วันพุธ, มิถุนายน 30, 2553

Daily News Online หน้าการเมือง สกู๊ปหน้า 1 วิทยาศาสตร์ก็ยังทึ่ง??

Daily News Online หน้าการเมือง สกู๊ปหน้า 1 วิทยาศาสตร์ก็ยังทึ่ง??
วันพุธ ที่ 30 มิถุนายน 2553 เวลา 0:00 น

จาก อัลบั้มเดลินิวส์ออนไลน์

'ระลึกชาติ' ดียิ่งกว่า..คือ 'ระลึกรู้'

การ “ระลึกชาติ” เรื่องนี้คำนี้เคยซาไปจากการได้ยินได้ฟังของคนไทยทั่วไปมานาน จะมีสนทนากันอยู่บ้างก็ในแวดวงเฉพาะ แต่พลันที่ อภิชาตพงศ์ วีระเศรษฐกุล ผู้กำกับการแสดงภาพยนตร์ นำภาพยนตร์ไทยนอกกระแส เรื่อง “ลุงบุญมีระลึกชาติ” ไปคว้ารางวัลปาล์มทองคำ จากงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ครั้งที่ 63 เมื่อเร็ว ๆ นี้ ก็มีส่วนทำให้คำว่า “ระลึกชาติ” กลับมาคุ้นหูอีกครั้ง และคำนี้เรื่องนี้ก็มีแง่มุมน่าพิจารณา

“ระลึกชาติ” เรื่องนี้ในไทยก็มีการเล่าขานมายาวนาน

และก็เป็นเรื่องที่ยึดโยงการ “สร้างเสริมจริยธรรม” ได้

ทั้งนี้ อาจารย์ภาคิน ธราธรศิริ ประธานชมรมนักสะกดจิตแห่งประเทศไทย สะท้อนเรื่องการระลึกชาติ ผ่านทาง “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ว่า... ในทางพุทธศาสนาเชื่อว่าการระลึกชาติหรือเวียนว่ายตายเกิดนั้นมีจริง ไม่ใช่ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติหรือปาฏิหาริย์ ส่วนสังคมตะวันตกปัจจุบันก็มีผู้สนใจเรื่องนี้ไม่น้อย

ในซีกโลกตะวันตก จะได้ยินเรื่องการ “ระลึกชาติ” ผ่านการ “สะกดจิต” อย่างเช่น ดร.ไบรอัน แอล ไวส์ ที่ใช้การสะกดจิตบำบัดรักษาคนไข้ ก็มีคนไข้หลายคนพูดถึง “อดีตชาติ” ของตัวเอง ตอนที่มีการสะกดจิต ซึ่ง ดร.ไบรอันนำเรื่องที่ประสบเขียนเป็นหนังสือทางวิชาการเผยแพร่ จนเป็นที่ฮือฮาไปทั่วสหรัฐอเมริกา

“แม้ว่าเรื่องการระลึกชาติจะ พิสูจน์ไม่ได้ทางวิทยาศาสตร์ แต่ก็มีบางกรณีที่มีหลักฐานยืนยัน เช่น สถานที่ สิ่งของ พยานบุคคล ซึ่งคนในชีวิตจริงปัจจุบันไม่น่าจะได้รู้ ได้เห็น ได้สัมผัส จุดตรงนี้จึงมีการเกี่ยวโยงกับการสะกดจิต ซึ่งการสะกดจิตเป็นการกระทำกับจิตวิธีหนึ่ง การนั่งสมาธิก็เป็นการกระทำกับจิตวิธีหนึ่ง เหมือนเป็นการเปิดจิตใต้สำนึก เช่นเดียวกับการสะกดจิต ที่ก็เป็นการเปิดจิต ใต้สำนึก

แต่คนที่ระลึกชาติได้จิตต้องมีความพร้อมสูงพอ”

...อาจารย์ภาคินระบุ ก่อนจะบอกอีกว่า... การสะกดจิตสามารถช่วยเยียวยาฟื้นฟูจิตได้ โดยกับคนที่มีพื้นฐานจิตใจอ่อนแอ กรณีนี้ก็จะเปลี่ยนนิสัยให้มีความเข้มแข็ง โดยมีกระบวนการให้ข้อมูลจิตใหม่ ส่วนการระลึกชาตินั้นประธานชมรมนักสะกดจิตฯบอกว่า... ปัจจุบันมีนักวิทยาศาสตร์ทางจิต จิตแพทย์ ทั้งต่างประเทศและในเมืองไทย ทำการพิสูจน์และยอมรับว่า การสะกดจิตเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงไปสู่เรื่องการระลึกชาติได้

ด้าน พระเทพวิสุทธิกวี เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย และผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชาธิวาส ระบุถึงเรื่องการ “ระลึกชาติ” ว่า... นี่เป็นเรื่องธรรมดาทางพระพุทธศาสนา เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ถ้าได้รับการฝึกฝนทางจิตด้วยการปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ เดินจงกรม หรือบริกรรมภาวนาแบบใด ๆ ก็ตาม ไม่จำกัดด้วยว่าจะนับถือศาสนาอะไร แต่บางคนไม่ต้องฝึกอะไร พอเกิดมาก็ระลึกชาติได้ก็มี อย่างที่เราได้ยินข่าวจากสื่อต่าง ๆ ซึ่งบุคคลที่ระลึกชาติได้ ก็มิได้มีเฉพาะชาวพุทธเท่านั้น ยังมีชาวต่างชาติที่นับถือศาสนาอื่นด้วย

“แต่คนทั่วไปมักระลึกได้เพียงชาติหรือสองชาติ ไม่สามารถระลึกได้นับไม่ถ้วนเป็นอเนกชาติ เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัม พุทธเจ้า ที่ทรงมีญาณแห่งการระลึกชาตินับเป็นแสน ๆ ชาติ คน ทั่วไปการระลึกชาติได้มี 2 วิธีคือ ตั้งจิตอธิษฐานความปรารถนาอันแรงกล้า และบำเพ็ญเพียรภาวนาจนได้อภิญญาคือความรู้พิเศษ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ต่างประเทศก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนี้และพยายามพิสูจน์ นักวิทยาศาสตร์ไทยที่เชื่อเรื่องนี้ก็มี ซึ่งใครเชื่อในพระพุทธเจ้า และปฏิบัติจริง จะไม่สงสัยเรื่องนี้” ...พระเทพวิสุทธิกวี ระบุ

ขณะที่ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือท่าน ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย ก็กล่าวเสริมในมุมของพระพุทธศาสนาว่า... การระลึกชาติเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ มีชื่อเฉพาะว่าปุพเพนิวาสานุส สติญาณ ในอดีตกาลผู้ที่มีญาณนี้ หรือระลึกชาติได้ อย่างน้อยต้องเป็น ผู้ฝึกจิตตภาวนาได้ชั้นสูง อย่างไรก็ตาม การ “ระลึกชาติ” ได้ ก็ไม่ได้หมายถึงการเป็นผู้รู้ประเสริฐเลิศเลออะไร เพราะความสามารถในระดับ นี้ก็ยังเป็น “โลกียฤทธิ์”

โลกียฤทธิ์คือฤทธิ์ที่ยังเจือด้วยกิเลส หากใช้เป็น ก็เป็นคน แต่ถ้าใช้ไม่เป็น ก็จะเป็นมาร เพราะจะเป็นช่องทางในการหลอกลวง สร้างจุดเด่นเน้นจุดขาย ทำให้คนมาหลงยึดติดถือมั่น แต่งตั้งตัวเป็นอาจารย์ ซึ่งในบางกรณีก็ทำให้คนส่วนใหญ่มองตัวบุคคลมากกว่าพระธรรมคำสอน ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงไม่สรรเสริญการระลึกชาติว่าเป็นความสามารถพิเศษ พระพุทธเจ้าสรรเสริญการเจริญสติ “ระลึกรู้” มากกว่า

“มีโอกาสสูงที่ผู้ระลึกชาติได้จะพัวพันอยู่ในอดีต เข้าใจผิดคิดว่ามีตัวตน อัตตา ที่เที่ยงแท้นิรันดร์ทุกภพทุกชาติ ส่วนการเจริญสติ ระลึกรู้ เป็นหนทางสู่มรรคผลนิพพาน ระลึกรู้อยู่เสมอ ทุกเรื่อง ทุกกรณี ทุกการเคลื่อนไหว คนคนนั้นย่อมอยู่ในนิพพาน การระลึกรู้จึงสำคัญกว่าระลึกชาติ การระลึกชาติสามารถทำได้เพียงบางคน แต่ระลึกรู้ เจริญสติ ทุกคนสามารถทำได้” ...พระมหาวุฒิชัย ทิ้งท้าย

“ระลึกชาติ” ที่จริงก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก

แต่ที่น่าสนใจ-น่าจะทำให้ได้มากกว่าคือ “ระลึกรู้”

เพราะนี่ต่างหากที่จะมีผลกับชีวิตในปัจจุบัน !!!.

Daily News Online หน้าการเมือง สกู๊ปหน้า 1 วิทยาศาสตร์ก็ยังทึ่ง??

Daily News Online หน้าการเมือง สกู๊ปหน้า 1 วิทยาศาสตร์ก็ยังทึ่ง??

จาก อัลบั้มเดลินิวส์ออนไลน์


'ระลึกชาติ' ดียิ่งกว่า..คือ 'ระลึกรู้'

การ “ระลึกชาติ” เรื่องนี้คำนี้เคยซาไปจากการได้ยินได้ฟังของคนไทยทั่วไปมานาน จะมีสนทนากันอยู่บ้างก็ในแวดวงเฉพาะ แต่พลันที่ อภิชาตพงศ์ วีระเศรษฐกุล ผู้กำกับการแสดงภาพยนตร์ นำภาพยนตร์ไทยนอกกระแส เรื่อง “ลุงบุญมีระลึกชาติ” ไปคว้ารางวัลปาล์มทองคำ จากงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ครั้งที่ 63 เมื่อเร็ว ๆ นี้ ก็มีส่วนทำให้คำว่า “ระลึกชาติ” กลับมาคุ้นหูอีกครั้ง และคำนี้เรื่องนี้ก็มีแง่มุมน่าพิจารณา

“ระลึกชาติ” เรื่องนี้ในไทยก็มีการเล่าขานมายาวนาน

และก็เป็นเรื่องที่ยึดโยงการ “สร้างเสริมจริยธรรม” ได้

ทั้งนี้ อาจารย์ภาคิน ธราธรศิริ ประธานชมรมนักสะกดจิตแห่งประเทศไทย สะท้อนเรื่องการระลึกชาติ ผ่านทาง “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ว่า... ในทางพุทธศาสนาเชื่อว่าการระลึกชาติหรือเวียนว่ายตายเกิดนั้นมีจริง ไม่ใช่ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติหรือปาฏิหาริย์ ส่วนสังคมตะวันตกปัจจุบันก็มีผู้สนใจเรื่องนี้ไม่น้อย

ในซีกโลกตะวันตก จะได้ยินเรื่องการ “ระลึกชาติ” ผ่านการ “สะกดจิต” อย่างเช่น ดร.ไบรอัน แอล ไวส์ ที่ใช้การสะกดจิตบำบัดรักษาคนไข้ ก็มีคนไข้หลายคนพูดถึง “อดีตชาติ” ของตัวเอง ตอนที่มีการสะกดจิต ซึ่ง ดร.ไบรอันนำเรื่องที่ประสบเขียนเป็นหนังสือทางวิชาการเผยแพร่ จนเป็นที่ฮือฮาไปทั่วสหรัฐอเมริกา

“แม้ว่าเรื่องการระลึกชาติจะ พิสูจน์ไม่ได้ทางวิทยาศาสตร์ แต่ก็มีบางกรณีที่มีหลักฐานยืนยัน เช่น สถานที่ สิ่งของ พยานบุคคล ซึ่งคนในชีวิตจริงปัจจุบันไม่น่าจะได้รู้ ได้เห็น ได้สัมผัส จุดตรงนี้จึงมีการเกี่ยวโยงกับการสะกดจิต ซึ่งการสะกดจิตเป็นการกระทำกับจิตวิธีหนึ่ง การนั่งสมาธิก็เป็นการกระทำกับจิตวิธีหนึ่ง เหมือนเป็นการเปิดจิตใต้สำนึก เช่นเดียวกับการสะกดจิต ที่ก็เป็นการเปิดจิต ใต้สำนึก

แต่คนที่ระลึกชาติได้จิตต้องมีความพร้อมสูงพอ”

...อาจารย์ภาคินระบุ ก่อนจะบอกอีกว่า... การสะกดจิตสามารถช่วยเยียวยาฟื้นฟูจิตได้ โดยกับคนที่มีพื้นฐานจิตใจอ่อนแอ กรณีนี้ก็จะเปลี่ยนนิสัยให้มีความเข้มแข็ง โดยมีกระบวนการให้ข้อมูลจิตใหม่ ส่วนการระลึกชาตินั้นประธานชมรมนักสะกดจิตฯบอกว่า... ปัจจุบันมีนักวิทยาศาสตร์ทางจิต จิตแพทย์ ทั้งต่างประเทศและในเมืองไทย ทำการพิสูจน์และยอมรับว่า การสะกดจิตเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงไปสู่เรื่องการระลึกชาติได้

ด้าน พระเทพวิสุทธิกวี เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย และผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชาธิวาส ระบุถึงเรื่องการ “ระลึกชาติ” ว่า... นี่เป็นเรื่องธรรมดาทางพระพุทธศาสนา เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ถ้าได้รับการฝึกฝนทางจิตด้วยการปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ เดินจงกรม หรือบริกรรมภาวนาแบบใด ๆ ก็ตาม ไม่จำกัดด้วยว่าจะนับถือศาสนาอะไร แต่บางคนไม่ต้องฝึกอะไร พอเกิดมาก็ระลึกชาติได้ก็มี อย่างที่เราได้ยินข่าวจากสื่อต่าง ๆ ซึ่งบุคคลที่ระลึกชาติได้ ก็มิได้มีเฉพาะชาวพุทธเท่านั้น ยังมีชาวต่างชาติที่นับถือศาสนาอื่นด้วย

“แต่คนทั่วไปมักระลึกได้เพียงชาติหรือสองชาติ ไม่สามารถระลึกได้นับไม่ถ้วนเป็นอเนกชาติ เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัม พุทธเจ้า ที่ทรงมีญาณแห่งการระลึกชาตินับเป็นแสน ๆ ชาติ คน ทั่วไปการระลึกชาติได้มี 2 วิธีคือ ตั้งจิตอธิษฐานความปรารถนาอันแรงกล้า และบำเพ็ญเพียรภาวนาจนได้อภิญญาคือความรู้พิเศษ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ต่างประเทศก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนี้และพยายามพิสูจน์ นักวิทยาศาสตร์ไทยที่เชื่อเรื่องนี้ก็มี ซึ่งใครเชื่อในพระพุทธเจ้า และปฏิบัติจริง จะไม่สงสัยเรื่องนี้” ...พระเทพวิสุทธิกวี ระบุ

ขณะที่ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือท่าน ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย ก็กล่าวเสริมในมุมของพระพุทธศาสนาว่า... การระลึกชาติเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ มีชื่อเฉพาะว่าปุพเพนิวาสานุส สติญาณ ในอดีตกาลผู้ที่มีญาณนี้ หรือระลึกชาติได้ อย่างน้อยต้องเป็น ผู้ฝึกจิตตภาวนาได้ชั้นสูง อย่างไรก็ตาม การ “ระลึกชาติ” ได้ ก็ไม่ได้หมายถึงการเป็นผู้รู้ประเสริฐเลิศเลออะไร เพราะความสามารถในระดับ นี้ก็ยังเป็น “โลกียฤทธิ์”

โลกียฤทธิ์คือฤทธิ์ที่ยังเจือด้วยกิเลส หากใช้เป็น ก็เป็นคน แต่ถ้าใช้ไม่เป็น ก็จะเป็นมาร เพราะจะเป็นช่องทางในการหลอกลวง สร้างจุดเด่นเน้นจุดขาย ทำให้คนมาหลงยึดติดถือมั่น แต่งตั้งตัวเป็นอาจารย์ ซึ่งในบางกรณีก็ทำให้คนส่วนใหญ่มองตัวบุคคลมากกว่าพระธรรมคำสอน ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงไม่สรรเสริญการระลึกชาติว่าเป็นความสามารถพิเศษ พระพุทธเจ้าสรรเสริญการเจริญสติ “ระลึกรู้” มากกว่า

“มีโอกาสสูงที่ผู้ระลึกชาติได้จะพัวพันอยู่ในอดีต เข้าใจผิดคิดว่ามีตัวตน อัตตา ที่เที่ยงแท้นิรันดร์ทุกภพทุกชาติ ส่วนการเจริญสติ ระลึกรู้ เป็นหนทางสู่มรรคผลนิพพาน ระลึกรู้อยู่เสมอ ทุกเรื่อง ทุกกรณี ทุกการเคลื่อนไหว คนคนนั้นย่อมอยู่ในนิพพาน การระลึกรู้จึงสำคัญกว่าระลึกชาติ การระลึกชาติสามารถทำได้เพียงบางคน แต่ระลึกรู้ เจริญสติ ทุกคนสามารถทำได้” ...พระมหาวุฒิชัย ทิ้งท้าย

“ระลึกชาติ” ที่จริงก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก

แต่ที่น่าสนใจ-น่าจะทำให้ได้มากกว่าคือ “ระลึกรู้”

เพราะนี่ต่างหากที่จะมีผลกับชีวิตในปัจจุบัน !!!.


วันพุธ ที่ 30 มิถุนายน 2553 เวลา 0:00 น.

Daily News Online ข่าวยามเช้า 'เกลียด-แค้น' ยังกรุ่น

Daily News Online ข่าวยามเช้า 'เกลียด-แค้น' ยังกรุ่น

จาก อัลบั้มเดลินิวส์ออนไลน์
วันพฤหัสบดี ที่ 01 กรกฎาคม 2553 เวลา 1:00 น

ไทยติดหล่ม!! 'ธรรมในใจ' เจือจาง?

กระแสข่าวเรื่องการวางระเบิด เรื่องการยิงระเบิด ที่หวนกลับมาเกิดขึ้นอีก ไม่ว่าจะเป็นการต้องการสนองความแค้น เป็นการสร้างสถานการณ์โดยบางฝ่ายเพื่อดำเนินการจัดการกับอีกฝ่าย หรือทั้งสองอย่าง จะอย่างไรก็สร้างความไม่สบายใจให้คนไทยโดยรวมอีกครั้ง และน่าหวั่นใจว่าที่สุดอาจนำสู่การ เกิดวิปโยคอีกครา

ขณะเดียวกันนี่ก็สะท้อนสภาวะ “สังคมไทย”

หรือความเป็น “สังคมพุทธ” เจือจางมาก??

ทั้งนี้ ว่ากันถึงความเป็นสังคมพุทธของสังคมไทย ในแวดวงสื่อสารมวลชนก็มีส่วน ซึ่งองค์กรสื่อในยุคนี้ก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ อย่างเช่นในวันที่ 4 ก.ค. 2553 นี้ ทาง สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ จะจัดงานครบรอบ 13 ปี ซึ่งหนึ่งในกิจกรรมในงานนี้คือการปาฐกถาเรื่อง “จริยธรรมสื่อมวลชนตามแนวพุทธ” ซึ่งนี่ก็สะท้อนว่าแวดวงสื่อสารมวลชนตระหนักดีว่าจริยธรรม ศีลธรรม มีความสำคัญต่อสันติสุขของสังคมไทย

และสำหรับคนไทยโดยรวมก็น่าจะได้พิจารณาเรื่องนี้

โดยเฉพาะกับผู้ที่ยังยึดติดกับ “เกลียด-โกรธ-แค้น”

“การแสดงออกซึ่งเมตตาธรรมต่อผู้ด้อยโอกาสกว่า การแสดงความห่วงใยผู้อื่นเท่านั้น ที่จะทำให้เราสามารถจัดการกับอุปสรรคของยุคสมัยเรา หากดำเนินตามจิตวิญญาณที่แท้จริงของพุทธศาสนา หรือศาสนาหลักอื่น ๆ ในโลกนี้แล้ว เป้าหมายอันสูงส่งเหล่านี้จะสามารถเป็นจริงได้” ...นี่เป็นส่วนหนึ่งจากการระบุของ บัน คี มูน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เป็นการระบุในสาร เนื่องในการประชุมชาวพุทธนานาชาติในไทยเมื่อปลายเดือน พ.ค. เนื่องในวันวิสาขบูชา วันสำคัญของโลก ประจำปี 2553

แม้แต่ยูเอ็นยังยอมรับว่าหลักธรรมนั้นมีความสำคัญ

คนเมืองพุทธ-คนไทยก็ไม่น่าจะมองข้ามคุณค่าที่มีอยู่

ไม่จำเป็นต้องถือศีลเป็นร้อย ๆ ข้อ แค่มี “เมตตา-กรุณา-มุทิตา-อุเบกขา” นี่ก็ทำให้ชีวิตตนเองมีความสุขได้ และทำให้สังคม โดยรวมสงบสุขได้ด้วย ซึ่งกับจุดนี้ บางบทความในเว็บไซต์ของสถาบันนโยบายศึกษา ก็มีเนื้อหาน่าพิจารณา ยกตัวอย่างบทความเกี่ยวกับพุทธศาสนากับการเมือง โดย อำไพ วานิชเจริญธรรม

เนื้อหาของบทความนี้ โดยสรุปก็เช่น... เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นหลัก พรหมวิหาร 4 ที่เป็นธรรมประจำใจ สำคัญหมวดหนึ่งในการบริหารชีวิตที่ถูกต้องดีงาม เพื่อให้ชีวิตที่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทั้งหลาย อยู่ร่วมกันอย่างมีสันติสุขในสังคมมนุษย์ ซึ่งพรหมวิหารนั้น แปลว่า ธรรมประจำใจของพรหม พระพุทธเจ้าตรัสแสดงพรหมวิหารให้ปฏิบัติเพื่อให้ทุกคนเป็นพระพรหม จะได้เป็นผู้แก้ปัญหา สร้างสรรค์ และอภิบาลสังคมเสียเอง ซึ่งจุดสำคัญคือต้องมีหลักธรรมทั้ง 4 ข้อคือ... เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

ความหมาย และการใช้หลักธรรมทั้ง 4 ข้อ โดยสังเขปคือ... เมตตา ความมีไมตรี ความเป็นมิตร ความรัก ความปรารถนาดี อยากให้เขามีความสุข ใช้ในสถานการณ์ที่คนอื่นเขาอยู่ดีเป็นปกติ, กรุณา ความสงสาร ความมีใจพลอยหวั่นไหว เมื่อเขาประสบความทุกข์ก็อยากช่วยเหลือให้เขาพ้นจากทุกข์ ใช้ในสถาน การณ์ที่คนอื่นเขาตกต่ำเดือดร้อน, มุทิตา ความพลอยยินดีด้วย เอาใจสนับสนุน ส่งเสริม เมื่อเขาประสบความสำเร็จ ได้ดีมีสุข ก็อยากให้เขาได้ดีมีสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป ใช้ในสถานการณ์ที่คนอื่นเขาขึ้นสู่ภาวะที่สูงขึ้นไป, อุเบกขา การวางเฉยเป็นกลางให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรม ซึ่งอุเบกขาต่างจากเมตตา กรุณา มุทิตา ที่ใช้เพียงความรู้สึกที่ดี

อุเบกขา ต้องใช้ความรู้ (ปัญญา) ด้วย คือต้องรู้ว่าอะไร ถูก อะไรผิด อะไรเป็นความจริง อะไรเป็นความถูกต้องดีงาม อะไรคือหลักการ แล้วเอาความรู้นั้นมาปรับเข้ากับความรู้สึกให้ลงตัวพอดี เพื่อวางตัวได้ถูกต้อง เป็นกลางตามธรรม อนึ่ง เมื่อบุคคลใดละเมิดธรรม คือทำผิดกฎหมายหรือกฎกติกาของสังคม ผู้ที่มีความสัมพันธ์กับบุคคลนั้น ต้องหยุดขวนขวายช่วยเหลือทุกวิถีทางทันที ปล่อยให้มีการปฏิบัติต่อเขาเป็นไปตามความเป็นจริง ตามหลักการ เพื่อเป็นการรักษาธรรมไว้ มิฉะนั้นสังคมก็ปั่นป่วน วุ่นวาย

ทั้งนี้ ในบทความดังกล่าวยังระบุไว้ด้วยว่า... มีเมตตา กรุณา มุทิตา ที่เหมาะพอดี และมีอุเบกขาคุมท้าย ไว้แล้ว ก็จะดำรงรักษาความเป็นธรรมในสังคม และความเข้มแข็งรับผิดชอบในตัวคนไว้ได้ แล้วก็จะเป็นผู้อภิบาลโลก ดำรงรักษาสังคมให้มีสันติสุข ตั้งแต่สังคมเล็กในบ้าน จนถึงสังคมสากล ของมวลมนุษย์

และนี่ก็สอดคล้องกับที่ พระธรรมโกศาจารย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เปิดเผยไว้ถึงการประชุมชาวพุทธนานาชาติเนื่องในวันวิสาขบูชา ปี 2553 ว่า... ผู้นำชาวพุทธได้กล่าวต่อที่ประชุมว่า “การแก้วิกฤติในประเทศไทยนั้นจะต้องแก้ด้วยการสร้างศีลธรรม จริยธรรม ให้เกิดขึ้นในจิตใจ”

เข้าสู่เดือน ก.ค. เดือนนี้มีทั้งวันอาสาฬหบูชา-วันเข้าพรรษา

นี่ก็น่าจะเป็นฤกษ์ตั้งต้นในการ “แก้ธรรมในใจเจือจาง” ได้

แล้วจุดนี้ก็จะช่วย “สร้างความปรองดอง-นำสู่สันติ” ได้ !!!.

ล่าทักษิณ ภารกิจสุดท้าย ก่อนสู่ถนนการเมือง

จาก ไทยรัฐออนไลน์

พนิช วิกิตเศรษฐ์ เปิดใจถึงภารกิจและข้อมูลสุดท้าย ในการไล่ล่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับมารับโทษในประเทศไทย ก่อนลาบัวแก้ว มาสู้ศึกชิงเก้าอี้ ส.ส.กทม.เขต 6 กับพรรคเพื่อไทย...

นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์พิเศษ ไทยรัฐออนไลน์ ยอมรับ จนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถระบุที่อยู่ที่ชัดเจน ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ โดยล่าสุดเท่าที่ตนเองสามารถรวบรวมข้อมูลได้ ก่อนหน้าที่จะลาออกจากตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

เพื่อลงสู้ศึกเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม.เขต 6 นั้น ทราบเพียงว่า อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางอยู่ใน 2 - 3 ประเทศ ในทวีปยุโรป และ ในตะวันออกกลาง และในประเทศครึ่งยุโรปครึ่งเอเชีย ที่มีรายงานว่า เดินทางไปบ่อย เป็นประจำทุกเดือน

ทั้งนี้ เนื่องจากในเวลานี้ พ.ต.ท.ทักษิณ มีธุรกิจหลายอย่าง อยู่ในหลายประเทศที่เดินทางไป อีกทั้งการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ มีพาสปอร์ต 2 เล่ม ที่สามารถสลับการใช้งานเพื่อให้เหมาะสมกับประเทศที่ต้องการจะเดินทางไป จึงทำให้เป็นการยากที่จะระบุถึงแหล่งพำนักที่ชัดเจนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในปัจจุบัน

นอกจากนี้ เท่าที่ทราบ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังมีเครือข่ายจำนวนมาก ที่เป็นนักธุรกิจใหญ่ ซึ่งพร้อมจะให้การสนับสนุนและร่วมมือกับ อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะนักธุรกิจอีกด้วย โดยเฉพาะในประเทศมหาอำนาจ ที่เป็นประเทศครึ่งยุโรปครึ่งเอเชีย ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางไปเยือนบ่อย เพื่อดูแลธุรกิจ และเพื่อดูแลสุขภาพ

ด้านประเภทของธุรกิจ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าไปลงทุนในประเทศ เหล่านั้น เท่าที่ทราบมีหลายประเภท เช่น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และล่าสุด กำลังดูลู่ทางการเข้าไปลงทุนในประเทศซาอุดิอาระเบีย และ มอนเตเนโกร

อย่าง ไรก็ดี นายพนิช ยอมรับว่า จนถึงขณะนี้ ในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศ ยังคงไม่มีข้อมูลว่าแหล่งเงินทุนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ นำมาใช้ในการไปลงทุนในหลายๆ ประเทศ นั้น มีที่มาจากที่ใด และไม่สามารถที่จะทราบได้

เพราะถือว่าเกินกว่ากรอบอำนาจหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ อีกทั้งหน้าที่ในการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวนั้น ถือเป็นหน้าที่โดยตรงของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. และ กระทรวงการคลัง

ส่วนเรื่องสัญชาติมอนเตเนโกร ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับนั้นมีความผิดปรกติไปจากกระบวนการให้สัญชาติตามปกติหรือไม่นั้น นายพนิช กล่าวว่า การที่ประเทศหนึ่งประเทศใด จะให้สัญชาติกับบุคคลใดก็แล้วแต่ ไม่ถือเป็นเรื่องที่ผิดปกติ เพราะถือเป็นสิทธิของประเทศนั้นๆ ในการดำเนินการตามกรอบของกฎหมายของประเทศตนเอง ในการที่จะให้สัญชาติกับบุคคลใดก็ตาม

ส่วนแผนการเดินทาง ที่จะไปเยือนประเทศมอนเตเนโกร ในฐานะผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งตามกำหนดเดิม จะมีขึ้นในเดือน ก.ค. หากไม่ตัดสินใจลาออกมา ลงชิงเก้าอี้ ส.ส.กทม.เขต 6 นั้น จะมีการหารือในประเด็นการสัญชาติมอนเตเนโกร ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยหรือไม่นั้น

นายพนิช กล่าวยืนยันว่า ไม่ได้มีเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด โดยประเด็นหลักในการเดินทาง จะเป็นเรื่องการกระชับความสัมพันธ์ ระหว่างไทย และมอนเตเนโกร รวมถึงภาคการลงทุนเท่านั้น แต่หากจะมีการหารือในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ บ้าง ก็จะเป็นการชี้แจงให้รัฐบาลมอนเตเนโกร ได้ทราบถึงคดีความต่างๆ ที่เกี่ยวข้องถึง อดีตนายกรัฐมนตรี และการขอจับกุมตัวชั่วคราว เท่านั้น

ด้าน การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้มอบหมายให้ทนายความส่วนตัว คือ นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ในลักษณะโลกล้อมไทยนั้น นายพนิช ปฏิเสธ ที่จะให้ความเห็น โดยกล่าวเพียงตนเองอาจพอที่จะทราบประวัติและพฤติกรรมของ นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ดีพอที่จะไม่จำเป็นต้องเปิดเผย

แต่ถึงแม้จะรู้ ตนเองก็คงไม่สามารถพูดถึงแนวทางในการรับมือความเคลื่อนไหว ของทนายความส่วนตัว ของ พ.ต.ท.ทักษิณ คนนี้ เพราะปัจจุบันตนเองพ้นหน้าที่ความรับผิดชอบเรื่องดังกล่าวไปแล้ว


ข่าว: ไทยรัฐออนไลน์

* โดย ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์
* 30 มิถุนายน 2553, 05:30 น.
--------------------------------------

จาก ไทยรัฐออนไลน์

'นพดล'แจงมะกัน!ยัน'แม้ว'ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย

ที่ปรึกษากฏหหมาย"ทักษิณ"ยืนยันกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร สหรัฐฯอดีตนายกฯและคนเสื้อแดง ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย ปัดชักศึกเข้าบ้าน แค่มาสร้างความมั่นใจให้กับชาวต่างประเทศ

เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวผ่านระบบวิดีโอลิ้งก์มายังพรรคเพื่อไทยจากกรุงวอชิงตันดีซี ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างการเดินทางไปพบปะกับกลุ่มคนไทยในสหรัฐอเมริกา นักวิชาการ เจ้าหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารของประเทศสหรัฐฯ

เพื่อชี้แจงเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองภายในประเทศไทยว่า การเดินทางมาครั้งนี้เป็นการเดินทางตามคำเชิญเพื่อเสนอข้อมูลข้อเท็จจริง เกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในรอบ 1-2 เดือนที่ผ่านมา เพราะทางสหรัฐฯได้ฟังข้อมูลจากฝ่ายรัฐบาลไทยมาพอสมควรแล้ว อาทิข้อกล่าวหาเรื่อง

โดยยืนยันว่าผู้ชุมนุมไม่ได้ผู้ก่อการร้าย แต่มาเรียกร้องประชาธิปไตยและความยุติธรรม และประเด็นของพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย รวมไปถึงกรณีที่เราเห็นว่าประเทศไทยต้องปรองดองอย่างแท้จริง ซึ่งสหรัฐอเมริกาเป็นพันธมิตรที่ดีกับประเทศไทย ซึ่งถ้าประเทศไทยเข้มแข็งก็สามารถเกื้อกูลกันได้

นายนพดล กล่าวว่า ตนได้นำเสนอแนวทางการสร้างความปรองดองระหว่างกลุ่มต่างๆในประเทศไทย ด้วยการเจรจาแบบ พีช ทอล์ค เพราะแผนการปรองดองของรัฐบาลอภิสิทธิ์ นั้นไม่ใช่แผนการปรองดองอย่างแท้จริง แต่เป็นแผนการปฏิรูปประเทศในระยะยาว และเป็นห่วงว่าในการนำโร้ดแม็ปไปปฏิบัติ

เพราะในขณะที่รัฐบาลต้องการที่จะปฏิรูปสื่อมวลชน แต่ก็ยังมีการปิดสื่อมวลชนต่างๆ รวมไปถึงเว็บไซต์หลายๆแห่ง ซึ่งเข้าใจว่าในวันที่ 1 ก.ค.ทางรัฐสภาสหรัฐฯ จะพิจารณาออกมติหลายๆ ข้อ ซึ่งมีข้อสำคัญ 2 ข้อคือ 1.สนับสนุนการเจรจาแก้ไขปัญหาภายในประเทศไทยด้วยการพูดคุยกันทุกฝ่ายและ 2.สนับสนุนเป้าหมายของโร้ดแม็ปของรัฐบาลอภิสิทธิ์

แต่ไม่ได้สนับสนุนเนื้อหาของโร้ดแม็ป แม้มติของรัฐสภาสหรัฐฯ อาจจะไม่มีผลผูกมัดกับใครให้ปฏิบัติตาม แต่ก็น่ายินดีที่ทางสหรัฐฯ สนใจปัญหาในประเทศไทย

"เราได้เสนอการเจรจาแบบ พีชทอล์ค ให้ทางสหรัฐฯได้เข้าใจว่าคนเสื้อแดงที่มีจำนวนมากในประเทศไทยนั้น พร้อมและต้องการที่จะปรองดองกับทุกคนในชาติ เพื่อให้ชาติเดินต่อไปได้ โดยฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ ก็ห่วงใยสถานการณ์ในไทยและอยากเห็นการปรองดองของคนในชาติ

แต่เราก็ต้องยอมรับว่าถ้าใครกระทำผิด ในตลอด 2 เดือนที่ผ่านมาก็ต้องมีการดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งผมคิดว่าประเทศไทยสามารถปรองดองกันได้ หากรัฐบาลมีความจริงใจหรืออย่างน้อยก็ควรพิจารณายกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แล้วปล่อยตัวผู้ถูกกล่าวหาทางการเมือง หรืออย่างน้อยก็ควรแจ้งข้อกล่าวหาที่ชัดเจนโดยเร็วที่สุด ไม่ใช่การกักขังไว้โดยไม่ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาใดๆ"นายนพดล กล่าว

นาย นพดล กล่าวว่า การเดินทางมาครั้งนี้ไม่ได้เป็นการมาเพื่อเชื้อเชิญให้สหรัฐฯ แทรกแซงกิจการภายในประเทศไทย แต่เป็นการมาชี้แจงเหตุการณ์ในประเทศไทยให้ทุกคนเข้าใจถึงจุดยืน สิ่งที่คนเสื้อแดงได้เรียกร้อง รวมไปถึงจุดยืนและท่าทีของพ.ต.ท.ทักษิณ และสถานการณ์ล่าสุดในประเทศไทย เกี่ยวกับการคง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และการละเมิดสิทธิ์ของประชาชน ซึ่งประชาธิปัตย์

อาจจะกล่าวหาว่าเรามาเพื่อชักศึกเข้าบ้าน แต่ยืนยันได้ว่าเป็นการมาสร้างความมั่นใจให้กับชาวต่างประเทศ ซึ่งก็มีฟีดแบ็คกลับมาชัดเจนว่าหลายคนเข้าใจสถานการณ์ในประเทศไทยมาก และรับทราบเกี่ยวกับตัวละครต่างๆดีพอๆกับคนไทยที่อยู่ในประเทศไทย แม้จะมีข้อมูลที่คลาดเคลื่อนบ้างก็ได้ชี้แจงไป โดยภาพรวมคือทางสหรัฐฯ อยากเห็นความปรองดองของแต่ละฝ่าย โดยควรจะหาทางเจรจากันด้วยการที่ทุกฝ่ายโอนอ่อนผ่อนปรนบางเรื่อง

และอย่าถือว่า อีกฝ่ายคือผู้ก่อการร้ายและตั้งป้อมว่า จะไม่มีการเจรจาพูดคุย กับผู้ก่อการร้าย โดยยังไม่มีการพิสูจน์ความผิด และพี่น้องคนไทยไม่ใช่ศัตรูของชาติ แต่เป็นคนที่พร้อมจะคุยและพัฒนาบ้านเมืองร่วมกัน ที่สำคัญคือทุกฝ่ายสามารถเดินหาเสียงได้ในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศได้โดยไม่มีปัญหา

เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ รับทราบการเดินทางมาชี้แจงกับทางสหรัฐฯ หรือไม่ นายนพดล กล่าวว่า ขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้อยู่ในสหรัฐฯ แต่คงอยู่แถวๆ ยุโรปตะวันออก ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ทราบการเดินทางมาสหรัฐฯของตนเป็นอย่างดี แต่ไม่ได้สั่งการอะไรเป็นพิเศษ

เพียงแต่ขอให้พูดความจริง เพราะกระบวนการนี้เป็นกระบวนการหนึ่งในการสร้างความปรองดองในชาติ ซึ่งยืนยันได้ว่าเราไม่ได้มาด่าทอประเทศ แต่เป็นการมาเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงที่หลายส่วนยังถูกปิดเบือน

"ผม เดินทางมาเอง โดยไม่เกี่ยวข้องกับสำนักงานกฎหมายอัมเตอร์ดัม ที่พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าจ้างให้ว่าความคดีก่อการร้ายเลย โดยไม่ได้มีการประสานงานกัน ด้วยความสัตย์จริง และที่มาก็ไม่ได้หวังผลเกี่ยวกับคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะคดีๆ ต่างในศาลไทยก็ต้องว่าไปตามกฎหมายไทย

เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อขอให้ใครช่วยเหลืออะไร เพียงแต่หวังว่าศาลจะพิจารณาตามตัวบทกฎหมาย"นายนพดล กล่าว


ช่าว: ไทยรัฐออนไลน์
* โดย ทีมข่าวการเมือง
* 30 มิถุนายน 2553, 13:00 น.

วันอังคาร, มิถุนายน 29, 2553

Gen.seh'news: ข่าวล่าสุดของเว็บเสธ.แดง

Date: Tue, 29 Jun 2010 22:22:43 +0700
From: webmaster@sae-dang.net
To:
Subject: ข่าวล่าสุดของเว็บเสธ.แดง


เรียนแฟนคลับเสธ.แดง และสมาชิกเกียกกาย ทุกท่าน

กระผมตัวแทนญาติของอาแดงต้องขอบพระคุณสมาชิกทุกท่าน
สำหรับการรำลึกถึงการจากไปของอาแดงครับ

สำหรับหนังสือที่ระลึกงานศพที่มีการถามกันเข้ามามาก
ได้มีประชุมการกับทางญาติ แล้วจะทำเป็นรูปเป็นรูปแบบ E-BOOK
ให้ประชาชนเปิดอ่านในคอมพิวเตอร์แทนครับ
เพราะทราบดีว่าหนังสือพิมพ์เท่าไหร่ก็ไม่พอแน่นอน เพราะอาแดงมีแฟนคลับอยู่ทั่วโลก

สำหรับอนาคต เว็บไซด์ของเสธ.แดง ได้เกิดปัญหาขึ้นกับชื่อ sae-dang.com
โดยผู้ที่ได้รับมอบหมายดูแลก่อนหน้านี้ มีพฤติกรรมไม่สุจริตไม่มอบส่งคืนการดูแล แก่ทายาท (น้องเดียร์) และมีพฤติกรรมนำเสนอข้อมูลเองโดยพลการ
จึงได้ประชุมกันตกลงว่าให้ดำเนินการเว็บไซต์เสธ.แดงในชื่อใหม่ว่า
"www.sae-dang.net"

จึงขอเรียนแจ้งข่าวสมาชิกเกียกกายทุกท่านให้ได้รับทราบ

www.sae-dang.net

---------------------------------------------

ทักทายแฟนคลับเสธ.แดง

กราบสวัสดีสมาชิกแฟนคลับทุกท่าน และยินดีต้อนรับเข้าสู่บ้านหลังใหม่้ ก่อนอื่นต้องชี้แจงสาเหตุที่ต้องเปลื่ยนชื่อเว็บไซต์ ทุกท่านคงทราบกันดีว่า sae-dang.com ได้ถูกขึ้นบัญชีดำเป็นเว็บต้องห้ามตามคำสั่ง ศอฉ. มีผลทำให้แฟนคลับเข้าใช้งานไม่ได้มาหลายเดือนแล้ว นอกจากนี้หลังจากเสธ.แดงเสียชีวิตลง ปรากฎว่าบุคคลที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลเว็บไซต์ sae-dang.com มีพฤติกรรมไม่ส่งมอบคืนอำนาจการดูแล sae-dang.com แก่ทายาท คือ น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล (เดียร์) และนำเสนอข่าวสารเองโดยที่ไม่ได้รับมอบหมายจากทายาทของเสธ.แดง ทางทายาทจึงประชุมตกลงกันว่าต่อไปนี้เว็บไซต์หลักอย่างเป็นทางการของ พล.ต.ดร.ขัตติยะ สวัสดิผล (เสธ.แดง) จะใช้ชื่อว่า "คุยกับเสธ.แดง :: www.sae-dang.net"


ทั้งนี้ขอเรียนอย่างเป็นทางการว่า sae-dang.com ไม่ใช่เว็บไซต์ของเสธ.แดงอีกต่อไปแล้ว โดยได้เปลี่ยนมาใช้ชื่อ www.sae-dang.net ข้อมูลข่าวสารที่เกิดขึ้นใน sae-dang.com ไม่ได้เกิดจากทายาท และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือรู้เห็นใดๆทั้งสิ้น


ต้องขอบพระคุณสำหรับสมาชิกทุกท่าน (เกียกกาย) รวมไปถึงน้ำใจดี ๆ มิตรภาพ ความรัก ความผูกพัน ของทุกท่านที่มีให้แก่กันในก่อนหน้านี้
อนาคตของเว็บไซต์มีแผนที่จะจัดกิจกรรมหรืองานเพื่อสังคมการกุศลเพื่อรำลึกถึงเสธ.แดงหรืออาแดงของพวกเราในอนาคต


สำหรับกระทู้ต่างๆในเว็บบอร์ดทางทีมงานจะเปิดให้แก่สมาชิก (เกียกกาย) เท่านั้น ที่สามารถเข้าไปอ่านได้ แต่ยังไม่เปิดให้ตั้งกระทู้ใหม่


ทุกท่านสามารถติดตามข้อมูลผลงาน คลิบวีดีโอต่างๆ และเรื่องราวๆ ของเสธ.แดง ได้้ในเว็บไซต์นี้ นอกจากนี้ท่านใดมีภาพเสธ.แดงที่อยากเผยแพร่ สามารถส่งมาได้ที่ saedangworld@gmail.com จะทำภาพของท่านเข้าไปเก็บในคลังรูปภาพต่อไป


"สำหรับหนังสือที่รำลึกของเสธ.แดงที่แจกในงานพระราชทานเพลิงศพ ทางญาติเข้าใจเป็นอย่างดีว่าแฟนคลับของเสธ.แดงมีอยู่ทั่วโลก พิมพ์หนังสือก็ไม่เพียงพอและทั่วถึงแน่นอน จึงตกลงกันว่าจะให้ทำเป็นรูปแบบ E-Book ให้แฟนคลับทั่วโลกได้เปิดอ่านกัน น่าจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุด"


ทีมงานคุยกับเสธ.แดง

'บรรหาร' ฟันธงชาตินี้ ไม่มีทางปรองดอง

จาก ไทยรัฐออนไลน์

"บรรหาร" ลั่นปรองดองเป็นเรืื่องยาก ชี้กรรมการเหนื่อย แต่ไม่รู้ว่าชาตินี้จะปรองดองได้หรือเปล่า แนะหากทุกคนยอมกันหมดคงจะปรองดองได้...


เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. ที่พรรคชาติไทยพัฒนา นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองว่า สถานการณ์ในขณะนี้ ถือว่าเป็นสถานการณ์ที่ยังดีอยู่และเรียบร้อยดี เมื่อถามต่อว่าช่วงนี้มีเหตุก่อวินาศกรรมหลายแห่ง นายบรรหาร กล่าวว่า ไม่น่ามี เพราะยังมีการบังคับใช้พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้มีความพยายามติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เชื่อว่ารัฐบาลเอง คงยังไม่อยากยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินในขณะนี้ เพราะหากยกเลิกไปแล้ว ก็ไม่แน่ใจว่าจะควบคุมสถานการณ์ได้หรือไม่


แต่ในอนาคตคงต้องมีการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งต้องดูจังหวะเวลาให้สถานการณ์นิ่งกว่านี้ก่อน ส่วนจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน คงตอบไม่ได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ หากสถานการณ์สงบเรียบร้อย ก็สามารถยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินได้ หากมีการเลือกตั้งใหญ่ก็ต้องถึงเวลาที่จะยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เมื่อถามว่าแต่การคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวมาก นายบรรหารกล่าวว่า เรื่องนี้มันแย้งกันกับเรื่องความมั่นคง เพราะต่างประเทศเขาไม่มั่นใจ ถ้า พ.ร.ก.ฉุกเฉินยังอยู่ แต่ความจริงกระทบก็คงกระทบไม่มาก เพราะส่วนใหญ่ขณะนี้นักท่องเที่ยวเริ่มกลับมาแล้ว อาจมีคนกลัวบ้างแต่ก็เริ่มมาแล้ว


ผู้สื่อข่าวถามว่า การก่อเหตุด้วยการยิงจรวดอาร์พีจี ดูเหมือนเป็นเรื่องที่ทำกันง่ายๆ นายบรรหารกล่าวว่า ตนรู้สึกว่าอาวุธสงคราม เป็นของที่หากันได้ง่ายเหลือเกิน อยู่ที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ความมั่นคงจะต้องดูแลให้เรียบร้อย ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า มีบางฝ่ายออกมาตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการจัดฉากของฝ่ายคุมอำนาจรัฐเอง เพื่อคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อ


นายบรรหารย้อนถามว่า ใครจะจัดฉาก เมื่อผู้สื่อข่าวตอบว่า บางฝ่ายมองว่ารัฐบาลเป็นคนทำเอง นายบรรหาร กล่าวว่า รัฐบาลคงไม่กล้าทำ เพราะหากเกิดลูกหลงขึ้นมา คนก็จะเดือดร้อน รัฐบาลคงไม่กล้าทำ ตนคิดว่าเหตุการณ์บ้านเมือง ขณะนี้สงบพอสมควร ส่วนความปรองดองจะมีหรือเปล่าตนไม่ทราบ

เมื่อถามว่าเรื่องการสร้าง ความปรองดอง มีอะไรจะแนะนำคณะกรรมการปรองดองหรือไม่ นายบรรหารหยุดคิดพักหนึ่ง ก่อนจะตอบว่า ยากจริงเลยเรื่องปรองดอง กรรมการที่ตั้งไว้ก็ต้องเหนื่อย ไม่รู้ว่าชาตินี้จะปรองดองได้หรือเปล่า ชาตินี้คงปรองดองยาก เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงเหตุผลว่า ทำไมจึงมองว่าปรองดองไม่ได้


นายบรรหารกล่าวว่า ถ้าความคิดเห็นต่างกันก็ปรองดองกันไม่ได้ คณะกรรมการที่ตั้งขึ้นจะสร้างความปรองดองได้หรือไม่ ก็ต้องกลับไปถามรัฐบาลว่า ตั้งขึ้นมาทำไม แล้วจะสร้างความปรองดองได้หรือไม่ ต้องไปถามรัฐบาลเอง ถามตนไม่ได้ ถ้าความคิดเห็นแตกต่างกันก็ยากจะสร้างความปรองดอง ถ้ายอมๆ กันหมด ใครว่าอย่างไรมาก็ยอมกันหมด ก็โอเค อย่างนั้นปรองดองได้


ผู้สื่อ ข่าวรายงานว่า ภายหลังที่นายบรรหารได้พูดคุยกับ ส.ส. ลูกพรรคและรัฐมนตรี ได้เดินมาทักทายผู้สื่อข่าวพร้อมกับปรารภถึงการติดตามการแข่งขันฟุตบอลโลก ว่า คืนนี้การแข่งขันคู่ระหว่างทีมชาติปารากวัย กับทีมชาติญี่ปุ่น น่าจะเป็นการแข่งขันที่สูสี โดยตนจะเชียร์ทีมชาติญี่ปุ่น เพราะเป็นชาติเอเชียด้วยกัน เชื่อว่าทีมชาติญี่ปุ่นน่าจะเอาชนะทีมชาติปารากวัยได้ ส่วนการแข่งขันคู่ระหว่างอังกฤษกับเยอรมันว่า ดูคู่นี้แล้วเยอรมันเก่งเป็นบ้าเลย ทีมชาติอังกฤษสู้ไม่ได้


ผลการแข่งขันเลยทำให้เยอรมันต้องไปเตะกับทีมชาติอาเจนติน่า หรือบราซิลคงจะน่าดู จากนั้นนายบรรหารได้กล่าวถึงทีมชาติไทยด้วยว่า ความจริงทีมฟุตบอลทีมชาติไทยน่าจะได้เข้ารอบฟุตบอลโลก หรือการแข่งขันรอบสุดท้ายของทัวร์นาเมนท์ระดับโลกบ้าง แต่ทีมชาติไทยยังต้องพัฒนาอีกมาก ทั้งนี้ในการประชุมของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จะเชิญสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยไปหารือถึงการพัฒนาทีมชาติไทย ให้พัฒนาผลการแข่งขันในระดับโลกให้ได้.


ข่าวซ ไทยรัฐออนไลน์
• โดย ทีมข่าวการเมือง
• 29 มิถุนายน 2553, 18:07 น.

ดูฟุตบอลโลก สะท้อนสงครามเศรษฐกิจ

จาก ไทยรัฐออนไลน์

วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ในสหรัฐฯยังทรง...ไม่ฟื้น วิกฤติหนี้สาธารณะในยุโรปกำลังระบาด ล่าสุดสงครามเศรษฐกิจอีกระลอกกำลังจะก่อตัวที่...จีน


สารพัดเรื่อง สารพัดราวในโลกเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ในความรับรู้ของคนทั่วไปเหมือนเป็นเรื่องไกลตัว เกินคาดคิด...แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ นักเศรษฐศาสตร์มหภาค จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ข้อคิดเตือนสติ...ไม่ใช่เรื่องไกลตัว

ผลกระทบที่เกิดขึ้น คนธรรมดาเดินดินกินข้าวแกง จะพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย

ถ้าเรามีผู้ บริหารประเทศมือไม่ถึง...รู้ไม่ทันความผันผวนทางเศรษฐกิจ ที่จะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้

"เพราะสถานการณ์วิกฤติเศรษฐกิจระดับโลก ที่เป็นปัญหาอยู่ตอนนี้ในสหรัฐอเมริกา ตัวเลขเศรษฐกิจบางอย่างดูเหมือนจะดี คล้ายจะฟื้น เป็นแค่ ภาพลวงตา อาการยังไม่ดีขึ้น ที่ดูดีได้เป็นเพราะเงินอัดฉีดที่รัฐบาลสหรัฐฯปั๊มเงินเข้าไปในระบบเท่านั้น


เศรษฐกิจ ภาคการผลิตที่แท้จริงยังไม่ดีขึ้น เห็นได้จากตัวเลขอัตราคนว่างงาน ยังมีสูงอยู่ถึง 9% หรือประมาณ 20 ล้านคนที่ไม่มีงาน ซึ่งในภาวะปกติ ตัวเลขคนว่างงานของสหรัฐฯไม่ควรจะเกิน 4-5%"


วิกฤติหนี้สาธารณะของ ประเทศในยุโรป ที่เรียกกันว่า วิกฤติหมู 4 ตัว (PIGS)...โปรตุเกส (P), อิตาลี (I), กรีซ (G) และสเปน (S) วันนี้สถานการณ์กำลังลุกลามบานปลายขึ้นไปสู่ยุโรปเหนือแถบกลุ่มประเทศสแกนดิ เนเวีย และลามไปทางยุโรปตะวันออกอย่างฮังการีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


"วิกฤติ เศรษฐกิจในยุโรปแย่ขนาดไหน ดูได้จากการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้เป็นเจ้าภาพ เห็นได้ชัด ทีมดัง ตัวเต็งจากยุโรป ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส, อิตาลี, เยอรมัน, อังกฤษ, สเปน,โปรตุเกส, กรีซ ล้วนสร้างความผิดหวังให้กับผู้ชมด้วยกันทั้งนั้น"


เรียกว่ารัฐบาล ประเทศไหนก่อหนี้สาธารณะไว้เยอะ งบประมาณอุดหนุน อัดฉีดถูกหั่นลดทอน...ทีมฟุตบอลเลยมีผลงานแย่ไปเป็นเงาตามหนี้


และ สาเหตุอีกประการที่ชี้ว่าวิกฤติหนี้สาธารณะในยุโรปจะเป็นปัญหาไปอีกนาน นั่นคือ...การมองการณ์ไกลของรัฐบาลจีน ที่ประกาศลอยตัวค่าเงินหยวนภายใต้การควบคุมให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น


หมาย ความว่า จีนจะไม่ให้ค่าเงินหยวนผูกติดอยู่กับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯอีกต่อไป

ค่า เงินหยวนจะขึ้นลงไปตามกลไกตลาด แต่ไม่ถึงขั้นปล่อยลอยตัวอย่างเต็มที่ รัฐบาลจีนจะคอยกำกับดูไม่ให้ค่าเงินหยวนผันผวนขึ้นลงเร็วมากจนเกินไป


ทั้ง ที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลสหรัฐฯไม่รู้กี่ประธานาธิบดีมาแล้ว ทั้งขู่ทั้งบีบให้จีนลอยตัวค่าเงินหยวน...แต่รัฐบาลจีนดื้อแพ่งไม่ยอมทำตาม

"เหตุผล ที่จีนยอมลอยตัวค่าเงินหยวนในครั้งนี้ มาจากหลายเหตุผล หนึ่งมาจากสหรัฐฯขู่จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศจีน ถ้าไม่ยอมลดค่าเงินหยวน และรัฐบาลสหรัฐฯตั้งใจจะประกาศมาตรการนี้ในการประชุมกลุ่มประเทศจี 20 ที่แคนาดา จีนเลยประกาศลอยตัวก่อนที่จะมีการประชุม


อีกเหตุมาจาก วิกฤติเศรษฐกิจหนี้สาธารณะในยุโรปจะเกิดไปอีกนาน เป็นโอกาสเหมาะในการลอยตัวค่าเงินหยวน เพราะวิกฤติในยุโรปจะทำให้ค่าเงินหยวนที่ลอยตัวไม่แข็งค่าจนทำให้สินค้าจาก ประเทศจีนมีราคาสูงมากเกินไป"

เพราะวิกฤติหนี้สาธารณะในยุโรปทำให้ นักลงทุนไม่มั่นใจค่าเงินยูโร เทขายเงินยูโรกันอย่างขนานใหญ่ ส่งผลให้เงินยูโรอ่อนค่า...และนักลงทุนหันไปซื้อเงินดอลลาร์มาถือไว้แทน


แม้ เศรษฐกิจสหรัฐฯจะยังไม่ดี ยังไม่ฟื้น เงินดอลลาร์จะมีค่าดูไม่ดีนักก็ตาม แต่เงินดอลลาร์สหรัฐฯ นับเป็นเงินตราสกุลเดียวที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก สามารถนำไปใช้ซื้อขายลงทุนในทุกประเทศในโลกใบนี้


ด้วยเงินดอลลาร์มี ข้อเด่นในเรื่องนี้ นักลงทุนเก็งกำไรเทขายยูโร หันมาซื้อดอลลาร์กันมากขึ้น เงินดอลลาร์แข็งตัว ในภาวะเช่นนี้หากจีนไม่ลอยตัวค่าเงินหยวน ยังเอาเงินหยวนผูกติดอยู่กับดอลลาร์...ดอลลาร์แข็ง เงินหยวนแข็งตาม สินค้าจากประเทศจีนก็จะมีราคาสูงขึ้นขายแข่งกับประเทศอื่นลำบาก

แต่ ถ้าลอยตัว ไม่ผูกติดกับดอลลาร์...เงินหยวนจะไม่แข็งตามดอลลาร์

เลย เป็นเหตุผลสำคัญที่จีนยอมลอยตัวค่าเงินหยวนขึ้นมาตอนนี้


"ส่วนสหรัฐ อเมริกา ทั้งเรียกร้อง ทั้งบีบบังคับให้จีนลอยตัวค่าเงินหยวน ไม่ใช่ต้องการให้เงินหยวนแข็งค่า สินค้าจากจีนจะได้แพงขึ้น เพื่อสหรัฐอเมริกาจะลดการขาดดุลการค้า ลดการนำเข้าสินค้าจากจีนเท่านั้น


เหตุผล เบื้องลึกจริงๆ ต้องการลดทอนความเป็นมหาอำนาจของจีนมากกว่า พูดง่ายๆ สหรัฐอเมริกาต้องการทำสงครามทางเศรษฐกิจกับจีนอย่างเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะในแนวทางที่สหรัฐฯมีความถนัดและเชี่ยวชาญเหนือกว่าชาติอื่นใดในโลก นั่นคือทำสงครามโจมตีค่าเงิน


เพราะรัฐบาลที่เข้มแข็งผูกขาดอำนาจได้ มาอย่างยาวนานของหลายประเทศในเอเชีย ต้องมีอันเป็นไปเพราะการโจมตีค่าเงินนี่แหละ ซูฮาร์โต ผูกขาดเป็นผู้นำประเทศอินโดนีเซีย ยาวนานถึง 31 ปี เจอการโจมตีค่าเงิน จากพิษต้มยำกุ้ง ซูฮาร์โตหมดหนทางสู้ ต้องลงจากอำนาจ


เกาหลีใต้ก็ เช่นกัน เจอพิษต้มยำกุ้งโจมตีค่าเงิน รัฐบาลทหารที่ผูกขาดอำนาจมายาวนานมีอันเป็นไป ต้องให้คิมแดจุง ผู้นำฝ่ายค้านขึ้นมามีอำนาจแทน"


ในอนาคต จีนก็อาจจะเป็นเช่นนั้น


ดร.สมภพ วิเคราะห์ว่า...หนทางที่สหรัฐฯจะเอาชนะจีนได้ มีหนทางนี้หนทางเดียว เพราะการจะต่อสู้ด้วยวิธีอื่นเอาชนะยาก โดยเฉพาะในทางเศรษฐกิจ การจะผลิตสินค้ามาขายแข่ง ยังไงสหรัฐฯก็สู้จีนไม่ได้ มีแต่การต่อสู้เรื่องค่าเงินเท่านั้นที่สหรัฐฯมีความชำนาญมากที่สุด เพราะเป็นชาติที่มีเศรษฐกิจเจริญเติบโตมาได้ก็ด้วยธุรกิจเก็งกำไร เลยรู้ช่องทางความซับซ้อนมากกว่าคนอื่น


และหลังจากที่จีนลอยตัวค่า เงินแล้ว ต่อไปในอนาคตข้างหน้า...ธุรกิจเก็งกำไร ค้าเงิน ค้าหุ้น ค้าน้ำมัน ที่ฟุบมาระยะหนึ่งหลังจากเกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ นักเศรษฐศาสตร์มหภาคท่านนี้เชื่อว่า...จะกลับมาบูม เพราะการปลดล็อกค่าเงินหยวนนี่แหละ


"ลอยตัวค่าเงินหยวน แม้ทางการจีนจะมีมาตรการควบคุมไม่ให้ค่าเงินผันผวนขึ้นลงเร็วนัก แต่ยังไงต่อไปค่าเงินหยวนก็ต้องมีการเคลื่อนไหวขึ้นลง การธุรกิจการค้าต่างๆ จะมีความเสี่ยงเรื่องค่าเงินมากยิ่งขึ้น


การจะซื้อขายสินค้า จะเก็งมองแค่ราคาสินค้าในอนาคตจะขึ้นหรือลงอย่างเดียวไม่ได้ จะต้องเก็งเรื่องค่าเงินที่จะเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย สิ่งที่จะตามมานั่นคือ ในระบบเศรษฐกิจจะเกิดสิ่งที่เรียกว่าความต้องการเทียม หรือดีมานด์เทียมขึ้นมา


ยกตัวอย่างง่ายๆ จีนบริโภคน้ำมันไม่น้อย จะซื้อน้ำมันมาใช้ ปกติราคาน้ำมันขึ้นลงตลอดเวลาอยู่แล้ว เมื่อค่าเงินไม่แน่นอน ต้องเอาค่าเงินมาคิดคำนวณอีกต่างหาก"


เพื่อลด ความเสี่ยงของค่าเงินและค่าน้ำมันที่ผันผวน จีนจะต้องใช้วิธีสั่งซื้อน้ำมันล่วงหน้า หรือที่เรียกว่า ซื้อตั๋วน้ำมัน...จีนซื้อตั๋วน้ำมันตามความต้องการมากขึ้น


ส่งผลให้ ราคาน้ำมันในตลาดโลกแพงขึ้น ประเทศอื่นก็ต้องทำตาม ซื้อตั๋วน้ำมันตาม ดีมานด์เทียมยิ่งเกิดขึ้นมาล้น น้ำมันยิ่งแพงเกินจริงมากขึ้น เหมือนในยุคก่อนจะเกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์


ตัวอย่างเบาะๆแค่น้ำมัน แพงขึ้น...วิกฤติเศรษฐกิจอย่างนี้ชาวบ้านคนเดินดินกินข้าวแกงจะเดือดร้อน หรือไม่

เตรียมตัว เตรียมใจรับสถานการณ์ในอนาคตแล้วหรือยัง...โดยเฉพาะ ฯพณฯ ที่เสวยสุข


ด้วย เกรงว่า เมื่อวันนั้นมาถึง ไม่อยากได้ยินคำพูด "น้ำมันแพงก็ใช้ ให้น้อยลง"...เหมือน "น้ำแล้งก็อย่าปลูกข้าว" อย่างที่ได้ยินกันในวันนี้


ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์
• โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์
• 29 มิถุนายน 2553, 05:12 น.

วันจันทร์, มิถุนายน 28, 2553

ก่อแก้ว พิกุลทอง ผู้สมัคร ส.ส. เบอร์ 4




Thailandmirror | June 28, 2010 | 2:59

---------------------------



0802024537 | June 28, 2010 | 2:50

เพลง เลือกก่อแก้ว: เสียงประสาน ปลาหมึกไข่เนื้อร้อง - ทำนอง - ขับร้อง แป๊ะ บางสนาน

bangkokpost: Thousands of red shirts gather for final farewell to Seh Daeng

Nakrop: Five-year-old boy pays respects

Several thousand red shirts have united for the first time since their protest was broken up on May 19 to mourn the death of their "heroic fighter", army specialist Khattiya Sawasdipol.

Supporters of the United Front for Democracy against Dictatorship (UDD) flooded Wat Sommanat yesterday with bitterness, resentment and anger about the death of the red shirt security chief, better known as Seh Daeng, as well as the deaths of other red shirt supporters during the military operation to disperse their rallies.


"It's our reunion," said Rasamee Wisawan, a UDD supporter who was waiting in a long queue to pay her respects to the hard-line leader at the royally sponsored cremation.

"For me, it's like we are at the funeral for all the deaths. Seh Daeng represents our dead brothers and sisters."

The government's imposition of the emergency decree means it is difficult for red shirt protesters to gather like this, she said.

"He was a good man who fought alongside us," said a taxi driver in his thirties. "He was one of our fellows who shared the same goal."

It is hard to estimate how many people gathered at the funeral. But UDD supporters from all walks of life occupied almost everywhere they could in the temple ground, causing congested traffic as they queued up. Some fainted.

They angrily exchanged remarks about the government's claim that terrorists mingled among the protesters and then used this as justification to use force to disperse the crowd.

Seh Daeng, 58, was shot in the head on May 13 while being interviewed by a reporter. He died four days later.

Two days after his death, the military moved in to break up the red shirt protest around their mainstage at Ratchaprasong intersection.

Ninety people were killed in Bangkok and other provinces and more than 1,800 injured during two military operations — on April 10, and from May 14 to 19 — to break up the rallies.

Many at the cremation said they would not accept the government's reconciliation plan.

"If the government wants reconciliation, it should stop producing false accusations against us and stop hunting down red shirt supporters," Sakol Nuchit, 42, said.

A long, white piece of cloth was provided on awall at the templefor mourners to express their feeling for Seh Daeng.

"We will continue to fight and won't let your death be meaningless," read one message. "You are brave for us" and "You are a hero and a fighter", read others.

The cremation yesterday was attended by red shirt leader Jatuporn Prompan and former leader of the now-defunct Thai Rak Thai Party Chaturon Chaisaeng.

One of Maj Gen Khattiya's two daughters, Khattiyaa, said she and her sister were still traumatised by their father's death.

She said she was not sure authorities would be able to find out who killed her father but she would cooperate with the police.

She is now trying to gather whatever evidence she can and understands that the police's inquiries will not be easy as there has been so little detail revealed about the killing.

"I have already moved out of my father's house at the military compound and I am moving on with my life without both my mother and father," she said.

"I believe my father would appreciate seeing the number of red shirts here today. It proves who the real hero is."

Ms Khattiyaa refused to talk about a five-year-old boy who was brought to the funeral by a woman who claimed Seh Daeng was his father. Ms Khattiyaa said she had not known about him.

The boy, Nakrop, which means "warrior", arrived at the funeral with his mother yesterday to pay his final respects to the late general.



News: Bangkokpost
Published: 23/06/2010 at 12:28 AM

About the author
Writer: Surasak Glahan
Position: Reporte

วันอาทิตย์, มิถุนายน 27, 2553

It's Not Easy To Be Red Shirts

นักวิชาการชี้การเมือง ทางตัน เกิดเผด็จการพันธุ์ใหม่ เลือกตั้งปีหน้า วอนรัฐบาลยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน


นักวิชาการ ถก“แนวโน้มสถานะประชาธิปไตยไทยท่ามกลางความขัดแย้ง” วังวนติดอยู่ในระบบอำนาจนิยม รัฐบาลกับทหาร ยังต้องพึ่งพิงอาศัยกัน วอนรัฐบาลยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน


วันนี้(27 มิ.ย.) เวลา 10.00 น. สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับสถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย จัดเวทีราชดำเนินเสวนา โครงการร่วมปฏิรูปประเทศไทย ครั้งที่ 8/2553 เรื่อง “แนวโน้มสถานะประชาธิปไตยไทยท่ามกลางความขัดแย้ง” ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 2 สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ถนนสามเสน กรุงเทพมหานคร


ผู้อภิปราย ประกอบด้วย รศ.ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ,รศ.ดร.ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ,รศ.สุริชัย หวันแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายสุนทร ทาซ้าย บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ


รศ.ดร. นครินทร์ กล่าวว่า ประชาธิปไตยในมิติประวัติศาสตร์ อธิบายได้ว่า ช่วง 25 ปีแรก ประชาธิปไตยประเทศไทย เป็นรูปแบบกึ่งประชาธิปไตย มีรัฐบาลกึ่งผสมผสานระหว่างพลังของสังคมและพลังคณะราษฎร มีความขัดแย้งที่สืบทอดมาจากประวัติศาสตร์การเมืองหลายๆครั้งให้เห็น อาทิ มีนายกรัฐมนตรีคู่ 2 คน รวมถึงการเนรเทศนายกรัฐมนตรีออกนอกประเทศ ก็เคยเกิดขึ้นในสมัยพระยามโนปกรณ์นิติธาดา เป็นนายกฯ เพียง 1 เดือน และอยู่นอกประเทศถึง 14 ปี ซึ่งหลังจากนั้นในพ.ศ. 2516 ได้ก้าวเข้าสู่ยุคทหารปกครองประเทศ เป็นเผด็จการเต็มรูปที่เป็นประชาธิปไตยแบบไทย โดยมีจุดพลิกผัน คือ ประเทศไทยก้าวไปสู่เป็นอำนาจแบ่งปันหลายฝ่าย มีรัฐบาลผสมหลายพรรค


“สิ่งที่น่าสนใจอยู่ที่ ปี 2540 ที่ส่งผลให้การเมืองไทยเป็นเช่นปัจจุบัน คือ มีการพยายามทำ รัฐบาล 2 พรรค แต่สุดท้ายเกิดเป็นพรรคเดียว เป็นอำนาจไม่กระจาย กระจุกอยู่ส่วนใดส่วนหนึ่งเท่านั้น และมีการเอาหลักตรวจสอบการใช้อำนาจเข้ามาด้วย เกิดการจัดตั้งองค์กรอิสระมากมาย ซึ่งถือเป็นการปฏิวัติครั้งใหญ่ ในการเปลี่ยนระบบการเมืองไทย”


รศ.ดร.นครินทร์ กล่าวต่อว่า ส่วนมิติทางสังคม ของคนไทยมีลักษณะพิเศษ มีการเคลื่อนไหวมีแต่รูป ไม่มีเนื้อหาสาระ ไม่มีรากฐานที่ยาวนาน ทำให้มีโครงสร้างการรวมกลุ่มเพื่อสาธารณะอ่อนแอ มีนักเคลื่อนไหวทางการเมืองไม่มากนัก เกิดเป็นการเมืองที่มีแต่รูป ไม่มีเนื้อหาสาระอยู่ข้างใน ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งต้องฝ่าฟันอีกมาก ในการสร้างค่านิยมใหม่ๆขึ้นเพื่อสร้างวัฒนธรรมใหม่


“อย่างเหตุการณ์ หลัง พฤษภาคม 2553 ก็เช่นเดียวกัน แม้จะมีโครงสร้างเดียวกัน แต่การต่อสู้ทางการเมือง แต่ยังเป็นฉากละครเดียวกันกับปี 2540 ในสภาพสังคมไทยมีความหลากหลาย แตกแยก ซึ่งการมองสังคมว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นเพียงการจินตนาการที่เข้าใจความแตกแยกไม่ชัดเจน โดยอย่าคาดหวังว่าประเทศไทยจะศิวิไลซ์ เพราะไม่ได้มีความเป็นเสรีนิยม มาก่อนโดยพื้นฐาน แต่มีแนวโน้มเป็นอำนาจนิยมเสียมากกว่า”


นายสุนทร กล่าวว่า ประเทศไทยยังเป็นประชาธิปไตยที่ยังไม่โต มองได้ 3 ปัญหา คือ ระยะแรก จากการเปลี่ยนแปลงปี 2475 คือ มีการเปลี่ยนแปลงรัฐประหารแต่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอำนาจ 2. มีการเลือกตั้งมากขึ้นจนเกิดปัญหาใหม่ คือ การเมืองไทย ไม่ตอบสนองการแก้ไขปัญหา มีนักธุรกิจ สู่การเมืองมากขึ้น มีการซื้อเสียง ซื้อพรรคการเมือง และองค์กรอิสระ ถูกครอบงำจากทุกส่วน และ 3.ประชาธิปไตยไทยไม่สามารถขจัดความขัดแย้ง โดยใช้วิธีการอย่างสันติ อาจมีแนวโน้มไปถึงความรุนแรง ซึ่งหากไม่สามารถเอาชนะในสภา จะมีการลงไปเอาชนะกันข้างถนน เกิดเป็นปัญหาที่ใหญ่ระดับประเทศ


“ปัจจุบัน คนมักคิดว่า หากไม่มีการตายเกิดขึ้น การชุมนุมจะไม่ชนะ ซึ่งเป็นอันตรายต่อประชาธิปไตยของประเทศมาก ซึ่งหากยังแก้ปัญหาความขัดแย้งโดยสันติไม่ได้ แผนปรองดองหรือแม้กระทั่งการแก้รัฐธรรมนูญจะไม่สามารถแก้ปัญหาได้ จากวัฒนธรรมคนไทยไม่เป็นประชาธิปไตย จนในที่สุดก็จะไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งว่าต้องพยายามเอาการเมืองจากท้องถนนขึ้นมาต่อสู้กันบน สภาให้ได้เช่นเดิม”

จาก อัลบั้มภาพ Matichon Online

ด้าน รศ.ดร.ฐิตินันท์ กล่าวว่า ขณะนี้ประชาธิปไตยกำลังถึงทางตัน จาก 1 ปี หลังสงกรานต์เลือด แสดงให้เห็นว่า มีการล้มเหลว การใช้สมานฉันท์ ไม่สามารถเกิดการสมานฉันท์ได้ และหากเลือกตั้งจะไม่สามารถเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จากกลไกมาตรการต่างๆที่เกิดขึ้น ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) จะยังคงอยู่ต่อไป


นอกจากนั้น ยังเกิดประชาธิปไตยไทยมีความเป็นเผด็จการพันธุ์ใหม่มากขึ้น ซึ่งแม้ไม่ใช่รัฐประหาร แต่ถ้ามีการอิงกันไปด้วยดี ระหว่างรัฐบาลกับทหารจะเป็นปรากฏการณ์ความเป็นเผด็จการพันธุ์ใหม่ เป็นเผด็จการพลเรือน เลื่อนขั้น ซึ่งการแก้ไขนั้นควรที่จะต้องปล่อยนักการเมืองที่ถูกห้ามเล่นการเมืองเข้ามา ไม่ใช่นั้นกลุ่มเสื้อแดงจะไม่มีทางเลือกใหม่ มีเพียงนักการเมืองกลุ่มเก่า สนามการเลือกตั้งก็ไม่เข้มข้น


“สิ่งที่น่าเป็นห่วง จะเกิดสภาวการณ์จะเป็นไข่กับไก่มากขึ้น เหตุการณ์จะคงอยู่ต่อไป เป็นภาวะงูกินหาง ศอฉ.จะกลายเป็นอำนาจนิยม ไม่เลิกโดยง่าย แม้กระทั่งกองทัพที่เข้ามาจะไม่ถอย และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินจะยังขยายไปเรื่อย ซึ่งความเป็นจริงนั้น ไม่ควรจะมี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพราะไปละเมิดความเป็นพลเมืองของประเทศไทย และสร้างเป็นความรู้สึกที่ไม่ดี ในความรู้สึกของความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง”


ขณะที่ รศ.สุริชัย กล่าวว่า วิกฤตประชาธิปไตยไทย ไม่ใช่วิกฤตระบอบเท่านั้น แต่ทุกคนรู้สึกได้ ว่าเกิดอะไรขึ้น เพียง 1 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งกำลังมาถึงจุดที่เกิดการเกลียดชังกันและรุนแรงแบบที่คนที่ไม่รู้จักกัน สามารถฆ่ากันได้ จากประสบการณ์ของประเทศที่ไม่เคยมี ซึ่งในครั้งนี้ เกิดเป็นความรุนแรงไกลไปจนถึงต่างจังหวัดด้วย


“ประชาธิปไตยที่ลอกกันมา จากต่างประเทศ หลายฝ่ายเข้าใจว่าสำคัญที่สุด แต่การเลือกตั้งแบบตัวแทน ไม่ได้เชื่อมต่อความจำเป็นของประชาธิปไตยแบบประเทศไทย ปรากฎการณ์ที่เรียกว่า เสื้อเหลือง เสื้อแดง ที่เป็นปรากฏการณ์ใหม่ และชนชั้นกลางมีบทบาททางการเมืองมาก แสดงให้เห็นว่าหมดยุคแล้วว่า จะมองสังคมไทยโดยไม่จำแนก เพราะคนที่เสียสละก็เป็นคนในสังคมไทย คนไทยมีจิตสำนึก แต่ไม่ใช่ข้อยกเว้น และหมดยุคมองวัฒนธรรมไทยแบบเหมารวม ต้องทำความเข้าใจใหม่กับสังคม ปัญหาใหญ่คือ ข้อเสนอการปรองดองแห่งชาติ การให้เรามีการปฏิรูป ต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในสังคมไทยแค่ไหน มีโอกาส การใช้รัฐบาลจากกาเรลือกตั้ง การใช้เครื่องมือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จึงเป็นเรื่องอนาคตไม่ตายตัว ต้องเปิดกว้างให้เราคิดร่วมกัน ซึ่งหากรัฐบาลยังไม่ปรับท่าทีต่อสถานการณ์ กังวลว่าอนาคตจะไม่สามารถเดินต่อไปได้


รศ.สุริชัย กล่าวต่อว่า ปัญหาในอนาคตเป็นสิ่งสำคัญ ขอเพียงอย่ามี ความระแวง โกรธ และเกลียดกัน ขณะที่ รัฐบาลประกาศเรื่องปรองดอง ควรสร้างความรู้ความเข้าใจร่วมกัน เปิดใจร่วมคิดร่วมทำ ยังหวังพึ่งพิงเชิงเครื่องมือ ที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบ แต่การปฏิรูปการเมือง ต้องปฏิรูปการทำงานของรัฐบาลด้วย ในสิ่งที่เรียกว่า อำนาจนิยมถึงเวลาที่รัฐบาลต้องทบทวน และมีความรับผิดชอบต่อความสร้างความรุนแรงทางการเมือง โดยที่รัฐบาลต้องใจกว้าง ปรับปรุงการทำงานตนเอง ปฏิรูปราชการก็ต้องเร่งดำเนินการ


ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2553 เวลา 17:00:30 น.
--------------------------------------------------


มติชนออนไลน์
นที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2553 เวลา 16:36:35 น.

"ฐิตินันท์ "ฟันธง การเมืองถึงทางตัน เลือกตั้งปีหน้า ลอกคราบเผด็จการพันธุ์ใหม่ ท้าตรวจสอบศอฉ.ใช้งบ ?

วงเสวนา แนวโน้มสถานะประชาธิปไตยไทยท่ามกลางความขัดแย้ง วันนี้ ณ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ดร. ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ

ได้อภิปรายสถานะการเมืองไทยว่า เป็น การเมืองที่ " พูดยาก เขียนลำบาก แถมน้ำท่วมปาก "

มติชนออนไลน์ นำเสนอ มุมมองของ ดร. ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ ที่อาจไม่เข้าหูใครหลายคน ดังนี้

..ผมไม่ค่อยชอบพูดเรื่อง เมืองไทย ผมว่ามันเป็นยุคที่พูดยากเขียนลำบาก วันก่อนอ่านคำสัมภาษณ์ของคุณประจวบ ไชยสาส์น พูดว่าอย่างนั้น ผมขอเติมนิดหนึ่งว่าเป็นยุคพูดยาก เขียนลำบาก และน้ำท่วมปาก เพราะฉะนั้นจึงพูดยากเข้าไปใหญ่

วันนี้ ต่างชาติมองการเมืองไทย หลากหลาย แต่รวมๆแล้วเขาคิดว่าประเทศไทยมีปัญหา ประชาธิปไตยไทยมีปัญหา แต่ที่ผมสังเกตบางครั้งต่างชาติก็มองในแง่ดี สมมติว่ามีคนมองว่าดี ทางการหรือรัฐบาลจะออกมาตีข่าวเป็นข่าวใหญ่ เช่น ประเทศไทยได้รับเลือกเป็นคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนโลกของสหประชาชาติ ( สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว)

ขณะที่สื่อต่างชาติตอนนี้กำลังโดนโจมตีอย่างหนักภายในประเทศไทย ซีเอ็นเอ็น บีบีซี ผมก็มีข้อสังเกตว่าในวันเกิดเหตุการณ์และช่วงพฤกษาคม ผมไม่ได้ดูซีเอ็นเอ็น ไม่รู้เขารายการกันอย่างไร เป็นได้อาจเอียง และสังเกตว่า พวกสื่อต่างชาติที่รายงานช่วงนั้นจะไม่พูด ไม่ระบุว่าที่แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) เริ่มชุมนุม เนื่องจากคุณทักษิณโดนยึดทรัพย์ตรงๆ 2 อาทิตย์หลังโดนยึดทรัพย์ นปช.เริ่มเคลื่อนไหวบนท้องถนน เขาจะพูดถึง นปช. มาเรียกร้องประชาธิปไตย ก็โดนโจมตีหนัก

แต่ผมสังเกตว่าสื่อต่างประเทศ ถ้ารายงานอะไรที่รัฐบาลชอบ คนที่สนับสนุนรัฐบาลชอบ เขาไม่ปฏิเสธ เช่น เรื่องเสื้อดำ ข่าวครั้งแรกที่จำได้ รายงานโดยไฟแนนเชียลไทม์ พวกผู้ประท้วงเสื้อแดงมีกองกำลังติดอาวุธเป็นเสื้อดำ ก็เป็นข่าวที่รัฐบาลนำมาขยายความ เรื่องอัลจาซีราห์ สัมภาษณ์ทนายความคนใหม่ของคุณทักษิณ นายโรเบิร์ต อัมเตอร์ดัม สัมภาษณ์อย่างเข้มข้นเรียกว่า นายอัมเตอร์ดัมหงุดหงิดเลย เป็นข่าวใหญ่ในแวดวงการของไทย เพราะนายอัมเตอร์ดัมโดนอัด และข่าวนี้เป็นที่ชอบของทางการและผู้สนับสนุนรัฐบาลทั้งหลาย

ปลงแล้วสังคมไทย ใครเห็นต่าง คือ พวกทักษิณ

อีกข่าวใน AP ประมาณอาทิตย์ที่มีความตึงเครียด รายงานราชประสงค์ไม่ใช่เทียนอันเหมิน ข่าวนี้ก็ได้รับการขยายความ ผมจึงไปดูภาคส่วนอื่นๆ นักลงทุน นักท่องเที่ยว ทูตานุทูตที่มาสังเกตการณ์เสื้อแดงและต่างประเทศ นักข่าวต่างประเทศ นักธุรกิจระหว่างประเทศ มูลนิธิต่างประเทศ และองค์กรระหว่างประเทศ ถ้ามีมุมมองที่ไม่สอดคล้องกับทางการ จะมีข้อสรุปที่ตามมาว่าไม่เข้าใจประเทศไทย หวังร้าย ดีไม่ดีอาจเพราะคุณทักษิณจ้างมา ไปรับสตางค์ มีความอคติ ลำเอียง และกระแสโทษต่างชาติ หรือไม่ไว้ใจ ยิ่งจะแรงขึ้นเข้มขึ้นไปอีก กระแสเมินและต่อต้านโลกของข้างนอก เหมือนประเทศไทยโดนปิดล้อม ด้วยทักษิณด้วย โลกาภิวัตน์ด้วย เหมารวมเลยในเชิงคลุมเครือ ว่ามีพลังขับเคลื่อนจากข้างนอกที่มาหวังร้ายปองร้ายกับไทยโดยมีอคติ

เป็นมุมมอง ปรากฎการณ์ที่ไม่น่าแปลก เพราะเรามีอย่างนี้มาตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจ มีแอนตี้โลกาภิวัตน์ ข้าวแกงIMF มีกระแสชาตินิยม ตั้งแต่สมัยคุณทักษิณ จนกระทั่งไล่IMF ออกไป ถ้าเรามีปัญหาหนักๆ กระแสต่อต้านข้างนอกจะมาเร็วขึ้น และจะมีกระแสแรงขึ้นไปอีกและต่อเนื่อง ในหมู่คนไทยเองที่มีปฏิสัมพันธ์กับข้างนอก ต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็น คนศึกษาเมืองนอกมานานๆ คนไทยบริโภคข่าวต่างประเทศ มีปฏิสัมพันธ์กับคนต่างประเทศ ถ้ามีมุมมองสอดคล้องกับรัฐบาลก็แล้วไป ยิ่งไปกันได้ดี กระแสไปอย่างนั้น ถ้าไปตามกระแสก็แล้วไป

ถ้าทวนกระแส มีผลตามมา อาจถูกมองมีอคติ ได้รับการจ้างวาง หรือไปอยู่มืองนอกนานไม่เข้าใจเมืองไทย แต่ถ้าคนในซีกรัฐบาล หรือท่านนายกฯเอง ไปอยู่เมืองนอกมาแต่เข้าใจเมืองไทยดี จะเป็นกระแสเข้มขึ้นเรื่อยๆ ผมก็ค่อนข้างปลงแล้วที่จะเป็นแบบนี้ กระแสต่อต้านและเมินต่างประเทศ ไม่เป็นไร ปลงแล้ว ผมก็ทำใจ เหมือนกับว่าสังคมไทยเวลานี้ มีความสองจิตสองใจ ถ้าดีเอา ถ้าไม่เห็นด้วยบอกว่าไม่เข้าใจ มีอคติต่างๆ นานา และเป็นยุคที่แปลก เป็นยุคที่แปลกมากขึ้น ใครเสนอต่างจะมีกระแสมาป้ายสี กดดัน ข่มขู่ กวาดล้าง ถึงบอกว่าต้องปลง

ประชาธิปไตยไทยถึงทางตัน อภิสิทธิ์อยู่เกือบครบเทอม

ประเด็นที่2 เรื่องสถานะประชาธิปไตย ประชาธิปไตยไทยถึงทางตัน สังเกตได้ว่าทางตันไม่ต้องการเข้าสู่การเลือกตั้งเร็ว ผมคิดว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์อาจอยู่เกือบครบเทอม นายกฯเคยกล่าวไว้อยู่ไม่ครบเทอม ผมคิดว่าคงอยู่ไปเหลือเวลาอีก 2 อาทิตย์ก่อนครบเทอมไม่กี่วัน ทางเทคนิคถือว่าไม่ครบเทอม แต่กว่าเลือกตั้งก็เหมือนอยู่ครบเทอม

ทางตันคือผู้สนับสนุนของรัฐบาลไม่ต้องการให้เลือกตั้งเร็วๆ นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ไม่สามารถทำให้ปรองดองกันได้ในช่วงประท้วง พวกนปช.ต้องโทษตัวเอง เขาเสนอ 14 พ.ย.มาให้แต่ก็ไม่รับ จะทะเลาะกันเอง คุณทักษิณ หรือผู้ชุมนุมไม่รับหลังจาก 10 เม.ย.ก็ว่าไป เมื่อไม่รับแล้ว ซีกนายกฯ ก็ถอนข้อเสนอนี้ เราต้องถามว่าเขาไม่รับ เราพอจะเห็นได้ว่าคุณทักษิณอาจต้องการเร็วกว่านั้น พวก นปช.อาจทะเลาะกัน คนที่มาประชุมอาจรับไม่ได้ แต่นายกฯถอน ผมก็ตั้งคำถามว่าถอนทำไม เพราะถ้าเกิดจะเสนอเพื่อหาทางออกให้เขาลง ก็ควรเสนอไว้ รับก็รับ ไม่รับก็ยังอยู่ เหมือนซีกของ นปช. ความผิดอยู่กับเขา พอถอนก็เลยพลิกผัน รัฐบาลของอภิสิทธิ์ ผู้สนับสนุนข้างหลังก็ไม่อยากมีการเลือกตั้ง ถ้าไม่เลือกตั้งแล้วไม่ชนะจะทำอย่างไร ปชป.ยังแพ้

ถ้าตัวต่อตัว ปชป.กับเพื่อไทยยังสูสี ดีไม่ดีอาจแพ้ เพราะเป็นพรรคร่วม เลือกตั้งเป็นทีม พรรคเพื่อไทยกึ่งโดดเดี่ยว อาจชนะได้ นี่คือแผนที่ปฏิบัติอยู่ พยายามมีงบประมาณออกมา มีการเยียวยา มีการอัดฉีด มีการเด็ดหัว สูบเลือดท่อน้ำเลี้ยงออก กดแกนนำ กวาดล้างฮาร์ดคอร์บ้าง ขู่บ้าง หวังว่าขบวนการเสื้อแดงอ่อนกำลังลง ดีไม่ดีหากมีการเยียวยาเพียงพอ อาจหมดไปก็เป็นได้

คิดว่าจะทำให้เลือกตั้งเร็วไม่ได้ เขาจะต้องใช้เวลาให้มากที่สุด ทั้งแจกจ่ายเยียวยา กดแกนนำ กวาดล้างเพื่อเอาขบวนการเสื้อแดงให้อยู่ แต่จะถึงทางตัน เมื่อมีการเลือกตั้งแล้ว มีกลุ่มนักการเมือง กลุ่มผลประโยชน์จะชนะ หลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มีรัฐธรรนูญ เขียนโดยคณะที่ตั้งโดยผู้ยึดอำนาจ ทางฝั่งนั้นก็ชนะเลือกตั้ง ธ.ค.2550 อยู่ดี เพราะฉะนั้นรัฐบาลที่ขึ้นมาอยู่ไม่ได้ ในที่สุดโดนยุบพรรค มีการตั้งพรรคนี้ขึ้นมา

ตอนนี้ผ่านไปนานๆ สังเกตความโจ๋งครึ่มยิ่งมากขึ้น ไม่ต้องพูดเป็นนัยยะ แอบๆ เลียบๆเคียงๆ แล้ว คือรัฐบาลนี้เป็นที่รู้กันแล้วว่า ตั้งออกมาจากค่ายทหาร มีทหารเป็นสปอนเซอร์ และเรียกกลุ่มนักการเมืองที่แปรพักตร์ออกมา ไม่งั้นไม่มีอนาคต จึงตั้งรัฐบาลผสม แต่บางครั้งต้องระบุว่ายอมรับการแล้ว สมัยก่อนต้องเรียบๆ เคียงๆ

รัฐบาลก็อยู่มา สงกรานต์ปี 2552 ก็ประท้วงกันมาแล้ว สงกรานต์เดือด หลังสงกรานต์นายกฯก็พูดอย่างนี้ มีปฏิรูปและสมานฉันท์ พูดไปทำไป1ปี แต่มีพ.ค.2553ขึ้นมา แสดงว่าล้มเหลว เพราะมีเหตุการณ์ที่เป็นหลักฐาน ถ้าสมานฉันท์สำเร็จจะไม่มีเหตุการณ์เมษายน พฤษภาคม มิถุนายนที่ผ่านมา

ถ้าเลือกตั้งอีก คนสนับสนุน ประชาธิปัตย์ ก็คิดว่าเลือกตั้งแล้ว ถ้าแพ้จะลำบาก ผมเลยคิดว่าเลือกตั้งจะไม่เร็ว และคิดว่ากลไกจาก ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)จะมีอย่างต่อเนื่อง อาจเลื้อยไปเรื่อยๆ ถึงปลายปีหรือต้นปีหน้า หรือไม่มีกำหนด อ้างเหตุผลจำเป็นบอกต้องมีอยู่

การเลือกตั้งจะเป็นตัวพลิก ปีหน้าจะถึงเวลาอยู่ดี จะทำอย่างไรถ้าเลือกตั้งแล้วแพ้ จะทำให้เรากลับไปในปี 2551 เพระามีเงื่อนไขคล้ายกัน หรือ ถ้าชนะเลือกตั้งเป็นทีมก็มีแนวโน้มสูงขึ้นที่เป็นไปได้ ต้องมีพรรคร่วมเป็นทีม แต่ปชป.ต้องเสียต้นทุนมากขึ้น ตอนนี้เห็นว่ากระทรวงมหาดไทย และกระทรวงคมนาคม มีความสุขกันดี สนุกเลย พรรคเล็กแต่แรงต่อรองเยอะ ก็ถึงทางตัน ถ้ามีประชาธิปไตย แต่เลือกตั้งไม่เป็นที่ยอมรับ จะผ่าทางตันนี้อย่างไร

เปิดโฉมหน้า เผด็จการพันธุ์ใหม่ ท้าตรวจสอบ ศอฉ.ใช้งบประมาณ

ประการที่ 3 เกรงว่า ประชาธิปไตยไทยจะมีความเป็นเผด็จการพันธุ์ใหม่มากขึ้น รู้สึก ศอฉ.มีพฤติกรรมคล้ายคณะปฏิวัติ เขาจะเรียกใครไปสอบก็ได้ ไปแช่แข็งบัญชีใครก็ได้ เขากักขังคนได้7วัน และต่อเวลาได้ อำนาจของศอฉ.น่าเป็นห่วง และไม่มีใครตรวจสอบเลย

ได้ยินว่าศอฉ.ใช้เงินมือเปิบเลยตอนนี้ ใช้ไปเท่าไรแล้ว ได้ข่าวสมาชิกศอฉ.ได้สตางค์พิเศษนอกเหนือเงินเดือน เป็นรายวัน โฆษกศอฉ.ได้เงินพิเศษเป็นรายวันหรือไม่ ขอให้ตรวจสอบบอกมาว่าได้เท่าไร ไม่งั้นใครจะไปตรวจสอบศอฉ.
บางครั้ง ตั้งคำถามว่าถ้าไม่มีกองทัพ ปัจจุบันรัฐบาลอภิสิทธิ์จะเป็นอย่างไร ถ้าไม่มีรัฐบาลนายกฯชื่ออภิสิทธิ์ กองทัพจะเป็นอย่างไร 2 คำถามนี้ทำให้เห็นว่าเขาเอื้อกัน พึ่งพาพึ่งพิงกันอย่างแน่นแฟ้นและด้วยดีพอสมควร

หลัง 10เม.ย. ทหารต้องการทำรัฐประหาร ด้วยรู้สึกเจ็บแค้นมีกลุ่มติดอาวุธมายิงทหารออกไปปราบที่มีแต่โล่กระบอง เท่าที่สัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องยืนยันได้ว่าทหารกระสับกระส่ายมากคืนนั้น ถ้าทำแล้วจะทำอย่างไรต่อ เขาจะลำบาก ขณะเดียวกันรัฐบาลถ้าไม่มีกองทัพหนุนหลังก็ไปไม่รอด ทั้งเมษายน52 และเมษายน-พฤษภาคม53 และเป็นการอิงกันลักษณะมีความเผด็จการมากขึ้น มีการบงการ การสั่งที่นอกเหนือกฎหมาย ละเมิดสิทธิ์เสรีภาพ เช่นการเรียกคนเข้าไปสอบเฉยๆ ไปเคาะประตู เอาบัญชีขึ้นมาเป็นบัญชีดำ

สังเกตบัญชีดำ 83 บัญชี ต้องมีท่อน้ำเลี้ยงแดงแน่นอน แต่ไม่ใช่ทุกคน ใครจะไปติดแหบ้าง ขึ้นอยู่กับศอฉ.ตัดสินอย่างไร ตอนนี้ไม่ต้องมีรัฐประหารแล้วคิดว่าเขาไปด้วยกันได้ดี และหลังเปลี่ยนผบ.ทบ. ก็ยิ่งจะแน่นแฟ้นขึ้นอีกหน่อย เพราะแบ็กเขาแบ็กเดียวกัน เป็นปรากฎการณ์เผด็จการพันธุ์ใหม่ ไม่ใช่เผด็จการทหาร แต่เป็นเผด็จการพลเรือน

เรื่องการซื้ออาวุธ การเลื่อนขั้น การเปลี่ยนตำแหน่งหมุนเวียน งบประมาณ ภาคใต้ บางเรื่องกองทัพเป็นเอกเทศเลย รัฐบาลไม่แตะ กองทัพได้โดยที่ไม่ต้องรัฐประหาร แต่มีข้อจำกัดที่เขาต้องทนอยู่กับรัฐบาลพลเรือน กองทัพมีความชอบธรรม เป็นประชาธิปไตย เอกเทศโดยไม่ต้องรัฐประหาร ขณะเดียวกัน รัฐบาลพลเรือนต้องพึ่งกองทัพ ต้องพึ่งกำลัง เขาต้องพึ่งกองทัพในการกดคู่ต่อสู้ ต้องพึ่งหลายหน่วยงานกดคู่ต่อสู้ เพื่ออยู่ต่อไป และกลับมาหลังการเลือกตั้ง

ทางออก ปล่อยนักการเมือง ไม่เช่นนั้นเจอทางตัน

หาทางออกยาก วิธีหนึ่งต้องปล่อยนักการเมืองที่ถูกห้ามออกมา ไม่งั้นเสื้อแดงไม่มีแกนนำเป็นทางเลือกใหม่ ถ้าคิดว่าเขามีตัวตน มีความรู้สึกนึกคิด เขาอาจมีแนวทางมีตัวเลือกใหม่ ถ้าปล่อยพวกนั้นเร็วก่อนกำหนด สนามเลือกตั้งจะเข้มข้น พรรคเพื่อไทยจะไม่ชอบ ปชป.ยิ่งไม่ชอบใหญ่ คนบอกถ้าไม่ใช่อภิสิทธิ์แล้วใครจะเป็นนายกฯ ผมบอกว่าก็คุณไปห้ามเขาหมด ต้องปล่อยพวกนี้ออกมาจะมีตัวเลือก ไม่งั้นจะเป็นทางตันอย่างต่อเนื่อง
-----------------------------------------------

จาก อัลบั้ม นสพ.ข่าวสดรายวัน

ข่าวสดรายวัน
วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7150


สงครามแรก หลังพฤษภา"53


ผลัด กันชิงพื้นที่ข่าวกันแบบไม่มีใครยอมใครระหว่างข่าวฟุตบอลโลกกับข่าวการเมือง

พอ สรุปได้ว่าใครหวังจะใช้กระแสฟุตบอลโลก กลบเกลื่อนกระแสการเมือง"ด้านลบ"ภายในประเทศ หลังเหตุการณ์พฤษภา"53 คงต้องผิดหวัง

ยิ่งกว่าทีมแชมป์เก่าอิตาลีพลาดท่าตกรอบแรก

ส่วน ทีมอาร์เจนตินาที่นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศตัวเป็นหัวหน้ากองเชียร์ในไทยลุ้นคว้าแชมป์สมัยที่ 3 เซียนบอลดูแล้วพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามีโอกาสเป็นไปได้สูง

จะว่าไป แล้วสถานการณ์ของทีมฟ้าขาว เป็นอะไรที่แตกต่างกันลิบลับกับสถาน การณ์ของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์

ที่กองเชียร์ลุ้นเท่าไหร่ก็ลุ้นไม่ขึ้น

โดย เฉพาะเมื่อดูจากผลสำรวจกรุงเทพโพล ในหัวข้อประเมินผลงาน 1 ปี 6 เดือนของรัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ ซึ่งเก็บข้อมูลจากประชาชนทุกภาคทั่วประเทศ

คือ กระจกสะท้อนว่ารัฐบาลยังไม่สามารถครองใจประชาชนได้ทั้งที่เพิ่งชนะศึกใหญ่ ทางการเมือง

ถล่มทัพมวลชนเสื้อแดงจนแตกกระเจิง

ผลสำรวจดัง กล่าวก็คือ ประชาชนพึงพอใจการทำงานของรัฐบาลเพียง 3.79 จากคะแนนเต็ม 10 ส่วนการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกฯ ของนายอภิสิทธิ์ ได้แค่ 4.48 คะแนน

ทั้ง คณะรัฐบาลและนายกฯ สอบตกทั้งคู่

ลึกลงไปกว่านั้นโพลยังระบุ ประชาชนพอใจผลงานรัฐบาลด้านการบริหารจัดการและการบังคับใช้กฎหมาย น้อยที่สุด 3.61 คะแนน

ส่วนนายกฯอภิสิทธิ์ ได้คะแนนด้านความเด็ดขาด กล้าตัดสินใจ น้อยที่สุด 3.73 คะแนน

อย่างไรก็ตาม ขนาดสั่งการเข้าปราบปรามผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง จนเกิดความผิดพลาดมีคนตายถึง 90 ศพ บาดเจ็บอีกเกือบ 2,000 คน

รัฐบาลยังฝ่ามรสุมโลหิตอยู่ต่อไปได้ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

กับแค่สอบตกผลงาน คะแนนลดต่ำลงไปไม่กี่จุด

รัฐบาล คงไม่เก็บเอามาคิดมาก

ถ้าหากไม่มีเงื่อนไขไฟต์บังคับที่จะต้องเลือก ตั้งซ่อม ส.ส.เขต 6 กทม.ขึ้นมาเสียก่อน


ถึงจะเป็นการเลือกตั้งซ่อมเพียงแค่เขตเดียว

แต่ผลแพ้-ชนะในสนามเลือก ตั้งนี้วิเคราะห์กันว่าไม่ใช่เรื่องเล็กๆ

เพราะถือเป็นการวัดเรตติ้ง การเมืองตามกติกาประชาธิปไตยครั้งแรกภายหลังเหตุการณ์นองเลือดเดือนพฤษภา

เป็น การต่อสู้ตัวต่อตัวระหว่างแกนนำรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่ส่ง นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ลงชิงธงกับนายก่อแก้ว พิกุลทอง ตัวแทนจากพรรคเพื่อไทย

ทั้ง คู่ไม่ใช่บิ๊กเนม แต่ไม่ถึงกับโนเนม

นายพนิช เป็นอดีตรองผู้ว่าฯ กทม. ปัจจุบันผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศ คอหอยลูกกระเดือกกับนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ

มีผลงานตามล่าตามล้าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาบรรดากองเชียร์รัฐบาล รวมไปถึงกองแช่งรัฐบาลด้วยเช่นกัน

ฝั่งนายก่อแก้ว เป็นอดีตผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย เป็นพิธีกรร่วมรายการความจริงวันนี้ และเป็น 1 ในแกนนำ นปช.

หลังปิด ฉากม็อบเสื้อแดง นายก่อแก้ว ตกอยู่ในฐานะผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย ถูกส่งตัวเข้าเรือนจำคลองเปรม

ยังดีที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ออกจาก เรือนจำ 1 วันเพื่อไปกรอกใบสมัครรับเลือกตั้งได้ ก่อนต้องไปลุ้นอีกขยักว่าศาลจะให้ประกันตัวออกมาหาเสียงหรือไม่

อย่าง ไรก็ตามความสำคัญของการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ไม่ได้อยู่ที่ตัวบุคคล

แต่ อยู่ที่ความเป็น "สงครามตัวแทน" ระหว่างรัฐบาลกับเสื้อแดง นปช.

การ ที่พรรคเพื่อไทยไม่ส่งนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ หรือนายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ ลงสมัคร แต่กลับส่งนายก่อแก้ว ซึ่งเป็นแกนนำ นปช.ลงแทน

พรรคประชา ธิปัตย์อ่านเกมว่าพรรคเพื่อไทยต้องการพลิกฟื้นกระแสคนเสื้อแดงให้กลับมา คึกคักอีกครั้ง

ข้อได้เปรียบของนายก่อแก้ว ในการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ก็คือแกนนำนปช.ไม่มีอะไรต้องเสีย

ถ้าแพ้ ก็ถือว่าเสมอตัวเพราะที่นั่งเดิมเป็นของพรรคประชาธิปัตย์อยู่แล้ว

แต่ หากเกิดพลิกล็อกเอาชนะได้ก็เท่ากับเป็นการตบหน้ารัฐบาลฉาดใหญ่

และ นั่นเป็นคำตอบว่าทำไมหัวเด็ดตีนขาดรัฐบาลและศอฉ.

ถึงได้ไม่ยอมยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน


ช่วงเวลาที่ผ่านมาสังคมต่างรับรู้โดยทั่วกัน

การ คงพ.ร.ก.ฉุกเฉินไว้ ไม่ได้มีประโยชน์กับรัฐบาลแต่เฉพาะในด้านความมั่นคงเท่านั้น

แต่ยัง ถูกใช้เป็นเครื่องมือขุดรากถอนโคนการเมืองฝ่ายตรงข้ามได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการเลือกตั้งซ่อมที่กำลังจะมีขึ้นอีกไม่กี่วันข้างหน้า

ใน ทางกลับกันการบังคับใช้กฎหมายจนเกินความพอดี อย่างเช่นการกล่าวหาฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ก่อการร้าย ร่วมขบวนการล้มล้างสถาบัน โดยไม่มีหลักฐานยืนยันแน่นหนา

หรือการบังคับใช้กฎหมายแบบ 2 มาตรฐานที่ปรากฏชัดเจนในคดีบุกยึดสนามบิน หรือกระทั่งคดีคนในรัฐบาลถูกแจ้งความกล่าวหาสั่งฆ่าประชาชนก็ไม่มีอะไรคืบ หน้าให้เห็น

เหล่านี้ทำให้ประชาชนสัมผัสได้ถึงความไม่ยุติธรรม

ผล คือคนที่อยู่ตรงกลางเริ่มเคลือบแคลงสงสัยรัฐบาล เพราะเห็นการบังคับใช้กฎหมายที่เลือกปฏิบัติ และใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือจัดการฝ่ายตรงข้าม

อย่างที่โพลระบุในตอน ต้นว่าประชาชนพอใจผลงานด้านการบริหารจัดการ และการบังคับใช้กฎหมายน้อยที่สุด 3.61 คะแนนเต็ม 10

แม้รัฐบาลจะ พยายามเสนอแผนการปรองดองออกมาเพื่อตัดกระแสต่อต้าน

ฉุดกระชากบรรดา บุคคลมีชื่อเสียงเด่น-ดัง เข้ามาเป็นประธานคณะกรรมการอิสระชุดต่างๆ ซึ่งบางคนมีประวัติพฤติกรรมโน้มเอียงไปทางใดก็รู้ๆ กันอยู่

จึงทำให้ เกิดคำถามตามมาว่ากรรมการเหล่านี้จะสามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในสังคม นำพาคนไทยไปสู่ฝั่งฝันความปรองดองได้จริงหรือไม่

บางทีคำตอบอาจอยู่ ที่การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ก็เป็นไปได้
--------------------------------------------------

ผลที่ออกมาจะเป็นสิ่งยืนยัน ความรู้สึกของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลชุดปัจจุบัน

หน้า 3

วันเสาร์, มิถุนายน 26, 2553

Violence Spreads in Thailand After Crackdown

จาก อัลบั้มThe New York Times
ภาพ: The Central World department store burned in Bangkok on Wednesday after antigovernment protesters set fire to it.


By THOMAS FULLER, SETH MYDANS and KIRK SEMPLE
Published: May 19, 2010

BANGKOK — A bloody crackdown in Bangkok by the Thai military set off rioting and arson attacks on Wednesday in several places across Thailand, threatening to expand unrest and further aggravate the deep rifts that have hobbled Thai society for the past four years.

Troops and armored military vehicles overcame grenade-wielding militants allied with antigovernment protesters in Bangkok, forcing the movement’s leaders to turn themselves in to the police.

But even as the government declared victory in quashing a debilitating protest that had shut down parts of Bangkok for two months, the rampage across Bangkok and in at least three provinces in the country’s populous northeastern hinterland raised concerns about the conflict’s spreading and the future of the current government.

The government declared a curfew in 24 of the country’s 76 provinces, a radical move underlined by its announcement that looters or arsonists would be shot.

Arsonists in Bangkok set fire to almost 30 buildings, the government said, including the country’s stock exchange, a massive shopping mall, two banks, a movie theater and a television station. Two city halls were set on fire in the provincial capitals when thousands of protesters reacted to news of the Bangkok crackdown.

It was a measure of Thailand’s spiraling political violence that the death toll in the crackdown — about 12 people killed and more than 60 injured — was less than the bloodbath that many had feared.

Central Bangkok, the heart of one of Asia’s most cosmopolitan cities, was a militarized zone in the early hours of Thursday, with well-armed troops patrolling streets deserted by the curfew. The subway system remained shut, and embassies told their citizens living across this sprawling metropolis of about 15 million people to stay indoors.

On Thursday morning, more than 24 hours after the crackdown began, thousands of terrified protesters filed out of a Buddhist temple next to the gutted shopping mall after the police negotiated their departure. The bodies of six protesters killed in the clashes were lined up on the temple grounds.

The leaders of the red shirts, who had roared into Bangkok on March 12 demanding new elections and calling for what they said was true democracy for the country, surrendered to the police on Wednesday afternoon to face charges of terrorism.

Their arrests and the dispersal of the crowd were rare victories for the embattled government of Prime Minister Abhisit Vejjajiva. But the volatile, defiant mood of the crowd on Wednesday also signaled a possible radicalization of a movement that leaders found difficult to control.

“We cannot resist against these savages anymore,” Jatuporn Prompan, one of the leaders, said on a stage inside the protest zone before turning himself in. He was booed by protesters who wanted to carry on.

“Please listen to me!” he pleaded to the crowd. “Brothers and sisters, I will use the word ‘beg.’ I beg you. We have to end this for now.” The call was not heeded, and protesters began setting nearby buildings ablaze.

On many days during the two months of protests, Mr. Jatuporn had worn a T-shirt with an image of Gandhi. But the resistance put up by some militants among the protesters was anything but nonviolent on Wednesday.

Soldiers assaulting the upscale neighborhood where protesters had been gathered were repelled with grenades. One soldier said militants were firing the weapons from the high floors of apartment buildings in the area.

The crackdown began Wednesday morning after weeks of negotiations failed to disperse protesters, many of whom are followers of Thaksin Shinawatra, the prime minister ousted in a 2006 military coup. Soldiers clashed with militants, some of whom were armed with assault weapons. As troops approached, anxiety spread through the protest zone, which was in one of the wealthiest neighborhoods in Bangkok and home to many corporate headquarters, high-end shopping malls, luxury hotels and high-rise apartment buildings.

Thai news outlets reported that one of the more militant protest leaders, Arisman Pongruengrong, who is also a popular singer, fled the protest zone in disguise. Mr. Arisman made headlines last month when he evaded arrest by climbing from a window as the police raided the hotel where he was staying. He was captured Wednesday evening by the police and taken to a military base outside Bangkok.

Around noon, seven protest leaders announced that they would turn themselves in.

But they left on an uncompromising note. Standing on a stage amid the chaos, just before giving up, one of the leaders, Nattawut Saikua, shouted: “If the prime minister wants to govern the country on the top of this wreckage, he should go ahead and kill us all. But if he wants to do the right thing, he should stop the shooting immediately.”

Soon afterward, the shooting intensified. Soldiers surged and retreated at the booming of grenades. Two protesters were killed, and several journalists were shot or wounded by shrapnel. An Italian news photographer was killed, according to Thai news media, and two foreign journalists and one Thai photographer were wounded.

One Western journalist was carried away on a stretcher from the chaotic protest area.

“Keep breathing! Keep breathing,” yelled a man running next to the journalist, who appeared critically wounded.

The soldiers stopped their advance, but protesters ran anyway, leaving behind a scattered trail of personal items: slippers, pots of boiling soup, laundry on clotheslines. They fled so suddenly that the large generators that had powered the sound system and lights for the round-the-clock speeches were still running.

Protesters set fire to Central World, one of the largest department stores in Southeast Asia. On Thursday morning the mall was a blackened, smoldering skeleton. Some people in the area carried boxes of cellphones and other electronics, presumably from the mall.

Looting was also reported in other parts of the city. Protesters attacked several news outlets, which they accused of bias, forcing one television station off the air.

The government has accused Mr. Thaksin, the former prime minister, of financing the protest movement, which began as a reaction to his removal in the 2006 coup, but developed into a broader social movement seeking greater income equality and reducing the role of the country’s powerful military in politics.

One protester who fled said she felt let down by the leaders of the movement. “Everyone feels that our leaders betrayed us,” said Wanpamas Boonpun, 39. “We want democracy. True democracy, free democracy. Why is it so hard, why?”

On television, the government sought to calm the situation, broadcasting a music video with images of Thai flags, rice paddies and the country’s king. “We have to love each other,” went the lyrics to the pop song. “We want to see Thais loving each other again, just like we used to.”


This article was reported by Thomas Fuller, Seth Mydans and Kirk Semple and written by Mr. Fuller.

Poypiti Amatatham and Mariko Takayasu contributed reporting.

เสธ แดง เกี่ยวข้อง การยิง M79



fg496765 | April 25, 2010 | 6:27

เสธ แดง เกี่ยวข้อง การยิง M79

วิถีตำรวจกล้า “จ่าเพียร”


ล่วงมากว่า 3 เดือนของการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของ “นักรบแห่งเทือกเขาบูโด” ผู้ได้รับการประดับยศนายพลเมื่อ “ห่มธงชาติ” พล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา



คนส่วนใหญ่รู้จัก “จ่าเพียร” จากสื่อหลายแขนง แต่อีกหลายสมญาที่น้อยคนจะรู้ ทั้ง จ่าเพียรขาเหล็ก วีรบุรุษผู้กล้า ผู้กำกับฯ นักสู้ ของชาวบ้านในแถบพื้นที่สีแดงชายแดนใต้ หรือแม้แต่ “เสือเฒ่า นังตา” ของภรรยาสุดที่รัก


ชื่อของ “พล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา” ผกก.สภ.อ.บันนังสตา จังหวัดยะลา กระฉ่อนทั่วกรุงเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2553 ชายวัยกลางคนสวมเครื่องแบบตำรวจสีกากี ติดเข็ม ตรา เครื่องหมายเต็มยศมุ่งหน้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่อนายกรัฐมนตรี เมื่อไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ความหวังครั้งต่อไปคือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ก็ดูเหมือนเรื่องจะเงียบหายเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง


“การแต่งตั้งครั้งนี้เป็นการแต่งตั้งครั้งที่เลวร้ายที่สุด ที่พูดผมไม่กลัว เพราะไม่มีอะไรจะสูญเสีย ไม่มีการแต่งตั้งตำรวจครั้งไหนที่แย่เท่าครั้งนี้อีกแล้ว” ประโยคกินใจพร้อมน้ำตาลูกผู้ชายที่เอ่อล้น


“บาดแผลบนร่างกายเป็นความภาคภูมิใจในชีวิตราชการ เลือดที่รดบนแผ่นดินครั้งแล้วครั้งเล่าเป็นความภาคภูมิใจ เปรียบเสมือนปุ๋ยที่บำรุงพื้นดิน...แบบอย่างที่ทำมาตลอด ตำรวจรุ่นหลังกำลังสานต่อไปด้วยดี อยากให้ตำรวจรุ่นหลังเขามีแบบอย่างที่ดีเพื่อความก้าวหน้า แต่มาถึงบัดนี้ ผลการปฏิบัติหน้าที่ที่ผ่านมาไม่ได้สร้างแบบอย่างที่ดี


เนื่องจากคนทำงานไม่ได้รับการสนับสนุนที่ดีจากผู้บังคับบัญชาที่มีคุณธรรม หรือเพราะว่าผู้บังคับบัญชาก้าวหน้ามาด้วยระบบอุปถัมภ์ ไม่ได้ก้าวหน้ามาจากผลงาน” ใจความตอนหนึ่งของหนังสือราชการที่ขอความเป็นธรรม กรณีไม่ได้รับการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้าย และขอความเป็นธรรมให้ข้าราชการตำรวจที่มีผลงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้


“ถ้าโรงพักไม่ปลอดภัย ก็ไม่มีที่ไหนปลอดภัยอีกแล้ว” ตามมาด้วยคำสั่งให้รื้อลวดหนามกับบังเกอร์หน้าโรงพักออก ก่อนเดินหน้าลงพื้นที่พบปะชาวบ้านทันที แม้ยศตำแหน่งจะสูงขึ้นแต่ชาวบ้านก็ยังเรียกติดปากว่า “จ่าเพียร”เช่นเดิม เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจในการปราบโจรก่อการร้ายจนผลงานเป็นที่ประจักษ์ในสายตา ผู้บังคับบัญชา


ทำให้กรมตำรวจ(ในขณะนั้น)อนุมัติจบหลักสูตร “นายตำรวจสัญญาบัตร” โดยไม่ต้องสอบ น้อยคนนักที่จะได้รับโอกาสนี้ และรางวัลชีวิตที่ทำให้ “จ่าเพียร” ปลาบปลื้มอย่างที่สุดคือ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้เข้า เฝ้าฯรับพระราชทาน “เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี เหรียญรามมาลาเข็มกล้ากลางสมร”


ด้วยรูปแบบการทำงานแบบไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม ถึงลูกถึงคน กล้าได้กล้าเสียในแบบฉบับลูกผู้ชายตัวจริง ทำให้ชื่อของจ่าเพียรเป็นที่เลื่องลือทั้งในหมู่ชาวบ้านและโจรผู้ร้าย จ่าเพียรถูกลอบยิงไม่ต่ำกว่า 10 ครั้ง และรอดมาได้ราวปาฏิหาริย์ แม้มีรอยแผลฝากไว้ตามร่างกายบ้าง


แต่หนักหนาสาหัสเห็นจะเป็นเหตุเหยียบกับระเบิด ขาข้างซ้ายบาดเจ็บสาหัสแทบพิการ แพทย์ต้องใส่เหล็กดามกระดูกช่วยพยุงและแบกรับน้ำหนักตัว จ่าเพียรขาเหล็กที่ย่ำลาดตระเวนเดินบุกป่าฝ่าดงเพื่อปิดล้อมจับโจรอย่างไม่ รู้จักเมื่อยล้าต้องใช้ขาเหล็กจริงเสียแล้ว ถึงอย่างนั้นนักสู้ขาเหล็กผู้นี้ยังคงนำชุดปฏิบัติการเข้าป่าปิดล้อมจับโจร เกือบทุกครั้ง


“สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง” แล้ววาระสุดท้ายของจ่าเพียรก็มาถึง 12 มีนาคม 2553 เหตุลอบวางระเบิดขณะออกตรวจพื้นที่ในบันนังสตา กระชากลมหายใจจ่าเพียรหลุดออกจากร่าง


วีรกรรมของนักสู้ขาเหล็กควรได้รับการกล่าวขาน หนังสือวิถีตำรวจกล้า “จ่าเพียร” โดยกองบรรณาธิการมติชน บันทึกวีรกรรมระหว่างปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เพื่อเป็นกำลังใจแก่ตำรวจชั้นผู้น้อยเดินตามรอยเท้าที่ซื่อสัตย์ เตือนสติตำรวจชั้นผู้ใหญ่ให้หันมาเหลียวมองลูกน้องบ้าง และบันทึกไว้ในความทรงจำของคนไทยทุกคน เพราะอย่างน้อย “จ่าเพียร” คงไม่ใช่ข้าราชการน้ำดีคนแรกที่สละชีพปกป้องประเทศ เพื่อถูกทอดทิ้งอย่างไม่ไยดี!!!


“อุตส่าห์ทุ่มเทการทำงานอย่างหนักมาตลอด แต่ผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจกลับมองไม่เห็นหัว คงอยากจะทำเรื่องขอพระราชทานยศ พล.ต.อ.ให้ผมตอนตายแล้วมากกว่า” ระบบสีกากีไทยเป็นอย่างที่วีรบุรุษสมเพียรว่าไว้จริงๆ


ข่าว: มติชนออนไลน์
วันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2553 เวลา 10:10:23 น.
-------------------------------------------------------------

วันศุกร์, มิถุนายน 25, 2553

Question "Mark" เกมซื้อคืนดาวเทียม "ไทยคม" สารพัดคำถาม "กรณ์-ศิริโชค" โจทย์ความมั่นคงหรือแค่เกมปั่นหุ้น

หลังเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองเมื่อ19พ.ค.ผ่านไปไม่ถึงเดือน ครม."มาร์ค 5" เริ่มปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่กี่วัน


ก็มีกระแสข่าวรัฐบาลเจรจาเทมาเส็กซื้อคืน "ไทยคม" โดยข้อมูลส่วนใหญ่ออกมาจาก นายศิริโชค โสภา ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนใกล้ชิด นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรี เปิดประเด็นว่ารัฐบาลอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อบริษัท "ไทยคม" คืนจากเทมาเส็ก โฮลดิ้ง


คำพูดไม่ได้ออกมาแบบเลื่อนลอย โดยนายศิริโชค อธิบายถึงเหตุผลการซื้อคืนไทยคม ว่าเพื่อความมั่นคงของประเทศ เป็นความคิดตั้งแต่สมัยเป็นฝ่ายค้าน เนื่องจากวงโคจรดาวเทียมเป็นยุทธศาสตร์ความมั่นคง ไม่ควรถูกนำไปขายให้ต่างชาติ เมื่อเข้ามาเป็นรัฐบาล นายกรัฐมนตรีจึงมีนโยบายให้เอาไทยคมคืนมา โดยมอบหมายให้ นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและตนเดินทางไปสิงคโปร์ เพื่อพูดคุยกับเทมาเล็ก


ซึ่งทางเทมาเส็กไม่ขัดข้อง แต่ขอดูเงื่อนไขทางธุรกิจต่างๆ ก่อน โดยเบื้องต้นกระทรวงการคลังที่จะดูแนวทางที่เหมาะสม อาจเป็นการซื้อทั้งบริษัท หรือเฉพาะกิจการดาวเทียมของไทยคม


นอกจากนี้ ยังระบุว่าการซื้อคืนมี 2 แนวทาง คือ ให้รัฐวิสาหกิจ อย่าง บริษัท กสท โทรคมนาคมจำกัด (มหาชน) เข้าไปซื้อ และแนวทางที่จะให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของโดยตั้งเป็นกอง ทุนซื้อดาวเทียมไทยคม

เรียกว่ามีแผนปฏิบัติการเอาคืน "ไทยคม" ออกมาอย่างชัดเจน


และพลันที่ นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ออกมายอมรับว่า รัฐบาลมีแนวคิดซื้อดาวเทียมไทยคมจริง โดยมอบหมายให้กระทรวงการคลังไปพิจารณา


พร้อมคำยืนยันจาก นายกรณ์ จาติกวณิช ที่ยอมรับว่าช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาได้เดินทางไปประเทศสิงคโปร์ เพื่อพูดคุยกับเทมาเส็กจริง ซึ่งเป็นผลจากที่สถานการณ์การเมืองขณะนั้นมีม็อบเสื้อแดงไปบุกสถานีไทยคมและ มีกองทหารไปปิดล้อม จึงจำเป็นต้องไปชี้แจงสถานการณ์


พร้อมกับการเดินทางครั้งนั้น ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเจรจาซื้อคืน "ไทยคม" จากเทมาเส็ก โฮลดิ้ง


"หน้าที่ของผมคือไปหาแนวทางพูดคุยกับเจ้าของโดยชอบว่าจะขายหรือไม่ รัฐบาลต้องพิจารณาด้วยความเหมาะสม และต้องดูข้อเสนอของฝ่ายที่เป็นเจ้าของด้วย ส่วนเรื่องราคายังไม่ขอพูดถึงเพราะจะมีผลกระทบต่อการซื้อขายหุ้นและผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตอบคำถามผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2553 ที่ผ่านมา

คำยืนยันต่างๆ เหล่านี้ส่งผลให้ราคาหุ้น "ไทยคม" พุ่งกระฉูดทันที โดยในวันที่ 14 มิถุนายน ราคาหุ้นไทยคมพุ่งชนเพดานที่ระดับ 7.05 บาทเพิ่มขึ้น 1.60 บาทหรือ 29.36% มูลค่าการซื้อขาย 825 ล้านบาท มีมูลค่าการซื้อขายมากเป็นอันดับ 8และวันต่อมาราคาก็ยังขึ้นต่อเนื่องสูงสุดที่ 8.20 บาทและสุดท้ายลงมาปิดที่ 7.20 บาท


ขณะที่มีการวิพากษ์วิจารณ์และคำถามจากทุกสารทิศถึงความเหมาะสมกับการซื้อคืน "ไทยคม"


พร้อมกับคำถามว่าเป็นแค่เกมหาเสียง หรือปั่นหุ้นหรือไม่


ด้านหนึ่ง ส.ส.พรรคเพื่อไทยออกมาระบุว่า การออกข่าวจะซื้อดาวเทียมไทยคมล่วงหน้า ทำให้ราคาหุ้นขึ้นไปถึง 29% คิดเป็นเงินกว่า 300 ล้านบาท พร้อมชี้ว่าการกระทำครั้งนี้มีคนที่ได้ประโยชน์อยู่เบื้องหลัง ซึ่งพรรคเพื่อไทยจะตรวจสอบกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลัก ทรัพย์แห่งประเทศไทย (ก.ล.ต.)


นอกเหนือจากประเด็น "ปั่นหุ้น" แล้ว คำถามสำคัญในการติดสินใจเดินเกม "ซื้อคืน" ไทยคมนั้น ยังต้องเผชิญกับอีกหลายด่านคำถาม


แม้โดยความจริงเรื่องนี้มีกระแสออกมาเป็นระยะๆ เพียงแต่ยังไม่เคยมีความชัดเจนออกมาจากปากของผู้นำประเทศ

ประเด็นที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงก็คือ "ไทยคม" เป็นหนึ่งในปัญหาทางการเมือง ที่รัฐบาลพยายามกล่าวอ้างเรื่องความมั่นคง เพื่อที่จะหาเหตุผลซื้อคืน กลับมาเป็นของคนไทย


ซึ่งในช่วงความวุ่นวายทางการเมืองที่ผ่านมา "ไทยคม" ตกเป็นตัวประกันและจำเลยในกรณีที่ปล่อยให้มีการเผยแพร่สัญญาทีวีดาวเทียม "พีเพิล แชนแนล" หรือพีทีวี ของคนเสื้อแดงทั้งที่รัฐบาลสั่งให้มีการตัดสัญญาณ

ดังนั้น กระแสของการที่จะยึดคืนไทยคมก็กระหึ่มขึ้นมา


โดยเฉพาะเมื่อมีคำพิพากษาของศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ให้ยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มูลค่า 4.6 หมื่นล้านบาท กรณีปัญหาของไทยคมที่มีการทำผิดเงื่อนไขสัญญาสัมปทานรวมอยู่ด้วย


เพียงแต่ยังมีคำถามว่า การซื้อคืนเป็นวิธีการที่ถูกต้องหรือไม่?


เพราะมีการยืนยันจากหลายฝ่ายว่า ตามสัญญาสัมปทาน ดาวเทียมไทยคมเป็นของกระทรวงไอซีทีอยู่แล้ว เนื่องจากในเงื่อนไขของสัมปทาน บริษัทต้องสร้างดาวเทียมและโอนกรรมสิทธิ์ให้กระทรวง ก่อนที่จะได้สิทธิเอาไปดำเนินการ

ทำไมเราจะต้องเอาเงินไปซื้อทรัพย์สินของเราคืน?


ปัญหาอยู่ที่การไปบังคับให้ไทยคมทำตามสัญญา!


"สิ่งที่รัฐต้องทำอยู่ตอนนี้ จึงต้องไปเจรจากับ บมจ.ไทยคม เพื่อให้มีการดำเนินการตามกระบวนการของ พ.ร.บ.ร่วมทุน เพื่อทำให้ดาวเทียมไอพีสตาร์ เป็นดาวเทียมที่ถูกต้องตามสัญญาสัมปทาน ไม่ใช่อยู่ที่การไปซื้อหุ้นคืน" แหล่งข่าวในแวดวงธุรกิจสื่อสารให้ความเห็น


นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเฉพาะหน้า ที่ดาวเทียมตามสัมปทานของไทยคมถูกปลดระวางไปเป็นจำนวนมาก มีดาวเทียมที่ยังใช้งานได้แค่ดาวเทียมไทยคม 5 และไอพีสตาร์ ขณะที่มีการใช้ช่องสัญญาณอย่างหนาแน่น และยังไม่มีแผนจะยิงดาวเทียมขึ้นไปทดแทน ทั้งที่ตามเงื่อนไขสัญญาไทยคมจะต้องยิงดาวเทียมสำรองไว้เพื่อรองรับกรณีที่ มีปัญหา

ดังนั้น ประเด็นที่รัฐบาลไทยจะไปซื้อหุ้นไทยคมคืนนั้น จึงมีคำถามเกิดขึ้นมากมายว่า เป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ถูกต้องและสมควรหรือไม่


และเป็นข้อข้องใจว่า การตัดสินใจแบบนั้นอาจจะเป็นการเข้าทาง "เทมาเส็ก" ซึ่งจริงๆ ก็ไม่ได้ต้องการธุรกิจดาวเทียมอยู่แล้ว เพราะช่วงที่ผ่านมาก็มีกระแสข่าวเป็นระยะว่า เทมาเส็กมีการเร่ขายบริษัทไทยคมอยู่เป็นระยะ

ดังนั้น การออกมาเปิดประเด็นของ นายศิริโชค โสภา คนสนิทของนายกรัฐมนตรี มีอะไรแอบแฝงหรือไม่ เพราะทำให้ราคาหุ้นไทยคมพุ่งรับข่าวดังกล่าวไปแล้ว


และถึงที่สุดแม้รัฐบาลไม่ซื้อหุ้นคืนแต่มีคนได้ประโยชน์ จากการสร้างราคาหุ้นไปแล้ว

แม้ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีออกมายืนยันว่า แนวคิดการซื้อไทยคมเป็นเรื่องที่รัฐบาลเห็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง พร้อมระบุว่าถ้าใครได้ผลประโยชน์และได้มาโดยไม่ชอบจากการซื้อขายหุ้นก็ให้ ดำเนินการตามกฎหมาย


อย่างไรก็ตาม การประกาศเจรจาซื้อไทยคมคืนจากเทมาเส็ก นอกจากเป็น Question Mark ? ตัวโต ที่รัฐบาลต้องตอบให้ชัดถึงประโยชน์ที่ประเทศได้รับจะที่คุ้มค่ากับความสูญ เสีย


เพราะไม่เช่นนั้นอาจทำให้นายกฯ อภิสิทธิ์ที่เปิดเกมซื้อคืน "ไทยคม" อาจต้องเข้ามุมอับเช่นที่อดีตนายกฯ ทักษิณ ปฏิบัติการขาย "ชินคอร์ป" เมื่อปี 2549


บทความ:ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553 เวลา 12:18:42 น.
----------------------------------------------------------------




Genseh's song: บทหนึ่งของชีวิต เพียว KPN
MyFuzzyhair | June 22, 2010 | 4:06

single แรกจาก เพียว ชนะเลิศถ้วยพระราชธานนักร้องยอดเยี่ยมแห่งประเทศ ไทยประจำปี พ.ศ.2553 KPN Award 2010

Genseh's news, ไทยรัฐออนไลน์: 7นักกฎหมายโลก ช่วยทักษิณ เสนอสอบสวนไทย

"รอเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม"เดินสายโจมตีรัฐบาลไทยกลางกรุงโตเกียว ระบุรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะควรรีบจัดการเลือกตั้งโดยเร็วเพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองได้รับการยอม รับจากคนไทยหรือไม่ พร้อมตราหน้าทางการไทยว่ากลัวการกลับมาของทักษิณที่ยังคงเป็นผู้นำที่ชอบ ธรรมเพียงหนึ่งเดียวของไทย



สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 24 มิ.ย.ว่า รอเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยกล่าวระหว่างการเดินสายโจมตีรัฐบาลไทยที่กรุงโตเกียว ของญี่ปุ่นโดยระบุว่า

มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลไทยภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะจะต้องจัดการเลือกตั้งโดยเร็วเพื่อเป็นการพิสูจน์ว่ารัฐบาลชุดนี้ ได้รับการยอมรับจากประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่จริงหรือไม่ หลังจากเกิดความขัดแย้งทางการเมืองจนนำไปสู่เหตุรุนแรงที่ทำให้มีผู้เสีย ชีวิตกว่า 90 รายใจกลางกรุงเทพฯ อันเป็นเมืองหลวงของประเทศ พร้อมตราหน้ารัฐบาลมาร์คว่ากลัว "การกลับคืนสู่อำนาจ"ของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ถูกโค่นตั้งแต่ปี 2006

อัมสเตอร์ดัมซึ่งเป็นชาวแคนาดา ยังกล่าวโจมตีการตั้งข้อหาก่อการร้ายกับ พ.ต.ท.ทักษิณของทางการไทยว่าเป็น "แท็คติกที่ผิดพลาด"ขั้นร้ายแรง โดยอัมสเตอร์ดัมชี้ว่าการที่รัฐบาลอภิสิทธิ์เที่ยวป่าวประกาศไปทั่วโลกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็น "ผู้ก่อการร้าย" ที่มีโทษสูงสุดตามกฎหมายของไทยถึงขั้นประหารชีวิตนั้น ถือเป็นการ "ทำลายโอกาส"ของตัวเองในอันที่จะได้ตัวอดีตนายกรัฐมนตรีกลับมาดำเนินคดีใน ประเทศไทย

เพราะคงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีประเทศที่ยึดมั่นในหลักการด้านสิทธิมนุษยชนแห่ง ใดในโลกที่จะยินยอมส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณให้มา "ถึงที่ตาย"ในไทย

รายงาน ข่าวระบุว่า ทนายความชื่อดังรายนี้กำลังอยู่ในระหว่างการเดินสายไปประเทศต่างๆทั่วโลก เพื่อโจมตีรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ และขอเสียงสนับสนุนจากรัฐบาลของประเทศต่างๆ ให้ช่วยผลักดันการสอบสวนเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นในไทยในช่วงที่ผ่านมาโดย "หน่วยงานระหว่างประเทศ"

พร้อมระบุว่าอัมสเตอร์ดัมได้ย้ำกลางที่ประชุมในกรุงโตเกียวว่าปัจจุบันนี้ ผู้นำที่ถูกต้องชอบธรรมของไทยยังคงเป็น "พ.ต.ท.ทักษิณ" ผู้เดียวเท่านั้น

เจ้า ของสำนักงานกฎหมายระดับโลก "อัมสเตอร์ดัม แอนด์ พีร็อฟฟ์" รายนี้ ยังโจมตีความพยายามของรัฐบาลอภิสิทธิ์ในการสร้างความปรองดองว่า เป็นเพียงเรื่อง"โกหกหลอกลวงไปวันๆ"ของทางการไทยเท่านั้น เพราะคำพูดกับการปฎิบัติของรัฐบาลไทยต่อ "กลุ่มคนเสื้อแดง"สวนทางกันอย่างชัดเจน

ทั้งนี้ มีรายงานว่ารอเบิร์ต อัมสเตอร์ดัมเป็น 1 ใน 7 ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายแถวหน้าของโลกที่เข้ามาทำงานให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่กำลังดำเนินความพยายามทุกวิถีทางให้มีการแต่งตั้ง "คณะกรรมาธิการนานาชาติ" เข้ามาสอบสวนเหตุการณ์รุนแรงในไทย


ข่าว: ไทยรัฐออนไลน์
• โดย ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์
• 26 มิถุนายน 2553, 05:30 น.

-----------------------------------------

ปชป.จี้รัฐห้ามทนายทักษิณเข้าไทยฐานบิดเบือน

จาก ไทยรัฐออนไลน์
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์

ปชป.จี้รัฐห้าม “ทนายทักษิณ” เข้าไทย โวย บิดเบือนข้อเท็จจริง ชงฟ้อง “เด็จพี่” ท้าเปิดหลักฐานโยง ก.- ศ.ปั่นไทยคม ยอมรับคะแนนรัฐตก ยกสถิติวัดคนพอใจผลงานรัฐ ลั่น ปชป.พร้อมพิสูจน์ความจริงคดียุบพรรค...


เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้พูดกับสื่อมวลชนต่างประเทศที่ประเทศญี่ปุ่น มีการระบุที่เลือกประเทศญี่ปุ่น เพราะมีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความรุนแรง มีชาวญี่ปุ่นอยู่ด้วย และบิดเบือนให้เข้าใจผิดว่า การเสียชีวิตของสื่อมวลชนญี่ปุ่นเป็นความผิดรัฐบาลว่า ทำให้เกิดความเสียหายต่อประเทศไทย


เพราะข้อเท็จจริงไม่ได้ปรากฏตามที่กล่าวหา และเรื่องนี้คณะกรรมการอิสระตรวจสอบข้อเท็จจริง ชุดนายคณิต ณ นคร ที่กำลังเริ่มทำงานในขณะนี้ ก็กำลังจะตรวจสอบ ดังนั้นเชื่อว่าการใช้ประเทศญี่ปุ่น เป็นประเทศแรกในการเคลื่อนไหว เพื่อต้องการให้เป็นปัญหาระหว่างประเทศ โดยยังมีการบิดเบือนสาระสำคัญหลายเรื่อง เช่น การอ้างว่าการใช้ทนายระหว่างประเทศพูดนั้น หากทนายความของไทยมาพูดแล้ว เดินทางกลับประเทศก็จะถูกคุมขังและถูกยึดทรัพย์ ซึ่งไม่เป็นความจริง

โฆษก พรรคประชาธิปัตย์ ยังกล่าวถึงกรณีที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย จะเข้าชี้แจงต่อคณะอนุกรรมาธิการการเงิน การคลัง และสถาบันการเงิน สภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 30 มิ.ย. ในเรื่องการปั่นหุ้นบริษัทไทยคมว่า ขอเรียกร้องให้นายพร้อมพงศ์ นำหลักฐานเกี่ยวกับตัวย่อ ก.และ ศ. มาเปิดเผยให้ประชาชนรับทราบ


ไม่อย่างนั้นจะถือว่าเป็นการพูดโดยปราศจากความจริง โดยพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะผู้เสียหาย จะขอรักษาสิทธิ์ในการดำเนินการตามกฎหมายต่อไป นอกจากนี้การกระทำดังกล่าวยังผิดมาตรา 240 ของ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ในเรื่องการให้ข้อมูลเท็จด้วย ทั้งนี้พรรคขอสนับสนุนแนวคิดของนายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.เทคโนโลยีและสารสนเทศ หรือไอซีที ที่จะยิงดาวเทียมเพิ่มขึ้นอีก 1 ดวง เพื่อให้เกิดการแข่งขันอย่างเสรี อีกทั้งดาวเทียมไทยคมเดิมก็หมดสัญญาสัมปทานไปแล้วถึง 11 ปี จึงเหมาะที่จะยิงดาวเทียมดวงใหม่

นพ.บุรณัชย์ ยังกล่าวถึงการสำรวจความเห็นของประชาชนของ “กรุงเทพโพล” ว่า รัฐบาลได้คะแนนไม่ดีหลายเรื่อง ถือเป็นการเปรียบเทียบในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา กับช่วงเวลาการบริหารงานของรัฐบาล 1 ปี 6 เดือน ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงดัชนีความวิตก ของประชาชนที่มี่ต่อบ้านเมือง และต่ออนาคตที่ไม่แน่นอน หลังเกิดเหตุการณ์ความวุ่นวาย แต่ก็ต้องดูประกอบกับผลสำรวจอื่นด้วย เช่น ผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ที่สำรวจในช่วง 1 ปีที่ผานมา ช่วงเดือน มี.ค. 52 - มี.ค. 53


พบว่า การแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 60.6 เป็นร้อยละ 77.6 โดยส่วนใหญ่เห็นว่าแก้ไขได้ ส่วนการแก้ปัญหาด้านสังคม พบว่า ปีที่แล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ 71.5 เห็นว่าแก้ปัญหาได้ และความพึงพอใจต่อการแก้ปัญหาของรัฐบาลลดลงเล็กน้อย จากร้อยละ 93.4 เป็นร้อยละ 87.3 ซึ่งสอดคล้องกับผลการสำรวจของสำนักโพลอื่นๆ ทั้งนี้รัฐบาลพร้อมรับฟังความเห็นของโพลทุกสำนัก เพื่อนำไปบริหารปรับปรุงการทำงานต่อไป นอกจากนี้กรุงเทพโพล ยังให้คะแนนสูงในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตของรัฐบาล

โฆษกพรรคประชา ธิปัตย์ ยังกล่าวถึงข่าวศาลรัฐธรรมนูญ ออกหนังสือเตือนนายทศพล เพ็งส้ม ส.ส.นนทบุรี หนึ่งในคณะทำงานฝ่ายกฎหมาย คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ว่า ยังไม่เห็นหนังสือ แต่นายทศพล ได้ขอถอนตัวออกจากผู้ประสานงานระหว่างพรรคและศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากไม่ประสงค์ที่จะถูกกล่าว และโจมตีโดยไม่มีความจริง ซึ่งเรื่องนี้เกิดจากการรับส่งเอกสารที่มีการบันทึกเวลาและลงนามชัดเจน สามารถตรวจสอบได้ ทั้งนี้พรรคพร้อมให้ความร่วมมือ กรณีที่ศาลนัดคู่กรณี เพื่อกำหนดแนวทาง ในการดำเนินการพิจารณาคดียุบพรรคครั้งแรก ในวันที่ 7 ก.ค.นี้.


ข่าว: ไทยรัฐออนไลน์
• โดย ทีมข่าวการเมือง
• 24 มิถุนายน 2553, 21:40 น.

เสธ.แดง!!! ข้าราชการไพร่ (ตัวอย่าง)ของประเทศไทย by Deerhunter14



สวัสดี ครับนานๆเข้ามาที
ปกติจะเข้ามาประชาไทก็เอา ข่าวต่างๆที่ไปทำมาอัพ รูปบ้าง เนื้อข่าวบ้าง แต่วันนี้ผมอยากจะกล่าว รำลึกถึงข้าราชการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดท่านหนึ่งของประเทศไทย

โดย ส่วนตัวรู้จักกับเสธแดงอย่างผิวเผิน ผมเป็นนักข่าว ส่วนเสธแกก็ชอบนัก ข่าว(ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณแม่น้องนักรบนะ 555!") ผมสัมภาษเสธบ่อย ในการทำงานก็แลกเบอร์โทรกัน เสธเค้าจะให้การ์ดส่วนตัวรับก่อนค่อยคุยกับแก นิสัยส่วนตัวที่ผมสัมผัสอย่างผิวเผินคือ

เสธแกปากร้ายนะครับ ชอบด่า พอสนิทๆกันบางทีแกก็ขึ้นกู ขึ้นมึงบ่อยๆก็มี (แต่ผมไม่กล้าขึ้นกู ขึ้นมึงกับแกนะ เด๋วลูกน้องแกกระทืบเอา 555+)

ข้อดีที่สุดของเสธมี หลายอย่าง อย่างหนึ่งคือ แกไม่ถือตัวครับ ผมไปทำข่าวทีไรจะเห็นประชาชนรุมล้อมแกเต็มไปหมด ในแบบที่ผมไม่เคยเห็นใคร เป็นแบบนี้มาก่อน ส่วนมากมาขอลายเซ็นต์ เอาของขวัญขนมขบเคี้ยวมาให้ก็มี เสธแกตอบรับยกมือวันทาหัตถ์ตอบทุกคนที่ยกมือไหว้แก



บางทีมีทหารเก่าเอารูป สมัยรบมารำลึกความหลังกับเสธ ครั้งหนึ่งผมนั่งรอสัมภาษเสธอยู่ 4 ชม. เพราะ แกนั่งคุยกับอดีตทหารแก่ๆคนหนึ่ง ช่วงนั้นผมเห็นใบหน้าเสธมีความสุขมาก พูดเรื่องราวต่างๆชี้โบ้ ชี้เบ้

บางทีเรียกผมเข้าไปดูรูปเเล้วบอก "ดู ไว้ ทหารนักรบเค้าทำกันแบบนี้ ทหารนักกอฟไม่มีหรอก ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรแกยึดยาว" นั้นคือ ความเป็นกันเองของเสธ.แดง ที่ผมเห็นว่าราชการท่านอื่นมีน้อยมาก

แม้แต่นักการเมืองหรือแกนนำทั้ง นปช. ทั้งพันมิตรก็ไม่มีคนทำแบบเสธ.แดงได้ คือ
ยืนแจกลายเซ็น เดินตรวจรอบบริเวณที่ชุมนุม 6-7 ชม.ติดต่อกันทุกวัน แม้แต่การใช้ โทรศัพท์ถ้าใครโทรหาเสธแล้วไม่มีคนรับ ซักพักแกจะโทรกลับมา เป็นทุกครั้งและเเทบทุกคนที่โทรหาแกด้วย

ซึ่งผมเชื่อว่าไม่ว่าจะเป็น นักการเมือง ข้าราชการหรือแกนนำน้อยคนจะทำแบบนี้ จนผมอยากตั้งฉายาให้แก ว่า "ข้าราชการไพร่ตัวอย่าง"

เสธแกคนลูกน้องเยอะ มีคนเป็นหนี้บุญคุณแกเยอะมาก หนึ่งในนั้นคือผมเอง ในวันที่ 10 เมษา ผมเป็นหนี้บุญคุณเสธ คือ ช่วงนั้นมีข่าวการสลายการชุมนุมด้วยกำลังทหาร ด้วยความขี้เกียจของผมคือ ไม่รู้ว่าทหารจะมาสลายเมื่อไหร่ขี้เกียจไปรอเก้อ

ก็อาศัยโทรไปถามเสธแดงนี้แหละ "เสธครับ วันนี้ทหารมาสลายจริงมั้ย" อะไรเเบบนี้ เสธแกจะบอกละเอียดหมด มา ไม่มาเพราะอะไร ยังไง อย่าไป คิดว่าแกได้ข่าววงในมานะครับ ส่วนมากจะตอบ "นอนอยู่บ้านเหอะ วันนี้ยังไงก็ไม่มา เพราะยังระดมพลมาไม่ได้"

บางทีแกก็จะอธิบายยุทวิธี ทางทหารมาประกอบ ส่วนมากผมฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง ไม่เคยเป็นทหารอาศัยแกบอก "มา" ก็ไปทำข่าว "ไม่มา" ก็นอนอยู่บ้านแค่ นั้นจบ ซึ่งมักจะถูกตามที่เสธบอกเสมอ

ในวันที่ 10 เมษา. ผมตื่นขึ้นมาก็พบว่าทหารเข้าสลายที่ผ่านฟ้า โดยเข้าที่ Un และข้าวสาร ผมรีบไปทันที วันนั้นโทรหาเสธแต่ไม่มีคนรับ ผมโทรอยู่หลายสายจนเลิกโทร จนกระทั่งเกือบทุ่มก่อนระเบิดM.79มาลง

ตอนนั้นยังไม่มีการยิงอะไรมากมาย แต่มวลชนและทหารประจัญหน้ากัน ผมยืนถ่ายรูปกับนักข่าวอีกคนที่ถ่ายวีดี โอ (ทราบภายหลังว่าอยู่พีเพิ้ล) จู่ๆเสธแดงโทรเข้ามาแล้วถามผมว่าโทรมาทำไม

ผมก็บอกว่าจะถามเรื่องทหารแล้วก็บอกสถานการณ์คราวๆไป ตอนนึง แก ถามผมว่าผมอยู่ตรงไหน ผมก็บอกว่า "อยู่หลังทหาร ตรงรถสายพานคันสุดท้าย" เสธแกบอกให้ผมออกมาจากตรงนั้นโดยด่วนที่สุด ตรงนั้นอันตราย

สถานการณ์แบบ นี้ทหารจะยิงโดยไม่เลือก แล้วก็จริงๆ พอผมออกมาอยู่ตรงหลังป้ายทางหลวง ก็มีการยิงกันชุดใหญ่จากทหารแล้ว M.79 ก็มาตกตรงที่ๆผมเคยยืนพอดี(ท้ายรถสายพานลำเลียง) นักข่าวพีเพิ้ลที่อยู่ ข้างผมโดนสะเก็ดระเบิดที่หน้าอกต้องไปผ่าออก (ตอนหลังเห็นเค้าขึ้นเวที จึงทราบว่าโดนสะเก็ดระเบิด)

จากนั้นนักข่าวรอยเตอร์ญี่ปุ่นก็โดนยิงตาย เสื้อแดงก็โดนยิงตายอีกมาก วันนั้นตอนกลับมาจากทำข่าวที่รพ.กลาง ผมขี่รถไปร้องไห้ไป คิดถึงเสธ ถ้าไม่ได้เสธโทรมาบอกผมอาจตายไปแล้วก็ได้ เสธแดงเป็นผู้มีพระคุณกับผม

ในวันสุดท้ายของเสธแดง ผมอยู่ที่ดินแดงพอได้ข่าวจากเพื่อน ทันทีที่ทราบผมรีบมาที่ด่านศาลาแดง ตอน นั้นมืดมาก ผมพยายามเข้าไปถ่ายรูปตรงจุดที่แกโดนยิงแต่เข้าไม่ได้ การ์ด ห้ามไว้บอกว่าถ้าใครเข้าไปเจอสไนเปอร์ยิงทันที

แล้วก็จริงๆ ทดลองกลิ้งยางไปเสียงปืนไม่ทราบที่มาก็ยิงสวนลงมา ผมเลยไปรพ.ที่เสธแก รักษาตัว รู้สึกแย่ครับที่ผู้มีพระคุณโดนทำร้ายจนเสียชีวิต แต่เรากลับทำ อะไรไม่ได้เลย

ในประเทศไทยนอกจากบิดามารดาและพระสงฆ์ ถ้ามีใคร ซักคนที่ผมจะกราบด้วยความเต็มใจ คนๆนั้นคือ

"เสธแดง ข้าราชการไพร่ตัวอย่างของประเทศไทย"

ขอบคุณที่มาบทความ: คุณDeerhunter14
ขอบคุณ: "น้องบัวตูม"ส่งMailบทความนี้มาให้