วันพฤหัสบดี, ธันวาคม 23, 2553

ไทยแลนด์ อยู่ที่นี่ ต้องเชื่อว่า..โลกแบน

“ทุกวันนี้ยังมี การรื้อฟื้น “รัฐทหาร” ที่อ้างถึงความมั่นคงภายในมาใช้กับผู้ประท้วงอย่างสันติหรือแสดงออกด้วยวาจา และข้อเขียน ซึ่งเสี่ยงที่จะต้องติดคุกหลายสิบปี แม้แต่การอุ้มฆ่าทนายความด้านสิทธิมนุษยชน การประทุษร้าย การทรมาน และการจงใจฆ่าผู้ประท้วงเสื้อแดงที่มีแต่หนังสติ๊ก ดอกไม้ไฟ ไม้ไผ่ และปลาร้า ขณะที่ทหารผู้กระทำความผิดกลับได้รับคำชมและได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็น รางวัล นี่คือประเทศไทย”

ข้อสรุปในรายงานของคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย (Asian Human Rights Commission-AHRC) ที่รายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทยจำนวน 20 หน้า ประจำปี 2553 ในภูมิภาคเอเชีย โดยระบุถึงศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ที่มีอำนาจและใช้อำนาจราวกับประเทศไทยอยู่ในยุคของ “รัฐทหาร”

“เสื้อแดง” ภัยความมั่นคง

AHRC รายงานว่า ศอฉ. ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ออกหมายเรียกบุคคลใดก็ได้มาสอบสวนและต้องรายงานตัวใน ค่ายทหาร โดยถูกสอบปากคำจากทั้งตำรวจ ทหาร และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) บางคนถูกแจ้งข้อหาโดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน บางคนถูกคุมขังทั้งที่ยังไม่มีการดำเนินคดีทางศาล บางคนมีรายชื่ออยู่ใน “แผนผังล้มเจ้า” ที่ ศอฉ. นำมาเผยแพร่เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2553 ซึ่งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการ ศอฉ. ขณะนั้น ยืนยันว่ามีหลักฐานเพียงพอในการออกหมายจับ แต่ไม่เคยนำหลักฐานดังกล่าวออกมาเปิดเผยเลย ซึ่งเรื่องของสถาบันกษัตริย์เป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันอย่างรุนแรงภายใน สังคมไทยปัจจุบันและถูกนำมาผูกโยงกับความมั่นคง

ในรายงานกล่าวถึง “ดา ตอร์ปิโด” ที่ถูกจำคุก 18 ปี ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ กรณีของ น.ส.จีรนุช เปรมชัยพร ผู้บริหารเว็บไซต์ประชาไท ถูกตั้งข้อหากระทำความผิดตามมาตรา 15 พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ นายสมบัติ บุญงามอนงค์ (บ.ก.ลายจุด) ข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินจากการชุมนุมอย่างสันติ นอกจากนี้ยังมีกรณีการอุ้มฆ่านายสมชาย นีละไพจิตร ที่ผู้กระทำความผิดยังลอยนวล

AHRC ระบุว่า การใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐผ่าน ศอฉ. และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอยู่เหนือกฎหมายและลิดรอนสิทธิเสรีภาพ ซึ่งขัดแย้งกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights-ICCPR) ที่บัญญัติรับรองและคุ้มครองสิทธิในการชุมนุมโดยสงบ แม้นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะอ้างว่ารัฐบาลปฏิบัติภายใต้ ขอบเขตข้อกำหนดของ ICCPR ก็เป็นเท็จโดยสิ้นเชิง

ความยุติธรรม 2 มาตรฐาน

ในรายงานยังตำหนิคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติว่าเพิกเฉยต่อ สถานการณ์สิทธิมนุษยชนที่เลวร้ายจากการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในไทย ทั้งที่ประเทศไทยมีนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว เอกอัครราชทูตและผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ

AHRC กล่าวถึงปัญหา 2 มาตรฐานในกระบวนการยุติธรรม เช่น การจับกุมแม่ค้าเสื้อแดงที่ขายรองเท้าแตะมีภาพนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี บนรองเท้าว่าเป็นการละเมิดสิทธินายอภิสิทธิ์ ทั้งที่สมัยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเคลื่อนไหวก็มีการขายรองเท้าแตะ ที่มีภาพใบหน้าของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่ไม่มีการกล่าวหาและจับกุม ทำให้เรื่องสิทธิมนุษยชนกลายเป็น “เรื่องไร้สาระ”

กสม. ล้มเหลว

AHRC เปิดเผยว่า เคยเรียกร้องให้สหประชาชาติลดความน่าเชื่อถือและเพิกถอนสิทธิการเป็นสมาชิก ในคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ของไทย มาตั้งแต่ปี 2540 เนื่องจากปฏิบัติไม่สอดคล้องกับหลักการกรุงปารีสของสหประชาชาติ และขาดความเหมาะสมทั้งในเชิงองค์ประกอบและกระบวนการสรรหาบุคลากร โดยกรรมการเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ 1 คน นักการเมือง 2 คน และนักธุรกิจที่ติดบัญชีดำละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งทั้งหมดไม่เคยมีประวัติในการทำงานสาธารณประโยชน์ด้านสิทธิมนุษยชน

AHRC จึงไม่แปลกใจเลยที่ กสม. จะเพิกเฉยต่อการปกป้องเสรีภาพของคนไทย โดยเฉพาะเหตุการณ์เดือน เมษายน-พฤษภาคม 2553 ที่มีการใช้กำลังทหารที่มีอาวุธสงครามรุนแรงและสไนเปอร์ข่มขู่และทรมาน พลเมือง รวมถึงนักศึกษาถูกจับก็ไม่ให้ทนายความเข้าพบ

“ท่ามกลางความแตกแยกที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น หน่วยงานของภาครัฐไม่เพียงแต่ติดตามจับกุมผู้ต้องสงสัยที่เป็นภัยคุกคาม ยังเลยเถิดถึงขั้นจับกุมกลุ่มบุคคลที่เป็นกลาง อันจะเห็นได้จากการพุ่งเป้าไปที่นักเคลื่อนไหวอิสระและนักกิจกรรมทางด้าน สังคมที่พบถี่ขึ้นเรื่อยๆ ด้วยข้อหาที่ไร้สาระ ส่งผลกระทบต่อเสรีภาพในการแสดงออกและผลักดันกระบวนการยุติธรรมเข้าสู่วังวน ของความวุ่นวายทางการเมือง ด้วยการอ้างกฎหมายเป็นฉากบังหน้าเพื่อใช้เล่นงานฝ่ายตรงข้าม” ตอนท้ายของรายงานระบุ

อย่างไรก็ตาม นางอมรา พงศาพิชญ์ ประธาน กสม. ได้ออกมาชี้แจงการทำงานของ กสม. โดยเฉพาะเหตุการณ์ “เมษา-พฤษอำมหิต” ว่าดำเนินการด้านสิทธิมนุษยชนอย่างเต็มที่ รวมถึงเหตุการณ์ความรุนแรงที่ผ่านมาก็ได้ดำเนินการไปหลายเรื่องและมีการตรวจ สอบอย่างเข้มข้น แต่เปิดเผยรายละเอียดไม่ได้!!

เสื้อแดงติดข่าวดังแห่งปี

เหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่มีการสังหารโหดถึง 91 ศพ และบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 คน รวมทั้งการเผาสถานที่ต่างๆกลางกรุงเทพฯนั้น นิตยสารไทม์จัดให้ติดอันดับ 10 ข่าวดังแห่งปี เพราะการประท้วงอย่างสันติจบลงด้วยความรุนแรงและความแตกร้าวที่ขยายวงกว้าง ระหว่างคนเมืองกับคนชนบท คนรวยกับคนจน กลุ่มอำมาตย์กับกลุ่มประชานิยม ซึ่งสื่อทั่วโลกได้รายงานและแพร่ภาพแทบตลอด 24 ชั่วโมง ระหว่างที่มีการต่อสู้กันกลางกรุงเทพฯ ซึ่งเชื่อว่าการเคลื่อนไหวและการประท้วงยังจะเกิดขึ้นได้อีกในอนาคต

ขณะที่ข้อเท็จจริงจากการสอบสวนและชันสูตร 91 ศพที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน นำมาเปิดเผยส่วนหนึ่ง โดยยืนยันว่าเป็นบันทึกของดีเอสไอที่ระบุว่าการเสียชีวิต 6 ศพในวัดปทุมวนารามฯ และการเสียชีวิตของนายฮิโรยูกิ มูราโมโต ช่างภาพชาวญี่ปุ่นของสำนักข่าวรอยเตอร์ ที่ถูกยิงเมื่อคืนวันที่ 10 เมษายน มีหลักฐานจากพยานบุคคลและหัวกระสุนปืนว่ามีเจ้าหน้าที่ทหารเข้ามาเกี่ยวข้อง

แม้นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ จะกลับลำแถลงว่าหลักฐานไม่ตรงตามสำนวนการสอบสวนของดีเอสไอ และระบุว่าเหตุการณ์ปะทะในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคมมีการกระทำความผิดฐานก่อ การร้าย เนื่องจากใช้อาวุธร้ายแรงจนทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก โดยเฉพาะการเสียชีวิตของนายฮิโรยูกิมีรายละเอียดมากกว่าที่นายจตุพรระบุ และยืนยันว่าเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นก็พอใจการชี้แจงของดีเอสไอ แต่ก่อนหน้านี้นายธาริตกลับแถลงว่าข้อมูลของนายจตุพรเป็นของดีเอสไอจริงแต่ ไม่ใช่ทั้งหมด

ด้านนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตยและเครือข่ายประชาชนผู้ประสบเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน 2553 และคนเสื้อแดงกว่า 100 คน ได้เดินเท้าชูภาพถ่ายขนาดใหญ่ของนายฮิโรยูกิและนำมาวางตรงทางเข้าสถานเอก อัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย พร้อมช่อดอกกุหลาบสีแดงเพื่อไว้อาลัยให้แก่นายฮิโรยูกิ ก่อนจะอ่านแถลงการณ์ว่า ตลอดระยะ เวลา 7 เดือนที่ผ่านมาการสอบสวนหาสาเหตุการตายของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการ ชุมนุมไม่มีความคืบหน้า แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลต้องการเตะถ่วงและโอนคดีกันไปมาระหว่างสำนักงานตำรวจ แห่งชาติ (สตช.) กับดีเอสไอ ซึ่งมีพยานที่อยู่ในเหตุการณ์ 4 คนขณะที่นายฮิโรยูกิถูกยิงคือ ประชาชนที่อยู่ในเหตุการณ์ พ่อค้า แม่ค้า และหน่วยกู้ภัย

“ขอเรียกร้องไปยังรัฐบาลว่าอย่าข่มขู่พยานหรือโยกย้ายหลักฐาน หากนายอภิสิทธิ์ยังมีความเป็นมนุษย์ ยังมี จริยธรรม ควรเปิดเผยความจริง ไม่ใช่มัวแต่พูดโกหก หากทำไม่ได้ควรลาออกหรือยุบสภาไป หรือถ้าทำไม่ได้จริงๆควรยิงตัวตายตามประชาชนผู้ถูกสังหาร” นายสมยศกล่า

“ธิดา” ถก “คณิต” ปล่อยนักโทษแดง

ขณะที่ไม่มีผลการสอบสวนที่ชัดเจน แต่แกนนำคนเสื้อแดงกลับถูกฟ้องในข้อหาก่อการร้าย นอกจากนี้คนเสื้อแดงอีกนับร้อยยังถูกขังมานานกว่า 6 เดือนโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมปรกติ แม้แต่นายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ยังมีหนังสือเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ปล่อยตัวหรือปล่อยตัวชั่วคราวคนเสื้อ แดงทั้งหมดเพื่อนำไปสู่ความปรองดองอย่างแท้จริง แต่ไม่ได้รับคำตอบใดๆจากรัฐบาล ล่าสุดนางธิดา ถาวรเศรษฐ์ รักษาการประธานกลุ่ม นปช. ได้หารือกับนายคณิตเพื่อค้นหาความจริงของเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” รวมทั้งยื่นแถลงการณ์ นปช. เพื่อให้ปล่อยตัวนักโทษการเมืองออกมาต่อสู้คดีในชั้นศาล

นางธิดายืนยันว่า ความจริงเท่านั้นที่จะเป็นทางออกจากวิกฤตประเทศ แต่ต้องรวดเร็วเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ถ้าคนเสื้อแดงผิดก็ยอมรับผิด ซึ่งที่ผ่านมานายอภิสิทธิ์อ้างว่าเคยให้ความช่วยเหลือคนเสื้อแดงไปแล้วนั้น นายอภิสิทธิ์พูดถูกเพียงครึ่งเดียว เพราะที่ผ่านมารัฐบาลช่วยเหลือเพียงการไถ่ถามความเป็นอยู่ ไม่เคยถามถึงคดี หรือความขัดแย้งทางการเมืองแม้แต่ครั้งเดียว มีเพียงกลุ่มคนเสื้อแดงที่ช่วยเหลือกันเอง

ล่าชื่อไล่ “ธาริต”

ประเด็นที่ต้องติดตามคือหลังจากนายจตุพรเปิดเผยการสอบสวนของดีเอสไอที่ ระบุว่ามีเจ้าหน้าที่ทหารเข้าไปเกี่ยวข้องกับการยิงประชาชนก็มีข่าวว่านาย ทหารในกองทัพไม่พอใจอย่างยิ่ง และเสนอให้ปลดนายธาริตออกจากตำแหน่ง แต่ล่าสุดนายอภิสิทธิ์ยืนยันว่าไม่มีการปลดนายธาริตแน่นอนเพราะทำงานดี

อย่างไรก็ตาม นางพะเยาว์ อัคฮาด มารดา น.ส.กมนเกด อัคฮาด หรือ “น้องเกด” พยาบาลอาสาที่ถูกยิงเสียชีวิตในวัดปทุมฯ ประกาศจะรวบรวมรายชื่อ 5,000-10,000 รายชื่อ เพื่อยื่นให้สำนักนายกรัฐมนตรีปลดนายธาริตออกจากตำแหน่ง รวมทั้งจัดตั้งเป็นองค์กรอิสระเคลื่อนไหวเรียกร้องความยุติธรรมให้กับผู้ เสียชีวิตและบาดเจ็บ นอกจากนี้จะติดต่อญาติของนายฮิโรยูกิและญาติของนายฟาบิโอ โปเลนกี ช่างภาพอิสระชาวอิตาลี ที่ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม มาร่วมกันเคลื่อนไหวด้วย

อำนาจแห่งกองทัพ

จากความจริงที่เริ่มปรากฏมากขึ้นเรื่อยๆในการสังหารโหด 91 ศพ และรายงานของ AHRC ที่เผยแพร่ไปทั่วโลกถือเป็นการตอกย้ำให้เห็นชัดเจนว่าประเทศไทยวันนี้ยัง เต็มไปด้วยความขัดแย้งที่รุนแรง และการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงภายใต้ “รัฐทหาร” แม้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์จะพยายามสร้างภาพและโฆษณาชวนเชื่อให้ประชาชนหลงเชื่อ ว่าเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยที่มาจากประชาชน เป็นรัฐบาลที่ทำงานหนัก เป็นผู้นำที่มีความซื่อสัตย์สุจริตและเป็นคนดีก็ตาม

โดยเฉพาะการเดินสายที่อ้างว่าต้องการสร้างความปรองดองเพื่อทำให้บ้าน เมืองกลับสู่ความสงบสุข หลังจากนั้นจะยุบสภาให้มีการเลือกตั้งนั้น ทั้งหมดเป็นแค่วาทกรรมที่ไม่ใช่แค่คนไทยเท่านั้น แต่ประชาคมโลกเองก็เชื่อว่าเป็นการโกหกตอแหลและยื้อเวลาเพื่อให้ตนเองอยู่ใน อำนาจให้นานที่สุดที่สำคัญการเมืองการปกครองไทยวันนี้ไม่มีกลไกใดๆที่จะ สามารถตรวจสอบการกระทำของรัฐบาลและภาครัฐ เพราะแม้แต่กระบวนการยุติธรรมไม่ใช่แค่ 2 มาตรฐาน แต่สามารถบิดเบือนเป็นกี่มาตรฐานก็ได้

เนื่องจากอำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่รัฐบาลและ ศอฉ. นำมาใช้ปราบปรามไล่ล่าคนเสื้อแดงและฝ่ายตรงข้ามนั้นไม่ต่างกับกฎหมายเผด็จ การที่มีอำนาจเหนือกฎหมายรัฐธรรมนูญเช่น เดียวกับอำนาจของกองทัพที่เป็นเหมือนเปลือกหอยคุ้มครองรัฐบาลก็ไม่มีกลไก หรือใครกล้าแตะต้อง เสียงของผู้นำกองทัพ โดยเฉพาะผู้บัญชการทหารบกจึงไม่ต่างกับ “ดาบอาญาสิทธิ์” ที่ผู้คนเกรงกลัวยิ่งกว่าเสียงของนายกรัฐมนตรีและองค์กรต่างๆ

จึงไม่น่าแปลกใจที่การจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพที่มีข่าวความไม่ โปร่งใสต่างๆจะไม่มีระบบตรวจสอบ แม้จะมีคณะกรรมการจัดซื้ออาวุธที่จัดตั้งขึ้นมาในแต่ละครั้งก็เป็นเพียงการ ตั้งเป็นพิธีเพื่อให้ดูดีเท่านั้น แต่ในทางปฏิบัติการจัดซื้ออาวุธเกือบทุกครั้งล้วนมีการตัดสินใจในระดับ ผู้ใหญ่ในกองทัพล่วงหน้ามาแล้วทั้งนั้น โดยเฉพาะช่วงก่อนเกษียณของนายทหารในกองทัพจะกลายเป็นประเพณีที่ต้องมี โครงการจัดซื้ออาวุธแบบทิ้งทวนเพื่อ “นาย” โดยไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องของคุณภาพว่าจะเหมาะสมหรือไม่เพียงใดกับภารกิจ

ข่าวฉาวการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จึงเงียบหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการจัดซื้อเครื่องตรวจระเบิดจีที 200 ที่ถูกประชดเป็น “ไม้ล้างป่าช้า” มูลค่านับพันล้านบาท การจัดซื้อรถเกราะกันกระสุน 96 คันจากยูเครน มูลค่าเกือบ 4,000 ล้านบาท เรือเหาะตรวจการณ์สกายดรากอน มูลค่ากว่า 350 ล้านบาท ที่เคยถูกระงับการจัดซื้อเพราะผิดสเปก และเมื่อนำมาใช้กลับพบรอยรั่วซึมหลายจุด จนวันนี้ไม่รู้ว่ายังสามารถใช้ปฏิบัติภารกิจได้จริงหรือไม่ โครงการจัดหาเฮลิคอปเตอร์ขนาดเบาสำหรับฝึกรบจำนวน 16 ลำแบบเหมารวม (Total Package) มูลค่าประมาณ 1,100 ล้านบาท การจัดซื้อเครื่องบินกริพเพนพร้อมยุทโธปกรณ์ และการฝึกอบรมเทคโนโลยีทางอากาศ งบประมาณในการจัดซื้อกว่า 16,000 ล้านบาท ฯลฯ

รัฐทหารยืนยัน “โลกแบน”?

ความอัปลักษณ์ของการเมืองไทยและสถานการณ์ ความขัดแย้งที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยคงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเป็น ผลพวงมาจากการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) อ้างเรื่องความมั่นและการทุจริตคอร์รัปชันของฝ่ายการเมืองและกลุ่มอำนาจ ต่างๆ แต่วันนี้ผู้นำกอง ทัพก็ถูกตั้งคำถามกลับเช่นกันว่ากองทัพเคยปัดกวาดบ้านของตัวเองหรือไม่

แม้อำนาจของกองทัพวันนี้ยังไม่มีใครกล้าแตะต้อง เพราะบ้านเมืองไม่ต่างกับอยู่ภายใต้ “รัฐทหาร” แต่เมื่อถึงวันฟ้าเสื่อม แผ่นดินสลาย วันนั้นจะไม่มีอำนาจใดที่อยู่ค้ำฟ้าและปกปิด “ความจริง” ได้ เช่นเดียวกับ 91 ศพที่ถูกสังหารอย่างเลือดเย็นในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต”
แม้รัฐบาล “หุ่นเชิด” จะพยายามโฆษณาชวน เชื่อและมอมเมาด้วยสื่อรัฐ เตะถ่วง ปิดบัง และบิด เบือนความจริงต่างๆ

วันนี้อาจมองเหมือนว่าประชาชนคนไทยโง่ หูหนวก ตาบอด โง่กว่าชนชั้นศักดินา หรือคิดไม่เป็นและปกครองตนเองไม่ได้ เพราะอำนาจเผด็จการจาก “รัฐทหาร” ที่เอาปืนและกฎหมาย 2 มาตรฐานมากดหัวประชาชน แม้แต่อำนาจตุลาการยังถูกเปรียบเหมือนแค่ “ศาลพระภูมิ” หรือ “ศาลเจ้า” ความยุติธรรมกลายเป็นเรื่อง “เทคนิคข้อกฎหมาย” มากกว่า “ข้อเท็จจริง” ว่าใครผิด ใครถูก ใครทำดี ใครทำชั่ว

องค์กรอิสระต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ศาลปกครอง และศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อตรวจสอบถึงที่มาจะพบว่าออกมาจาก “มดลูก” ของ คมช. แทบทั้งสิ้น คำถามเรื่องความยุติธรรมและความเป็นธรรมจึงไม่เคยได้รับคำตอบ

ในยุครัฐบาลทักษิณ ที่ถูกเรียกว่า “ระบอบทักษิณ” ถูกกล่าวหาอย่างหนักในเรื่อง “การแทรกแซงองค์กรอิสระ”

แต่ในยุค “ระบอบอภิสิทธิ์” หรือ “ระบอบเทวดา” วันนี้ไม่ใช่เพียงแค่ “แทรกแซง” แต่เป็นการ “ผสมเทียม” ฝังตัวอ่อนใน “มดลูกของ คมช.” ก่อกำเนิดออกมาเป็นองค์กรอิสระพันธุ์ใหม่ที่ “ฉุกเฉิน” และ “มั่นคง” ยิ่งนัก

“คนดี” ในวันนี้จึงเป็นคนดีที่มิอาจปฏิเสธได้ว่าเกิดจากการสร้างภาพผ่านสื่อเช้า สาย บ่าย ค่ำ มิเคยถูกตรวจสอบ และมิอาจตรวจสอบได้

รัฐไทยจึงเป็น “รัฐทหาร” ที่คนไทยพูดไม่ได้

ชนชั้นกลาง ชั้นสูง ชนชั้นศักดินาที่มีการศึกษาสูง อ่านและรู้ภาษาอังกฤษหรือภาษาต่างประเทศคงหวานอมขมกลืนเมื่อ “รู้ทั้งรู้” ว่าอะไรเป็นอะไร เมื่อได้รับรู้ข่าวสารที่ไร้พรมแดนผ่านทางอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะเว็บไซต์จอมแฉอย่าง “วิกิลีกส์” ที่ไม่สนพญาอินทรีหรือหมีขาว ไม่สนว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้านของชาติไหน ยุคไหน และไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ

แต่กลับน่าแปลกใจว่า “ชาวบ้านร้านตลาด” ที่มิได้มีการศึกษาสูงศักดิ์กลับกลายเป็นผู้หูตาสว่างมากกว่าผู้ที่ยกตนว่า เป็นคนชั้นกลาง คนชั้นสูงยิ่งนัก

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...คนเชื่อว่า “โลกแบน”...กาลวันนี้...ที่ประเทศไทยคนก็ยังเชื่อว่า “โลกแบน”...เพราะคนที่เชื่อว่า “โลกกลม” อาจได้รับการดูแลเป็นพิเศษจนไม่กล้าเชื่อ

การปกครองภายใต้ “รัฐทหาร”...บอกว่า “โลกแบน” ก็ต้อง “แบน”...อย่าเชื่อเป็นอื่นโดยเด็ดขาด!

เพราะที่นี่คือ “ประเทศไทย” THAILAND...Land of Smile!!



ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 290 วันที่ 18-24 ธันวาคม พ.ศ. 2553 หน้า 16 คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน
update: 2010-12-20

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น