ว่า สถานการณ์ที่วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ได้ถูกแก้ไขแล้ว อย่างไรก็ตาม ผมต้องการทำความชัดเจนในบางประเด็น
ประการแรก ผมไม่เคยยอมรับแม้แต่น้อยว่าการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกนำสู่ ไปความตึงเครียดระหว่างกัมพูชากับไทย หากใครที่กรุงเทพฯ อ้างอย่างนั้น ผมจะบอกว่า ผิด ในการหารือของผมกับนายกรัฐมนตรีไทย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และผู้นำไทยคนอื่นๆ ผมไม่เคยเห็นด้วยว่าการขึ้นทะเบียน (ปราสาทพระวิหาร) นำไปสู่ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศ ผมอยากกระตุ้นเตือนยูเนสโกและเพื่อนชาวต่างชาติอื่นๆ ไม่ให้ถูกหลอกและเข้าใจผิดจากความพยายามบิดเบือนของคนหนึ่งคนใด
ผมยอมรับเฉพาะว่าความตึงเครียดเกิดจากการรุกรานของทหารไทย เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2551 ผมได้บอกอย่างชัดเจนว่า แม้เอกอัครราชทูต (ระหว่างสองประเทศ) กลับมาทำหน้าที่เหมือนเดิม ผมยังไม่นับว่าความสัมพันธ์ของเรากลับสู่ขั้นปกติอย่างเต็มที่ ความสัมพันธ์ขั้นปกติอย่างเต็มที่จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทหาร (ไทย) ที่รุกล้ำได้ถอนออกจากพระเจดีย์วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ดังเช่นเมื่อเวลา 10.30 น.ของวันที่ 1 ธันวาคม 2553 เมื่อทหารได้ปรับกำลังออกจากพระเจดีย์แก้วสิกขาคีรีสวาระ ผมประกาศการบรรลุความสัมพันธ์ขั้นปกติอย่างเต็มที่
ประการที่สอง เกี่ยวกับการตีความว่า กัมพูชาได้รุกล้ำแผ่นดินไทยราว 1.8 ล้านไร่ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่กัมพูชากลายเป็นผู้รุกรานแผ่นดินของคนอื่น ปกติในประวัติศาสตร์จะได้ยินแค่เพียงว่านั่นและนั่นรุกรานกัมพูชา และในบางคราวเราถูกกล่าวหาว่าเป็นหุ่นเชิดของบางประเทศ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้รัฐบาลไทยและกองทัพไทยได้ยืนยันว่าเขาไม่ได้เสียดินแดน นี่ยืนยันว่า พวกหัวรุนแรงเหล่านั้นกล่าวหาอย่างผิดๆ และไร้หลักฐาน ผมแน่ใจว่า รัฐบาลไทย นายกรัฐมนตรีไทย รัฐมนตรีกลาโหม ประวิตร วงษ์สุวรรณ และผู้บัญชาการทหารบกคนใหม่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เคยมาพบผมก่อนนี้ ทั้งหมดเป็นคนรักชาติ (สำหรับประเทศไทย) เมื่อทั้งสองฝ่ายยืนยันว่า ไม่มีการเสียดินแดน มันดีอย่างยิ่งที่เราไม่มีอะไรต้องกังวล หากมีความกังวลเกี่ยวกับการย้ายหมู่บ้าน K1 จากปราสาท (พระวิหาร) การย้ายหมู่บ้านไม่ได้เป็นไปตามความต้องการของไทย แต่เป็นไปตามข้อเรียกร้องขององค์การพระวิหาร และยูเนสโก
วันนี้เราได้จับกุม 7 คนไทยเสื้อเหลือง ที่ล่วงล้ำดินแดนกัมพูชา หนึ่งในนั้นเป็นสมาชิกรัฐสภาและบางส่วนเป็นสื่อมวลชน หนึ่งในนั้นคือ หมอนี่ วีระ สมความคิด พวกเขาจะถูกส่งมายังพนมเปญ มีการแทรกแซงเราให้ปล่อยตัวสมาชิกรัฐสภา ผมบอก (กับคนที่มาก้าวก่ายว่า) สมาชิกรัฐสภาไทยมีเอกสิทธิ์เฉพาะในแผ่นดินไทย เมื่อเขาเข้ามาในแผ่นดินกัมพูชาเพื่อตรวจสอบที่ดิน กัมพูชามีสิทธิทุกประการที่จะจับกุม
ฯพณฯ สา เขง (Sar Kheng) รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมหาดไทย รายงานมายังผมว่าขั้นตอนของคดีนี้จะเป็นการนำตัวไปยังตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เมื่อมาถึง จากนั้นจะถูกนำตัวไปยังศาล ส่วนข้อกล่าวหาจะขึ้นกับศาล หลังถูกตั้งข้อกล่าวหาพวกเขาจะถูกส่งตัวไปยังเรือนจำ ผมหวังว่า นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ จะเข้าใจระบบกฎหมายของกัมพูชา ซึ่งไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย ผมคิดว่า การจับกุมจะไม่นำไปสู่ความบาดหมางทางการทูตระหว่างกัมพูชาและไทยอีกครั้ง
หมายเหตุ: “วิสัยทัศน์ใหม่กัมพูชา” เป็นเว็บไซต์ของรัฐบาลกัมพูชา ผ่านความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรี ฮุนเซน เมื่อ 13 มกราคม 2541 ให้เป็นจดหมายข่าวอย่างเป็นทางการของรัฐบาล เป็นเว็บไซต์เชิงเอกสารที่ให้การเข้าถึงข้อมูล มุมมอง นโยบาย และการตัดสินใจของกัมพูชา ข้อมูลถูกตีพิมพ์โดยคณะรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีมีเป้าหมายที่จะให้แหล่ง ข้อมูลและเอกสารอย่างเป็นทางการจากนายกรัฐมนตรี
ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์ 2011 01 13
Ref: http://goosehhardcore.forums2u.com/t325-topic
วันอังคาร, มกราคม 11, 2554
แง้มโพล"ลับ"เพื่อไทยลุ้นเลือกตั้ง ก้าวคู่"ทักษิณ" ก้าวข้าม"มิ่งฝัน"
แง้มโพล"ลับ"เพื่อไทยลุ้นเลือกตั้ง ก้าวคู่"ทักษิณ" ก้าวข้าม"มิ่งฝัน"
วาระที่พรรคร่วมรัฐบาล 7 พรรค สาละวนกับวาระแก้ไขรัฐธรรมนูญ
วาระที่เขตการเลือกตั้ง-จำนวน ส.ส.ถูกถกเถียงอย่างเผ็ดร้อนว่าจะใช้จำนวนเขตเล็ก 375 สัดส่วน 125 คน หรือจะเป็นตัวเลขที่ลงตัว 400 เขต และสัดส่วน 100 คน
แม้ยกแรก ประชาธิปัตย์ จะหักพรรคร่วมแบบเฉียดฉิว ชูธง สูตร 375+125 เข้าสู่วาระที่ 2
ทว่าวาระที่ผู้มีบารมี-ผู้ติดกับดักการเมือง 5 ปี อีก 111 คน นับถอยหลังอีกไม่เกิน 15 เดือน จะคืนสนามการเลือกตั้ง
ระหว่างที่พรรคร่วมรัฐบาลจัดเรียงโครงการลงทุนทยอยเข้าสู่ห้องประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างถ้อยที-ถ้อยอาศัยกันทั้ง 35 รัฐมนตรี 20 กระทรวง สนามการเมืองของฝ่ายคู่แข่ง-คู่ขัดแย้ง-ฝ่ายค้าน "ทักษิณและพวก" ทั้งเพื่อไทย-อดีตพลังประชาชน-อดีตไทยรักไทย ผนึกรวมกันหนาแน่น เตรียมลงสนามเลือกตั้ง
แกนนำสำคัญของพรรคเพื่อไทยส่งสัญญาณว่า บุคลากรการเมืองของทั้งองคาพยพฝ่ายค้าน ได้ก้าวข้ามวาระการเปิดสภาเพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2554 ไปแล้ว แกนนำพรรคบางคนบอกว่า ถึงอย่างไรการแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องเขตเลือกตั้ง ก็จะออกมาเป็นระบบเขตเล็ก 400 เขต และสัดส่วน 100 คน
"แกนนำของพรรคเพื่อไทยได้หารือร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค ยกเว้นพรรคประชาธิปัตย์ว่าจะร่วมกันโหวตวาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องเขต เลือกตั้งไปในทิศทางเดียวกันทั้งหมด" แกนนำพรรค-ผู้ใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กล่าว
แกนนำพรรคเพื่อไทย-เครือข่ายทักษิณจึงตั้งสมมติฐานการเลือกตั้งสมัยหน้าไว้ 3 ทาง
แนวทางแรก เลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 แนวทางนี้ถือว่าเป็นแนวทางที่เลวร้ายที่สุด
แนวทางที่ 2 เลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ฉบับแก้ไข แนวทางนี้จะทำให้พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง และได้จัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพันธมิตรเก่าอย่างน้อย 3 พรรค อาทิ รวมชาติพัฒนา-เพื่อแผ่นดิน และชาติไทยพัฒนา
แนวทางที่ 3 แม้เป็นไปได้น้อยที่สุด แต่อยู่ในสมมติฐาน คือ ไม่มีการเลือกตั้ง เพราะเกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมือง
ดังนั้น ทั้งวาระในสภาผู้แทนราษฎรและวาระนอกสภาจึงไม่ได้อยู่ในความใส่ใจของ "ทักษิณและพวก" เพราะแม้ว่าเกิดกรณีที่เลวร้ายที่สุด เลือกตั้งในระบบเดิมพรรคเพื่อไทยยังมั่นใจว่าจะรักษาฐานที่มั่น-ฐานเสียงไว้ ได้ไม่น้อยกว่าเดิม 180 เสียง
ทั้ง "ทักษิณและพวก" จึงใจจดจ่อ-มีความหวังอยู่กับการลงสนามเลือกตั้ง
"พวกเราวางแผนไปไกลถึงการออกแคมเปญการเลือกตั้งแล้ว และการได้ทำโพลความนิยมทุกพื้นที่ เพื่อวางแผนการจัดกำลังคน กำลังทรัพยากร ไว้พร้อมปูพรมทุกพื้นที่" แกนนำคนสำคัญพรรคเพื่อไทยกล่าว
แกนนำคนเดิมกล่าวถึงเหตุผลของความมั่นใจในการเลือกตั้งครั้งหน้า ด้วยหลักวิชาวิทยาศาสตร์และการวิจัยว่า พรรคเพื่อไทยได้ทำทั้งโพลแบบมืออาชีพ-การลงพื้นที่ค้นหาความคิดเห็น ตรวจสอบปัญหาและความต้องการแบบโฟกัสกรุ๊ป พร้อมทำงานวิจัยพฤติการการเลือกตั้งในพื้นที่อย่างละเอียดทุกพื้นที่-ทุกอาชีพ
การทำโพล-และการวิจัยแบบค้นหา "ค่าผันแปร" ทุกตัว ถูกจัดทำขึ้นเป็นหัวข้อหลักในการค้นหา-สำรวจความนิยมของพรรค
"การทำสำรวจความนิยมได้มีการดับเบิลเช็กกับกลุ่มตัวอย่างที่มีทั้งฝ่ายที่ชอบเรา และไม่ชอบเรา เช่น เราตรวจสอบความเห็นต่อการเลือกตั้งด้วยการสัมภาษณ์ความเห็นของข้าราชการ-นัก ปกครองส่วนท้องถิ่น และตำรวจ ผลออกมาชัดเจนมากว่า ขณะนี้แม้เขาไม่พอใจรัฐบาล แต่เขาจำเป็นต้องอยู่กับฝ่ายรัฐบาล แต่เมื่อถึงเวลากาบัตรเลือกตั้งเขาจะเลือกเรา" นักการเมืองที่คุมการทำสำรวจกล่าว
วาระที่ถูกเสนอจากนักคิด-ปัญญาชนของพรรคที่ต้องการให้เพื่อไทยกำหนดวาระปลด แอก "ก้าวข้ามทักษิณ" นั้น ถูกปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงจากนักเลือกตั้งในพรรค
เพราะนักจัดการการเลือกตั้งในพรรคเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า "เป็นไปไม่ได้ที่เพื่อไทยจะหาเสียงว่าก้าวข้ามทักษิณมีแต่แพ้กับแพ้ ดังนั้นทางเดียวที่จะใช้หาเสียงคือ ก้าวคู่ไปกับทักษิณ เราจึงจะชนะเลือกตั้ง คนที่เสนอให้ก้าวข้ามไม่เข้าใจคนเลือกตั้ง"
ส่วนแคมเปญหาเสียงนั้น ขณะนี้แม้ว่ากรรมการบริหารพรรค "ตัวจริง เสียงนอมินี" จะพยายามเสนอเนื้อหานโยบาย แต่ฝ่ายจัดการเลือกตั้ง "ตัวจริง-เสียงจริง" บอกว่า ทุกแคมเปญที่ออกมาเป็นดอกเห็ดในขณะนี้ "ของปลอม"
ส่วนเนื้อหานโยบาย-แคมเปญหาเสียงของจริงอยู่ในระหว่างการจัดทำโดย "ทักษิณ" เท่านั้น
เสียงที่จะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจและภาพแคมเปญระหว่างนี้จึงเป็นเพียง "เป้าหลอก" เพื่อให้นักการเมืองหน้าใหม่ในพรรคได้เป็น "สิงห์สนามซ้อม" ในสภาผู้แทนฯก่อนที่จะได้ลงสนามจริงในอนาคต
นายสมาน เลิศวงศ์รัฐ อดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน กล่าวถึงแคมเปญที่จะใช้หาเสียงเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทยว่า ขณะนี้ยังไม่ลงตัว เพราะอยู่ระหว่างการเตรียมการ
ส่วนกรณีรายชื่อบุคคลที่จะถูกเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยซึ่งปรากฏผ่านสื่อมวลชนนั้น
นายสมาน กล่าวว่า "มีแต่คนอยากจะเป็นนายกฯ แต่ไม่มีใครอยากเป็นหัวหน้าพรรคเลย การพูดถึงว่าที่นายกฯโดยที่ยังไม่รู้ผลการเลือกตั้ง จะทำให้คนอื่นเขาหัวเราะเยาะเราเสียมากกว่า เพราะเหมือนกับยังไม่ได้ปล้นแต่จะมาแบ่งสมบัติกันแล้ว"
พรรคเพื่อไทยขณะนี้จึงระทึกใจอยู่กับความจริงหลังเลือกตั้งมากกว่าความฝันของ "มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์" ที่ระทึกอยู่กับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ และได้ใส่ตำแหน่ง "ว่าที่นายกรัฐมนตรี"
เพราะคราวนี้สัญญาณชัดเจนที่ถูกส่งตรงมาจาก "ดูไบ" นั้น มีประโยคเดียว "ท่อน้ำเลี้ยงยาว นโยบายโดนใจ ใครไม่ไปพรรคอื่นได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย"
Ref: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ (update:วันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2554 เวลา 13:35:51 น.)
วันจันทร์, มกราคม 10, 2554
ปี 2554 เข้าสู่ยุคตำรวจมะเขือเทศ >>...เพื่อน ตท.11รุ่นเสธ.แดง
ปี 2554 เข้าสู่ยุคตำรวจมะเขือเทศ 100%....(เฮดังๆ)....
ช่วงนี้มีแต่ข่าวดีๆสำหรับพี่น้อง"เสื้อแดง"
และขอต้อนรับสู่ยุค"ตำรวจมะเขือเทศ"เต็ม 100%
เมื่อผลเลือกตั้ง ก.ตร.ปี 2554 สิ้นสุดลง
รายชื่อท่าน พล.ต.อ.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช ได้คะแนนท่วมท้น
เห็นได้ว่าสายตำรวจยังมีเครือข่าย"ทักษิณ"อยู่เต็มไปหมด
เราจึงได้เห็นความพยามของ"อภิสิทธิ์"หรือ"ไอ้เทือก"ซึ่งล้มครั้งแล้วครั้งเล่า
ในการจะเข้ามาแทรกแซงอำนาจของกรมตำรวจ....
สำหรับประวัติท่าน อชิรวิทย์ นี่ขอให้ดูได้ทางเว็บไซด์ทั่วๆไป
แต่ผมขอแนะคร่าวๆว่า คนๆนี้อยู่ฝ่ายตรงข้ามพวกอำมาตย์และพันธมิตร
และยังมี"คอนเนคชั่น"ที่ดีกับทางพรรค"เพื่อไทย"
เคยเข้าร่วมเวทีเสวนากับทางพรรคเพื่อไทย และของเครือข่ายเสื้อแดงอยู่บ่อยๆ
เคยแถลงตอบโต้พันธมิตรอยู่ตลอดเวลาในสมัยที่พวกถ่อยนั้นมันกร่างอยู่
เคยทำนาย"อภิสิทธิ์"ให้ฮือฮาว่าจะหมดอำนาจก่อนวาระและจะโดน"เอาคืน"
และเคยเรียกร้องให้รัฐบาลรับผิดชอบเหตุสลายการชุมนุมพี่น้องเรา
และยังเป็นเพื่อน ตท.11รุ่นเสธ.แดง เคยไปร่วมงานวันศพเสธ.แดงเคียงข้าง"พัลลภ"
ท่าน"อชิรวิทย์"เป็นนายตำรวจ กล้าพูด กล้าชนคนหนึ่ง
เป็นนักคิดนักเขียน เป็นอาจารย์สอนและบรรยายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสม่ำเสมอ
สำหรับตำแหน่ง ประธาน ก.ตร.สำคัญมากเพราะไม่มีทางที่ฝ่ายการเมือง
จะเข้ามาแทรกแซงได้ และยังกำหนดทิศทางความเป็นไปของกรมตำรวจได้ด้วย
นี่คืออีก 1 ข่าวดีของชาวเสื้อแดง หลังจากที่พวกเราได้ปลาบปลื้ม
กับคลื่นมหาชนคนเสื้อแดงเมื่อคืนที่ผ่านมา.......
วันอาทิตย์, มกราคม 09, 2554
คำถามที่คนเสื้อแดง ถูกถามเป็นประจำ! มีคนตอบแทนเราแล้ว
คำถามที่คนเสื้อแดง ถูกถามเป็นประจำ! มีคนตอบแทนเราแล้ว
Q:พวกมึงเป็นคนไทยรึเปล่าวะสัดดด
A:เป็นคนไทยครับ พ่อแม่พี่น้องเป็นคนไทยหมด บัตรประชาชนก็มี ไม่ใช่คนต่างด้าวครับ แล้วก็เป็นคนไทยในประเทศนี่แหละเป็นส่วนใหญ่ ไม่ใช่คนไทยที่เล่นเน็ตจากต่างประเทศที่ไหนหรอกครับ
Q:ถ้าเป็นคนไทยพวกมึงมาด่าKxxxด่าสถาบันทำไม
A:ไม่ได้ด่าท่านสาดเสียเทเสียนะครับ เป็นการตั้งคำถาม เป็นการวิจารณ์ เป็นสิทธิเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตย แม้แต่xxxท่านก็เคยมีxxxxxครับตอนวันที่4ธ.ค.25xx ว่าอยากให้คนไทย วิจารณ์ท่านได้ แต่วิจารณ์ดีๆก็แล้วกัน หากพูดไม่ดีคนวิจารณ์จะโดนบอมบ์กลับ ท่านว่าท่านอายฝรั่งที่มันนินทาว่าคนไทยไม่กล้าวิจารณ์Kxxx
Q:แล้วทำไมพวกมรึงไม่วิจารณ์ดีๆเอาแต่เสียดสีไปมา
A:เพราะถึงท่านมีxxxอยากให้วิจารณ์ แต่ก็ยังมีกฎหมายหมิ่นฯอยู่ ยังไม่ยกเลิกซะที แถมตอนนี้ป.ช.ป.คิดจะแก้ไขกฎหมายให้เพิ่มโทษอีก ก็เลยต้องเฉียดไปเฉียดมา จะวิจารณ์ตรงๆก็โดนคุกอีกแหละ
Q:พวกมึงเป็นคนส่วนน้อยนะที่คิดยังงี้ คนส่วนใหญ่เขารักเคารพเทิดทูนกันทั้งนั้น
A:ก็คงเป็นเพราะว่ามีการปลูกฝังหัวคนไทยมาตั้งแต่เกิดจนตาย ตั้งแต่ตื่นนอนไปยันเข้านอน เป็นการล้างสมองให้นิยมบูชาลัทธิเชิดชูตัวบุคคล ขณะที่พวกคนส่วนน้อยที่เขาไม่คิดเหมือนคนไทยส่วนใหญ่ ก็เพราะเขามีความสงสัย เลยศึกษา และตั้งคำถาม ที่โดนด่าว่า propagenda ก็คือไอนี่แหละอย่า"งง"
Q:งั้นพวกมรึงก็อย่าอยู่เป็นคนไทยเลย ไล่ไปอยู่เมืองนอกเลยไป ถ้าพวกมรึงไม่รักเคารพศรัทธาเหมือนกรู
A:ตรรกะแบบนี้มันตื้นเขินนะ ผมถามย้อนแย้งทำนองเดียวกันว่า เวลานี้เกือบทั่วทั้งโลกเขาเลิกระบอบKxxxหมดแล้ว ล่าสุดภูฎานก็เปลี่ยนมาเป็นประชาธิปไตย เนปาลก็ล้มล้างแล้ว ที่เหลืออยู่อย่างอังกฤษ ญี่ปุ่นก็เป็นเพียงสัญลักษณ์เท่านั้น เกิดคนทั้งโลกเขาบอกว่า"เฮ้ย!คนไทยพวกมรึงเป็นคนส่วนน้อยของโลกนะที่ยังหลับ หูหลับตาชื่นชมKxxxอยู่ หากไม่ยอมมาคิดเหมือนชาวโลก พวกมรึงคนไทยก็ต้องย้ายไปอยู่ดาวอังคารเหอะไป พวกกรูรังเกียจมึง"...แล้วจะว่ายังไง?
Q:พวกมรึงมันอกตัญญู
A:ก็ไม่ขนาดนั้น คนเรามีGive มีTake เอากันง่ายๆนะตอนนี้คนไทยทำงานมีเงินก็จ่ายภาษี หลวงก็เอาไปจัดงบประมาณ ในแต่ละปีรู้ไหมว่ามีการจัดงบประมาณให้สถาบันxxxxไม่น้อยกว่า2,000ล้าน บาท (ปีนี้ 25xx 2,600ล้าน) เป็นเงินเดือน เงินปี ดูแลxxให้ท่านและxxxx ค่าเดินทาง กินอยู่ ไปต่างประเทศ ไปต่างจังหวัด รวมทั้งซื้อถุงยังชีพxxxไปสงเคราะห์คนไทยที่เดือดร้อน รวมทั้งจัดซื้อเครื่องบินxxxพาหนะให้ท่านตลอด ท่านจะไปงานหลวงหรืองานส่วนตัวก็จัดรถขบวนให้ได้รับความสะดวก...อย่างนี้คน ไทยได้ให้ท่านและxxxตั้งมากนะ ก็เพื่อให้ท่านได้ทำงานให้คนไทย
Q:แล้วที่ท่านทำโครงการxxxxต่างๆ ไม่รู้จักสำนึกมั่ง
A:โครงการxxxxนั้นเป็นโครงการตัวอย่าง แต่ก็ไม่ค่อยได้ขยายผลไปทั่วประเทศ เลยเหมือนผักชีโรยหน้า ท่านxxxทีก็พรึ๊บที จริงๆก็ดีนะที่ท่านอุตส่าห์คิดถึงราษฎรที่ยากจน แต่ทำอย่างไรจะให้ครอบคลุมทั่วประเทศอย่างยั่งยืนถาวร และที่สำคัญโครงการพวกนี้ก็นำเงินงบประมาณภาษีนั่นแหละมาทำมาพัฒนา อย่าเข้าใจผิดว่าเงินส่วนตัวท่านนะ
Q:จะหาKxxxที่ไหนใส่ใจพัฒนาประเทศอย่างxxxxของเรา น่าจะสำนึกมั่ง
A:ก็ดีครับที่ท่านใส่ใจทุกข์สุขราษฎรขนาดนี้ แต่อย่าลืมว่าเราเป็นประเทศประชาธิปไตย ก็ต้องปล่อยให้ประชาชนตัดสินอนาคตของตนเอง เลือกตั้งตัวแทนของตนเองไปบริหารประเทศ ประกาศเจตจำนงค์นโยบายต่างๆแล้วทำ และมีการตรวจสอบถ่วงดุลได้ คุณเห็นKxxxของอังกฤษ ญี่ปุ่น สวีเดน เดนมาร์ค นอรเวย์ต้องมาทรงงานแบบxxxxของเราไหมหละ?.. ท่านก็ปล่อยให้ประชาชนเลือกรัฐบาลไปทำเองทั้งนั้น แล้วผลลัพธ์เป็นไง เราเจริญกว่าประเทศที่ว่ามานั้นไหม ประเทศเหล่านั้นต่างหากที่เจริญกว่าเรา ส่วนเราล้าหลังเขา เพราะอะไรต้องคิดนะ
Q:แสดงว่าพวกมรึงเป็นพวกอยากล้มล้าง
A:เรื่องนี้เป็นการวิพากษฺวิจารณ์เท่านั้นครับ ส่วนเรื่องล้มล้างเท่าที่อ่านดูดีๆไม่มีนะครับ หากจะเคยมีก็ย้อนหลังกลับไปเกือบ100ปีที่แล้ว ทหารกลุ่มหนึ่งเคยคิดเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ร.ศ.130(พ.ศ.2453)มาแล้ว หรือตอนพ.ศ.24xx ในแถลงการณ์ฉบับที่1ก็เคยพูดเรื่องนี้ไว้บางจุด แต่พวกที่วิจารณ์ส่วนใหญ่นั้นเขาอยากเห็นxxx และสถาบันปรับปรุงบทบาทให้เป็นKxxxในระบอบประชาธิปไตย
Q:พวกมรึงนี่ชักกำแหงนะจะให้ท่านปรับปรุงอะไรวะ
A:ก็อยากให้ท่านเป็นเหมือนKxxxในระบอบประชาธิปไตยเหมือนประเทศอื่น อย่างอังกฤษ ญี่ปุ่น สแกนดิเนเวีย(เดนมาร์ค นอรเวย์ สวีเดน) หรือเขมรที่ติดบ้านเรา ไม่อยากให้ท่านลงมาแทรกแซงการเมือง มาวุ่นวายกับการบริหารบ้านเมือง มายุ่งกับการโยกย้ายแต่งตั้ง ไม่อาศัยทรัพยากรของประเทศที่มีจำกัดไปสนองพวกท่าน ไม่propagandaคนไทยให้หลงใหลคลั่งไคล้ท่านและสถาบันจนเกินพอดี
Q:ไอ้พวกเนรคุณเอ๊ย พวกมึงนี่มันส่วนน้อยจริงๆคิดได้ยังไง ยอมรับไม่ได้ก็ย้ายไปอยู่ต่างประเทศเหอะไป พวกมึงมันไม่ใช่คนไทย
A:ฮ่วย.... ถ้าเลือกเกิดได้ อยากอยู่จังเลยนะเมืองไทยเนี่ย
Q:กูอยากรู้นักหากไม่ได้ท่าน พวกมรึงจะได้มาเห่าหอนอยู่อย่างนี้ไหม คงเป็นขี้ข้าพม่าอยู่นะตอนนี้
A:คนที่นำคนไทยต่อสู้ปลดแอกพม่าคือพระเจ้าxxxxามหาราชนะครับ แล้วต่อมาพระยาxxxก็ทำปฏิวัติยึดอำนาจ(มีอีกคำคือ....)ท่าน เมื่อ6เมษายน2325แล้วตั้งราชวงศ์ใหม่คือ ราชวงศ์xxx
Q:พวกมึงพูดเหมือนKxxxกับสถาบันไม่มีดีเอาซะเลย สัดดดเอ๊ย
A:เรื่องดีๆเราก็ได้ยินมาเยอะแล้ว มีการประชาสัมพันธ์กรอกหูตั้งแต่เกิดจนตาย ตั้งแต่เช้ายันดึกแล้ว ก็ลองฟังข้อมูลอีกด้านบ้างก็คงจะดีนะครับ แล้วถกกันมาตามเหตุตามผลดีกว่า ผมรู้ครับว่าคุณโกรธครับที่เจอคนไทยที่คิดแบบคนเวปนี้ แต่ใจเย็นๆครับ เขาก็มีเหตุมีผล ไม่ใช่จู่ๆเขาอยากลุกขึ้นมาวิจารณ์ให้เปลืองตัว แถมเสี่ยงติดคุกหรอก เขาก็รักชาติไม่น้อยกว่าคุณ เพียงแต่เขามีข้อมูล มีความเห็นที่ต่างจากคุณเท่านั้นเอง
Q:ใครจะต่างจากกรูก็ต่างไป แต่หากใครคิดร้ายกับKxxxต้องข้ามศพกรูไปก่อน กรูตายแทนท่านได้
A:แต่ก่อนผมก็เคยคิดว่าจะตายแทนท่านได้เหมือนกันครับ แต่ตอนนี้....ผมไม่ละครับแม้แต่พ่อแท้ ๆ ของผมก็ยังไม่เลย
Q:สัดดดด มรึงรับไม่ได้ก็อย่าอยู่เลย ไปอยู่ที่อื่นไป...
A:ก็ผมบอกไปแล้วไงว่า ผมเป็นคนไทย จะให้ผมไปอยู่ไหน เพียงแต่ผมคิดต่างจากคุณ ผมมีเหตุมีผลของผม หากคุณเห็นว่าระบอบKxxxปัจจุบันนี้ดีแล้วหรือดีอย่างไรก็ว่ามา ผมก็ยินดีจะแลกเปลี่ยนความเห็น เอาแบบไม่ต้องใช้อารมณ์ ใจเย็นๆคุยกันดีๆก็ได้
Q:พวกมรึงแม่งก็ดีแต่เห่าหอนอยู่ในรูนี่แหละว๊า
A:กว่าคณะราxxxxจะปฏิวัติ24xxได้เขาก็ตั้งคำถาม มีความสงสัย ศึกษาหาข้อมูล ถกแถลงกันอยู่ในวงแคบๆก่อนไม่ใช่เหรอครับ เขาไม่ได้ลุกขึ้นปฏิวัติเลยทีเดียว และหากมีการให้ความรู้ สร้างจิตสำนึกที่ถูกต้องแก่วงกว้างได้ก็จะเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติกว่า ทำจากเล็กไปสู่ใหญ่ทำจากน้อยไปสู่มาก ให้มีความสุกงอมก่อนก็ได้ครับ แล้วค่อยเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง ผมไม่รีบร้อนหรอก
Q:แน่จริงพวกมรึงก็ออกไปตะโกนไล่ท่านบนถนนเลยสิ กูว่าพวกมรึงโดนคนไทยกระทืบตายคาตีนแน่ๆ
A:ก็ถึงว่าไงครับ เวลานี้คนไทยส่วนใหญ่ยังหลงใหลบูชาราวเป็นลัทธิอยู่ ก็ไม่รู้จะรีบร้อนออกไปทำไม องค์กรอะไรก็ไม่มี กฎหมายก็ห้ามไว้ ไม่มีการจัดตั้ง ก็คงต้องอยู่ในขั้นศึกษา และขยายความเข้าใจแก่คนไทยให้ตระหนักก่อนครับ
Q:พวกมึงมันขี้ข้าไอ้เหลี่ยม เลยด่าท่าน
A:ไม่เกี่ยวกันเลย ก็เห็นเหลี่ยมมันรักKxxxเทิดทูนขนาดหนัก เหลี่ยมมันจบนายร้อยมาก็ฝังหัวกันมาตั้งแต่เป็นนักเรียนแล้ว ตอนจัดงานxxxปี เหลี่ยมก็เป็นเจ้าภาพซะใหญ่โต สร้างกระแสคลั่งไคล้ไข้เหลืองกันเกินเลย หน้าเวปhi-thaksin.orgก็เอารูปเหลี่ยมกราบKxxxขึ้นก่อน เหลี่ยมนี่มันพวกroyxxxlistชัดๆ แต่ไอ้ลิ้มที่ตามล้างตามด่าเหลี่ยมนี่สิ ไม่แน่ว่ามันดึงสถาบันลงมาหาประโยชน์ แล้วทำให้สถาบันเสื่อม เพราะลิ้มอ้างว่าได้รับการสนับสนุนจากxxxxชั้นสูงบ้าง นำสีฟ้าสีเหลืองมาเป็นสัญลักษณ์ในการเคลื่อนไหวทางการเมือง พูดเป็นนัยบ้าง พูดโจ่งแจ้งบ้างว่าได้รับการสนับสนุน โดยที่ก็ไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจนจากสำนักxxxxเลย แต่ตอนนี้คงรู้แล้วนะว่าใครสนับสนุนไอลิ้ม
Q:กูว่ามึงนี่ตอบไม่ตรงคำถามของกูนะสัดดด มึงนี่เชี่ยเนรคุณอกตัญญูจริงๆ
A:ผมว่าแทนที่คุณจะเอาแต่มีอารมณ์โกรธ แล้วด่ากราดไปทั่ว ลองมาคุยกันด้วยเหตุด้วยผลดีกว่าครับ ดีชั่วอย่างไรก็ว่ากันมา หากผมเข้าใจผิดไปเอง ผมโดนล้างสมองอย่างที่คุณคิด ลองว่าเหตุว่าผลมา เผื่อผมกับพวกที่เล่นเวปนี้จะได้กลับตัวกลับใจไปเหมือนคุณ แต่หากคุณเอาแต่ด่าๆๆๆๆๆ ผมว่ามันก็ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ
Q:สัดดดดดดด
A:ตกลงไอเหลี่ยมเป็นแก็สโซฮอลใช่ปะครับ อะไรไม่ดีโทษมันไว้ก่อน
ข้อมูลเบื้องต้น สำหรับพวกอยากตาสว่าง
ข้อมูลเบื้องต้น สำหรับพวกอยากตาสว่างนะครับ ฝากต่อให้เขาด้วย 1
Q:พวกมึงเป็นคนไทยรึเปล่าวะสัดดด
A:เป็นคนไทยครับ พ่อแม่พี่น้องเป็นคนไทยหมด บัตรประชาชนก็มี ไม่ใช่คนต่างด้าวครับ แล้วก็เป็นคนไทยในประเทศนี่แหละเป็นส่วนใหญ่ ไม่ใช่คนไทยที่เล่นเน็ตจากต่างประเทศที่ไหนหรอกครับ
Q:ถ้าเป็นคนไทยพวกมึงมาด่าKxxxด่าสถาบันทำไม
A:ไม่ได้ด่าท่านสาดเสียเทเสียนะครับ เป็นการตั้งคำถาม เป็นการวิจารณ์ เป็นสิทธิเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตย แม้แต่xxxท่านก็เคยมีxxxxxครับตอนวันที่4ธ.ค.25xx ว่าอยากให้คนไทย วิจารณ์ท่านได้ แต่วิจารณ์ดีๆก็แล้วกัน หากพูดไม่ดีคนวิจารณ์จะโดนบอมบ์กลับ ท่านว่าท่านอายฝรั่งที่มันนินทาว่าคนไทยไม่กล้าวิจารณ์Kxxx
Q:แล้วทำไมพวกมรึงไม่วิจารณ์ดีๆเอาแต่เสียดสีไปมา
A:เพราะถึงท่านมีxxxอยากให้วิจารณ์ แต่ก็ยังมีกฎหมายหมิ่นฯอยู่ ยังไม่ยกเลิกซะที แถมตอนนี้ป.ช.ป.คิดจะแก้ไขกฎหมายให้เพิ่มโทษอีก ก็เลยต้องเฉียดไปเฉียดมา จะวิจารณ์ตรงๆก็โดนคุกอีกแหละ
Q:พวกมึงเป็นคนส่วนน้อยนะที่คิดยังงี้ คนส่วนใหญ่เขารักเคารพเทิดทูนกันทั้งนั้น
A:ก็คงเป็นเพราะว่ามีการปลูกฝังหัวคนไทยมาตั้งแต่เกิดจนตาย ตั้งแต่ตื่นนอนไปยันเข้านอน เป็นการล้างสมองให้นิยมบูชาลัทธิเชิดชูตัวบุคคล ขณะที่พวกคนส่วนน้อยที่เขาไม่คิดเหมือนคนไทยส่วนใหญ่ ก็เพราะเขามีความสงสัย เลยศึกษา และตั้งคำถาม ที่โดนด่าว่า propagenda ก็คือไอนี่แหละอย่า"งง"
Q:งั้นพวกมรึงก็อย่าอยู่เป็นคนไทยเลย ไล่ไปอยู่เมืองนอกเลยไป ถ้าพวกมรึงไม่รักเคารพศรัทธาเหมือนกรู
A:ตรรกะแบบนี้มันตื้นเขินนะ ผมถามย้อนแย้งทำนองเดียวกันว่า เวลานี้เกือบทั่วทั้งโลกเขาเลิกระบอบKxxxหมดแล้ว ล่าสุดภูฎานก็เปลี่ยนมาเป็นประชาธิปไตย เนปาลก็ล้มล้างแล้ว ที่เหลืออยู่อย่างอังกฤษ ญี่ปุ่นก็เป็นเพียงสัญลักษณ์เท่านั้น เกิดคนทั้งโลกเขาบอกว่า"เฮ้ย!คนไทยพวกมรึงเป็นคนส่วนน้อยของโลกนะที่ยังหลับ หูหลับตาชื่นชมKxxxอยู่ หากไม่ยอมมาคิดเหมือนชาวโลก พวกมรึงคนไทยก็ต้องย้ายไปอยู่ดาวอังคารเหอะไป พวกกรูรังเกียจมึง"...แล้วจะว่ายังไง?
Q:พวกมรึงมันอกตัญญู
A:ก็ไม่ขนาดนั้น คนเรามีGive มีTake เอากันง่ายๆนะตอนนี้คนไทยทำงานมีเงินก็จ่ายภาษี หลวงก็เอาไปจัดงบประมาณ ในแต่ละปีรู้ไหมว่ามีการจัดงบประมาณให้สถาบันxxxxไม่น้อยกว่า2,000ล้าน บาท (ปีนี้ 25xx 2,600ล้าน) เป็นเงินเดือน เงินปี ดูแลxxให้ท่านและxxxx ค่าเดินทาง กินอยู่ ไปต่างประเทศ ไปต่างจังหวัด รวมทั้งซื้อถุงยังชีพxxxไปสงเคราะห์คนไทยที่เดือดร้อน รวมทั้งจัดซื้อเครื่องบินxxxพาหนะให้ท่านตลอด ท่านจะไปงานหลวงหรืองานส่วนตัวก็จัดรถขบวนให้ได้รับความสะดวก...อย่างนี้คน ไทยได้ให้ท่านและxxxตั้งมากนะ ก็เพื่อให้ท่านได้ทำงานให้คนไทย
Q:แล้วที่ท่านทำโครงการxxxxต่างๆ ไม่รู้จักสำนึกมั่ง
A:โครงการxxxxนั้นเป็นโครงการตัวอย่าง แต่ก็ไม่ค่อยได้ขยายผลไปทั่วประเทศ เลยเหมือนผักชีโรยหน้า ท่านxxxทีก็พรึ๊บที จริงๆก็ดีนะที่ท่านอุตส่าห์คิดถึงราษฎรที่ยากจน แต่ทำอย่างไรจะให้ครอบคลุมทั่วประเทศอย่างยั่งยืนถาวร และที่สำคัญโครงการพวกนี้ก็นำเงินงบประมาณภาษีนั่นแหละมาทำมาพัฒนา อย่าเข้าใจผิดว่าเงินส่วนตัวท่านนะ
Q:จะหาKxxxที่ไหนใส่ใจพัฒนาประเทศอย่างxxxxของเรา น่าจะสำนึกมั่ง
A:ก็ดีครับที่ท่านใส่ใจทุกข์สุขราษฎรขนาดนี้ แต่อย่าลืมว่าเราเป็นประเทศประชาธิปไตย ก็ต้องปล่อยให้ประชาชนตัดสินอนาคตของตนเอง เลือกตั้งตัวแทนของตนเองไปบริหารประเทศ ประกาศเจตจำนงค์นโยบายต่างๆแล้วทำ และมีการตรวจสอบถ่วงดุลได้ คุณเห็นKxxxของอังกฤษ ญี่ปุ่น สวีเดน เดนมาร์ค นอรเวย์ต้องมาทรงงานแบบxxxxของเราไหมหละ?.. ท่านก็ปล่อยให้ประชาชนเลือกรัฐบาลไปทำเองทั้งนั้น แล้วผลลัพธ์เป็นไง เราเจริญกว่าประเทศที่ว่ามานั้นไหม ประเทศเหล่านั้นต่างหากที่เจริญกว่าเรา ส่วนเราล้าหลังเขา เพราะอะไรต้องคิดนะ
Q:แสดงว่าพวกมรึงเป็นพวกอยากล้มล้าง
A:เรื่องนี้เป็นการวิพากษฺวิจารณ์เท่านั้นครับ ส่วนเรื่องล้มล้างเท่าที่อ่านดูดีๆไม่มีนะครับ หากจะเคยมีก็ย้อนหลังกลับไปเกือบ100ปีที่แล้ว ทหารกลุ่มหนึ่งเคยคิดเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ร.ศ.130(พ.ศ.2453)มาแล้ว หรือตอนพ.ศ.24xx ในแถลงการณ์ฉบับที่1ก็เคยพูดเรื่องนี้ไว้บางจุด แต่พวกที่วิจารณ์ส่วนใหญ่นั้นเขาอยากเห็นxxx และสถาบันปรับปรุงบทบาทให้เป็นKxxxในระบอบประชาธิปไตย
Q:พวกมรึงนี่ชักกำแหงนะจะให้ท่านปรับปรุงอะไรวะ
A:ก็อยากให้ท่านเป็นเหมือนKxxxในระบอบประชาธิปไตยเหมือนประเทศอื่น อย่างอังกฤษ ญี่ปุ่น สแกนดิเนเวีย(เดนมาร์ค นอรเวย์ สวีเดน) หรือเขมรที่ติดบ้านเรา ไม่อยากให้ท่านลงมาแทรกแซงการเมือง มาวุ่นวายกับการบริหารบ้านเมือง มายุ่งกับการโยกย้ายแต่งตั้ง ไม่อาศัยทรัพยากรของประเทศที่มีจำกัดไปสนองพวกท่าน ไม่propagandaคนไทยให้หลงใหลคลั่งไคล้ท่านและสถาบันจนเกินพอดี
Q:ไอ้พวกเนรคุณเอ๊ย พวกมึงนี่มันส่วนน้อยจริงๆคิดได้ยังไง ยอมรับไม่ได้ก็ย้ายไปอยู่ต่างประเทศเหอะไป พวกมึงมันไม่ใช่คนไทย
A:ฮ่วย.... ถ้าเลือกเกิดได้ อยากอยู่จังเลยนะเมืองไทยเนี่ย
Q:กูอยากรู้นักหากไม่ได้ท่าน พวกมรึงจะได้มาเห่าหอนอยู่อย่างนี้ไหม คงเป็นขี้ข้าพม่าอยู่นะตอนนี้
A:คนที่นำคนไทยต่อสู้ปลดแอกพม่าคือพระเจ้าxxxxามหาราชนะครับ แล้วต่อมาพระยาxxxก็ทำปฏิวัติยึดอำนาจ(มีอีกคำคือ....)ท่าน เมื่อ6เมษายน2325แล้วตั้งราชวงศ์ใหม่คือ ราชวงศ์xxx
Q:พวกมึงพูดเหมือนKxxxกับสถาบันไม่มีดีเอาซะเลย สัดดดเอ๊ย
A:เรื่องดีๆเราก็ได้ยินมาเยอะแล้ว มีการประชาสัมพันธ์กรอกหูตั้งแต่เกิดจนตาย ตั้งแต่เช้ายันดึกแล้ว ก็ลองฟังข้อมูลอีกด้านบ้างก็คงจะดีนะครับ แล้วถกกันมาตามเหตุตามผลดีกว่า ผมรู้ครับว่าคุณโกรธครับที่เจอคนไทยที่คิดแบบคนเวปนี้ แต่ใจเย็นๆครับ เขาก็มีเหตุมีผล ไม่ใช่จู่ๆเขาอยากลุกขึ้นมาวิจารณ์ให้เปลืองตัว แถมเสี่ยงติดคุกหรอก เขาก็รักชาติไม่น้อยกว่าคุณ เพียงแต่เขามีข้อมูล มีความเห็นที่ต่างจากคุณเท่านั้นเอง
Q:ใครจะต่างจากกรูก็ต่างไป แต่หากใครคิดร้ายกับKxxxต้องข้ามศพกรูไปก่อน กรูตายแทนท่านได้
A:แต่ก่อนผมก็เคยคิดว่าจะตายแทนท่านได้เหมือนกันครับ แต่ตอนนี้....ผมไม่ละครับแม้แต่พ่อแท้ ๆ ของผมก็ยังไม่เลย
Q:สัดดดด มรึงรับไม่ได้ก็อย่าอยู่เลย ไปอยู่ที่อื่นไป...
A:ก็ผมบอกไปแล้วไงว่า ผมเป็นคนไทย จะให้ผมไปอยู่ไหน เพียงแต่ผมคิดต่างจากคุณ ผมมีเหตุมีผลของผม หากคุณเห็นว่าระบอบKxxxปัจจุบันนี้ดีแล้วหรือดีอย่างไรก็ว่ามา ผมก็ยินดีจะแลกเปลี่ยนความเห็น เอาแบบไม่ต้องใช้อารมณ์ ใจเย็นๆคุยกันดีๆก็ได้
Q:พวกมรึงแม่งก็ดีแต่เห่าหอนอยู่ในรูนี่แหละว๊า
A:กว่าคณะราxxxxจะปฏิวัติ24xxได้เขาก็ตั้งคำถาม มีความสงสัย ศึกษาหาข้อมูล ถกแถลงกันอยู่ในวงแคบๆก่อนไม่ใช่เหรอครับ เขาไม่ได้ลุกขึ้นปฏิวัติเลยทีเดียว และหากมีการให้ความรู้ สร้างจิตสำนึกที่ถูกต้องแก่วงกว้างได้ก็จะเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติกว่า ทำจากเล็กไปสู่ใหญ่ทำจากน้อยไปสู่มาก ให้มีความสุกงอมก่อนก็ได้ครับ แล้วค่อยเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง ผมไม่รีบร้อนหรอก
Q:แน่จริงพวกมรึงก็ออกไปตะโกนไล่ท่านบนถนนเลยสิ กูว่าพวกมรึงโดนคนไทยกระทืบตายคาตีนแน่ๆ
A:ก็ถึงว่าไงครับ เวลานี้คนไทยส่วนใหญ่ยังหลงใหลบูชาราวเป็นลัทธิอยู่ ก็ไม่รู้จะรีบร้อนออกไปทำไม องค์กรอะไรก็ไม่มี กฎหมายก็ห้ามไว้ ไม่มีการจัดตั้ง ก็คงต้องอยู่ในขั้นศึกษา และขยายความเข้าใจแก่คนไทยให้ตระหนักก่อนครับ
Q:พวกมึงมันขี้ข้าไอ้เหลี่ยม เลยด่าท่าน
A:ไม่เกี่ยวกันเลย ก็เห็นเหลี่ยมมันรักKxxxเทิดทูนขนาดหนัก เหลี่ยมมันจบนายร้อยมาก็ฝังหัวกันมาตั้งแต่เป็นนักเรียนแล้ว ตอนจัดงานxxxปี เหลี่ยมก็เป็นเจ้าภาพซะใหญ่โต สร้างกระแสคลั่งไคล้ไข้เหลืองกันเกินเลย หน้าเวปhi-thaksin.orgก็เอารูปเหลี่ยมกราบKxxxขึ้นก่อน เหลี่ยมนี่มันพวกroyxxxlistชัดๆ แต่ไอ้ลิ้มที่ตามล้างตามด่าเหลี่ยมนี่สิ ไม่แน่ว่ามันดึงสถาบันลงมาหาประโยชน์ แล้วทำให้สถาบันเสื่อม เพราะลิ้มอ้างว่าได้รับการสนับสนุนจากxxxxชั้นสูงบ้าง นำสีฟ้าสีเหลืองมาเป็นสัญลักษณ์ในการเคลื่อนไหวทางการเมือง พูดเป็นนัยบ้าง พูดโจ่งแจ้งบ้างว่าได้รับการสนับสนุน โดยที่ก็ไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจนจากสำนักxxxxเลย แต่ตอนนี้คงรู้แล้วนะว่าใครสนับสนุนไอลิ้ม
Q:กูว่ามึงนี่ตอบไม่ตรงคำถามของกูนะสัดดด มึงนี่เชี่ยเนรคุณอกตัญญูจริงๆ
A:ผมว่าแทนที่คุณจะเอาแต่มีอารมณ์โกรธ แล้วด่ากราดไปทั่ว ลองมาคุยกันด้วยเหตุด้วยผลดีกว่าครับ ดีชั่วอย่างไรก็ว่ากันมา หากผมเข้าใจผิดไปเอง ผมโดนล้างสมองอย่างที่คุณคิด ลองว่าเหตุว่าผลมา เผื่อผมกับพวกที่เล่นเวปนี้จะได้กลับตัวกลับใจไปเหมือนคุณ แต่หากคุณเอาแต่ด่าๆๆๆๆๆ ผมว่ามันก็ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ
Q:สัดดดดดดด
A:ตกลงไอเหลี่ยมเป็นแก็สโซฮอลใช่ปะครับ อะไรไม่ดีโทษมันไว้ก่อน
ข้อมูลเบื้องต้น สำหรับพวกอยากตาสว่าง
ข้อมูลเบื้องต้น สำหรับพวกอยากตาสว่างนะครับ ฝากต่อให้เขาด้วย 1
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)