วันศุกร์, ธันวาคม 31, 2553

จากปีเสือดุมาปีกระต่ายป่า

จาก อัลบั้มsanook.com

ซินแสออกมาพูดแล้ว ปีกระต่ายปีนี้ไม่ใช่ ปีกระต่ายทองนะคะ

แต่เป็นกระต่ายป่า ที่หากินลำบาก แถมต้องระวังภัยอันตรายด้วย เพราะในป่ามีสัตว์นักล่ามากมาย ทั้งเสือ สิงห์ หมาป่า แมวป่าและสัตว์ตัวโตๆที่อาจจะเผลอเหยียบกระต่ายเอาเมื่อไหร่ก็ได้


เมื่อปีที่แล้ว ซินแสออกมาบอกแต่แรกแล้วว่าเป็น ปีเสือดุ ไม่ค่อยเชื่อหรอกไม่ค่อยจะสนใจการเมืองด้วยซ้ำ แต่มันก็ดุจิงๆ ตายกันเยอะมากเลือดนองแผ่นดินเลย ตายรวมๆเป็นพันเลยมั๊ง มีข่าวแรงๆเยอะมาก แล้วคนก็ดุกันจริงๆ

จากปีเสือดุมาปีกระต่ายป่า มันไม่สบายอย่างที่คนไทยคาดหวังนะคะ มันยังทำมาหากินลำบากอยู่ และมีอันตรายรอบตัวด้วย

ดูข่าวกันบ้างเปล่า โจรมันดุกว่าเดิมอีก ยิงเจ้าของร้านและปล้นทองไม่พอ ยังเข้าไปหลังร้านยิงแม่บ้านอีก ดิฉันเชื่อพวกซินแสนะคะ
เพราะเคยเห็นเขาทักคนรู้จักมาบางอย่างแม่นเหลือเชื่อมาก

ซินแสบอกว่า ปี 2011 อะไรที่เป็นความลับก็จะไม่เป็นความลับอีกต่อไป

คนจะมีอิสระเสรีมากกว่าเดิมเพราะ กระต่ายในป่า มันได้รับอิสระเสรี มากกว่ากระต่ายเลี้ยงเยอะผู้คนจะ ตาสว่างกันทั้งแผ่นดิน พวกที่เป็นนักล่าพอเข้าปีมะโรง มะเส็ง จะโดนล่าบ้างกรรมจะสนองหนักแน่นอน บางคนอาจจะป่วยตาย

คนไทยโดยหลอกมานาน ตอนนี้ต้องยอมรับความจริงได้แล้วว่า ตปทเขามองเราไม่ดีเลยสักเรื่อง เรื่องเลวๆชั่วๆ เขามองว่าในเมืองไทยมีหมดทุกเรื่องถึงเราจะใส่หน้ากาก สยามเมืองยิ้มก็เถอะแต่จริงๆมันไม่ใช่ คนในเมืองเห็นแก่ตัว คนต่างจังหวัด คนที่จิตใจดีๆมักโดนเอาเปรียบ

เมืองไทยคือประเทศโลกที่3 เพราะกระหรี่ โสเภณี ซ่อง อาบอบนาบเต็มไปหมด

ทั้งขบวนค้ายาเสพติดที่มีการทำมา50-60ปี การลักพาตัว การค้ามนุษย์ ทั้งของเถื่อน ไม้เถื่อน เพชรเถื่อน พลอยพม่าเถื่อน สินค้าหนีภาษีจากทางใต้(มีทุกอย่างทั้งของกิน ของใช้) มีคนดังที่พัวพันการค้า ใบกระท่อมผสมยาแก้ไอและ น้ำมันเถื่อนด้วย

การค้าอาวุธสงครามที่มีการขายมานานแล้วก็ ไม่มีใครกล้าจับ และคนที่เกื่ยวข้องก็มีทั้งระดับใหญ่มากๆและัพวกก่อการร้ายด้วย

ในวิชาสังคมระบุว่าประเทศไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนา ผ่านมา 40 ปีมันยังพัฒนาไม่เสร็จอีกเหรอหว่ะ เมืองไทยนี่

เพราะอะไรหล่ะ ใครอยู่เบื้องหลังความเลวร้ายในเมืองไทยหว่ะ ปีนี้ 2011 ขอให้กรรมสนองพวกที่มันใจร้าย ใจดำ อำมหิต เข่นฆ่าคนไทย ข่มขืนประเทศชาติด้วย

เพราะตอนนี้เมืองไทย ถอยลังเข้าคลองแล้ว ถ้าเมืองไทยมีประชาธิปไตยที่แท้จริง ป่านนี้เจริญไปถึงไหนต่อไหนแล้ว


ที่มาบทความ: เจ้าหญิง เอมิลี่ฯ on FB (update: 01 January at 07:21)

วันพฤหัสบดี, ธันวาคม 30, 2553

2011 ดวงรายปี ราศีสิงห์

2011 ดวงรายปี ราศีสิงห์
ราศีสิงห์ 17ส.ค.-16ก.ย.
ที่มา: http://horoscope.sanook.com/myhoro/today/yearly/leo/

ดวงชะตาเดือนมกราคม
เป็นเดือนแรกของปีที่คุณต้องเผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆ หรือความยุ่งยากวุ่นวายอย่างที่สุด แต่คุณจะได้ประสบการณ์ที่หาซื้อไม่ได้ และนำไปใช้ประโยชน์ได้ดีในอนาคต โปรดระมัดระวังในเรื่องของการเดินทาง หรืออุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน สุขภาพที่ต้องรักษา หรือพักฟื้น ในเดือนนี้ควรเลี่ยงการทำอะไรที่เสี่ยงอันตรายค่ะ

ดวงชะตาเดือนกุมภาพันธ์
คุณจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ใช้คำว่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ถูกกลั่นแกล้ง หรือโดนรังแกจากคนรอบข้าง อย่าไว้ใจใครให้มากนัก ระวังการเจ็บป่วยสุขภาพไม่ค่อยดี หรือต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลกะทันหันค่ะ

ดวงชะตาเดือนมีนาคม
หากคุณคิดที่จะศึกษาต่อ หรือขยายกิจการทำการค้ามากกว่าหนึ่งอย่างในเดือนนี้คุณมีความสมหวังในสิ่งที่คิดจะทำ มีคนให้ความช่วยเหลือสนับสนุนเป็นอย่างดี มีการเดินทางแบบไม่ได้ตั้งตัว และมีเกณฑ์ได้รับของขวัญของกำนัลในเดือนนี้ด้วยค่ะ

ดวงชะตาเดือนเมษายน
ในเดือนนี้สิ่งที่เด่นที่สุดคือ เรื่องของการเงินที่เคยติดขัด หรือต้องหมุนจนตัวเป็นเกลียวในเดือนนี้จะผ่านฉลุยมีความราบรื่นดีมากในเรื่องเงินทอง และคุณจะมีโชคลาภแบบไม่ได้คาดคิดมาก่อน อย่าลืมแบ่งไปทำบุญบ้างนะคะ

ดวงชะตาเดือนพฤษภาคม
ในเดือนนี้ความคิดที่สร้างสรรค์จะทำให้คุณมีเกียรติ หรือได้รับการยกย่องสนับสนุน คนอ่อนวัยกว่า จะนำลาภ หรือนำความสำเร็จมาสู่คุณ ในเดือนนี้ลางสังหรณ์คุณช่างแรง และแม่นยำ จนคนรอบข้างแปลกใจ และแม้แต่ตัวคุณเองก็ยังงง ๆ บุตรบริวารจะทำให้คนในบ้านสุขใจ หรือรู้สึกยินดี

ดวงชะตาเดือนมิถุนายน
ในเดือนนี้สิ่งที่คุณรอคอยได้บรรลุแล้วค่ะ มีความสมหวังสำเร็จเกิดขึ้นเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการงาน รายได้ จากการค้า หรือจากความสามารถพิเศษก็แล้วแต่ คุณจะได้พบกับการเริ่มต้นอะไรใหม่ ๆ ในชีวิต และที่เห็นว่าจะต้องชี้แจงคือ คุณจะได้พบกับคนดี และจะนำพาความสำเร็จมาให้คุณในอนาคตอันใกล้ด้วยค่ะ

ดวงชะตาเดือนกรกฎาคม
ในเดือนนี้มีความสุขสมหวังดีมีมิ่งมงคลบางอย่างเกิดขึ้นกับชีวิต สิ่งที่ได้อธิษฐานจิตไว้กำลังจะเกิดขึ้นตามที่คุณได้ขอพรไว้ แต่ที่เด่นเห็นจะเป็นเรื่องของความรักที่มีความอบอุ่นเป็นที่สุด ค่ะ

ดวงชะตาเดือนสิงหาคม
ในเดือนนี้คุณหันหลังให้กับความรัก ของคุณโดยสิ้นเชิง สำหรับคนที่มีความรัก หรือมีเหตุให้คุณต้องห่างจากบ้านเกิดเมืองนอน ชีพจรลงเท้าเดินทางตลอดทั้งด้านการงาน และธุรกิจส่วนตัว จะมีความก้าวหน้าบางอย่างที่คุณรอคอยคุณจะได้ข่าวดีเกี่ยวกับผู้สนับสนุนในเดือนนี้ค่ะ

ดวงชะตาเดือนกันยายน
คุณจะได้มิตรใหม่เป็นคนขาวบางหน้าตาดูดีภูมิฐาน หรือมีความเป็นผู้ใหญ่ มีความสุขุมรอบคอบ เป็นคนจิตใจดีมาก มีความจริงใจต่อผู้อื่น มีโอกาสเป็นลูกครึ่ง หรือชาวต่างชาติ ได้รับการสนับสนุนที่ดีจากบุคคลลักษณะนี้ และได้รับความรักในฐานะมิตร หรือ ผู้ใหญ่เมตตาในเดือนนี้ค่ะ

ดวงชะตาเดือนตุลาคม
คุณมีการเดินทางท่องเที่ยวอย่างมีความสุข สนุกสนานอย่างมากทั้งทางไกล และทางใกล้ และที่ ๆ คุณไปจะเป็นทางน้ำโดยมาก อาจจะเป็นทะเล หรือ น้ำตก ขอ ให้คุณระมัดระวัง การหกล้ม หรือลื่นไถล สุขภาพขอให้ระวังโรคภูมิแพ้ ไม่ว่าจะเป็นอากาศ หรืออาหาร ในเดือนนี้ค่ะ

ดวงชะตาเดือนพฤศจิกายน
คุณจะมีความสำเร็จ สมประสงค์ สมหวัง สอบผ่าน ชนะการแข่งขัน ความสมบูรณ์พูนสุขทุกประการ ความรักที่ชื่นมื่น ได้พบมิตรสหายหน้าใหม่ มีการเดินทางไกลถึงต่างประเทศ ทำกิจการใด ๆ มีความสำเร็จทุกประการ มีข่าวมงคล น่ายินดีมากในเดือนนี้ค่ะ

ดวงชะตาเดือนธันวาคม
ในเดือนนี้คุณจะได้รับความสำเร็จ ที่เกิดจากความพยายามของตัวคุณมาตลอดทั้งปี คุณจะได้รับการเริ่มต้นที่มั่นคงในชีวิต การงานของคุณไปได้สวยมาก ได้รับความไว้วางใจ และยอมรับจากทุกฝ่าย ถือเป็นเดือนสุดท้ายของปีที่มีความสุข การเดินทางไกลในต่างแดนก็ราบรื่น ความรักก็ก่อตัวขึ้นอย่างมั่นคงที่สุด ขอสวัสดีปีใหม่ที่มีแต่ความสดใสในชีวิตค่ะ

วันอังคาร, ธันวาคม 28, 2553

2010 : คนอลเวง ประเทศอลหม่าน

จาก posttoday.com

รอบปีที่ผ่านมาหลากหลายเรื่องราวผ่านเข้ามาในชีวิตคนไทย บางเรื่องสร้างความสับสนอลเวงมาพร้อมกับความพิสดารพันลึกและอดสู...

รอบปีที่ผ่านมาหลากหลายเรื่องราวผ่านเข้ามาในชีวิตคนไทย แต่ละเหตุการณ์เขย่าอารมณ์ลุ้นระทึก ไม่เพียงท่านั้น บางเรื่องสร้างความสับสนอลเวงมาพร้อมกับความพิสดารพันลึกและอดสู เหล่านี้เป็นไปได้และเป็นไปแล้วบนแผ่นดินประเทศไทย

การปรากฎตัวของชายชุดดำ

เขามาจากไหน สัญชาติไทยหรือเปล่า หรือ นี่คืออวตารไทยแลนด์ อันนี้ต่อให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอไม่กล้ายืนยัน ที่แน่ๆ มันมาเป็นกองทัพ มีความเชี่ยวชาญอาวุธทุกชนิด ตั้งแต่ยิงบั้งไฟไปจนถึงยิงเอ็ม 79 แทรกซึมอยู่ในทุกอณูพื้นที่ที่มีคนเสื้อแดงชุมนุม โดยเฉพาะเหตุการณ์ปะทะบริเวณสี่แยกคอกวัวเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 53 เสียงชาวเสื้อแดงตะโกนลั่น “ชายชุดดำมาช่วยเราแล้ว” ประเคนด้วยอาวุธหนัก ระเบิด ปืนอาก้า ถล่ม ทหาร ประชาชน เสียชีวิตอย่างน่าโศกา

ถ้าจะบอกว่านี่คือฮีโร่พิทักษ์โลก น่าจะเป็นฮีโรแห่งยมโลก เพราะการผลุบโผล่ของคนเหล่านี้มาพร้อมทำลายล้างมากกว่าสร้างบ้านแปลงเมือง ถึงวันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่สามารถตามจับนักรบชุดดำตัวเป็นๆได้สักราย แต่ถ้าจะลองไขปริศนาต่อเห็นจะเป็นเครื่องแต่งกายดูช่างละม้ายคล้ายคลึง การ์ดของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่สวมใส่ชุดแต่งกายแบบทหารพรานสีดำ โดยจะมีผ้าพันคอทรงสามเหลี่ยมขอบผ้าสีแดง

อ๊ะอ๊ะ ใช่หรือไม่ใช่ ต้องให้แฟนพันธุ์แท้การชุมนุมช่วยตอบ

แดงเทียม

“ใครแดงนปช.บ้าง กรุณายกมือขึ้น” ปรากฎว่าพรึ่บทั่วราชประสงค์ แต่ถ้าถามใครเผาเมืองบ้าง เงียบเป็นเป่าสาก แม้แต่แกนนำนปช.ยังต้องครุ่นคิดก่อนท่องคัมภีร์ไปในทิศทางเดียวกัน “พวกเผา พวกฆ่าคือแดงเทียม”แบบว่า เอะอะอะไรต้องแดงเทียมไว้ก่อน

อย่างไหนคือแดงแท้ แดงเทียม สังคมสับสนแยกไม่ออก

เพราะหลายเหตุการณ์มีหลักฐานโป๊ะเชะ เช่น อริสมันต์ พงษ์เรืองรองพาคณะบุกไปเยี่ยมสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯถึงรัฐสภา พายัพ ปั้นเกตุ ล็อคแขนสื่อพาไปทัวร์รพ.จุฬา ขวัญชัย ไพรพนา ขันอาสาฝ่าพรก.ฉุกเฉินออกไปวาดลีลาปิดถนนวิภาวดีรังสิตพร้อมแสดงความคิดถึงเอ็นบีที หรือ สุภรณ์ อัตถาวงศ์ บุกยึดสถานีไทยคม ทั้งๆที่คนเหล่านี้ กิน อยู่ หลับนอน หลังเวทีราชประสงค์ แต่เมื่อเกิดเหตุรุนแรงฝ่าฝืนกฎหมาย กลับได้รับการการันตีจากจตุพร พรหมพันธ์ เป็นแดงเทียมซะงั้น

ถ้าอย่างนี้กรณีจตุพร ซึ่งประกาศให้ระดมกำลังไปยึดศาลากลาง หรือ ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อสั่งให้เผา ก็คงเป็นแดงเทียมเช่นกัน โอ้ว! มึนจัง หาแดงแท้ไม่ได้สักราย

ใครฆ่าเสธ.แดง

อึมครึม! กรณีเสียชีวิตของ พล.ต.ขัต ติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก หรือ เสธ.แดง เมื่อวันที่ 13 พ.ค.52 ระหว่างการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง เสธ.แดง ถูกคมกระสุนจากระยะใกลยิงเข้าศีรษะเสียชีวิต บริเวณแนวกั้นนปช.แยกศาลาแดง ข้อสงสัยตามมา “ใครฆ่าเสธ.แดง” อีกทั้งทิศทางนั้น ถูกยิงจากที่ใด และทำเพื่อเหตุใด ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบต่อทุกฝ่าย จะว่าเป็นรัฐบาลก็ไม่ได้เปรียบมีแต่เสียมากกว่า หรือจะเป็นการกระทำของผู้ใหญ่ในชุดสีเขียว รวมถึงเป็นไปได้หรือไม่ จะเป็นการลงมือของแกนนำนปช.เอง ที่ขัดแย้งในแนวทางการชุมนุม สันติ ที่ตรงกันข้ามกับความรุนแรง ปริศนานี้แตกแขนงสับสนยังไม่ได้รับการคลี่คลาย

เหวงๆ

ชาว Twitter และ Facebook ช่างบัญญัติศัพท์เสียเหลือเกิน หลังเหตุการณ์ถ่ายทอดสดการเจรจาระหว่างรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กับ แกนนำนปช. 3 คนคือ วีระ มุสิกพงศ์ จตุพร พรหมพันธ์ และนพ.เหวง โตจิราการ แต่มีหนึ่งเดียวที่ทุกคู่สายตาลงคะแนนเอกฉันท์พูดจาวกวนได้อย่างไร้ที่ติ เห็นจะเป็นหมอเหวง จึงทำให้เป็นที่มาของคำว่า “เหวง” ตั้งแต่นั้นชื่อของหมอเหวงขึ้นชาร์ตติดอันดับภาษาอินเทรนด์ ที่น่าปวดเฮดกว่านั้น เห็นจะเป็นสื่อมวลชนสอบถามเจ้าของชื่อ รู้สึกอย่างไรที่คนในบ้านเมืองเอาชื่อไปล้อเลียน ขอโทษทีกว่าหมอเหวงจะรู้ตัวแก้ข่าว ก็เหวงไปนานอยู่เหมือนกัน

กว่าจะได้ “ผบ.ตร.”

กว่าประเทศไทยจะได้ “ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ” คนที่ 7 อลเวงพอสมควร ก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ นั่งเป็นตัวแทนรักษาการฯนานนับปี และพล.ต.อ.ปทีป คนนี้ เป็นคนที่นายกฯ เสนอชื่อต่อที่ประชุมก.ต.ช.หลายครั้ง แต่สุดท้ายคณะกรรมการไม่เห็นด้วยในคุณสมบัติ ทำให้เกิดการเสียหน้าพอสมควร เพราะ อีกขั้วการเมือง ซึ่งมีชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย 1 ในคณะ ก.ต.ช.ต้องการผลักดันให้พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย ขึ้นนั่งเก้าอี้ใหญ่ ในเมื่อต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน จึงยื้อกัน กระทั่งที่สุด สองคู่แข่งสำคัญก็ต้องแพ้ภัยด้วยการเกษียณอายุราชการ แล้วตาอยู่อย่าง “บิ๊กน้อย” พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี จึงถูกเสนอชื่อด้วยคุณสมบัติอาวุโสเพียบพร้อม กระทั่งมีมติเอกฉันท์ให้ดำรงตำแหน่ง สิ้นสุดการแต่งตั้งผบ.ตร.ยาวนานที่สุด

ชักกะเย่อปลัดมหาดไทย

มีคำถามว่า “ทำไมตั้งไม่ได้ซักที” สำหรับการแต่งตั้งปลัดกระทรวงมหาดไทย เหตุเกิดจาก มานิต วัฒนเสน ปลัดกระทรวงมหาดไทยขณะนั้นต้องเกษียนอายุราชการ ทำให้ต้องสรรหาปลัดมหาดไทยคนใหม่ ปรากฎว่า ชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทยชงเรื่องเข้าครม.เสนอชื่อ มงคล สุระสัจจะ" ”อธิบดีกรมการปกครองขึ้นเป็นปลัดมหาดไทย แต่ข้าราชการเคลื่อนไหวต่อต้าน มีการยื่นถวายฏีกาค้านแต่งตั้ง นายกฯมาร์คจึงต้องเบรกนำชื่อทูลเกล้าฯ โดยให้เหตุผลมงคลถูกร้องเรียนเรื่องโครงการเช่าคอมพิวเตอร์กรมการปกครอง วงเงิน 3,490 ล้านบาท จนทำให้มงคล ประกาศไม่รับตำแหน่ง และเสนอชื่อใหม่ให้วิเชียร ชวรัตน์ อธิบดีกรมพัฒนาชุมชนขึ้นเป็นปลัด แต่มีเสียงต้านเช่นเดิมยื้อกันมา 2 เดือน ในที่สุดเมื่อวันที่ 16 ธ.ค. มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ นายวิเชียร เป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย

กระชับวงล้อม

คำที่ดูสุภาพแต่ในทางปฏิบัติน่าเกรงขามกับคำสั่งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) ขอกระชับวงล้อมหรือกระชับพื้นที่การชุมนุมคนเสื้อแดง ปฏิบัติการดังกล่าวเริ่มขึ้นวันที่ 14 พ.ค. หลังแกนนำผู้ชุมนุมไม่ยอมรับข้อเสนอแผนปรองดองของรัฐบาล โดยโจทย์ของการปฏิบัติการครั้งนั้น คือ ต้องยุติการชุมนุมให้ได้เพื่อคืนความสงบสุขแก่ประชาชน

แต่เมื่อเวลาผ่านไปแกนนำดื้อดึง พัฒนาการของกระชับวงล้อมจึงยกระดับกลายเป็นขอคืนพื้นที่ เหมือนเช่นเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย.ที่เจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติ “ขอคืนพื้นที่”การชุมนุมตั้งแต่บริเวณสี่แยกคอกวัว และ ตั้งแต่แยกมิสกวัน โดยเปิดปฏิบัติการจากเบาไปหาหนัก 7 ขั้นตอน ตั้งแต่การผลักดันจนถึงการใช้กระสุนปลอม

บ่อยครั้งที่เสธ.ไก่อู พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศอฉ.จะใช้คำนี้เป็นที่ติดปากติดหน้าสื่อจนมีการนำไปล้อเลียน หาที่มา บ้างสงสัยศอฉ.คงไปดัดแปลงมาจากคำโฆษณาเครืองแต่งกายสุภาพสตรีที่ให้กระชับเรือนร่าง แต่ไม่ว่าจะเริ่มต้นกันมาอย่างไร การแถลงบ่อยครั้งของเสธ.ไก่อู ก็ทำให้เกิดรายการกระชับหัวใจในหมู่สาวๆที่เทคะแนนนิยมให้

ตกใจหมดเลย

มาตรการ "ตกใจ" ของคนเสื้อแดง คือรหัสลับที่แกนนำได้บอกกับผู้ชุมนุมมาตลอดว่า หากพวกเราตกใจเพราะทหารมาสลายชุมนุมเมื่อไร ก็ให้เราเผาหรือ อาจจะตกใจหยิบข้าวของในห้างก็ได้ นี่จึงทำให้การชุมนุมที่แยกราชประสงค์เต็มไปด้วยข้อความที่ขึ้นป้ายของผู้ชุมนุมว่า พร้อมตกใจแล้ว ขอจองการตกใจที่สยามพารากอน อยากตกใจเต็มแก่ จนที่สุด เกิดการเผาห้างเซ็นทรัลเวริด์ โรงภาพยนตร์สยาม ร้านค้าต่างๆและห้างบิ๊กซี ราชดำริ ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังแกนนำเข้ามอบตัว นับว่าสร้างความตกใจให้กับผู้คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่สมใจ

โรคคลิประบาดศาลรธน.

นี่ไม่ใช่คลิปโป๊ แต่เป็นคลิปแอบถ่ายโดยผู้กำกับมือฉมัง พสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการ ชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ที่ทำเอาสั่นสะเทือนวงการศาลรัฐธรรมนูญก่อนจะมีการพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ถือเป็นกระบวนการนอกกฎหมายเล่นงานทำลายความน่าเชื่อถือในระหว่างการพิจารณาคดีโดยเฉพาะการเผย แพร่คลิบวีดีโอออกมาหลายชุดที่มีการอ้างว่าเป็นการดำเนินการเพื่อช่วยเหลือ ให้พรรคประชาธิปัตย์ชนะคดียุบพรรค แม้แต่ก่อนตัดสิน ผู้กำกับพสิษฐ์ ยังถ่ายคลิปตัวเองแถลงเตือนศาลคิดให้ดีก่อนตัดสินคดี ไม่ว่าพสิษฐ์หรือคนปล่อยคลิปจะอ้างว่าประสงค์ดี แต่ก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญฟ้องร้องดำเนินคดีไปเรียบร้อย

สภาบาทา

เสมอต้นเสมอปลายในด้านลบต้องยกนิ้วให้ความวุ่นวายในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ปีที่แล้วแจกกล้วย มาปีนี้แจกรองเท้า เหตุการณ์เกิดขึ้น ระหว่างการประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระที่ 1 ซึ่งสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย สงสัยโรคน้ำกัดเท้ากำเริบ เลยถอดรองเท้านำขึ้นมาวางบนโต๊ะพร้อมกับขู่จะปารองเท้าใส่หน้านายปิยะรัช หมื่นแสน ส.ส.ร้อยเอ็ด จากพรรคเดียวกัน เพราะไม่พอใจที่เสนอชื่อบุคคลเข้าไปเป็นกรรมาธิการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นการขัดกับมติของพรรคที่ไม่ประกาศไม่ร่วมสังฆกรรม

ภาพที่ปรากฎสะท้อนกมลสันดานผู้แทนอันน่าเคารพ ช่างสรรหาของขวัญแจกได้ทุกปี ส่วนปีหน้าฟ้าใหม่ เลือกตั้งเข้าสภา ท่านผู้แทนจะดุเดือดแจกอะไร ต้องไปติดตาม แต่ระวังจะโดนแจกใบแดงซะก่อน


ที่มา: จากบทความชื่อ "คนอลเวง ประเทศอลหม่าน" โดย ทีมข่าวการเมือง
posttoday.com (update: 29 ธันวาคม 2553 เวลา 10:01 น.)

จดหมายจากแดนไกลนายกทักษิณ




จาก hi-thaksin - My Blog


จดหมายจากแดนไกลนายกทักษิณ

21 ธันวาคม 2553

พี่น้องที่เคารพรัก

รูป นี้ผมได้ไปเข้าเฝ้าเจ้าชายแมนซู ที่เมืองเจดดาห์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย เพื่อปรึกษาหารือเรื่องการสร้างเมืองใหม่ใกล้นครเมกกะ ซึ่งเจ้าชายเป็นเจ้าของโครงการและให้ผมให้คำปรึกษาโดยทรงมองว่าประสบการณ์ ที่ผมมีอาจเป็นประโยชน์ ทรงรับสั่งว่าสักวันความสัมพันธ์ไทยกับซาอุดีอาระเบียคงจะดี มีบางคนที่ซาอุฯพูดว่ารัฐบาลนี้ทำไมยอมอุ้มตำรวจคนเดียว เพื่อแลกเปลี่ยนกับความสัมพันธ์และผลประโยชน์ประเทศ

..........ลงชื่อ พตท. ทักษิณ ชินวัตร


Ref: hi-thaksin - My Blog

วันอาทิตย์, ธันวาคม 26, 2553

พะเยาว์ อัคฮาดคนไทยแห่งปี

จาก Dailyworldtoday

“ขนาดแค่ลูกเดินหายไปพ้นจากสาย ตาไม่กี่ก้าว นายอภิสิทธิ์ยังตกใจ แต่ ดิฉันต้องสูญเสียลูกสาวไปไม่มีวันได้คืน มันต่างกันหรือไม่ จึงอยากฝากไปถึงนายอภิสิทธิ์ให้คิดถึงหัว อกคนเป็นแม่ที่ต้องสูญเสียลูกไป คิดถึงญาติพี่น้องของ 91 ศพที่ตายไป เขาจะรู้สึกอย่างไร คิดบ้างไหม”

ความรู้สึกของนางพะเยาว์ อัคฮาด แม่ของ น.ส.กมนเกด อัคฮาด “น้องเกด” อายุแค่ 25 ปี 1 ในเหยื่อ 6 ศพวัดปทุมวนาราม หลัง จากมีรายงานข่าวว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พร้อมนางพิมพ์เพ็ญ ภริยา และ น.ส.ปราง เวชชาชีวะ “น้องปราง” บุตรสาว ไปใช้สิทธิเลือกตั้งซ่อมเขต 2 กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา แต่ “น้องปราง” หลบหนีกล้องผู้สื่อข่าวหลังจากใช้สิทธิเลือกตั้งแล้ว ขณะที่นายอภิสิทธิ์อยู่ในวงล้อม ผู้สื่อข่าวแต่สีหน้าตื่นตระหนกเมื่อไม่เห็นบุตรสาวและหันไปถามนางพิมพ์เพ็ญว่า “ลูกล่ะ” ซึ่งตอบว่า “ลูกหายไปไหนไม่รู้”

นายอภิสิทธิ์จึงหันมาพูดเสียงดังลั่นว่า “ลูกสาวผมหาย” ก่อนแหวกวงล้อมออกไปตามหาและพบหน้าบุตรสาวที่ยืนรออยู่ด้านหน้า ก่อนจะถอนหายใจและเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มร่าเดินเข้าไปโอบไหล่บุตรสาวขึ้นรถออกไปทันที ซึ่งสะท้อนให้เห็นชัดเจนถึงหัวอกคนเป็นพ่อแม่ที่มีความรักต่อลูก แต่กรณีนางพะเยาว์ไม่ใช่ลูกหาย แต่ถูกยิงอย่างโหดเหี้ยม ทั้งที่ทำหน้าที่เป็นพยาบาลอาสาช่วยเหลือชีวิตเพื่อนมนุษย์

7 เดือนยังเงียบเชียบ

แต่กว่า 7 เดือนที่ผ่านมากลับไม่มีความคืบหน้าของคดีเลย นางพะเยาว์จึงต้องต่อสู้ร่วมกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และญาติของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” รวมทั้งสิ้น 91 ศพ เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม ซึ่งนายอภิสิทธิ์และผู้เกี่ยวข้องในศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้

แม้การต่อสู้จะถูกอิทธิพลต่างๆขัดขวางและข่มขู่ แต่นางพะเยาว์และคนเสื้อแดงก็ไม่เคยหมดหวังกับการเรียกร้องความยุติธรรมให้กับ 91 ศพ โดยเฉพาะนางพะเยาว์ที่ออกมาเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมทุกวันอาทิตย์ หรือการจัดงานรำลึกวาระต่างๆในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” รวมทั้งการต่อสู้ทางคดีทั้งในประเทศและศาลอาญาระหว่างประเทศ การให้ข้อมูลกับประชาคมโลกทั้งองค์กรสิทธิมนุษยชนและสื่อต่างๆ

ต่อสู้จนกว่าได้ความยุติธรรม

“ยกเลิกหรือไม่ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องคดี เรื่องการฆ่าคนอย่างโหดเหี้ยม เพราะยังมี พ.ร.บ.ความมั่นคงมาครอบไว้อยู่ดี เราได้คุยในกลุ่มญาติผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ทุกคนเห็นด้วยที่จะตั้งองค์กรเพื่อเคลื่อนไหวเรียกร้องความยุติธรรมและต่อสู้ทางคดีต่อไป เราไม่เคยเชื่อรัฐบาล เพราะวันนี้เขามีอำนาจมากเหลือเกิน เรามองไม่เห็นกลไกอะไรไปต่อสู้เขาได้ แม้แต่กระบวนการยุติธรรมในประเทศ เราจึงจะยื่นหนังสือกับทุกสถานทูตและศาลระหว่างประเทศ”

นางพะเยาว์ให้ความเห็นหลังรัฐบาลยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ไม่เชื่อว่าการสอบสวนและชันสูตร 91 ศพจะคืบหน้า เพราะกว่า 7 เดือนที่ผ่านมารัฐบาลพยายามปกปิดหรือบิดเบือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ทั้งยังใช้อำนาจขัดขวางและข่มขู่ผู้ที่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องความยุติธรรม แม้แต่นางพะเยาว์เองก็ถูกโทร.มาขู่ให้หยุดความเคลื่อนไหว ไม่เช่นนั้นอาจจะเสี่ยงกับชีวิต

แต่นายณัทพัช อัคฮาด น้องชายของ “น้องเกด” ได้ตอบกลับผู้โทรศัพท์มาขู่ว่า ถ้าเป็นลูกหรือญาติพี่น้องของคนโทรศัพท์เข้ามาจะอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยหรือไม่ แต่ไม่มีเสียงตอบ จึงยืนยันไปว่าจะไม่หยุดและไม่กลัว แต่จะเคลื่อนไหวหนักและมากกว่าเดิมอีก

สภาพศพ “น้องเกด”

ที่ผ่านมาการเคลื่อนไหวของนางพะเยาว์จึงมีความสำคัญยิ่งกับการเรียกร้องความยุติธรรม เพราะการสังหารโหด 6 ศพในวัดปทุมวนารามเป็นข่าวที่สร้างความ สะเทือนใจคนไทยอย่างยิ่ง เพราะอยู่ในเขตวัดและประกาศเป็นเขตอภัยทานแล้ว โดยเฉพาะการชันสูตรพลิกศพ “น้องเกด” ของสถาบันนิติเวชวิทยา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อต้นเดือนมิถุนายน พบว่ามีบาดแผลยิงทะลุผิวหนังมากถึง 10 แห่ง โดยบาดแผลที่ 1 กระสุนยิงที่หลังผ่านขึ้นด้านบน ผ่านแนวลำคอหลังทะลุผ่านกะโหลกศีรษะซีกซ้าย ทะลุสมองน้อยและสมองใหญ่ พบชิ้นส่วนโลหะคล้ายหัวกระสุนหุ้มทองแดง 1 ชิ้นค้างที่กะโหลกด้านขวา ทิศทางจากล่างขึ้นบน หลังไปหน้า ขวาไปซ้ายเล็กน้อย ลักษณะหมอบลงกับพื้น หน้าหันลงพื้นดิน บาดแผลที่ 2-4 ถูกยิงเข้าบริเวณอก บาดแผลที่ 5-10 ถูกยิงบริเวณแขนและขา ลักษณะถูกระดมยิง

สาเหตุการตาย กระสุนทะลุหลังเข้าไปทำลายสมอง แม้แพทย์ผู้ตรวจไม่สามารถระบุได้ว่าถูกยิงจากบนลงล่างหรือไม่ แต่จากการสันนิษฐานเชื่อว่า “น้องเกด” หลบหน้าแนบพื้นก่อนถูกระดมยิงจากด้านหลัง ซึ่งการตรวจสอบที่แน่ชัดต้องมีพยานที่อยู่ในที่เกิดเหตุมาประกอบด้วย เพราะการจำลองใช้เลเซอร์มาวางแนว วิถีกระสุนทำไม่ได้ เนื่องจากหัวกระสุนไปถูกกระดูกและกระดอนไปมา ทำให้ร่างกายเสียหายมากจนไม่สามารถจำลองแนวการยิงได้อย่างแน่ชัด

ส่วนรายละเอียดผลการชันสูตรอีก 5 ศพก็โหดเหี้ยมไม่แตกต่างกันนักคือ นายรพ สุขสถิตย์ อายุ 66 ปี นายอัฐชัย ชุมจันทร์ อายุ 28 ปี นายมงคล เข็มทอง อายุ 36 ปี นายสุวัน ศรีรักษา อายุ 31 ปี และนายอัครเดช ขันแก้ว อายุ 22 ปี (ผู้ช่วยพยาบาลอาสา) ทั้งหมดถูกยิงด้วยกระสุนความเร็วสูงและมีบาดแผลทำลายจุดสำคัญของร่างกายจนเสียชีวิต

หลักฐานทหารยิง?

ยิ่งล่าสุดที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แกนนำ นปช. อ้างบันทึกการสอบสวนและการชันสูตรศพของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ใน 4 เหตุการณ์คือ 1.การตายของประชาชนในวัดปทุมวนาราม 2.การตายของนายฮิโรยูกิ มูราโมโต ช่างภาพชาวญี่ปุ่นประจำสำนักข่าวรอยเตอร์ 3.การตายของเจ้าหน้าที่สวนสัตว์ดุสิต 4.การตายของพลทหารณรงค์ฤทธิ์ สาละ ว่าเจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติการเกี่ยวข้อง ซึ่ง รายงานการตรวจพิสูจน์ของกองพิสูจน์หลักฐานกลางพบกระสุนปืนขนาด .223 (5.56 มม.) หัวกระสุนสีเขียวเช่นเดียวกันเกือบทุกศพ โดยเฉพาะ 6 ศพในวัดปทุมวนาราม มีทั้งหลักฐานภาพถ่าย พยานบุคคลหลาย สิบปาก และคำสารภาพของเจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติการเองว่าได้ใช้อาวุธปืนยิงเข้ามาในบริเวณวัด รวมทั้งยิงเข้าไปในเต็นท์พยาบาลขณะที่ยุติการชุมนุมแล้ว

ข้อมูลดังกล่าวตรงข้ามกับที่นายนายอภิสิทธิ์และดีเอสไอเคยชี้แจงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่าผลการชันสูตรศพผู้เสียชีวิต 4 ใน 6 รายในวัดปทุมวนารามเกิดจากวิถีกระสุนแนวราบ ทั้งยังยืนยันคำพูดของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการ ศอฉ. ในขณะนั้นว่าไม่มีกำลังทหารอยู่บริเวณรางรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสยามสแควร์ ซึ่งขัดแย้งกับหลักฐานที่ดีเอสไอตรวจพบปลอกกระสุนปืน

“น้องเกด” ไม่ตายฟรี

นางพะเยาว์จึงยืนยันว่าจะเดินหน้าค้นหาความจริงให้ปรากฏ ไม่ว่าหน่วยงานไหนจะเกรงกลัวอิทธิพลของรัฐบาลก็จะเสนอความจริงให้ปรากฏให้จงได้ ไม่ว่ารัฐบาลนี้หรือรัฐบาลไหน ต้องมีสักรัฐบาลที่ค้นหาความจริงให้ปรากฏ น้องเกดจะไม่ตายฟรีหรือเปล่าประโยชน์ เพราะยังมีแม่และเพื่อนร่วมงานที่พร้อมจะต่อสู้จนกว่าจะได้ตัวผู้กระทำความผิดยิงประชาชนและคนสั่งการมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม

ขณะเดียวกันครอบครัว “น้องเกด” ยังเตรียมสร้างหุ่นขี้ผึ้งรูป “น้องเกด” สูงเท่าตัวจริง เพื่อนำไปตั้งบริเวณที่น้องเกดเสียชีวิตในวัดปทุมวนาราม ซึ่งยังไม่ทราบว่าต้องใช้ค่าใช้จ่ายเท่าใด แต่หากใครต้องการร่วมทำบุญบริจาคก็ยินดี เมื่อสร้างหุ่นขี้ผึ้งเสร็จแล้วจะไปพบนายอภิสิทธิ์เพื่อขออนุญาตตั้งหุ่นขี้ผึ้งน้องเกดภายในวัด สาเหตุที่ไปพบนายกฯเนื่องจากเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด

ตั้งองค์กรญาติผู้เสียชีวิตกดดัน

นอกจากนางพะเยาว์จะประกาศรวบรวม 5,000-10,000 รายชื่อ เพื่อยื่นให้สำนักนายกรัฐมนตรีปลดนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ออกจากตำแหน่งแล้ว ยังจะจัดตั้งองค์กรญาติผู้เสียชีวิตเป็นองค์กรที่อิสระ เคลื่อนไหวเรียกร้องความยุติธรรมให้กับผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บอย่างเป็นทางการประมาณต้นเดือนมกราคม 2554 ซึ่งได้ติดต่อญาติของนายฮิโรยูกิและญาติของนายฟาบิโอ โปเลนกี ช่างภาพอิสระชาวอิตาลีที่ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม มาร่วมกันเคลื่อนไหวด้วย จากนั้นจะเดินสายชี้แจงข้อเท็จจริงไปตามสถานทูตต่างๆ และเคลื่อนไหวกดดันให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ออกมารับผิดชอบต่อการใช้ความรุนแรงกับประชาชน

“คดี 91 ศพนี้นายธาริตก็เป็นหนึ่งในคณะกรรมการ ศอฉ. และร่วมเซ็นลงนามในการสั่งฆ่าประชาชนเช่นกัน เมื่อโอนคดีเข้ามาอยู่ในดีเอสไอ การสืบสวนสอบสวนต่างๆ ผลประโยชน์ก็ตกอยู่กับฝ่ายรัฐบาลอย่างเดียว ไม่ใช่ตกอยู่ที่ประชาชน เท่ากับว่าทั้ง 91 ศพตายฟรี และ คนที่ร่วมกระทำผิดแต่กลับมาสืบสวนคดีเป็นเรื่องตลก”

แม้แต่นิตยสารไทม์ยังจัดให้การสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงติดอันดับ 10 ข่าวใหญ่ของโลก ส่วนนายเดวิด เชลสซิงเกอร์ หัวหน้ากองบรรณาธิการสำนักข่าวรอยเตอร์ ได้เรียกร้องให้รัฐบาลแถลงผลการสอบสวน ฉบับเต็มในกรณีของนายฮิโรยูกิว่าโศกนาฏกรรมครั้งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และใครเป็นผู้รับผิดชอบที่แท้จริง เพราะทางการไทยตกเป็นหนี้ครอบครัวของนายฮิโรยูกิ

ฆาตกรรมโหดแห่งปี

เหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” จึงตอกย้ำว่าเป็น “การฆาตกรรมโหดแห่งปี” และยังประจานการใช้อำนาจรัฐไทยและกลุ่มอำนาจนอกระบบว่าไม่ต่างกับ “รัฐทหาร” อย่างที่องค์การสิทธิมนุษยชนเอเชียระบุ การละเมิดสิทธิมนุษยชนจึงเกิดขึ้นอย่างหน้าตาเฉยโดยผู้มีอำนาจและกองทัพไม่รู้สึกผิดแปลกอะไร ทั้งที่ประเทศไทยเป็นประธานคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ แต่กลับถูกประชาคมโลกประณามว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง

ทำให้ประชาคมตั้งคำถามกับสหประชาชาติว่าทำไมจึงไม่มีการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย และในปี 2554 ประเทศไทยจะส่งรายงานเรื่องสิทธิมนุษยชนอย่างไร ขณะที่องค์กรสิทธิมนุษยชนต่างๆและกลุ่มภาคประชาชนได้ทำรายงานว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทยอย่างชัดเจน รวมทั้งการฟ้องศาลอาญาระหว่างประเทศการสังหารโหด 91 ศพ

แม้รัฐบาลและกองทัพจะพยายามบิดเบือนและโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ แต่ในที่สุด “ความจริง” ก็ต้องปรากฏมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะไม่ใช่แค่นางพะเยาว์และคนเสื้อแดงที่ประกาศเอาชีวิตเข้าแลกเท่านั้น องค์กรสิทธิมนุษยชนทั่วโลกย่อมไม่ปล่อยให้เรื่องนี้หายไปโดยไม่มีผู้กระทำผิดมารับผิดชอบ โดยเฉพาะการฆ่าโหดในเขตอภัยทานกลางกรุงเทพฯ

คนไทยแห่งปีของ “โลกวันนี้”

นางพะเยาว์ อัคฮาด จึงเปรียบเสมือน “แกนนำภาคประชาชนผู้บริสุทธิ์” หรือสัญลักษณ์ของผู้เสียชีวิต ไปโดยปริยาย ทีมข่าว “โลกวันนี้” จึงมีมติยกย่องให้ “นางพะเยาว์ อัคฮาด” มารดาของ “น้องเกด” เป็น “คนไทยแห่งปี” ของประเทศไทยในพุทธศักราชนี้

ในวาระเดียวกัน ทีมข่าว “โลกวันนี้” ยังมีมติยก ย่อง “จูเลียน พอล แอสแซงจ์” ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ “วิกิลีกส์” เป็น “บุคคลแห่งปี” ของโลก ที่ทำให้รัฐบาลและ องค์กรต่างๆทั่วโลกต้องหวาดผวากับเอกสารและข้อมูลลับที่จะถูกแฉพฤติกรรมและนโยบายฉาวต่างๆที่คนทั่วโลกแทบไม่มีใครเชื่อว่าจะเกิดขึ้น

ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย “วิกิลีกส์” ก็ทำให้ผู้มีอำนาจและผู้อาวุโสหลายคนต้องหัวหดและปิดปากสนิท ไม่ว่าจะเป็นกรณี “วิคเตอร์ บูท” หรือรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่สื่อและคนไทยทั้งแผ่นดินมีสภาพเหมือน “น้ำท่วมปาก” พูดอะไรไม่ได้ ขณะที่รัฐบาลไทยก็ใช้อำนาจ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ปิดกั้นเว็บไซต์ www.wikileaks.org ในประเทศไทย โดยอ้างความมั่นคง แต่ทั่วโลกกลับประณามว่าใช้อำนาจเยี่ยงรัฐบาลเผด็จการหรือ “รัฐทหาร” (อ่านบทความประกอบ “จับกระแสการเมือง” หน้า 8)

ด้วยเลือดและน้ำตา...หัวอกของคนเป็น “แม่”... “พะเยาว์ อัคฮาด”...มารดาของ “น้องเกด”

เธอคือ “คนไทยแห่งปี” โดยทีมข่าว “โลกวันนี้” และเชื่อว่าเธอคือ “บุคคลแห่งปี” ที่กำลังสะท้อนสะเทือน อารมณ์ของหัวอกคน เป็น “พ่อ-แม่” ที่ผู้ที่ มีจิตใจปรกติ... หาใช่ “ผีห่าซาตาน” ที่ไหน ก็มิอาจปฏิเสธได้!

*********************

ลูกฉันตาย ในครอบครัวฉัน..

เหลืออยู่ 4 ชีวิต คุณจะฆ่าฉันก็เอา!


“รู้สึกช็อกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะส่วนหนึ่งเวลาที่น้องเกดเข้ามาช่วยเหลือกลุ่มผู้ชุมนุมเพราะเห็นว่ามีเด็กและคนแก่จำนวนมาก เขาจึงอยากเข้าไปช่วยเหลือ โดยขอแม่ไป ซึ่งฉันก็อนุญาต เราก็เข้าใจ ไม่ห้ามอะไร เพราะคิดว่าเขาโตแล้วและมีความคิดในสิ่งที่ดี และเขาก็เอาเงินเดือนของตัวเองไปอยู่ตรงนั้นหมด เขาพูดเสมอว่าเขาจะไม่เป็นอะไร เพราะเชื่อว่าทหารจะยกเว้นตรงนี้ เขาจะต้องปลอดภัย เราก็เชื่อในคำพูดตรงนั้น จนมารู้ในวันที่น้องเกดเสีย เรามีความรู้สึกว่าตอนนั้นเรายังตั้งตัวไม่ได้ คิดอยู่ตลอดเวลาว่าทำไมลูกเราต้องมาตาย ตอนนั้นใครๆก็ไม่กล้าพูดว่าใครเป็นคนยิง โดยเฉพาะไม่มีใครกล้าพูดว่าทหารยิง แต่เราก็มั่นใจว่าคนที่ยิงไม่มีใครนอกจากทหาร”

นางพะเยาว์ อัคฮาด แม่ของ น.ส.กมนเกด อัคฮาด หรือน้องเกด พยาบาลอาสาที่ถูกยิงเสียชีวิตในวัดปทุมวนารามในเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 กล่าวถึงความรู้สึกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนจะถามนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ว่าขนาด 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีความรุนแรงอย่างมากรัฐบาลยังไม่กล้าเรียกเป็น “ผู้ก่อการร้าย” แต่กลับกล่าวหาคนเสื้อแดงว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย” แล้วยังบอกว่าโจรยิงหรือผู้ก่อการร้ายยิงอีก

“บอกตรงๆว่า ณ เวลานั้นหมดศรัทธานายอภิสิทธิ์ ฉันไม่ได้เรียกนายกรัฐมนตรี ไม่เคยเรียก เพราะถือว่าฉันไม่ได้เลือกมาเป็นนายกรัฐมนตรี ฉันก็เรียกนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ เวลานี้ฉันมองว่าพวกเขาไม่สมควรอยู่ในตำแหน่งในรัฐบาลนี้แล้ว เพราะคุณสั่งฆ่าประชาชนได้โดยไม่นึกถึงว่านี่คือคนไทยเหมือนกัน และทหารที่ลั่นไกส่วนหนึ่งเขาทำตามคำสั่ง นายสั่งมา เขาต้องยิง”

นางพะเยาว์ยืนยันว่าออกมาต่อสู้เพื่อหาคนผิดและเรียกร้องความยุติธรรม

“เราลุกขึ้นมาสู้โดยไม่เกรงกลัวว่าคุณจะเป็นใคร คุณกับฉันก็มนุษย์เดินดิน แม้กระทั่งนายอภิสิทธิ์ ฉันก็บอกไปว่าคุณไปเลือกตั้ง คุณไปพร้อมครอบครัว ลูกคุณหายละไปจากสายตาคุณยังกระวนกระวาย แต่ลูกฉันตายไปจากชีวิตฉัน ทำไมไม่ถามว่าฉันรู้สึกอย่างไร”


นางพะเยาว์ย้ำว่า ไม่คาดหวังกับกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทย เพราะกลไกในประเทศตอนนี้มันนิ่ง ต่อให้ทำถูกกฎหมายทุกอย่างก็ผิดอยู่ดี วันนี้จึงต้องเดินหน้าอย่างเดียวคือการจัดตั้งองค์กรของญาติผู้เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุม ไปขอความช่วยเหลือและชี้แจงต่อนานาประเทศ

“เขาฆ่าคน เขายังอยู่ได้ หน้าตายิ้มแย้ม มีความสุข จึงต้องเรียกร้องตรงนี้ เพราะสิทธิมนุษยชนของไทยเราเรียกร้องไม่ได้ เขานิ่งเงียบเป็นเป่าสาก แต่พอจิ๊บ ไผ่เขียว โดนวิสามัญฆาตกรรม ออกมาใหญ่เลย ขอถามว่า 91 ศพมันต่างกันอย่างไร แสดงว่ากลไกภายในประเทศใช้ไม่ได้...ขณะนี้พวกเราต้องช่วยกันเอง เราจะนิ่งไม่ได้ ถ้าเรานิ่ง รัฐบาลยิ่งชอบเลย ตายฟรี ฉันคิดว่าประเทศไทยอยู่ในรัฐเผด็จการทหาร แต่ฉันไม่ได้ เกรงกลัวอำนาจของเขาถึงต้องลุกขึ้นมาสู้ ลูกฉันตาย ในครอบครัวฉันเหลืออยู่ 4 ชีวิต คุณจะฆ่าฉันก็เอา”


ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 291 วันที่ 25-31 ธันวาคม พ.ศ. 2553 หน้า 16-17 คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน
2010-12-24

วันพฤหัสบดี, ธันวาคม 23, 2553

ไทยแลนด์ อยู่ที่นี่ ต้องเชื่อว่า..โลกแบน

“ทุกวันนี้ยังมี การรื้อฟื้น “รัฐทหาร” ที่อ้างถึงความมั่นคงภายในมาใช้กับผู้ประท้วงอย่างสันติหรือแสดงออกด้วยวาจา และข้อเขียน ซึ่งเสี่ยงที่จะต้องติดคุกหลายสิบปี แม้แต่การอุ้มฆ่าทนายความด้านสิทธิมนุษยชน การประทุษร้าย การทรมาน และการจงใจฆ่าผู้ประท้วงเสื้อแดงที่มีแต่หนังสติ๊ก ดอกไม้ไฟ ไม้ไผ่ และปลาร้า ขณะที่ทหารผู้กระทำความผิดกลับได้รับคำชมและได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็น รางวัล นี่คือประเทศไทย”

ข้อสรุปในรายงานของคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย (Asian Human Rights Commission-AHRC) ที่รายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทยจำนวน 20 หน้า ประจำปี 2553 ในภูมิภาคเอเชีย โดยระบุถึงศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ที่มีอำนาจและใช้อำนาจราวกับประเทศไทยอยู่ในยุคของ “รัฐทหาร”

“เสื้อแดง” ภัยความมั่นคง

AHRC รายงานว่า ศอฉ. ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ออกหมายเรียกบุคคลใดก็ได้มาสอบสวนและต้องรายงานตัวใน ค่ายทหาร โดยถูกสอบปากคำจากทั้งตำรวจ ทหาร และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) บางคนถูกแจ้งข้อหาโดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน บางคนถูกคุมขังทั้งที่ยังไม่มีการดำเนินคดีทางศาล บางคนมีรายชื่ออยู่ใน “แผนผังล้มเจ้า” ที่ ศอฉ. นำมาเผยแพร่เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2553 ซึ่งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการ ศอฉ. ขณะนั้น ยืนยันว่ามีหลักฐานเพียงพอในการออกหมายจับ แต่ไม่เคยนำหลักฐานดังกล่าวออกมาเปิดเผยเลย ซึ่งเรื่องของสถาบันกษัตริย์เป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันอย่างรุนแรงภายใน สังคมไทยปัจจุบันและถูกนำมาผูกโยงกับความมั่นคง

ในรายงานกล่าวถึง “ดา ตอร์ปิโด” ที่ถูกจำคุก 18 ปี ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ กรณีของ น.ส.จีรนุช เปรมชัยพร ผู้บริหารเว็บไซต์ประชาไท ถูกตั้งข้อหากระทำความผิดตามมาตรา 15 พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ นายสมบัติ บุญงามอนงค์ (บ.ก.ลายจุด) ข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินจากการชุมนุมอย่างสันติ นอกจากนี้ยังมีกรณีการอุ้มฆ่านายสมชาย นีละไพจิตร ที่ผู้กระทำความผิดยังลอยนวล

AHRC ระบุว่า การใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐผ่าน ศอฉ. และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอยู่เหนือกฎหมายและลิดรอนสิทธิเสรีภาพ ซึ่งขัดแย้งกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights-ICCPR) ที่บัญญัติรับรองและคุ้มครองสิทธิในการชุมนุมโดยสงบ แม้นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะอ้างว่ารัฐบาลปฏิบัติภายใต้ ขอบเขตข้อกำหนดของ ICCPR ก็เป็นเท็จโดยสิ้นเชิง

ความยุติธรรม 2 มาตรฐาน

ในรายงานยังตำหนิคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติว่าเพิกเฉยต่อ สถานการณ์สิทธิมนุษยชนที่เลวร้ายจากการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในไทย ทั้งที่ประเทศไทยมีนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว เอกอัครราชทูตและผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ

AHRC กล่าวถึงปัญหา 2 มาตรฐานในกระบวนการยุติธรรม เช่น การจับกุมแม่ค้าเสื้อแดงที่ขายรองเท้าแตะมีภาพนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี บนรองเท้าว่าเป็นการละเมิดสิทธินายอภิสิทธิ์ ทั้งที่สมัยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเคลื่อนไหวก็มีการขายรองเท้าแตะ ที่มีภาพใบหน้าของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่ไม่มีการกล่าวหาและจับกุม ทำให้เรื่องสิทธิมนุษยชนกลายเป็น “เรื่องไร้สาระ”

กสม. ล้มเหลว

AHRC เปิดเผยว่า เคยเรียกร้องให้สหประชาชาติลดความน่าเชื่อถือและเพิกถอนสิทธิการเป็นสมาชิก ในคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ของไทย มาตั้งแต่ปี 2540 เนื่องจากปฏิบัติไม่สอดคล้องกับหลักการกรุงปารีสของสหประชาชาติ และขาดความเหมาะสมทั้งในเชิงองค์ประกอบและกระบวนการสรรหาบุคลากร โดยกรรมการเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ 1 คน นักการเมือง 2 คน และนักธุรกิจที่ติดบัญชีดำละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งทั้งหมดไม่เคยมีประวัติในการทำงานสาธารณประโยชน์ด้านสิทธิมนุษยชน

AHRC จึงไม่แปลกใจเลยที่ กสม. จะเพิกเฉยต่อการปกป้องเสรีภาพของคนไทย โดยเฉพาะเหตุการณ์เดือน เมษายน-พฤษภาคม 2553 ที่มีการใช้กำลังทหารที่มีอาวุธสงครามรุนแรงและสไนเปอร์ข่มขู่และทรมาน พลเมือง รวมถึงนักศึกษาถูกจับก็ไม่ให้ทนายความเข้าพบ

“ท่ามกลางความแตกแยกที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น หน่วยงานของภาครัฐไม่เพียงแต่ติดตามจับกุมผู้ต้องสงสัยที่เป็นภัยคุกคาม ยังเลยเถิดถึงขั้นจับกุมกลุ่มบุคคลที่เป็นกลาง อันจะเห็นได้จากการพุ่งเป้าไปที่นักเคลื่อนไหวอิสระและนักกิจกรรมทางด้าน สังคมที่พบถี่ขึ้นเรื่อยๆ ด้วยข้อหาที่ไร้สาระ ส่งผลกระทบต่อเสรีภาพในการแสดงออกและผลักดันกระบวนการยุติธรรมเข้าสู่วังวน ของความวุ่นวายทางการเมือง ด้วยการอ้างกฎหมายเป็นฉากบังหน้าเพื่อใช้เล่นงานฝ่ายตรงข้าม” ตอนท้ายของรายงานระบุ

อย่างไรก็ตาม นางอมรา พงศาพิชญ์ ประธาน กสม. ได้ออกมาชี้แจงการทำงานของ กสม. โดยเฉพาะเหตุการณ์ “เมษา-พฤษอำมหิต” ว่าดำเนินการด้านสิทธิมนุษยชนอย่างเต็มที่ รวมถึงเหตุการณ์ความรุนแรงที่ผ่านมาก็ได้ดำเนินการไปหลายเรื่องและมีการตรวจ สอบอย่างเข้มข้น แต่เปิดเผยรายละเอียดไม่ได้!!

เสื้อแดงติดข่าวดังแห่งปี

เหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่มีการสังหารโหดถึง 91 ศพ และบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 คน รวมทั้งการเผาสถานที่ต่างๆกลางกรุงเทพฯนั้น นิตยสารไทม์จัดให้ติดอันดับ 10 ข่าวดังแห่งปี เพราะการประท้วงอย่างสันติจบลงด้วยความรุนแรงและความแตกร้าวที่ขยายวงกว้าง ระหว่างคนเมืองกับคนชนบท คนรวยกับคนจน กลุ่มอำมาตย์กับกลุ่มประชานิยม ซึ่งสื่อทั่วโลกได้รายงานและแพร่ภาพแทบตลอด 24 ชั่วโมง ระหว่างที่มีการต่อสู้กันกลางกรุงเทพฯ ซึ่งเชื่อว่าการเคลื่อนไหวและการประท้วงยังจะเกิดขึ้นได้อีกในอนาคต

ขณะที่ข้อเท็จจริงจากการสอบสวนและชันสูตร 91 ศพที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน นำมาเปิดเผยส่วนหนึ่ง โดยยืนยันว่าเป็นบันทึกของดีเอสไอที่ระบุว่าการเสียชีวิต 6 ศพในวัดปทุมวนารามฯ และการเสียชีวิตของนายฮิโรยูกิ มูราโมโต ช่างภาพชาวญี่ปุ่นของสำนักข่าวรอยเตอร์ ที่ถูกยิงเมื่อคืนวันที่ 10 เมษายน มีหลักฐานจากพยานบุคคลและหัวกระสุนปืนว่ามีเจ้าหน้าที่ทหารเข้ามาเกี่ยวข้อง

แม้นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ จะกลับลำแถลงว่าหลักฐานไม่ตรงตามสำนวนการสอบสวนของดีเอสไอ และระบุว่าเหตุการณ์ปะทะในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคมมีการกระทำความผิดฐานก่อ การร้าย เนื่องจากใช้อาวุธร้ายแรงจนทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก โดยเฉพาะการเสียชีวิตของนายฮิโรยูกิมีรายละเอียดมากกว่าที่นายจตุพรระบุ และยืนยันว่าเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นก็พอใจการชี้แจงของดีเอสไอ แต่ก่อนหน้านี้นายธาริตกลับแถลงว่าข้อมูลของนายจตุพรเป็นของดีเอสไอจริงแต่ ไม่ใช่ทั้งหมด

ด้านนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตยและเครือข่ายประชาชนผู้ประสบเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน 2553 และคนเสื้อแดงกว่า 100 คน ได้เดินเท้าชูภาพถ่ายขนาดใหญ่ของนายฮิโรยูกิและนำมาวางตรงทางเข้าสถานเอก อัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย พร้อมช่อดอกกุหลาบสีแดงเพื่อไว้อาลัยให้แก่นายฮิโรยูกิ ก่อนจะอ่านแถลงการณ์ว่า ตลอดระยะ เวลา 7 เดือนที่ผ่านมาการสอบสวนหาสาเหตุการตายของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการ ชุมนุมไม่มีความคืบหน้า แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลต้องการเตะถ่วงและโอนคดีกันไปมาระหว่างสำนักงานตำรวจ แห่งชาติ (สตช.) กับดีเอสไอ ซึ่งมีพยานที่อยู่ในเหตุการณ์ 4 คนขณะที่นายฮิโรยูกิถูกยิงคือ ประชาชนที่อยู่ในเหตุการณ์ พ่อค้า แม่ค้า และหน่วยกู้ภัย

“ขอเรียกร้องไปยังรัฐบาลว่าอย่าข่มขู่พยานหรือโยกย้ายหลักฐาน หากนายอภิสิทธิ์ยังมีความเป็นมนุษย์ ยังมี จริยธรรม ควรเปิดเผยความจริง ไม่ใช่มัวแต่พูดโกหก หากทำไม่ได้ควรลาออกหรือยุบสภาไป หรือถ้าทำไม่ได้จริงๆควรยิงตัวตายตามประชาชนผู้ถูกสังหาร” นายสมยศกล่า

“ธิดา” ถก “คณิต” ปล่อยนักโทษแดง

ขณะที่ไม่มีผลการสอบสวนที่ชัดเจน แต่แกนนำคนเสื้อแดงกลับถูกฟ้องในข้อหาก่อการร้าย นอกจากนี้คนเสื้อแดงอีกนับร้อยยังถูกขังมานานกว่า 6 เดือนโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมปรกติ แม้แต่นายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ยังมีหนังสือเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ปล่อยตัวหรือปล่อยตัวชั่วคราวคนเสื้อ แดงทั้งหมดเพื่อนำไปสู่ความปรองดองอย่างแท้จริง แต่ไม่ได้รับคำตอบใดๆจากรัฐบาล ล่าสุดนางธิดา ถาวรเศรษฐ์ รักษาการประธานกลุ่ม นปช. ได้หารือกับนายคณิตเพื่อค้นหาความจริงของเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” รวมทั้งยื่นแถลงการณ์ นปช. เพื่อให้ปล่อยตัวนักโทษการเมืองออกมาต่อสู้คดีในชั้นศาล

นางธิดายืนยันว่า ความจริงเท่านั้นที่จะเป็นทางออกจากวิกฤตประเทศ แต่ต้องรวดเร็วเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ถ้าคนเสื้อแดงผิดก็ยอมรับผิด ซึ่งที่ผ่านมานายอภิสิทธิ์อ้างว่าเคยให้ความช่วยเหลือคนเสื้อแดงไปแล้วนั้น นายอภิสิทธิ์พูดถูกเพียงครึ่งเดียว เพราะที่ผ่านมารัฐบาลช่วยเหลือเพียงการไถ่ถามความเป็นอยู่ ไม่เคยถามถึงคดี หรือความขัดแย้งทางการเมืองแม้แต่ครั้งเดียว มีเพียงกลุ่มคนเสื้อแดงที่ช่วยเหลือกันเอง

ล่าชื่อไล่ “ธาริต”

ประเด็นที่ต้องติดตามคือหลังจากนายจตุพรเปิดเผยการสอบสวนของดีเอสไอที่ ระบุว่ามีเจ้าหน้าที่ทหารเข้าไปเกี่ยวข้องกับการยิงประชาชนก็มีข่าวว่านาย ทหารในกองทัพไม่พอใจอย่างยิ่ง และเสนอให้ปลดนายธาริตออกจากตำแหน่ง แต่ล่าสุดนายอภิสิทธิ์ยืนยันว่าไม่มีการปลดนายธาริตแน่นอนเพราะทำงานดี

อย่างไรก็ตาม นางพะเยาว์ อัคฮาด มารดา น.ส.กมนเกด อัคฮาด หรือ “น้องเกด” พยาบาลอาสาที่ถูกยิงเสียชีวิตในวัดปทุมฯ ประกาศจะรวบรวมรายชื่อ 5,000-10,000 รายชื่อ เพื่อยื่นให้สำนักนายกรัฐมนตรีปลดนายธาริตออกจากตำแหน่ง รวมทั้งจัดตั้งเป็นองค์กรอิสระเคลื่อนไหวเรียกร้องความยุติธรรมให้กับผู้ เสียชีวิตและบาดเจ็บ นอกจากนี้จะติดต่อญาติของนายฮิโรยูกิและญาติของนายฟาบิโอ โปเลนกี ช่างภาพอิสระชาวอิตาลี ที่ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม มาร่วมกันเคลื่อนไหวด้วย

อำนาจแห่งกองทัพ

จากความจริงที่เริ่มปรากฏมากขึ้นเรื่อยๆในการสังหารโหด 91 ศพ และรายงานของ AHRC ที่เผยแพร่ไปทั่วโลกถือเป็นการตอกย้ำให้เห็นชัดเจนว่าประเทศไทยวันนี้ยัง เต็มไปด้วยความขัดแย้งที่รุนแรง และการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงภายใต้ “รัฐทหาร” แม้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์จะพยายามสร้างภาพและโฆษณาชวนเชื่อให้ประชาชนหลงเชื่อ ว่าเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยที่มาจากประชาชน เป็นรัฐบาลที่ทำงานหนัก เป็นผู้นำที่มีความซื่อสัตย์สุจริตและเป็นคนดีก็ตาม

โดยเฉพาะการเดินสายที่อ้างว่าต้องการสร้างความปรองดองเพื่อทำให้บ้าน เมืองกลับสู่ความสงบสุข หลังจากนั้นจะยุบสภาให้มีการเลือกตั้งนั้น ทั้งหมดเป็นแค่วาทกรรมที่ไม่ใช่แค่คนไทยเท่านั้น แต่ประชาคมโลกเองก็เชื่อว่าเป็นการโกหกตอแหลและยื้อเวลาเพื่อให้ตนเองอยู่ใน อำนาจให้นานที่สุดที่สำคัญการเมืองการปกครองไทยวันนี้ไม่มีกลไกใดๆที่จะ สามารถตรวจสอบการกระทำของรัฐบาลและภาครัฐ เพราะแม้แต่กระบวนการยุติธรรมไม่ใช่แค่ 2 มาตรฐาน แต่สามารถบิดเบือนเป็นกี่มาตรฐานก็ได้

เนื่องจากอำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่รัฐบาลและ ศอฉ. นำมาใช้ปราบปรามไล่ล่าคนเสื้อแดงและฝ่ายตรงข้ามนั้นไม่ต่างกับกฎหมายเผด็จ การที่มีอำนาจเหนือกฎหมายรัฐธรรมนูญเช่น เดียวกับอำนาจของกองทัพที่เป็นเหมือนเปลือกหอยคุ้มครองรัฐบาลก็ไม่มีกลไก หรือใครกล้าแตะต้อง เสียงของผู้นำกองทัพ โดยเฉพาะผู้บัญชการทหารบกจึงไม่ต่างกับ “ดาบอาญาสิทธิ์” ที่ผู้คนเกรงกลัวยิ่งกว่าเสียงของนายกรัฐมนตรีและองค์กรต่างๆ

จึงไม่น่าแปลกใจที่การจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพที่มีข่าวความไม่ โปร่งใสต่างๆจะไม่มีระบบตรวจสอบ แม้จะมีคณะกรรมการจัดซื้ออาวุธที่จัดตั้งขึ้นมาในแต่ละครั้งก็เป็นเพียงการ ตั้งเป็นพิธีเพื่อให้ดูดีเท่านั้น แต่ในทางปฏิบัติการจัดซื้ออาวุธเกือบทุกครั้งล้วนมีการตัดสินใจในระดับ ผู้ใหญ่ในกองทัพล่วงหน้ามาแล้วทั้งนั้น โดยเฉพาะช่วงก่อนเกษียณของนายทหารในกองทัพจะกลายเป็นประเพณีที่ต้องมี โครงการจัดซื้ออาวุธแบบทิ้งทวนเพื่อ “นาย” โดยไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องของคุณภาพว่าจะเหมาะสมหรือไม่เพียงใดกับภารกิจ

ข่าวฉาวการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จึงเงียบหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการจัดซื้อเครื่องตรวจระเบิดจีที 200 ที่ถูกประชดเป็น “ไม้ล้างป่าช้า” มูลค่านับพันล้านบาท การจัดซื้อรถเกราะกันกระสุน 96 คันจากยูเครน มูลค่าเกือบ 4,000 ล้านบาท เรือเหาะตรวจการณ์สกายดรากอน มูลค่ากว่า 350 ล้านบาท ที่เคยถูกระงับการจัดซื้อเพราะผิดสเปก และเมื่อนำมาใช้กลับพบรอยรั่วซึมหลายจุด จนวันนี้ไม่รู้ว่ายังสามารถใช้ปฏิบัติภารกิจได้จริงหรือไม่ โครงการจัดหาเฮลิคอปเตอร์ขนาดเบาสำหรับฝึกรบจำนวน 16 ลำแบบเหมารวม (Total Package) มูลค่าประมาณ 1,100 ล้านบาท การจัดซื้อเครื่องบินกริพเพนพร้อมยุทโธปกรณ์ และการฝึกอบรมเทคโนโลยีทางอากาศ งบประมาณในการจัดซื้อกว่า 16,000 ล้านบาท ฯลฯ

รัฐทหารยืนยัน “โลกแบน”?

ความอัปลักษณ์ของการเมืองไทยและสถานการณ์ ความขัดแย้งที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยคงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเป็น ผลพวงมาจากการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) อ้างเรื่องความมั่นและการทุจริตคอร์รัปชันของฝ่ายการเมืองและกลุ่มอำนาจ ต่างๆ แต่วันนี้ผู้นำกอง ทัพก็ถูกตั้งคำถามกลับเช่นกันว่ากองทัพเคยปัดกวาดบ้านของตัวเองหรือไม่

แม้อำนาจของกองทัพวันนี้ยังไม่มีใครกล้าแตะต้อง เพราะบ้านเมืองไม่ต่างกับอยู่ภายใต้ “รัฐทหาร” แต่เมื่อถึงวันฟ้าเสื่อม แผ่นดินสลาย วันนั้นจะไม่มีอำนาจใดที่อยู่ค้ำฟ้าและปกปิด “ความจริง” ได้ เช่นเดียวกับ 91 ศพที่ถูกสังหารอย่างเลือดเย็นในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต”
แม้รัฐบาล “หุ่นเชิด” จะพยายามโฆษณาชวน เชื่อและมอมเมาด้วยสื่อรัฐ เตะถ่วง ปิดบัง และบิด เบือนความจริงต่างๆ

วันนี้อาจมองเหมือนว่าประชาชนคนไทยโง่ หูหนวก ตาบอด โง่กว่าชนชั้นศักดินา หรือคิดไม่เป็นและปกครองตนเองไม่ได้ เพราะอำนาจเผด็จการจาก “รัฐทหาร” ที่เอาปืนและกฎหมาย 2 มาตรฐานมากดหัวประชาชน แม้แต่อำนาจตุลาการยังถูกเปรียบเหมือนแค่ “ศาลพระภูมิ” หรือ “ศาลเจ้า” ความยุติธรรมกลายเป็นเรื่อง “เทคนิคข้อกฎหมาย” มากกว่า “ข้อเท็จจริง” ว่าใครผิด ใครถูก ใครทำดี ใครทำชั่ว

องค์กรอิสระต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ศาลปกครอง และศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อตรวจสอบถึงที่มาจะพบว่าออกมาจาก “มดลูก” ของ คมช. แทบทั้งสิ้น คำถามเรื่องความยุติธรรมและความเป็นธรรมจึงไม่เคยได้รับคำตอบ

ในยุครัฐบาลทักษิณ ที่ถูกเรียกว่า “ระบอบทักษิณ” ถูกกล่าวหาอย่างหนักในเรื่อง “การแทรกแซงองค์กรอิสระ”

แต่ในยุค “ระบอบอภิสิทธิ์” หรือ “ระบอบเทวดา” วันนี้ไม่ใช่เพียงแค่ “แทรกแซง” แต่เป็นการ “ผสมเทียม” ฝังตัวอ่อนใน “มดลูกของ คมช.” ก่อกำเนิดออกมาเป็นองค์กรอิสระพันธุ์ใหม่ที่ “ฉุกเฉิน” และ “มั่นคง” ยิ่งนัก

“คนดี” ในวันนี้จึงเป็นคนดีที่มิอาจปฏิเสธได้ว่าเกิดจากการสร้างภาพผ่านสื่อเช้า สาย บ่าย ค่ำ มิเคยถูกตรวจสอบ และมิอาจตรวจสอบได้

รัฐไทยจึงเป็น “รัฐทหาร” ที่คนไทยพูดไม่ได้

ชนชั้นกลาง ชั้นสูง ชนชั้นศักดินาที่มีการศึกษาสูง อ่านและรู้ภาษาอังกฤษหรือภาษาต่างประเทศคงหวานอมขมกลืนเมื่อ “รู้ทั้งรู้” ว่าอะไรเป็นอะไร เมื่อได้รับรู้ข่าวสารที่ไร้พรมแดนผ่านทางอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะเว็บไซต์จอมแฉอย่าง “วิกิลีกส์” ที่ไม่สนพญาอินทรีหรือหมีขาว ไม่สนว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้านของชาติไหน ยุคไหน และไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ

แต่กลับน่าแปลกใจว่า “ชาวบ้านร้านตลาด” ที่มิได้มีการศึกษาสูงศักดิ์กลับกลายเป็นผู้หูตาสว่างมากกว่าผู้ที่ยกตนว่า เป็นคนชั้นกลาง คนชั้นสูงยิ่งนัก

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...คนเชื่อว่า “โลกแบน”...กาลวันนี้...ที่ประเทศไทยคนก็ยังเชื่อว่า “โลกแบน”...เพราะคนที่เชื่อว่า “โลกกลม” อาจได้รับการดูแลเป็นพิเศษจนไม่กล้าเชื่อ

การปกครองภายใต้ “รัฐทหาร”...บอกว่า “โลกแบน” ก็ต้อง “แบน”...อย่าเชื่อเป็นอื่นโดยเด็ดขาด!

เพราะที่นี่คือ “ประเทศไทย” THAILAND...Land of Smile!!



ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 290 วันที่ 18-24 ธันวาคม พ.ศ. 2553 หน้า 16 คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน
update: 2010-12-20

วันอังคาร, ธันวาคม 21, 2553

การชุมนุมเพื่อต่อต้านรัฐ(Protest)กับการชุมนุมเพื่อก่อการจลาจลต่อรัฐ(Riot)




บทความโดย ยินดี วัชรพงศ์ ต่อสุวรรณ
ที่มาบทความ: มติชนออนไลน์(update:วันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ.2553 เวลา17:45:42 น.)

บทความนี้ผู้เขียนมิได้มีเจตนาจะก่อให้เกิดผลกระทบกับผู้ใด แต่เมื่อเกิดข้อเท็จจริงในบ้านเมือง ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่เป็นปัญหาข้อกฎหมายสำคัญ ผู้เขียนมีเจตนาที่จะเสนอข้อคิดเห็นทางวิชาการต่อสาธารณชนเพื่อประโยชน์ใน ทางวิชาการ

ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 63 บัญญัติว่า “ บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ

การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะในกรณีการชุมนุมสาธารณะและเพื่อคุมครองความสะดวกของประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะ หรือเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในระหว่างที่ประเทศอยู่ในภาวะสงคราม หรือในระหว่างเวลาที่มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือประกาศใช้กฎอัยการศึก ”

ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยจะเห็นได้ว่า การชุมนุมสาธารณะหรือการชุมนุมในที่สาธารณะจะกระทำไม่ได้เลย แม้จะเป็นการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธก็ตาม เพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติให้บุคคลมีเสรีภาพในการชุมนุมในที่สาธารณะไว้ แต่อย่างใด ดังนั้นการชุมนุมในที่ซึ่งไม่ใช่เป็นที่สาธารณะหรือเป็นที่สาธารณะที่ไม่มี ประชาชนใช้ที่สาธารณะนั้น การชุมนุมย่อมกระทำได้โดยสงบและปราศจากซึ่งอาวุธ การกำจัดเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธในที่ซึ่งมิใช่เป็นที่ สาธารณะหรือในที่สาธารณะที่ไม่มีประชาชนใช้นั้น จึงไม่อาจกระทำได้ไม่ว่าในกรณีใด

เสรีภาพในการชุมนุม สาธารณะหรือการชุมนุมในที่สาธารณะ ไม่อาจกระทำได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 63 วรรคสอง เพราะขณะนี้ยังไม่มีกฎหมาย (ที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติ)ออกใช้บังคับในกรณีการชุมนุมสาธารณะ เพื่อคุ้มครองความสะดวกของประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะไว้แต่อย่างใด เมื่อยังไม่มีกฎหมายออกมาคุ้มครองความสะดวกของประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะใน กรณีที่มีการชุมนุมสาธารณะแล้ว บุคคลผู้ชุมนุมจะใช้สิทธิและเสรีภาพของตนเองได้เท่าที่ไม่ละเมิดต่อสิทธิและ เสรีภาพของบุคคลอื่น ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 28 วรรคแรก เท่านั้น

เสรีภาพในการชุมนุมของผู้ชุมนุมกับเสรีภาพของบุคคลอื่นที่จะต้องมีความ สะดวกในการใช้ที่สาธารณะ และสิทธิเสรีภาพอื่นๆของบุคคลที่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญเป็นเสรีภาพที่ เท่าเทียมกันซึ่งจะกระทำละเมิดต่อกันไม่ได้ การชุมนุมในที่สาธารณะจึงกระทำไม่ได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 63 ดังกล่าว และเมื่อมีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินใช้บังคับโดยฝ่ายบริหารแล้ว การชุมนุมสาธารณะหรือการชุมนุมในที่สาธารณะจึงไม่อาจกระทำได้โดยเด็ดขาดใน เขตที่ประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉิน

การชุมนุมสาธารณะ (ในขณะที่ฝ่ายนิติบัญญัติยังไม่ได้ออกกฎหมายให้มีการชุมนุมสาธารณะใช้บังคับ นั้น ) การชุมนุมสาธารณะจะกระทำได้ จะต้องเป็นการใช้สิทธิตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ อันเป็นสิทธิที่รัฐธรรมนูญได้รับรองไว้ หรือมีหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติให้มีหน้าที่ไว้ในรัฐธรรมนูญเท่านั้น เช่นรัฐธรรมนูญ มาตรา 69 ซึ่งบัญญัติให้บุคคลมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธีจากการกระทำใดๆเพื่อให้ได้มา ซึ่งอำนาจการปกครองโดยวิธีการที่มิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐ ธรรมนูญ

หรือในกรณีที่เกิดความล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐ (ซึ่งก็คือรัฐบาล) ที่ไม่เป็นไปตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญในหมวด 5 ส่วนที่ 1 - ส่วนที่ 10 ซึ่งประชาชนมีหน้าที่ตามบริบทที่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ที่ ให้ประชาชนมีบทบาทและมีส่วนร่วมในการปกครองและตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐอย่าง เป็นรูปธรรม และมีหน้าที่ตามที่ได้บัญญัติไว้ในหมวด 4 ในเรื่อง “ หน้าที่ของชนชาวไทย” ตามมาตรา 70 -74 การชุมนุมสาธารณะจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อเป็นการชุมนุม เพราะผู้ชุมนุมมีสิทธิและหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญเท่านั้น และต้องเป็นการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ การชุมนุมสาธารณะแม้กระทำโดยสงบและปราศจากอาวุธก็มีความผิด

หากไม่มีข้ออ้างซึ่งสิทธิและหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญมาเป็นเหตุแห่งการ ชุมนุม เพราะการชุมนุมดังกล่าวไปกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพและศักดิ์ศรีในความเป็น มนุษย์ของบุคคลอื่น ซึ่งรัฐธรรมนูญได้บัญญัติรับรองสิทธิของบุคคลไว้ในหมวด 3 ว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย ( มาตรา 26 -มาตรา 69 ) และได้บัญญัติจำกัดสิทธิและเสรีภาพของผู้ชุมนุมไว้ตามมาตรา 28 วรรคแรก

แม้บุคคลจะมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ ตามมาตรา 63 วรรคแรกก็ตาม แต่ก็ไม่มีสิทธิและเสรีภาพที่จะไปละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่นได้ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 28 วรรคแรก

หากปรากฏว่าการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐล้มเหลว ไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปตามแนวนโยบายพื้นฐานของรัฐ เช่นไม่อาจรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงของรัฐ (รัฐธรรมนูญ มาตรา 77 ) หรือไม่อาจควบคุมให้มีการรักษาวินัยการเงินการคลังไว้ให้มีเสถียรภาพและความ มั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศได้ [ รัฐธรรมนูญ มาตรา 84 (3) ] หรือไม่มีประสิทธิภาพในการจัดให้มีแผนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเป็น ระบบ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมได้ [ รัฐธรรมนูญ มาตรา 85 (4) ] และ ฯลฯ ความล้มเหลวที่ไม่สามารถดำเนินการบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปตามแนวนโยบาย พื้นฐานแห่งรัฐ ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งในหมวด 5 จึงเป็นกรณีที่รัฐ( ซึ่งหมายถึงรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง ) ไม่ทำหน้าที่ของรัฐตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ

และการไม่ปฏิบัติหน้าที่ของรัฐตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ บุคคลหรือประชาชนย่อมมีสิทธิและหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญที่สามารถแสดงบทบาท และเข้าไปมีส่วนร่วมในการปกครองและตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐอย่างเป็น รูปธรรม โดยมีการชุมนุมสาธารณะแสดงความคิดเห็นต่อต้าน ( Protest ) เพื่อบังคับ กดดันให้รัฐกระทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญได้ การใช้สิทธิและหน้าที่ของประชาชนในการชุมนุมสาธารณะดังกล่าวเป็นสิทธิและ หน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ตามที่บัญญัติไว้ในบริบทและตามรัฐธรรมนูญในหมวดหน้าที่ของชนชาวไทย

แต่จะต้องมีเหตุเกิดขึ้นอันเนื่องมาจากการที่รัฐ ( รัฐบาลและหน่วยงานที่มีหน้าที่ ) ไม่ได้บริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปตามแนว ตามนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐนั้นแล้ว การกระทำดังกล่าวของประชาชนจึงไม่ก่อให้เกิดการกระทำความผิดใดๆ ไม่เป็นการละเมิดต่อสิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคลของบุคคลอื่น( ที่ไม่ได้มาร่วมชุมนุม) ตามที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคลไว้ ในหมวดที่ 3 ซึ่งว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย และการชุมนุมดังกล่าวไม่เป็นความผิดฐานกีดขวางทางจราจร ไม่เป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ เป็นต้น

การชุมนุมต่อต้านเพื่อบังคับกดดันเรียกร้องให้รัฐต้องปฏิบัติหน้าที่ตาม รัฐธรรมนูญนั้น เป็นการกระทำเพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคลของบุคคลอื่นซึ่งเป็น ประชาชนและไม่มาร่วมชุมนุมด้วยเช่นกัน ซึ่งอาจถือได้ว่าผู้ชุมนุมได้ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์แห่งสาธารณ ชน ( Public Interest ) นั้นด้วย การกระทำโดยมีสิทธิและหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ และมีเหตุเนื่องมาจากการที่รัฐไม่ปฏิบัติหน้าที่ของรัฐตามรัฐธรรมนูญหรือ ปฏิบัติหน้าที่โดยขัดต่อรัฐธรรมนูญ การชุมนุมดังกล่าวเป็นการกระทำที่ไม่เป็นความผิดทั้งทางแพ่งและทางอาญาใดๆ เพราะเป็นการใช้สิทธิโดยมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย


อย่างไรจึงถือว่ารัฐ (รัฐบาล หรือ องค์กรของรัฐ) ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ อันเป็นการไม่ปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญในการบริหารราชการแผ่นดิน เพราะแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐไม่ว่าจะเป็นนโยบายด้านความมั่นคงของรัฐ หรือด้านอื่นใด ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 75 - 87 นั้น เป็นกรอบที่รัฐต้องปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ตามโอกาสและตามจังหวะที่ต้อง ปฏิบัติในการบริหารงานของประเทศเท่านั้น


การจะถือว่ารัฐไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญในกรณีดังกล่าว จึงขึ้นอยู่กับการทำหน้าที่ของรัฐในสถานการณ์หนึ่งๆนั้นว่า รัฐได้กระทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในเรื่องนั้นๆ ด้วยความจริงใจ โดยสุจริตให้เป็นที่น่าเชื่อถือ ( Good Faith ) หรือไม่ และการกระทำการต่างๆดังกล่าวของรัฐนั้นได้สร้างความน่าเชื่อถือและความไว้ วางใจ ( Credit ) ให้กับประชาชนได้หรือไม่ เพียงใด


ถ้าการกระทำของรัฐดังกล่าวได้ดำเนินการในลักษณะที่ไม่สุจริต จริงใจ หรือมีพฤติการณ์ของการกระทำอันเป็นที่ไม่น่าเชื่อถือศรัทธาและไม่เป็นที่น่า ไว้วางใจของประชาชนปรากฏให้เห็นโดยชัดเจนแล้ว ประชาชนย่อมมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่จะชุมนุมเพื่อต่อต้านการกระทำของรัฐที่ ไม่ปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญได้ เพราะรัฐไม่มีสิทธิที่จะบริหารราชการแผ่นดินโดยขัดต่อแนวนโยบายพื้นฐานแห่ง รัฐตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็คือรัฐบาลบริหารราชการแผ่นดินโดยขัดต่อนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงต่อ รัฐสภานั่นเอง


กรณีดังกล่าวย่อมแตกต่างกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานที่เกี่ยว ข้องไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ อันเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งเจ้าหน้าที่ของรัฐอาจจะต้องรับผิดชอบในการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ หน้าที่โดยไม่ชอบอันจะเป็นความผิดอาญาด้วยตนเองหรือไม่นั้น เป็นคนละกรณีกัน เพราะมีอำนาจในการบริหารงานแผ่นดินทับซ้อนกันอยู่ โดยหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องต้องปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล

กรณีจึงขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนั้นได้รู้หรือ ไม่ว่า รัฐบาลได้บริหารราชการแผ่นดินที่เกี่ยวกับหน่วยงานนั้น โดยขัดต่อแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 75 - 87 หรือไม่ ( ซึ่งไม่ใช่เฉพาะมาตราที่มีชื่อเกี่ยวกับงานของกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง แต่ทุกองคาพยบของหน่วยงานของรัฐต้องปฏิบัติงานในหน้าที่ให้เป็นไปตามแนว นโยบายแห่งรัฐตามรัฐธรรมนูญมาตรา 75 – 87 ทั้งสิ้น )


และหากปรากฏว่าหน่วยงานของรัฐนั้นได้รู้แล้วว่า รัฐบาลไม่ได้บริหารงานราชการแผ่นดินให้เป็นไปตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐตาม รัฐธรรมนูญแล้วแต่ยังขืนกระทำไป หน่วยงานของรัฐนั้นก็ต้องรับผิดชอบในการกระทำดังกล่าวด้วย การชุมนุมของประชาชนเพื่อต่อต้านการกระทำของรัฐรวมทั้งองค์กรของรัฐ แม้เป็นการชุมนุมในที่สาธารณะ ( แต่ต้องโดยสงบและปราศจากอาวุธ ) ก็กระทำได้ทั้งสิ้นโดยไม่มีความผิด เพราะเป็นการใช้สิทธิและมีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ อันมีผลจากการกระทำของรัฐ ซึ่งมีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ทำหน้าที่ของตนตามรัฐธรรมนูญ



การชุมนุมสาธารณะของประชาชนโดยไม่มีข้ออ้างถึงการกระทำใดๆที่รัฐได้กระทำ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่ บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ หรือไม่มีข้ออ้างที่รัฐมิได้ปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ตามที่รัฐบาลมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามแนวนโยบายพื้นฐานของรัฐ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 69 และรัฐธรรมนูญมาตรา 75 – 87 แต่มีการชุมนุมโดยอ้างว่าชุมนุมเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย โดยไม่ปรากฏว่ามีการกระทำของรัฐบาลที่ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามหลัก ประชาธิปไตยอย่างไร การชุมนุมดังกล่าวย่อมขัดต่อรัฐธรรมนูญและไม่ชอบด้วยกฎหมาย


แต่ถ้าการชุมนุมเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยเพราะรัฐบาลไม่ปฏิบัติหน้าที่ตาม รัฐธรรมนูญ โดยเลือกปฏิบัติต่อผู้ต้องขังโดยไม่เป็นธรรม รัฐบาลเข้าไปช่วยเหลือดำเนินการด้วยการใช้อำนาจฝ่ายบริหารดำเนินการประกัน ตัวผู้ต้องขัง ด้วยการใช้เงินหลวงประกันตัวผู้ต้องขังเฉพาะผู้ต้องขังบางคน บางกลุ่ม โดยไม่ได้ช่วยเหลือผู้ต้องขังทั่วประเทศ หรือไม่ได้วางมาตรฐานการช่วยเหลือผู้ต้องขังไว้ให้มีมาตรฐานการช่วยเหลือ อย่างเดียวกันไว้เช่นนี้แล้ว ประชาชนย่อมชุมนุมเรียกร้องให้รัฐปฏิบัติต่อผู้ต้องขังอย่างเสมอภาคได้ เพราะการเลือกปฏิบัติต่อผู้ต้องขังดังกล่าว เป็นการกระทำของรัฐที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 30 เพราะเป็นการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ไม่เป็นประชาธิปไตย หรือมีการ ชุมนุมโดยอ้างว่าเพื่อรำลึกวันครบรอบวันตายของบุคคลคนหนึ่ง หรือมีการชุมนุมเพื่อรำลึกวันสำคัญครบรอบการชุมนุมรอบ 3 เดือน หรือ 6 เดือน ฯลฯ


การชุมนุมดังกล่าวมิใช่เป็นการชุมนุมต่อต้านการทำหน้าที่โดยไม่ชอบหรือละเว้นการทำหน้าที่ของรัฐที่ต้องทำตามรัฐธรรมนูญ แต่อย่างใดไม่ แต่การชุมนุมดังกล่าวเป็นการแสดงออกของการใช้อำนาจที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งมีลักษณะเป็นการก่อความไม่สงบ ก่อความอลหม่านอันเป็นการจลาจล ( Riot ) โดยฝูงชน ( mob ) เท่านั้น


การก่อความไม่สงบโดยฝูงชนหรือการเรียกฝูงชนมาชุมนุมเพื่อให้มีประชาชนมารวม ตัวกันจำนวนมากเพื่อให้เป็นม็อบเพื่อก่อความอลหม่าน วุ่นวายของประชาชนโดยทั่วไป ทำให้ประชาชนต้องงดเดินทางหรือต้องหาทางสัญจรใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงการชุมนุม ที่จะเกิดขึ้นดังกล่าว ต้องปิดร้านค้างดการทำมาหาได้เพื่อการยังชีพของประชาชน งดไปโรงเรียนเพื่อความปลอดภัยของลูกหลาน รัฐต้องระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อรักษาความปลอดภัยให้แก่ประชาชน เพราะไม่อาจคาดคิดได้ว่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น ทั้งในกลุ่มผู้ชุมนุมเองหรือกับความปลอดภัยของประชาชน และสถานที่ในบริเวณนั้นหรือไม่ ความอลหม่านวุ่นวายได้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชนดังกล่าว


แม้ผู้ชุมนุมจะชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธก็ไม่อาจกระทำได้ เพราะเป็นการชุมนุมสาธารณะหรือกระทำในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุอันเกิดจากการ บริหารราชการแผ่นดินของรัฐที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ เป็นการชุมนุมที่ปราศจากซึ่งสิทธิและหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญที่ได้บัญญัติ ให้มีสิทธิหรือมีหน้าที่ไว้ การชุมนุมในลักษณะดังกล่าวจึงเป็นการกระทำที่ไม่เป็นประชาธิปไตยขัดต่อรัฐ ธรรมนูญและขัดต่อกฎหมาย และเป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพโดยละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน อันเป็นการขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 28 วรรคแรก


(เรื่องโดย ยินดี วัชรพงศ์ ต่อสุวรรณ อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา)

ทหารใช้ปืนสไนเปอร์ยยิง นปช หน้าสนามมวยลุมพินี15 05 10



Ref: RedHeart2553 | May 16, 2010

จูเลี่ยน อัสซานจ์เผยวิธีแฉข้อมูลลับ



จูเลี่ยน อัสซานจ์เผยวิธีแฉข้อมูลลับ

ในประเทศไทยมีการนำคลิปวีดีโอที่เขาให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ชื่อดังมาเผยแพร่ ซึ่งอัสซานจ์ ระบุว่า สื่อมวลชนทั่วโลกจำเป็นต้องเปิดเผยข้อเท็จจริง เพื่อประโยชน์ของสาธารณะ


Source: Produced by VoiceTV by VoiceNews
(update: 18 ธันวาคม 2553 เวลา 21:05 น.)

วันจันทร์, ธันวาคม 20, 2553

ทำไมการเมืองบ้านเราจึงพัฒนาช้า

บทความโดย: วีรพงษ์ รามางกูร จากคอลัมน์: คนเดินตรอก

เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2553 นี้ สถาบันศึกษาการพัฒนาประชาธิปไตยและมูลนิธิคอนราด อเดนาวร์ ได้เชิญให้ไปแสดงปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ"นักการเมืองรุ่นใหม่กับแนวทางพัฒนา ประชาธิปไตยในอนาคต" ก่อนจะไปแสดงปาฐกถาต้องนั่งเรียบเรียงความคิดและใช้เวลากลั่นกรองเป็นเวลา นาน เพราะการแสดงความคิดความเห็นเดี๋ยวนี้ต้องระมัดระวังก็เลยอยากมาเล่าไว้ที่ นี้ด้วย

การพัฒนาประชาธิปไตยในยุคโลกาภิวัตน์นี้เป็นเรื่องที่มีความ จำเป็นเสียแล้ว เพราะประเทศเราถอยหลังมาไกลตั้งแต่มีรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 มีการใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มีการแก้กฎหมายต่าง ๆ ตลอดจนการบรรจุคนเข้าไปในองค์กรอิสระต่าง ๆ ก็ล้วนแต่เป็นผู้คนที่มีความคิดไปในทางเดียวกันหมด

การจะหยุดอยู่ อย่างนี้ไม่พัฒนาไปสู่ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยคงเป็นไปได้ยาก เพราะระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอย่างประเทศอังกฤษ อเมริกา หรือฝรั่งเศส ได้กลายเป็นกระแสของโลกไปเสียแล้ว การจะมีระบอบประชาธิปไตยแบบของเรานั้นไม่น่าจะเป็นไปได้

การเชื่อม โยงกันในกระบวนการผลิต การแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ การโทรคมนาคม การสื่อสารมวลชนได้ทำลายกำแพงระบอบการปกครองที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยไป อย่างกว้างขวาง ประเทศเล็ก ๆ อย่างประเทศไทยคงจะทวนกระแสโลกาภิวัตน์ไม่ได้

หาก จะทวนกระแสก็คงจะประสบกับปัญหาต่าง ๆ ซึ่งเกิดจากการต่อต้านของสังคมชาวโลก พัวพันไปถึงการกีดกันการค้า การเจรจาธุรกิจ การเงิน เกียรติภูมิของชาติ นับวันมีแต่จะยิ่งลุกลามเข้ามา ซึ่งป้องกันได้ยากหรือปิดบังไม่ได้เลยหากไม่ยอมรับความจริงอันนี้ ความยุ่งยากก็จะเกิดขึ้น การปกครองแบบประชาธิปไตยซึ่งเคยมีผู้กล่าวว่า "ไม่ใช่ระบอบการปกครองที่ดีที่สุด แต่เป็นระบอบการปกครองที่เลวน้อยที่สุด" ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ก็ตาม สำหรับประเทศเล็กและมีประวัติศาสตร์การเมืองที่มาในแนวนี้ และได้เลือกสังกัดค่ายเสรีประชาธิปไตยมาตั้งแต่สมัยสงครามเย็นหรือก่อนหน้า นั้นเป็นเวลานาน

ความจริงแล้วสังคมไทยนั้นเอื้ออำนวยในการพัฒนาประชาธิปไตยกว่าประเทศอื่นที่มีระดับการพัฒนาใกล้เคียงกันด้วยเหตุผล 4 ประการ คือ

1.ความ อดทนอดกลั้น คนไทยมีความอดทนอดกลั้นมากกว่าคนชาติอื่น ไม่มีความขัดแย้งกันในเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา ภูมิภาค คนจีนที่อพยพเข้ามาอยู่เมืองไทยคนไทยก็ไปแต่งงานด้วย ระยะเวลาเพียงชั่วคนเดียวลูกหลานก็เป็นคนไทย ไม่เคยมีการแบ่งแยกกันในเรื่องภูมิภาค

ที่สำคัญคือ ภายหลังสงครามเย็นอันเกิดจากกระแสที่มาจากต่างประเทศ ผู้ที่มีความคิดความเห็นต่างกันก็ได้รับการยอมรับ กลับเข้ามาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย บางคนกลับมาเป็นใหญ่เป็นโตในวงการเมือง เป็นพ่อค้านักธุรกิจ เดี๋ยวนี้ไม่มีใครพูดถึงความคิดที่แตกต่างแตกแยกกันอีกเลย

2.รู้จัก ประสานประโยชน์และประนีประนอม คุณลักษณะอันนี้ทำให้เราอยู่รอดเป็นเอกราช ไม่ได้ตกเป็นอาณานิคมของใคร รู้จักประสานประโยชน์กับต่างชาติหรือฝ่ายตรงกันข้าม จึงไม่ทำให้เกิดความรุนแรงขึ้น เมื่อคราวเกิดเรื่อง 14 ตุลา 16 ตุลา และพฤษภาทมิฬ ก็เป็นเรื่องระหว่างประชาชนกับกองทัพ ซึ่งสะสมจนสถานการณ์สุกงอมอย่างแท้จริง ไม่ใช่เกิดจากลักษณะของการเป็นผู้ชอบความรุนแรง

ลักษณะเช่นนี้สอด คล้องกับอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่ปฏิเสธความรุนแรง ชอบการเปลี่ยนแปลงอย่างสันติ ผู้นำส่วนใหญ่ ตั้งแต่สมัย 2475 เป็นต้นมาจะปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงความรุนแรง ด้วยเหตุนี้เราจึงรอดพ้นจากการยึดครองของญี่ปุ่นระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2

3.ความ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ความอดทนอดกลั้น การประสานประโยชน์ การรู้จักประนีประนอม ทำให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนในชาติ ช่วงไม่ถึงร้อยปีที่ผ่านมา ความแตกต่างทางด้าน เชื้อชาติ ไม่ว่าจะแขก จีน ญวน มอญ ลาว เขมร ต่างภาษา ต่างศาสนา ได้ถูกหล่อหลอมให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างแนบเนียน เป็น "เบ้าหลอมละลาย" หรือ "melting pot" ยิ่งกว่าอเมริกาเสียอีก

ถ้าจะ เกิดการแตกแยกก็ด้วยปัจจัยอื่น เช่น การได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมจากอำนาจรัฐ การได้รับการปฏิบัติตอบอย่างอยุติธรรม เช่น กรณีความแตกแยกระหว่างสงครามเย็น ปัญหาของพี่น้องมุสลิมทางภาคใต้ เป็นต้น เมื่อได้รับการแก้ไขปัญหาก็ยุติลง เมื่อมีการปฏิบัติเช่นว่าอีกก็เกิดปัญหาอีก แต่โดยปกติแล้วความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หรือที่ฝรั่งเรียกว่า "harmony" เป็นคุณลักษณะสำคัญอันหนึ่งของสังคมไทย

4.ความเป็นสังคมเปิด สังคมไทยเปิดให้กับคนทุกระดับที่ต้องการจะเปลี่ยนฐานะทางสังคมของตน จากสังคมระดับล่างขึ้นมาสู่สังคมระดับสูง ชาติกำเนิดไม่ได้เป็นเครื่องแบ่งชั้นวรรณะที่ตายตัวอีกต่อไป โดยเฉพาะตั้งแต่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี 2475 เป็นต้นมา นายทหารชั้นผู้ใหญ่ก็ล้วนมาจากชนชั้นระดับล่าง ไต่เต้าขึ้นมาจากการศึกษา ความมุมานะ ขยัน อดทน ตั้งใจทำงาน แสดงความสามารถจากผลงาน ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ก็มาจากครอบครัว คนชั้นล่างมากมาย ลูกหลานท่านเจ้าคุณ คุณพระคุณหลวงล้มหายตายจากสังคมไปเป็นเวลานานจนหมดความหมาย

บรรดา เศรษฐีเจ้าของกิจการ นายธนาคาร นักการเงิน นักอุตสาหกรรม พ่อค้า ผู้ส่งออก ล้วนมาจากผู้ที่สืบเชื้อสายชาวจีนที่อพยพหนีความยากจนมาตั้งรกรากสร้างฐานะ ขึ้นในประเทศไทย ร่ำรวยขึ้นมาจากความขยันหมั่นเพียร ประหยัดมัธยัสถ์ ส่งเสริมบุตรหลานให้มีการศึกษา รู้จักประสานประโยชน์กับผู้มีอำนาจรัฐเหมือน ๆ กับตระกูลร่ำรวยในอเมริกาและยุโรป

สังคมไทยจึงไม่ใช่สังคมปิด มีการ เปลี่ยนแปลงโยกย้ายถิ่นที่ประกอบอาชีพ ไปมาหาสู่กันตลอดเวลา ขณะนี้คนอีสาน คนไทยเชื้อสายจีน คนใต้ คนเหนือมีอยู่ ทั่วทุกภาคของประเทศไทย มิได้ติดอยู่กับถิ่นที่เกิดอีกต่อไป

5.ในขณะ เดียวกันก็เป็นประเทศที่เปิดรับ ซึมซับต่อวัฒนธรรม ความเปลี่ยนแปลง ความคิดทางการเมือง สังคม ความเสมอภาค เสรีภาพ มองเห็นความเป็น "อารยะ" ของต่างประเทศ

สังคมไทย ทั้งสังคมระดับสูง ระดับกลาง และระดับล่าง ไม่เคยมีปฏิกิริยาต่อต้านกระแสความรู้สึกนึกคิดอย่างรุนแรงต่อปรัชญาตะวันตก ไม่เคยต่อต้านกระแสวัฒนธรรมไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิทธิเสรีภาพ ประชาธิปไตย ความเป็นธรรมในสังคม ความเท่าเทียมกันในโอกาสการศึกษา การทำงาน สิทธิสตรีและเด็ก สิทธิมนุษยชน ความโปร่งใส ธรรมาภิบาล

ความจริงดู เหมือนจะล้ำหน้าตะวันตกเสียด้วย เช่น สภาวะโลกร้อน ประชาพิจารณ์ องค์กรอิสระ หากแต่เมื่อนำมาปฏิบัติในเรื่องต่าง ๆ แล้วจะได้ผลและประสบความสำเร็จแค่ไหนเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

มีความคิด ที่จะยกฐานะระบบการเมือง ยกระดับของสังคมให้เทียบเท่า "นานาอารยประเทศ" สุนทรพจน์ของผู้หลักผู้ใหญ่ก็มักจะเปรียบเทียบว่าประเทศของเรามีการพัฒนาใน ด้านต่าง ๆ เทียบเท่า "นานาอารยประเทศ" อยู่เสมอ เมื่อผู้นำหรือสื่อมวลชนต่างประเทศยกย่อง ก็เป็นความภูมิอกภูมิใจให้ยกขึ้นมากล่าวถึงตลอด

การเป็นสังคมเปิดต่อ ข้อมูลข่าวสาร ทำให้หนังสือพิมพ์และสื่อมวลชนแขนง ต่าง ๆ มีสิทธิเสรีภาพกว้างขวางกว่า นักสื่อสารมวลชนในภูมิภาคเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เป็นต้นมา ไม่มีสื่อมวลชนประเทศใดในภูมิภาคที่สามารถกล่าวโจมตีบริภาษผู้นำประเทศได้ รุนแรงเท่ากับสื่อมวลชนไทย แม้แต่ในช่วงเวลาที่มีประชาธิปไตย ไม่ว่าจะ "ครึ่งใบ" หรือ "เต็มใบ" การปิดกั้นด้วยการใช้อำนาจทั้งจากทางตรงหรือทางอ้อม แม้จะทำได้แต่ก็ไม่สามารถทำได้นานหรือทำได้ตลอดกาล

ในระยะ 30 ปีมานี้ การพัฒนาทางเศรษฐกิจได้ก้าวหน้าไปมาก โดยเฉพาะการยกเลิกภาษีขาออกรูปแบบต่าง ๆ ของสินค้าภาคการเกษตรหรือต่อเนื่องจากการเกษตร การลดค่าเงินบาททำให้เกษตรกรสามารถขายสินค้าการเกษตรได้ในราคาสูงขึ้นตาม ราคาตลาดโลก ไม่ว่าจะเป็นข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง น้ำตาล ไม้ยางพารา และ อื่น ๆ การเปลี่ยนนโยบายการส่งเสริมการลงทุนที่เน้นเพื่อการส่งออก อุตสาหกรรมที่ทดแทนการนำเข้า การสร้างถนนหนทางเข้าถึงพื้นที่การเกษตรทั่วประเทศ โครงการไฟฟ้าชนบท ประชากรกว่า 95 เปอร์เซ็นต์มีไฟฟ้าใช้ มีระบบชลประทานขนาดย่อย ชลประทานราษฎร์ โครงการ ขุดบ่อน้ำไว้ใช้ในตอนฝนทิ้งช่วง โครงการสาธารณสุขหมู่บ้าน โรงพยาบาลอำเภอ โรงพยาบาลตำบล โครงการสุขภาพดีทั่วหน้า ระบบการศึกษา การรณรงค์ให้คนรู้หนังสือ เกิดการเปลี่ยนแปลงในชนบทอย่างมหาศาล

ความก้าวหน้าและราคาที่ถูกลง ของเครื่องใช้ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือ ความทั่วถึงของหนังสือพิมพ์ การรับข่าวสารจากต่างประเทศผ่านดาวเทียมและอินเทอร์เน็ต ทั้งหมดทั้งปวงทำให้ชีวิตความเป็นอยู่แบบชนบทดั้งเดิมหายไป คนชนบทมีความเป็นอยู่ได้รับข้อมูลข่าวสารอันเดียวกันกับคนในเมือง ชีวิตชนบทดั้งเดิมที่แร้นแค้นได้ล่มสลายไปแล้ว แม้ว่านักวิชาการฝ่ายอนุรักษ์วิถีชีวิตแบบดั้งเดิมจะไม่ชอบก็ตาม

ทั้งหลายเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องส่งเสริมต่อการพัฒนาการเมืองให้เป็นระบอบ ประชาธิปไตยได้มากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค จีน บังกลาเทศ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน เกาหลีใต้ หรือแม้แต่อินเดียและศรีลังกา รวมทั้งกัมพูชา แต่การพัฒนาการเมืองของประเทศเหล่านี้กลับไปไกลกว่าเรา อย่างน้อยบทบาทของกองทัพก็ไม่ได้มีมากอย่างของเรา การปฏิวัติรัฐประหารไม่เคยเกิดขึ้นหรือไม่ก็ว่างเว้นมานานมากแล้ว แต่ของเรากองทัพยังเข้ามามีบทบาทในขบวนการการเมืองอยู่ การพัฒนาการเมืองจึงหยุดชะงัก ขณะนี้เรามีนักโทษการเมืองที่ถูกจับกุมคุมขังทั่วประเทศตาม พ.ร.บ.สถานการณ์ฉุกเฉินเป็นจำนวนมากกว่าประเทศใดในภูมิภาค ยกเว้นพม่าประเทศเดียว

ประเทศของเรามีการพัฒนาการเมืองค่อนข้างช้า มาก และหยุดชะงักเป็นช่วง ๆ มาเรื่อย ๆ ไม่มีความต่อเนื่องเพราะกลุ่มผู้นำของประเทศไม่ได้ให้น้ำหนัก ไม่มีความเชื่อมั่นในระบบประชาธิปไตย มุ่งแต่จะมีอารมณ์ในตัวบุคคลที่มาเป็นผู้นำมากกว่าระบบ กลุ่มต่าง ๆ ที่เป็นกลุ่มผู้นำของประเทศ อันได้แก่

1.กลุ่มปัญญาชนไม่ได้มีจิตวิญญาณเป็นนักประชาธิปไตย หลาย ๆ ครั้งลื่นไหลไปตามกระแสที่ฝ่ายต่อต้านประชาธิปไตยปลุกระดมขึ้น จะเห็นได้จากการที่อธิการบดีมหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่งออกมาประกาศจุดยืน อย่างแจ้งชัดว่าสนับสนุนกองทัพให้ทำการปฏิวัติ คณบดีคณะรัฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่งก็ประกาศจุดยืนตรงกันข้ามกับ ขบวนการประชาธิปไตย ปฏิเสธการเลือกตั้งโดยกล่าวหาว่าประชาชนในต่างจังหวัดขายตัวขายเสียง โง่กว่าพวกตน ไม่ต่อต้านการละเมิดสิทธิมนุษยชน หลายครั้งก็ทรยศต่อวิชาชีพของตนเอง ไม่มีจิตใจที่มั่นคงต่อความเชื่อของตนเอง

2.พรรคการเมือง ซึ่งเป็นสถาบันสำคัญในระบอบประชาธิปไตย ก็ไม่ได้สร้างวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย การอภิปรายในสภาก็ไม่สร้างสรรค์ มุ่งแต่ทำลายฝ่ายตรงกันข้ามด้วยวิธีการโกหก ปั้นน้ำเป็นตัว แทนที่จะแข่งขันกันทำงานเพื่อพัฒนาการเมืองและผลงานทางเศรษฐกิจ กลับได้ดีได้เป็นรัฐบาลเพราะประสบความสำเร็จในการทำลายกันเอง ทำตนเป็นพรรคการเมืองของภูมิภาค ให้ความร่วมมือกับกองทัพในการทำลายขบวนการประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่องนับ ตั้งแต่ พ.ศ. 2491 เป็นต้นมา

3.สื่อมวลชน ปกติจะเป็นสถาบันที่ปกป้องรักษาระบบประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนในช่วงที่ระบบการเมืองเปิดก็กล้าหาญจนเกินขอบเขต ถึงขั้นใช้เป็นเครื่องมือทำลายคนอื่น ในช่วงที่ประชาธิปไตยลดน้อยลงหรือไม่มีก็ขาดความกล้าหาญ เปลี่ยนจุดยืน ไม่เป็นกระบอกเสียงให้ประชาชนหรือปัญญาชนที่ยึดมั่นในหลักการและวิถีทางของ ขบวนการประชาธิปไตย ไม่เป็นสถาบันหลักที่จะพิทักษ์ความถูกต้อง ถ้าจะมีบ้างก็เป็นส่วนน้อย ไม่มีน้ำหนัก ที่สำคัญก็คือไม่ชอบทำงานหนัก ทำการบ้านไม่เพียงพอ จึงกลายเป็นเครื่องมือของฝ่ายการเมืองได้ง่าย เมื่อมีการทำสงครามจิตวิทยาโดยรัฐก็ตกเป็นเครื่องมือโดยไม่รู้ตัว ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะเหตุผลทางธุรกิจและทางเศรษฐกิจหรืออารมณ์ส่วนตัว สถานีวิทยุก็ดี หรือสถานีโทรทัศน์หลัก ๆ ถ้าไม่เป็นของรัฐบาลก็เป็นของกองทัพ รายได้จากการโฆษณาก็มาจากกลุ่มธุรกิจ ซึ่งโดยธรรมชาติย่อมมีความเอนเอียงไปทางอนุรักษนิยม

4.กองทัพ โดยธรรมชาติก็เป็นสถาบันที่มีความคิดทางอนุรักษนิยม แต่กองทัพของเราค่อนข้างจะเกินความพอดี คำนึงถึงแต่ระยะสั้น ไม่มองผลเสียและอันตรายต่อความมั่นคงทางการเมืองในระยะยาว

ขณะนี้ที่ น่าห่วงเป็นที่สุด คือ ความเชื่อมั่นของขบวนการยุติธรรม ซึ่งผู้คนเห็นว่าไม่สามารถเป็นที่พึ่งแห่งสุดท้ายได้ พัฒนาตัวเองไปในทางต่ำลง ไม่ใช่สูงขึ้นเทียบเท่า "นานาอารยประเทศ"

น่าห่วงว่าในระยะยาวอาจระเบิดขึ้นได้สักวัน


ที่มาบทความ: ประชาชาติธุรกิจ (update: วันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4272 หน้า 34)

วันอาทิตย์, ธันวาคม 19, 2553

สุรชัยลั่นไม่รับธิดาเป็นผู้นำนปช.

จาก อัลบั้มFB

สุรชัย แกนนำกลุ่มแดงสยามลั่นไม่รับ ธิดา เป็นผู้นำเสื้อแดง ขอเคลื่อนไหวตามแนวทางของตัวเองไม่ขึ้นกับนปช.

นาย สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ แกนนำกลุ่มแดงสยาม กล่าวว่า แม้นางธิดา จะเคยอยู่ในป่า แต่ก็ยังไม่ถือว่าผ่านบทพิสูจน์ เพราะสมัยอยู่ป่าก็นำสหายออกมามอบตัว การที่ไปพบนายกฯก็โกหกได้ไม่สนิท เพราะหากต้องการที่จะให้มีการปล่อยตัวแกนนำจริง จะต้องได้รับการปล่อยตัวด้วยการต่อสู้ นั่นคือการขับไล่รัฐบาลชุดนี้ แต่ไม่ใช่ด้วยการร้องขอ เพราะหากเป็นการร้องขอ เท่ากับว่าการต่อสู้ของคนเสื้อแดงและคนที่เสียชีวิตก็ถือว่าสูญเปล่า สงสัยว่านายกฯมีอำนาจในการสั่งศาลได้หรือ ถึงไปต่อรองให้ประกันตัวแกนนำ

"ผม ไม่สนใจว่าจะร่วมขบวนกับนปช.หรือไม่ เพราะที่ผ่านมาก็ไม่เคยร่วมอยู่แล้ว ทั้งการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงวันนี้ มากันเองไม่มีใครเป็นแกนนำ การประกาศสวมเสื้อแดงวันอาทิตย์แล้วมาที่แยกราชประสงค์ ก็ถือเป็นแนวคิดของนายสมบัติ บุญงามอนงค์ แกนนำกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง ไม่ใช่นปช.ดังนั้นนางธิดา อย่ามาอุปโลกตัวเองว่าเป็นผู้นำ"นายสุรชัยกล่าว

ทั้งนี้ นายสุรชัย พร้อมด้วยนายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้นำกลุ่มแดงสยาม มาชุมนุมอยู่ในวัดปทุมวนามราม ตั้งแต่ช่วงบ่ายโดยสมาชิกกลุ่มต่างสวมหมวกสีเขียวดาวแดง ซึ่งเป็นสัญญลักษณ์พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ประกาศแนวทางการเคลื่อนไหวในส่วนของกลุ่ม โดยไม่ขึ้นตรงกับกลุ่ม นปช. และไม่ได้ร่วมกิจกรรมเคลื่อนไหวกับ นปช.
Ref: http://bit.ly/g0SgbK


แดงสยามไม่ใช่คอมมิวนิสต์จริงเหรอ???

ดิฉันฟังคลิป อ.สุรชัย และตามฟังตอนที่แดงสยามไปพูดบนเวที รปส มาตลอด จุดหมายของเขา คือเอาประชาธิปไตยนะคะ แต่อยากจะให้ลดบทบาทKxxxลง ให้เหมือนแบบ ญี่ปุ่น เรื่องนี้ในคลิปที่ยูทูบมีคะ เพราะพูดชัดเจนเลยว่าอยากให้มีการปรับ แต่ประชาธิปไตยหน่ะ เอาแน่นอน แค่ต้องการปรับอำนาจของKxxx

แต่ตอนนี้คนในประเทศไทย และ ทั่วโลกเขาไมได้มองเราเป็นประชาธิปไตยนะ เขาออกข่าวแพร่ภาพ และ หลักฐานไปทั่้วโลก ว่าไทยคือ รัฐทหารเพราะ ตายกันเยอะมาก บาดเจ็บ2000 กว่าคน ทั้งพิการ เสียแขน เสียขา ต้องควักลูกตาทิ้งอีก

ส่วนเรื่องคอมมิวนิสต์ ( มันมีทั้งดี และไม่ดีนะคะ)

พวกเกาหลีเหนือ คิวบาเป็น เผด็จการทหารซะมากกว่าที่จะเป็นคอมมิวนิสต์ คือเอาแนวคิด รัฐสวัสดิการสังคมไปใช้อยู่บ้างแต่ก็โหดเหี้ยมมาก มีการปิดกั้นและไม่ให้คนหนีออกนอกประเทศ ที่คิวบา มีคนแอบหนีออกนอกประเทศ โดยลงเรือประมงเข้า อเมริกากันเยอะมาก ตอนนี้ทางคิวบา เริ่มจะมีการปรับตัวแบบ จีน เวียดนาม และ ลาวแล้ว เริ่มลดความดุเดือดลง เอาแนวคิดทุนนิยมมาใช้ให้คนมีเสรีภาพมากขึ้น

ส่วนแนวคิด รัฐสวัสดิการ ความจริงมีหลายประเทศเอาไปใช้ตั้งนานแล้ว ทั้ง อเมริกา ซาอุ บรูไน ดูไบ และอีกหลายประเทศค่ะ ประเทศเหล่านี้มี สวัสดิการดีกว่าในเมืองไทยมากนัก แต่ภาษีจ่ายแพงพอสมควรเลย แต่เขามี สวัดดิการเงินเดือนให้พวกตกงาน คนเจ็บไข้ได้ป่วย นานแล้ว

เขารู้กันทั่้วโลกแหล่ะว่า ตอนนี้เหลือแค่เกาหลีเหนือ และ คิวบาที่น่าห่วง อีก 3 ประเทศเขาเอาทุนนิยมเข้าไปเสริมจุดอ่อนนานแล้ว
แล้ว พวกเมกา และ ชาติที่ปกครองด้วยกษัตริย์แบบเก่า เขาก็เอาแนวคิดที่ดีในเรื่องรัฐ สวัสดิการไปให้คนของเขาใช้นานแล้ว...
ทั้ง ซาอุ ดูไบ ก็มีสวัสดิการสังคมดีมากๆ

ใครดี ใครเลว ใครมั่ว ใครเป็นชู้กับใคร ปิดไม่มิดแล้วเพราะ กรรมมันมีจริง ตอนนี้ก็งามหน้าไปทั่วโลกแล้ว คลิปหลานๆตั้งหลายคน เขาก็เริ่มรู้กันหมดแล้วว่ามีจริง คลิปปลาร้าเน่าค้างปี ที่คนไม่เล่นเนท เอามาเม้าท์แตกดังไปทั่ว

ศาสดาจังไรหมาแบบไหน ลูกสมุน ลูกกระจ๊อกก็เลวแบบนั้น เป็นชู้ แสดงความจงxxxxxxขั้นสูงสุด โดยการขย่มหม้อเลียฮี พวกสลิ่มนี่มันควายจิงๆ ไม่รู้หลงนับถือคนเลวๆแบบนี้ได้ไง ทุเรศ


มันไม่ใช่แค่พวกคอมมิวนิสต์บ้าบอ ที่สีน้ำเงินจ้างมาป่วน มันมีพวกแดงปรกติ เข้าไปแฝงตัวในเพจของกลุ่มนักศึกษาทางแดง(เยอะมาก) คนที่หลงไปฟังพวกนี้ ดูข่าว ฟังวิทยุ เล่นเนทเป็น หาข้อมูลทั้ง 2 ด้าน มาศึกษาได้เลย

ยิ่งทาง คิวบา นี่ทาง เมกา เขาเอาไปทำหนัง หลายรอบมาก เพราะ เป็นแหล่งยาเสพติดเลยก็ว่าได้ พระเอกก็เก่งไม่รู้รอดมาจาก
ดงกระสุนได้ไง

บางเรื่องก็ทำมาจากเรื่องจริง นางเอกหนีลงเรือมาจากคิวบาก็มี ต้องถามว่า ถ้าคิวบาและเกาหลีเหนือดีจริง คนจะหนีออกนอกประเทศได้ไง

ถ้า คอมมิวนิสต์ไม่ปรับตัวก็ สูญพันธ์ ดิฉันเคยคุยกับคนที่เคยทำงานที่ ซาอุ แต่เจอรัฐบาลเขา บอยคอตคนไทย ที่ไป อมเพชรซาอุ เขาก็ไล่กลับมา เขาบอกว่า ซาอุ มีการปรับตัวเยอะมาก ไมได้เหมือนอย่างที่เราคิด สวัสดิการสังคมดีมาก และคนก็มีเสรีจะแต่งงานกับชาติไหนก็ได้ จะเดินทางไปไหนก็ได้ แต่ กฏทางศาสนาเคร่งไปนิดเท่าน้าน

แต่ก็มีการปรับให้ลงโทษเบาลงมากไม่เหมือนบาเรน อิหร่านและหลายประเทศ ที่ผู้หญิงมีชู้ต้องเจอ เอาหินเขี้ยงจนตาย ประเทศเวียดนาม นี่มีการปรับตัวดีกว่า จีนอีก คือ มีคนบอกว่าเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยในชีวิตมาก โจร ผู้ร้าย แทบไม่มีเลย ยาเสพติดก็น้อย แล้วก็ มีเสรีภาพ และ การศึกษาก็สอนให้เด็กพูดอังกฤษได้

มีการวางรากฐานที่ดี มีการเอาแนวคิดที่ดี ของ ประชาธิปไตย และ คอมมิวนิสต์ ไปผสมรวมกัน แล้วเอามาใช้กับคนเวียดนามทำให้ เวียดนามที่เจริญมาทีหลังไทย กลายเป็นเสือตัวที่ 5 ไปแทนไทย ส่วนไทยตอนนี้ก็ถอยหลังเข้าคลองไงหล่ะ

รู้ดีว่า เสื่อมเพราะใคร เพราะอะไร แต่พูดไม่ได้ รู้ดีว่า ระบอบ..... มีข้อดี ข้อเสียอะไร แต่พอทักษิณ เอาแนวคิด รัฐสวัสดิการสังคม มาใช้เป็น 30บาทรักษาทุกโรค ก็ด่าเขา อิจฉาริษยาเขา ปรากฏว่าตอนนี้โอบาม่าหลังขึ้นรับตำแหน่งไม่นาน ก็เอาไปเลียนแบบ ปรับใช้ กับคนเมกาเหมือนกัน

บอกได้เลยว่าแนวคิดที่ดี ไม่ว่าจะของ ระบอบไหน ถ้าเอามาปรับปรุงใช้ ให้คนในประเทศกินดี อยู่ดี มีความสุข ไม่มียาเสพติด
รัฐบาลไมได้พัวพันยาเสพติดแบบคนมีงานทำ คนมีความสุข ประเทศนั้นจะเจริญมั่นคงแน่นอน ต่อให้เป็นปกครองแบบ สมบูรณาญาสิทธ์ราชแบบเก่าเช่น ซาอุ และ บรูไน ชาติเขาจะมั่นคงแน่นอน เพราะประชาชนของ บรูไน มีความสุข กินดู อยู่ดี ไม่มีหนี้ มีความร่ำรวย ไม่ต้องมาพอเพียง มาประหยัด ส่งลูกหลานไป เรียน ตปทได้

ดู พระราชาจิกมี่ เป็นตัวอย่างก็ได้ เขาก็ปรับ ออกกฏหมายออกมาให้ รัฐบาลโหวดคะแนนเสียงเพื่อปลดราชาได้ ถ้าเห็นว่า ไม่ควรจะมี ราชา อีกต่อไปในประเทศนี้

ไอ้พวกเควื่ย ที่แอบแฝงมากบอกว่า กูรัก คิวจองอิล กูบูชานาซี กูรักฮิตเลอร์ หรือ พวกที่แอบแฝงเข้ามาในกลุ่ม นักศึกษาเพื่อปั่นป่วน ควรจะรู้ไว้อย่างนะ คนไทยไม่มีใครโง่ ยุคนี้ ความจริงเท่าน้านที่จะอยู่รอดได้ ความแหล ความดอกทอง ความลับ โดนเอามาแฉจนหมดแล้ว ต่อให้คนเล่นเนทไม่เป็น เขาก็รู้กันหมดแหละ กรุณาอย่าดูถูก สติปัญาคนในชาติ หลายคนรู้มาแต่แรกแต่ไม่พูด
แต่ที่พูดนี่ เพราะรู้สึกว่า มันจะเริ่มทุเรศมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว


http://www.voicetv.co.th/content/16157/60%E0%B8%9B%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%9B...%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%A1

Internet TV : 60 ปีสงครามเกาหลี ความตึงเครียดยังปกคลุม // voiceTV
www.voicetv.co.th


ReF: รูปภาพจากนกฟินิกส์ออนไลน์ตามสบายสไตล์คนชอบนอนดึก โดยอเธน่า เทพีแห่งชัยชนะ รักนปชแดง

วันศุกร์, ธันวาคม 17, 2553

"วิกิลีกส์เกท"-"ผ่าตัวตน"จูเลียน แอสแซนจ์"




ในขณะที่ทั่วโลกกำลังจับตาความเป็นไปของนายจูเลียน แอสแซนจ์ ผู้ก่อตั้ง"วิกิลีกส์"ที่กำลังเขย่าโลกอย่างเกรียวกราว เพราะการปล่อยข้อมูลลับกว่า 250,000 ชิ้น(ซึ่งกระทบกระเทือนต่อชาติต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย ชนิดก่อเป็นแผ่นดินไหวแบบลูกระนาด)หลังจากที่เขาถูกจับกุมจากทางการตำรวจ อังกฤษในข้อหาข่มขืนผู้อื่น และเพิ่งได้รับการปล่อยตัวไปแล้วนั้น มีความเคลื่อนไหวที่น่าประหลาดใจจากฝ่ายหนึ่ง ชนิดที่เรียกว่า เป็นกระแสที่ตรงข้ามกับรัฐบาลทั่วโลกทีเดียว


กระแสนั้นก็คือ การที่"ออสเตรเลีย"ได้ประกาศว่า นายแอสแซนจ์ ไม่ได้กระทำผิดกฎหมาย จากการเผยแพร่ข้อมูลของวิกิลีกส์ หลังจากก่อนหน้านี้ รัฐบาลออสเตรเลีย ได้สั่งให้มีการตรวจสอบว่า การกระทำของเขา ขัดต่อกฎหมายของออสเตรเลียหรือไม่


ฐานหนึ่งนั้น เข้าใจได้ว่า ลึก ๆ แล้ว นี่อาจเป็นความพยายามปกป้องนายแอสแซนจ์ ในฐานะพลเมืองของออสเตรเลีย เพราะนายแอสแซนจ์เป็นชาวออสซี่ และเขากำลังถูกรัฐบาลทั่วโลกรุมสกรัมอย่างหนัก ต่อบทบาท "จอมปากโป้ง" ป่าวประกาศความลับของประเทศต่าง ๆ ออกมาสู่ที่สาธารณะ


อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า ท่าทีของออสเตรเลีย อาจถูกมองได้ทั้งว่า"เป็นการตีชิ่งจากนายแอสแซนจ์ ในเชิงการทูต คือไม่ขอเกี่ยวข้อง หรือไม่รู้เห็นด้วยกับบุคคลนามนี้ หรือถูกมองได้ทั้งว่า เป็นการออกโรงปกป้องเขา ซึ่งไม่ต่างจากการแสดงทีท่า"เชียร์"นายแอสแซนจ์ ในท่ามกลางสงครามชักคะเย่อ ระหว่างฝ่ายหนึ่งที่เห็นว่า เขากระทำผิด และฝ่ายหนึ่งที่เห็นว่า สมควรมีคนอย่างเขาอยู่ในโลกนี้ ไม่ว่าเขาจะผิดหรือถูกก็ตาม


ว่ากันว่า โลกถูกแบ่งออกเป็นสองซีกโดยพลัน หลังจากข้อมูลของวิกิลีกส์ทะลักออกมาตั้งแต่ในช่วงหลายเดือน เพราะเอกสารข้อมูลลับ ได้สร้างความแตกแยกให้แก่ชาวโลก กับฝ่ายหนึ่งที่ต้องการ "ความจริง" และฝ่ายหนึ่งที่ต้องการ "ปกป้องความจริง" อย่างสุดฤทธิ์สุดเดช


ฝ่ายหนึ่งเห็นด้วย(อย่างรู้สึกสะใจ)กับการออกโรงแฉของนายแอสแซนจ์ เพราะเห็นว่า โลกเรานี้มีพฤติกรรมลับ ๆ ล่อ ๆ มากเกินไป และหลายพฤติกรรมก็ไม่เหมาะสม ทั้ง ผิดกฎหมาย ผิดจริยธรรม ผิดกฎสังคมโลก และผิดต่อหลักการเสรีภาพของชาวโลก ที่มีสิทธิล่วงรู้ข้อมูลของรัฐบาล ที่เล่น "ซ่อนหา" กับประชาชน งัดกับอีกฝ่ายหนึ่งที่ยืนอยู่ในโลกมืดที่ต้องการให้"ความลับ"ยังคงเป็น"ความ ลับ"ต่อไป เพราะการถูกเปิดเผยความลับ อาจมีผลกระทบอย่างเหลือคณาเกินคาด เช่น เขย่าเสถียรภาพของรัฐบาล หรือความนิยมต่อประชาชน


หลายฝ่ายวิเคราะห์ว่า ปรากฎการณ์ "จูเลียนเกท" เป็นสิ่งที่ต้องวิเคราะห์ แง่หนึ่งก็คือ จูเลียน แอสแซนจ์ เป็นบุคคลประเภทใดกันแน่ เขาเป็นฮีโร่หรือคนบาป ที่เปิดโปงได้แม้กระทั่งข้อมูลที่สุ่มเสี่ยงต่อความมั่นคงทางทหาร ซึ่งก็หมายถึงชีวิตคน


นักวิเคราะห์รายหนึ่งบอกว่า จูเลียน แอสแซนจ์ ไม่ได้เป็นทั้งสองอย่าง หากแต่เขาเป็นพวก "แอนตี้ ฮีโร่" ที่นิยมกระทำสิ่งใดก็ตามที่ "เขามองว่า" ถูกต้องในสายตาเขา เป็นคนที่ไม่มีขั้วสนับสนุนทางการเมืองต่อกลุ่มใดอย่างชัดเจน นอกจากกลุ่มที่ร่วม "อุดมการณ์บ้าบิ่น" เดียวกับกันเขา บุคคลพวกนี้มีอยู่ไม่มากในสังคม แต่จะก่อให้เกิดแรงเขย่าสะเทือนขึ้นมาทันที หากเขามีบทบาทสำคัญต่อมวลชน เหมือนกับที่เขาได้ก่อปรากฎการณ์ "จูเลียนเกท" ขึ้นมา ในช่วงที่ผ่านมา


ทว่าการก่อเกิดตัวตนของจูเลียน แอสแซนจ์ และกระแสสนับสนุนต่อเขา ก็เป็นเรื่องที่น่าวิเคราะห์เช่นกัน


ว่ากันว่า ธรรมชาติมนุษย์นั้น มีลักษณะเป็นพวกหัวกบฎในตัวเอง รักความยุติธรรม แต่ไม่พร้อมที่จะยอมรับหลักกฎหมายที่บกพร่อง ไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม กฎหมายที่บกพร่อง มีหลายประเภท เช่น การที่ศาลไม่สามารถลงโทษผู้กระทำความผิดได้ เพราะขาดหลักฐาน หรือกฎหมายลงโทษคนผิด ปรากฎการณ์นี้ไม่แปลกเลยที่ทำให้เกิดภาพยนตร์ทำนองหัวขบถไม่น้อย ที่ได้รับความนิยมจากผู้ชม เช่น Prison Break หรือ Law abiding Citizen


ขณะที่ "จูเลียน แอสแซนจ์" คือจิ๊กซอว์ที่เชื่อมต่อระหว่างความรับผิดชอบต่อสังคม หรือการเปิดโปงความลับที่เป็นภัยต่อมวลสังคม หรือปิดกั้นเสรีภาพในการรับรู้ของมวลชน และการแก้เผ็ดรัฐ ใช้ "เกลือจิ้มเกลือ" เล่นงานกลไกลรัฐ หรือการใช้วิธีผิด ๆ (ตามบัญญัติของกฎหมาย)เล่นงานกระบวนการที่ผิด ๆ


ในแง่ชะตากรรมของจูเลียน แอสแซนจ์ ต่อไปอาจจะต้องหนักหนาสาหัส เพราะสหรัฐได้เตรียมหา "ช่องทาง" เล่นงานเขาด้วยการใช้กฎหมายจารกรรมความลับราชการกับเขาไว้แล้ว


แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งที่เขากระทำต่อโลก ได้กลายเป็น "ตำนานหน้าหนึ่ง" ของประวัติศาสตร์โลกไปแล้ว ในฐานะมนุษย์ทรงอิทธิพลที่สามารถเขย่าโลกและเขย่ารัฐบาลต่าง ๆ ได้อย่างไม่มีใครหน้าไหนกระทำได้มาก่อน


ที่มา: มติชนออนไลน์ (update: วันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553 เวลา 18:20:50 น.)

------------------------------------------

"วิกิลีคส์" เผยกิจวัตรของพวกผู้ดี????


“วิกิลีคส์” ปูดเอกสารล่าสุด บันทึกทูตสหรัฐสนทนากับ เปรม ติณสูลานนท์ - สิทธิ เศวตศิลา - อานันท์ ปันยารชุน เป็นการสนทนากันต้นปีนี้ โดยเปรมกล่าวว่าอภิสิทธิ์ “หนุ่มไป” และ “ไม่เข้มแข็งพอ” แต่ยังเชื่อว่าเป็นบุคคลที่เหมาะสมมาเป็นนายกฯ ส่วน พล.อ.อ.สิทธิ บอกว่ามาร์คเกาะโพเดียมมากไป พร้อมเผยไม่ไว้ใจ “เสธ.แดง” กังวล “อนุพงษ์” มั่นใจ “ประยุทธ์”

เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. เวลา 21.00 น. ตามเวลาสหรัฐอเมริกา เว็บไซต์วิกิลีกส์ ได้เผยแพร่เอกสารลับ หมายเลข “S E C R E T SECTION 01 OF 03 BANGKOK 000192” ซึ่งเป็นบันทึกทางการทูตของนายอีริคส์ จี จอห์น เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย ลงวันที่ 25 ม.ค. 53 โดยบันทึกซึ่งถูกแบ่งเป็น 15 ย่อหน้า หัวข้อแรกเป็นบทสรุป รายละเอียดเป็นบันทึกของทูตภายหลังจากพบกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา องคมนตรี และนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี

ทูตระบุว่าได้สนทนากับ พล.อ.เปรม ในระหว่างการรับประทานอาหารกลาง วัน วันที่ 13 ม.ค. 53 ส่วนทูตสหรัฐฯ สนทนากับ พล.อ.อ.สิทธิ ที่บ้านพักของ พล.อ.อ.สิทธิ เมื่อวันที่ 11 ม.ค. 53 ส่วนอานันท์สนทนากับทูตสหรัฐฯ เมื่อปลายเดือนธันวาคมปี 52 ในรายงานส่วนใหญ่เป็นบันทึกความเห็นของ พล.อ.เปรม กับ พล.อ.อ.สิทธิ เป็นส่วนใหญ่ มีความเห็นของนายอานันท์ประกอบเล็กน้อย

ในรายละเอียดของเอกสาร มีการสนทนาหัวข้อสำคัญหลายหัวข้อ ทั้งเรื่องการตั้งรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ความท้าทายที่มาจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ ฮุนเซ็น นายกรัฐมนตรีกัมพูชา



บันทึกระบุ “เปรม” เห็นว่า “อภิสิทธิ์” หนุ่มไปและไม่เข้มแข็ง แต่เปรมยังไม่มีตัวเลือก

ในย่อหน้าที่ 3 ของบันทึก ระบุว่า พล.อ.เปรม เห็นว่านายกรัฐมนตรี “หนุ่มเกินไปและไม่เข้มแข็งพอที่จะเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพในช่วงเวลาที่ยากลำบาก” อย่างไรก็ตาม พล.อ.เปรม รู้สึกว่าสิ่งที่อภิสิทธิ์ถูกทดสอบในปี 2552 ก็คือ การถูกท้าทายการทำงานในการขับเคลื่อนรัฐบาลผสมที่มีหลายค่าย ซึ่งไม่ใช่งานง่าย พล.อ.เปรม ยังเสริมว่า ไม่มีนักการเมืองคนไหนที่ดูมีหลักการและมีความซื่อสัตย์มากกว่าอภิสิทธิ์ และประเทศไทยต้องการมีผู้นำเช่นนี้ พล.อ.เปรม มีความหวังว่าชาวไทยและชาวต่างประเทศจะเพิ่มความอดทนกับอภิสิทธิ์ ซึ่ง พล.อ.เปรม เชื่อว่า เป็นบุคคลที่เหมาะสมที่มารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี


พล.อ.อ.สิทธิเห็นว่าอภิสิทธิ์ใช้เวลาบนโพเดียมมากไป

ในย่อหน้าที่ 4 บันทึกระบุว่า พล.อ.อ.สิทธิ วิจารณ์อภิสิทธิ์ มากกว่า พล.อ.เปรม โดย พล.อ.อ.สิทธิ กล่าว่าได้บอกบิดาของนายอภิสิทธิ์แล้วว่าในปี 2553 ลูกชายควรเป็นคนกล้าตัดสินใจมากกว่านี้ และมีเพื่อนมากกว่านี้ พล.อ.อ.สิทธิ ยังวิจารณ์ว่าอภิสิทธิใช้เวลาอยู่บนโพเดียมมากเกินไป ไม่มีเวลาที่จะสร้างทีมงานที่มีประสิทธิภาพซึ่งจะทำให้อภิสิทธิ์สามารถมอบหมายนโยบายและคิดริเริ่มเรื่องนโยบาย อภิสิทธิ์จำเป็นต้องไปมีส่วนร่วมกับคนรากหญ้า ซึ่งสิ่งนี้เป็นด้านหนึ่งของจุดแข็งทักษิณ ในความคาดหวังของ พล.อ.อ.สิทธิ ยังหวังให้อภิสิทธิ์ตั้ง พล.ต.อ.ประทีป (ตันประเสริฐ) เป็นผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างถาวร หวังให้อภิสิทธิ์ใช้อำนาจที่มีเหนือพรรคร่วมรัฐบาลโดยการขู่ว่าจะ ยุบสภาถ้าพวกเขาออกนอกแถว และบอกให้กองทัพดำเนินการขับ “ทหารนอกแถว” อย่าง พล.ต.ขัตติยะ (สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง) แม้ว่า พล.อ.ประวิตร (วงศ์สุวรรณ) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมปฏิเสธคำสั่งปลด พล.ต.ขัตติยะ

ในย่อหน้าที่ 5 รายงานว่า พล.อ.เปรมสอบถามเกี่ยวกับกฎหมายของสหรัฐอเมริกา ที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมที่ป่วนการทำงานของรัฐบาลและชีวิตประจำวันของประชาชน ทูตอธิบายว่าระบบของสหรัฐอเมริกาให้สิทธิผู้ชุมนุมในด้านเสรีภาพการแสดงความเห็น แต่ไม่สามารถไปชุมนุมได้ทุกที่ ทูตยังแสดงความไม่พอใจในการตัดสินใจที่ส่งผลลบต่อบรรยากาศทางเศรษฐกิจและการลงทุน อย่างเช่น มาบตาพุด การยกเลิกหวยออนไลน์ การบังคับใช้กฎหมายที่มีความไม่เป็นธรรม การฝ่าฝืนข้อตกลง และการควบคุมเคลื่อนย้าย มีผลต่อบรรยากาศการลงทุนมากกว่าความยุ่งเหยิงทางการเมือง


ไม่ไว้ใจ “เสธ.แดง” กังวล “อนุพงษ์” มั่นใจ “ประยุทธ์”

ในย่อหน้าที่ 6 ทูตสหรัฐบันทึกว่า พล.อ.อ.สิทธิ แสดงความกังวลมากกว่า พล.อ.เปรม ในเรื่องสถานการณ์ด้านความมั่นคงในปี 2553 โดยเสนอว่า ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.อนุพงษ์ (เผ่าจินดา) ไร้ความสามารถในการควบคุมพล.ต.ขัต ติยะ “นายพลหัวแข็ง ซึ่งอยู่ในเครือของเสื้อแดง” ซึ่ง พล.อ.อ.สิทธิกล่าวหาว่า เป็นผู้ยิงระเบิดเอ็ม-79 ใส่ผู้ชุมนุมเสื้อเหลือง และ พล.ต.ขัตติยะ ยังได้ไปพบกับทักษิณในต่างประเทศด้วย พล.อ.อ.สิทธิ กล่าวด้วยว่า พล.อ.อนุพงษ์ ไม่ใช่ผู้หาข่าวที่ดี

ในบันทึกของทูตอีริค ยังวงเล็บด้วยว่า สามวันถัดจากการคุยกับ พล.อ.อ.สิทธิ มีผู้โจมตีห้องทำงานของ พล.อ.อนุพงษ์ในช่วงกลางคืนด้วยเอ็ม-79 และ พล.ต.ขัตติยะ ถูกสงสัยอย่างมาก

โดยในย่อหน้าที่ 6 บันทึกของอีริค จี จอห์น ระบุว่า พล.อ.อ.สิทธิ มีความหวังกับรองผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ (จันโอชา) มากกว่า โดยคาดหมายว่าจะได้มาแทนตำแหน่งของ พล.อ.อนุพงษ์ ในเดือนตุลาคม [...] พล.อ.อ.สิทธิอ้างด้วยว่า พล.อ.เปรม ได้ส่งสัญญาณว่าไม่พอใจ พล.อ.อนุพงษ์ โดยแสดงอาการดูแคลนในระหว่างที่บรรดา นายพลเข้าพบ พล.อ.เปรม ที่บ้านพักเพื่ออวยพรวันเกิด โดย พล.อ.เปรม ไม่พูดคุยกับ พล.อ.อนุพงษ์เป็นการส่วนตัว ระหว่างที่ พล.อ.อนุพงษ์ยืนอยู่กับกลุ่มผู้บัญชาการทหารคนสำคัญๆ

นอกจากนี้ในบันทึกยังกล่าวถึงทัศนะของ พล.อ.เปรม พล.อ.อ.สิทธิ และนายอานันท์ ต่อเรื่องการสืบราชสมบัติด้วย […]


ทักษิณยังเป็นประเด็นสำหรับเปรม-สิทธิ-อานันท์

ส่วนในย่อหน้าที่ 13 บันทึกของทูตยังระบุด้วยว่า ทักษิณยังคงเป็นประเด็นสำหรับสามบุคคลสำคัญนี้ (เปรม-สิทธิ-อานันท์) อดีตนายกรัฐมนตรีอานันท์กล่าวถึงพระพลานามัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว […] และการท้าทายของทักษิณเป็นต้นเหตุต่อเรื่องเสถียรภาพของประเทศนี้ พล.อ.เปรมถามต่อทูตสหรัฐฯ ว่าสหรัฐอเมริกาควรทำอย่างไรต่อสถานการณ์ของไทย ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านได้แต่งตั้งอดีตผู้นำรายนี้ (หมายถึงทักษิณ) ขึ้นเป็นที่ปรึกษา ซึ่งบุคคลนี้มีความแน่วแน่ในการโค่นล้มรัฐบาล ทูตสหรัฐฯ ตอบว่าขณะที่อดีตประธานาธิบดีสหรัฐจะกล่าวสุนทรพจน์ถึงประเด็นในประเทศอื่นเป็นบางครั้งคราว แต่อาจจะไม่เหมาะสำหรับรัฐบาลประเทศอื่น แต่ทูตสหรัฐ ได้แนะนำ พล.อ.เปรม และเจ้าหน้าที่ไทยให้ใช้วิธีให้ความเห็นต่อสาธารณะในเรื่องกัมพูชา และไม่ควรเล่นเกมตาต่อตาฟันต่อฟันกับทักษิณและฮุนเซ็น

ในบันทึกของทูตวงเล็บว่าดูเหมือนว่า พล.อ.เปรม จะรำพึงถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจน แต่ก็มีความชัดเจนว่า พล.อ.เปรม มุ่งไปที่ความรับรู้ต่อเรื่องการคุกคามโดยทักษิณ และการที่ฮุนเซ็น อำนวยความสะดวกให้กับกิจกรรมของทักษิณ


พล.อ.อ.สิทธิ ไม่ไว้ใจกัมพูชา บรูไน ลาว เวียดนาม หนุนหลัง “ฮุนเซ็น”

ในย่อหน้าที่ 14 พล.อ.อ.สิทธิ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์เพิ่งมาเยี่ยมเขาในวันคล้ายวันเกิดครบ 90 ปี และชี้ให้เห็นว่าอีกไม่นานไทยจะไม่ได้ดำรงตำแหน่งประธานอาเซียน อภิสิทธิ์จะมีข้อจำกัดน้อยลงในการตอบโต้ด้วยฝีปากกับฮุนเซ็น พล.อ.อ.สิทธิ แสดงความกังวลเพิ่มเติมต่อกรณีของกัมพูชา และบรูไน ว่าน่าจะอยู่ในฝ่ายทักษิณ โดยพิจารณาจากความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดของทักษิณ กับฮุนเซ็น และสุลต่านบรูไน ลาว และเวียดนาม ซึ่งน่าจะหนุนหลังฮุนเซ็น ในการดำเนินนโยบายต่างประเทศไทย-กัมพูชา ขณะนี้

ในย่อหน้าที่ 15 พล.อ.อ.สิทธิ โจมตีทักษิณว่า พยายามใช้เงิน, ผู้ชุมนุมเสื้อแดง และ ฮุนเซ็น เพื่อ “ทำลายประเทศของเรา” แต่เขาทำนายว่าทักษิณจะทำไม่สำเร็จ ทักษิณไม่เคยพยายามเจรจา พล.อ.อ.สิทธิแนะนำว่า ข้อเรียกร้องทักษิณจะได้รับการตอบสนอง ถ้าเขากลับเข้าประเทศ และรับโทษในคุกพอเป็นพิธี ทักษิณก็น่าจะได้รับการอภัยโทษอย่างรวดเร็ว และได้รับการปล่อยตัวในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรี แต่ตอนนี้ทักษิณพยายามก่อความยุ่งเหยิง จุดชนวนโดยใช้กำลัง ในขณะที่ พล.อ.อ.สิทธิ ยังคาดด้วยว่า ทักษิณจะแพ้คดีในวันที่ 26 ก.ย. (ปี 53) ต่อกรณีเงินที่ถูกอายัดเงินจำนวน 76,000 ล้านบาท แต่ พล.อ.อ.สิทธิ อ้างว่าจากข้อมูลของเขาแสดงให้เห็นว่าทักษิณยังคงมีเงินราว 240,000 ล้านบาทในต่างประเทศ ทักษิณแทนที่จะอยู่ต่างประเทศเงียบๆ แต่ทักษิณได้ตัดสินใจสู้ โดย พล.อ.อ.สิทธิ อ้างว่า ทักษิณได้ให้ทุนสนับสนุนบรรดาเว็บไซต์โจมตีพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ เพื่อจุดชนวนต่อทัศนะการต่อต้านสถาบันกษัตริย์


ที่มา: ประชาไท (update: Fri, 2010-12-17 17:04)

ข่าวลือและความจริง

จาก The album: Wall Photos by Phoenix Griffins

ข่าวลือและความจริง

ที่มาบทความ: From the album: Wall Photos by Phoenix Griffins

เอาข่าวจริงมาแปล จาก Wikileaks หลายอันแล้ว ลองมาอ่านข่าวลือ ดูบ้าง เอามาจากคุณ นิลกาฬ ที่ลือไว้ใน IF ลือได้น่าสนใจ

ข่าวลือที่ภาวนาให้เป็นเรื่องจริง

ผมเชื่อว่าในช่วงเวลานี้พี่น้องหลายท่านมีอาการเซ็ง เศร้า ซึมกะทือจะเป็น จะตายกับความอัปยศของบ้านเมืองใน ณ เวลานี้เหมือนกันกับผม เพราะดูเหมือนว่าเรายิ่งสู้ไปก็ไม่มีอะไรจะคืบหน้าเสียเลย...

ในช่วงเวลาก่อนที่ผมจะเข้ามาเป็นสมาชิกบอร์ดแห่งนี้ ผมได้ติดตามข่าว จากพวกโหร กองทัพ กระทรวงทบวงกรมยัน "โรงลิเก" มาก็มากจากบรรดาผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือหลายท่าน ก็มีทั้งข่าวที่กลายเป็นจริงบ้าง ไม่เป็นจริงบ้าง จนทำให้ใจชื่นบ้าง ใจห่อเหี่ยวบ้าง สลับกันเรื่อยมา

เอาเถอะครับ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ผมก็ขอเอา "ข่าวลือ" เล็กๆน้อยๆมาแบ่งปันให้พี่น้องทุกท่านได้พอยาใจของตนให้ชุ่มชื่นขึ้นมาบ้างเสียหน่อย...

แต่ผมขอให้ตัวย่อนะครับ เดี๋ยวเจ้าหน้าที่มาดอดๆอ่านเขาจะชิงเอาไปปล่อยข่าวก่อน

๑.สายข่าวจากกองทัพ - สายข่าวนี้ยืนยันได้แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริงแน่นอน เพราะทางบ้านของผมก็สนิทชิดเชื้อกับนายทหารชั้นผู้ใหญ่สายแตงโมอยู่มาก โดยข่าวนี้มีรายงานว่า จะเกิดมีการรัฐประหารในไม่ช้านี้จากทหาร ๓ กลุ่มคือ

สายสีเหลืองของนายพล ป. นะจ๊ะ เพราะได้ข่าวมาว่าโดนเจ๊กโกเต๊กเป่าหูอยู่ทุกวี่วันให้ชิงรัฐประหารเสีย และทางป้าปลาวาฬก็ต้องการอยู่เหมือนกัน คือต้องการล้างไพ่พรรคแมลงสาบออก (เพราะรู้ว่าทำงานไม่ได้ตามเป้า) แล้วจะสั่งให้ปิดประเทศเพื่อกวาดล้างเสื้อแดงทั้งหมด

สายสีน้ำเงินของนายพล ป.บูรพา แต่สายนี้กลับมีความคิดต่างจากสีเหลืองโดยสิ้นเชิงและมีความคิดในทางที่เป็นคุณกับเสื้อแดงมากกว่า เพราะพี่แกเห็นแล้วว่าพรรคแมลงสาบทำงานไม่เป็น คุกคามเสื้อแดงเกินเหตุจนทำให้ประชาชนที่เป็นกลาง และทหารในกองทัพเริ่มไม่พอใจตามมาด้วย ในขณะเดียวกันโรงลิเกก็ยิ่งดูตกต่ำลงเรื่อยๆเพราะฝีมือของเจ๊กลิ้ม และเหนืออื่นใด แกมีความแค้นกับเจ๊กลิ้มเป็นการส่วนตัวที่ไปบีบไข่ให้ไอ้มาร์คไล่น้องชายที่เป็นตำรวจของเขาจนต้องเสียตำแหน่งนั่นแหละ!

ดังนั้น นายพล ป.บูรพาจึงคิดจะชิงรัฐประหารเพื่อกวาดล้างสีเหลือง และดึงเสื้อแดงเข้ามาสู่ระบบตามเดิมอีกครั้ง

สายสีแดงของทหารแตงโม โดยข่าวนี้ยืนยันได้ว่าเป็นความจริงแน่นอน เพราะแม่ผมได้ข่าวมาจากคุณป้าในสายนี้ว่า นับแต่โผทหารงวดที่แล้วออกมา ทหารแตงโมจึงวางแผนกันอย่างลับๆ ณ เรือกลางน้ำว่า "ยอมให้มันไปก่อน ถึงเวลาพวกเราจะเอาคืน!"

คงไม่ต้องบอกนะครับว่า จะเอาคืนแบบไหน...

๒.สายข่าวจากโหร - เผอิญว่าเพื่อนของผมเป็นศิษย์ร่วมสำนักของโหรสายหนึ่ง เขาได้ทำนายดวงเมืองให้ผมมาตลอด ก็มีถูกบ้าง ผิดบ้าง แต่ค่อนข้างจะถูกมากกว่าผิด อย่างเรื่องสลายการชุมนุมและน้ำท่วมนี้ก็เป็นเพราะเขาบอกผมมาก่อนแล้ว แต่เรื่องที่เขาบอกผมมาเมื่อคืนนี้เขาบอกว่า ปีหน้าจะเป็นปีที่ไม่ดีของเจ้าของโรงลิเกเอาเสียเลย เพราะนับแต่ลุงอายุขึ้นเลข ๘ เป็นต้นมา ก็มีแต่เรื่องร้ายๆมาตลอด และปีหน้าจะแย่หนักยิ่งขึ้นสำหรับลุง

สำหรับกรณีนี้...ผมถือว่าเป็นการดีสำหรับเราก็แล้วกัน

๓.สายข่าวจากกระทรวงนอกบ้าน - ด้วยว่ารุ่นน้องผมมีเพื่อนเป็นคนจีน เขาได้แจ้งมาแล้วว่า ผลจากการที่รัฐบาลไทยส่งตัวพี่บูธไปให้อเมริกานั้นทำให้ประเทศรัสเซียโกรธมาก ถึงขั้นว่า ปธน.ปูตินออกมาประกาศข่าวประณามด้วยตนเอง (ขออภัยครับ หาคลิปข่าวไม่ได้ แต่รุ่นน้องผมได้ดูไปแล้ว บอกว่าปูตินแกหน้าแดงแป๊ดเลยล่ะ) และจะมีคำสั่งจะบอยคอตประเทศเราในไม่ช้านี้ แต่ที่แน่ๆ ก็คือว่า ทางสภาดูม่าได้ลงมติเป็นการลับแล้วว่าจะหนุนท่านทักษิณกลับเมืองไทยให้ได้อย่างแน่นอน

ส่วนเรื่องที่ว่าท่านทักษิณสมควรจะไปอเมริกาหรือไม่นั้น ไม่ต้องห่วงครับ ไปเถอะครับ ไม่มีอันตรายใดแน่นอน เพราะขนาดศัตรูอันดับหนึ่งของอเมริกา อย่างอดีตประธานาธิบดีฟิเดล คาสโตรแห่งคิวบา ประธานาธิบดีมาห์มุต อะมาดิเนจาดห์แห่งอิหร่าน และประธานาธิบดีฮูโก้ ชาเวชจะเคยเดินทางไปร่วมประชุมสหประชาชาติอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะประธานาธิบดีมาห์มุตนั้นถึงขั้นจ้องหน้าและกล่าวอาฆาตอดีตประธานาธิบดีจอร์จ บุชกลางที่ประชุมสหประชาชาติจนต้องหลบสายตาหนีมาแล้ว ไอ้กันยังไม่จับตัวไว้เลยครับ

เพราะเราต้องไม่ลืมว่า รัฐสภาอเมริกาเขาจะทำทุกอย่างเพื่อตัวเองเป็นหลัก การที่เขาได้ตัววิคเตอร์ บูทมาแล้วถือว่าสมประโยชน์เขาไปแล้วครับ เรื่องจะจับตัวท่านทักษิณส่งไทยจึงไม่ใช่เรื่องของประโยชน์ของเขาอีก และผมได้ยินแว่วๆมาว่า ทางอเมริกาเองก็เริ่มจะไม่เอาด้วยกับรัฐบาลนี้แล้วครับ ทำนองว่า "เปลืองตัวฉิบหายเลยกู" เหมือนอย่างที่เคยทำไว้ในช่วงสงครามเวียดนามและสงครามกลางเมืองเอลซัลวาดอร์นั่นล่ะครับ

ดังนั้น การที่อเมริกาเรียกท่านทักษิณไปก็อาจจะเป็นการเคลียร์ใจกันนอกรอบด้วยก็ได้ ขอให้สบายใจเถิดครับทุกท่าน

ส่วนเรื่องการพิจารณาของศาลโลกนั้น ขอติดไว้ก่อนครับ กำลังตามข่าวอย่างกระชั้นชิด

๔.สายข่าวจากโรงลิเก - เรื่องนี้เป็นเรื่องเด็ดสุดที่ทุกท่านรอคอย โดยเรื่องนี้ด้วยความที่ผมเองก็สนิทชิดเชื้อกับพวกญาติเจ้าของโรงลิเกอยู่บ้าง จึงได้ข่าวมาว่าภายในโรงลิเกเองก็เกลียดชังป้าอยู่มาก ถึงขั้นมีคำด่ากันเองในโรงลิเกว่า "อีสันดานนางละคร"

นอกจากนี้แล้ว แว่วว่ามีบางตระกูลในโรงลิเกหมายจะชิงอำนาจจากป้าและลุงเองด้วยเหมือนกัน แต่ที่เลวร้ายกว่านั้น ลูกชายป้าเองก็ลั่นวาจาแล้วว่า "ถ้ากูไม่ได้ ก็ไม่มีใครได้เหมือนกัน"

เอาละครับ ขอให้สนุกกับลิเกเรื่องนี้นะครับท่านผู้ชม!!!!

วันพฤหัสบดี, ธันวาคม 16, 2553

เสธ.แดง



Ref: YouTube; 48ce055 | May 16, 2010 |

โดยส่วนตัวแล้วผมไม่ได้รู้จักอะไรเป็นการส่วนตัว ถ้าไม่นับการเข้าร่วมกับชุมนุมทางการเมืองของเสธแดง ในสายตาของผมเสธแดงก็เป็นวีรบุรุษ ช่องบก ถ้าไม่มีผู้ชายที่บ้าระห่ำอย่างเสธแดงในวันนั้น เราคงแพ้สงครามอย่างหมดรูปที่ช่องบก...จากที่เคยได้อ่านหนังสือของเสธแดงมาเกือบครบทุกเล่ม..ผมว่าผู้ชายคนนี้..เป็นลูกผู้ชายเต็มตัวครับ..หลับให้สบายครับเสธ..เหนื่อยมามากแล้วครับ

วันพุธ, ธันวาคม 15, 2553

ข่าวจาก Wikileaks พร้อมคำแปล เหตุการณ์ หลังจากปฏิวัติ 1 วัน

จาก อัลบั้มFB

ข่าวจาก Wikileaks พร้อมคำแปล
เหตุการณ์ หลังจากปฏิวัติ 1 วัน เมื่อไอ้บังเข้าพบเอกอัครข้าราชทูตสหรัฐ

ลับมาก

...Wednesday, 20 September 2006, 12:29
C O N F I D E N T I A L BANGKOK 005811
SIPDIS
SIPDIS
TREASURY PASS TO FRB SAN FRANCISCO/TERESA CURRAN
EO 12958 DECL: 09/19/2016
TAGS PGOV, PHUM, TH
SUBJECT: THAILAND: MY MEETING WITH GENERAL SONTHI
Classified By: Ambassador Ralph L. Boyce, reason 1.4 (b)(d)

Summary
This cable recounts Txxx kxxx Bxxxxx's relaxed reaction to the 2006 Thai coup, in which former prime minister and Manchester City owner Thaksin Shinawatra was ousted. It details a conversation which took place the day after the coup between US ambassador Ralph Boyce and General Sonthi Boonyaratglin, commander-in-chief of the Thai armed forces between 2005 and 2007. Sonthi, one of the leaders of the coup, tells Boyce about his meeting with Bxxxxx the previous night. Sonthi claims Bxxxx was "happy, smiling throughout." Key passages highlighted in yellow.

สรุป

Telex ฉบับนี้พูดถึง Txxx Kxxx Bxxxxxไม่ยี่หระต่อการยึดอำนาจจากอดีตนายกและเ
จ้าของทีมฟุตบอล แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทักษิณ ชินวัตร
ข้อมูลเป็นการพูดคุยระหว่าง เอกอัครข้าราชทูต ราล์ฟ บอล์ย และ ไอ้บัง ที่เกิดขึ้นหลัง
ปฏิวัติ หนึ่งวัน และไอ้บังได้เล่าถึงการเข้าพบ ภxxxxxx เมื่อคืนก่อน ไอ้บังอ้างว่า ภxxxx
ยิ้มตลอดการสนทนา และท่าทางมีความสุข

จาก อัลบั้มFB

Read related article
1. (C) I met with General Sonthi privately directly after he addressed the diplomatic corps this afternoon. He thought the session had gone well (see septel for details; I doubt most of the Western diplomats, at least, will share his assessment).

ผมได้พบกับไอ้บังเป็นการส่วนตัว หลังจากการเข้าเยื่ยมเยือนแจ้งผลการยึดอำนาจ
ไอ้บังคิดว่าทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี (ผมไม่ค่อยแน่ใจว่า นักการทูตตะวันตก (ยุโรป)
จะเห็นด้วย)

2. (C) I began by asking Sonthi about the audience with the Kxxx last night. Who had attended? He said Privy Council President Prem Tinsulanonda had brought him, Supreme Commander Ruangroj and Navy Commander Sathiraphan in to meet the Kxxx. Sonthi stressed that they had been summoned to the palxxx; he had not sought the audience. He said the Kxxx was relaxed and happy, smiling throughout. He provided no further details.

ผมเริ่มถามไอ้บังเกี่ยวกับการเข้าพบ Kxxx เมื่อคืน ใครไปบ้าง ไอ้บังบอกว่ามี
ประธานองคxxxx xxรม ติxxxxxxx นำมันเข้าพบ มีเรืองโรจน์ (ผบ สุงสุด)
แล้วสถิราพันธ์ (ผบทร) เข้าพบ Kxxx ไอ้บังบอกว่าได้รับการเรียกตัวให้เข้าบ้านใหญ่
ไม่มีคนอื่นอีก Kxxx ดูสบายใจ มีความสุข ยิ้มตลอด แต่ไม่บอกรายละเอียดมากกว่านี้

3. (C) Turning to the US reaction, I reminded him of our conversation, August 31, when I told him any military action would result in immediate suspension of assistance programs such as IMET, FMF and numerous others. I told him he could expect us to announce such a measure shortly. He understood. I added that the restoration of such assistance could only come after a democratically elected government took office. In the meantime, I stressed that the coup group needed to make every effort to demonstrate a sincere intention to return to civilian rule as soon as possible. His announcement today that an interim constitution and civilian government would be installed within two weeks was a good example. I reiterated these points several times.

ย้อนกลับมาเรื่องปฏิกิริยาของอเมริกา ผมได้เตือนไอ้บังเรื่อง การพูดคุยกันเมื่อ
31 สิงหาคม เมื่อผมบอกมันว่า การใช้กำลังทหารทางใด ย่อมมีผลต่อการหยุดการช่วย
เหลือทางการทหาร เช่น IMET, FMF ฯลฯ ผมบอกมันว่า เตรียมรอรับผลระยะสั้นได้เลย
มันบอกว่าเข้าใจดี ผมยังเสริมเรื่องการช่วยเหลือในการฟื้นฟูรัฐบาลพลเรือนให้
กลับมาบริหารด้วย ในระหว่างนั้น ผมบอกไอ้บังอย่างเครียด ๆ ว่า ให้มันไปเตรียมการ
แสดงออกถึงความตั้งใจที่จะคืนอำนาจให้เป็นรัฐบาลพลเรือนที่ถูกต้องมาบริหารต่อโดยเร็วที่สุด
มันได้ประกาศเรื่องรัฐธรรมนูญชั่วคราวในวันนี้ (เข้าใจว่าออกโทรทัศน์) และรัฐบาล
พลเรือนจะถูกแต่งตั้งภายในสองอาทิตย์ ผมย้ำเรื่องนี้อยู่หลายครั้ง

4. (C) Sonthi responded by saying the military had truly acted in order to improve Thai democracy, not destroy it. The prevailing situation had become untenable. Had Thaksin only been willing to announce publicly that he would not return as Prime Minister, this action could have been avoided. But his unwillingness to do publicly what he had repeatedly told many privately had led people to fear that his true intention was to seek a renewed mandate and return to power. Thus the military had acted. But they did not seek sustained political power and would return to barracks as soon as possible. The sooner the better, I repeated. I told him to expect fairly broad international criticism, as military coups were generally seen as a thing of the past.


ไอ้บังได้บอกผมว่า ทหารทำการปฏิวัติเพื่อฟื้นฟูประชาธิปไตยที่แท้จริงให้ประเทศไทย
ไม่ใช่ทำลายรัฐธรรมนูญ เพื่อปกป้องไม่ให้สถานการณ์ในตอนนั้นเลยเถิด
เพียงแค่ทักษิณประกาศต่อสาธารณะว่าจะไม่กลับมาเป็นนายกอีก การปฏิวัตินี้ก็ไม่มีความจำเป็น
แต่ทักษิณก็ไม่ยอมประกาศ มันตอกย้ำต่อคนทั่ว ๆ ไปว่าทักษิณ ต้องการอานัติ(จากประชาชน)
แล้วคืนสู่้อำนาจ(ตำแหน่งนายก) ทำให้ทหารต้องออกมาจัดการ แต่มันยืนยันว่ามัน(ไอ้บัง)
ไม่ได้ต้องการอำนาจทางการเมือง แล้วจะกลับเข้าค่ายทหารโดยเร็วที่สุด ยิ่งเร็วยิ่งดี
ผมย้ำกับมัน ผมยังบอกมันด้วยว่าให้เตรียมรอรับการวิจารณ์จากทั่วโลกได้เลย
เพราะการยึดอำนาจเป็นเรื่องของเต่าล้านปี

5. (C) Was he going to seize Thaksin,s assets? No, he stated flatly. Would Thaksin and his family and colleagues be allowed to return to Thailand? Yes, unconditionally. What is the officially approved English rendition of the coup group,s title? &Council for Democratic Reform Under Constitutional Monarchy,8 or CDRM.


แล้วไอ้บังจะพยายามยึดทรัพย์สมบัติของทักษิณไหม มันบอกเรียบ ๆ ว่า ทักษิณ และครอบ
ครับ รวมถึงพลพรรค จะได้รับอนุญาติให้กลับไทย โดยไม่มีเงื่อนไข และชื่อที่ใช้อย่างเป็น
ทางการสำหรับคณะปฏิวัติในภาษาอังกฤษคือ คณะปฏิรูปโดยมีพระมหากษัxxxเป็นหัวหน้าใหญ่
หรือ CDRM

6. (C) Why had the military chosen to act at this particular point in time? Smiling slightly, he leaned forward. &Thaksin was at his weakest and we were at our strongest.8

ทำไมไอ้บังถึงได้ลอบกัด (ทักษิณ) ในช่วงเวลานี้ล่ะ ไอ้บังยิ้มมุมปาก ยื่นตัวเข้ามาใกล้
เพราะว่าทักษิณ กำลังอ่อนแอ อย่างที่สุด และเราเข้มแข็งที่สุดในช่วงนี้

7. (C) Comment ) Sonthi was relaxed and calm. Clearly the royal audience was the turning point last night. (Septel reports Thaksin,s defiant attitude dissolving completely when he learned of the audience.) For now at least, the CDRM appears to be taking the high road as far as how they will treat Thaksin. We have ready access to this group and will press them to implement their announced intention to return to civilian rule as soon as possible. Meanwhile, a coup is a coup is a coup and we believe a strong U.S. statement announcing the suspension of assistance and a call for an early return to civilian rule and eventually elections is entirely warranted and will submit suggested text via septel.


ความเห็น ไอ้บัง ดูสบายใจ และผ่อนคลาย แน่นอนว่าได้รับอนุมัติมาจากตระกูลใหญ่เมื่อ
คืน (ตามรายงาน Septel ทักษิณไม่เหลือความคิดที่จะต่อต้านแล้วหลังจากรู้ว่าใครหนุนหลัง)
อย่างน้อยในช่วงนี้ คมช (คนมันชั่ว) เลือกที่จะจัดการทักษิณ
เรา(สถานทูต) ได้เตรียมคำแถลงสำหรับไอ้พวกนี้ (ไอ้บัง) ไว้แล้ว ระหว่างนี้(ท่าทีที่จะแสดงออก) ปฏิวัติ ก็คือปฏิวัต และเราเชื่อว่าการประนามและหยุดการช่วยเหลือ
และเรียกข้าราชการพลเรือน(สถานทูต) กลับ จนกว่าจะมีการเลือกตั้ง

บอล์ย บอล์ย
BOYCE BOYCE


Ref: Notes by Phoenix Griffins
Source: http://www.guardian.co.uk/world/the-us-embassy-cables See more