อินทรี(เสื้อ)แดงทั้งแผ่นดิน..เร็วๆนี้
“รัฐบาลนี้มีปัญหา กับเพื่อนบ้านมาตลอด การแถลงของหน่วยงานรัฐเช่นนี้จะยิ่งตอกย้ำความขัดแย้งเพิ่มขึ้น ขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชาเองแถลงชัดเจนว่าไม่มีการฝึกอาวุธใดๆใน กัมพูชา ดังนั้น หากสอบสวนแล้วพบว่ามีการฝึกอาวุธจริงควร ให้กระทรวงการต่างประเทศใช้วิธีทางการทูตประสานไปยังกัมพูชาโดยตรง แต่ผมมีข้อสังเกตในฐานะที่เคยเป็นตำรวจและผ่าน การฝึกลักษณะนี้มามากพอสมควร ระยะเวลา 3 สัปดาห์ที่ดีเอสไอระบุว่ากลุ่มดังกล่าว ฝึกจนมีความเชี่ยวชาญนั้นเป็นไปได้อย่างไร จากประสบการณ์ของผมคิดว่าใช้เวลา 3 เดือนยังไม่สามารถใช้อาวุธได้คล่องแคล่วพอ”
พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ตั้งข้อสังเกตกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ระบุผลการสอบสวน 11 ชายฉกรรจ์ที่ถูกควบคุมตัวที่คู่ฟ้า รีสอร์ท อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ เป็นกลุ่มนักรบเสื้อแดงที่ได้รับการฝึกอาวุธมาจากกัมพูชาเพื่อออกปฏิบัติการ ก่อการร้ายและสังหารผู้นำประเทศ แต่ พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอัมพันธ์กุล รอง ผบช.ภ.5 และผู้จัดการรีสอร์ท ยืนยันว่า ทั้ง 11 คนไม่เกี่ยวข้องกับการฝึกอาวุธและคนเสื้อแดง พ.ต.ท.พเยาว์ ทองเสน พนักงานสอบสวน ในฐานะเลขานุการคณะพนักงานสอบสวนคดีก่อการร้าย ดีเอสไอ ที่แถลงจึงต้องรับผิดชอบที่พาดพิงประเทศเพื่อนบ้าน
เสื้อแดงไม่ใช่อินทรีแดง!
จึงทำให้มีการถามกลับดีเอสไอและรัฐบาลว่าเป็นไปได้อย่างไรที่จะฝึกให้คน ธรรมดาเป็น “นักรบ” หรือ “มือสังหาร” ที่จะต้องทำหน้าที่สังหารบุคคลสำคัญได้ภายใน 3 สัปดาห์ นอกจากทั้งผู้ฝึกและครูฝึกจะเป็น “ยอดมนุษย์” หรืออัจฉริยะแบบ “อินทรีแดง” เพราะแม้แต่ทหารที่มีการเตรียมพร้อมด้านร่างกายและจิตใจมาอย่างดีหลายปียัง มีน้อยคนที่จะผ่านการฝึกให้เป็น “นักรบพิเศษ” ที่มีความชำนาญในการทำสงครามนอกรูปแบบหรือปฏิบัติการพิเศษ และทุกปีจะมีคนเสียชีวิตจากการฝึก ซึ่งกองทัพไทยมี 3 หลักสูตรการฝึกทหารให้เป็น “หน่วยปฏิบัติการพิเศษ” คือ
1.หลักสูตรจู่โจม (RANGER) กองทัพบก ใช้เวลา 9 สัปดาห์
2.หลักสูตรนักทำลายใต้น้ำจู่โจม หรือหน่วยซีล (SEAL) หน่วยสงครามพิเศษทางเรือ กองเรือยุทธการ กองทัพเรือ ใช้เวลา 7 เดือน
3.หลักสูตรลาดตระเวนสะเทินน้ำสะเทินบก (RECON) แผนกวิชารบพิเศษ ศูนย์การฝึกหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน กองทัพเรือ ใช้เวลา 13 สัปดาห์
ซึ่งทุกคนที่เข้าฝึกจะต้องเคยผ่านหลักสูตรพื้นฐานด้านการทหารมาก่อนแล้วทั้งสิ้น
4 ข้อพิรุธบึ้มที่บางบัวทอง
นอกจากนี้ พ.ต.ท.สมชายยังกล่าวถึงเหตุระเบิดที่สมานเมตตาแมนชั่น ย่านบางบัวทอง จ.นนทบุรี ในฐานะที่เคยเป็นพนักงานสอบสวนเก่าว่ามีข้อสังเกตดังนี้
1.เมื่อตำรวจระบุว่านายสมัย วงศ์สุวรรณ์ เป็นผู้ร้ายที่มีหมายจับติดตัว ทำไมจึงใช้ชื่อและนามสกุลจริงลงทะเบียนเช่าห้องพัก เพราะต้องมีบันทึกเป็นหลักฐาน
2.การประกอบวัตถุระเบิดที่ใช้ปุ๋ยยูเรียจะต้องนำมาผสมกับน้ำมันเบนซินใน อัตราส่วน 70 ต่อ 30 คือใช้ปุ๋ยยูเรีย 70 ใช้น้ำมัน 30 ห้องเล็กๆขนาดนั้นจึงไม่เหมาะสมที่จะใช้ประกอบระเบิด
3.วันนี้ตำรวจยืนยันแล้วว่ามีการติดกล้องซีซีทีวี (กล้องวงจรปิด) จึงมีหลักฐานชัดเจน จึงขอเรียกร้องให้นำหลักฐานที่เป็นภาพในซีซีทีวีมาเปิดเผยต่อสื่อมวลชน
4.การพบปืนเอเค 47 หรืออาก้าตกอยู่ในที่เกิดเหตุนั้น อยากทราบว่าปืนดังกล่าวมาจากไหน เพราะตามหลักสากลตำรวจต้องเป็นผู้ถึงจุดเกิดเหตุก่อนเพื่อกันพื้นที่ไว้ตรวจ สอบ แต่เท่าที่พบทุกหน่วยงานแม้แต่หน่วยกู้ภัยก็ยังเข้าถึงจุดเกิดเหตุได้ ขณะที่ “ซีดีรัฐไทยใหม่” ยังอยู่ในสภาพดี (ในห้องที่เกิดระเบิด) แต่กลับเขียนข้อความ (ด้วยลายมือว่า “รัฐไทยใหม่”) ไว้ด้านแถบแม่เหล็ก
ดีเอสไอจัดฉากใส่ร้ายเสื้อแดง?
พ.ต.ท.สมชายจึงตั้งข้อสงสัยว่ากรณี 11 ชายฉกรรจ์และระเบิดที่เกิดขึ้นจะเป็นการจัดฉากสร้างหลักฐานเท็จเพื่อใส่ร้าย ป้ายสีคนเสื้อแดงและฝ่ายตรงข้ามหรือไม่ เพราะตั้งแต่มีเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” รัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐก็เหมือนจะพยายามสร้างสถานการณ์และหลักฐานต่างๆขึ้น มาอย่างต่อเนื่อง เพราะหากพบว่ามีคนเสื้อแดงออกมาสร้างความเดือดร้อนจริงก็ควรดำเนินการโดย เร็ว และต้องมีการพิสูจน์ความจริง เอาตัวคนผิดมาลงโทษ
แม้แต่ พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 ที่รับผิดชอบพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ยังระบุว่าฝ่ายข่าวกรองไม่มีรายงานว่ามีกลุ่มนักรบแดง และไม่เชื่อว่าจะไปฝึกที่กัมพูชา ถ้าจะฝึกคงฝึกในบ้านเรา ไม่ไปฝึกข้างนอก เพราะถ้าไปฝึกที่อื่นเขาก็ต้องจับกุม เช่นเดียวกับ พ.อ.ประสาน แสงศิริรักษ์ เสนาธิการหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 4 อ.แม่สอด จ.ตาก ที่ยืนยันว่าไม่พบการเคลื่อนไหวของนักรบแดงไปฝึกที่ชายแดนไทย-พม่า
แม้นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) จะยืนยันข้อมูลของดีเอสไอที่ระบุว่ากลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ติดต่อประสานเพื่อหาคนไปฝึกอาวุธที่ประเทศกัมพูชาจำนวน 39 คนจริง ซึ่งฝ่ายสืบสวนสอบสวนได้มา โดยกลุ่มคนที่ผ่านการฝึกเข้ามาอยู่ในประเทศไทยขณะนี้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ดูแลอยู่ ซึ่งข้อเท็จจริงจะต้องดูผลการสอบสวนของเจ้าหน้าที่อีกครั้ง
กัมพูชาอัดไทยใส่ร้าย
อย่างไรก็ตาม นายเขียว กันหะริด โฆษกรัฐบาลกัมพูชา ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาของเจ้าหน้าที่ไทยอย่างสิ้นเชิงและระบุว่า “ใครจะอยากทำเรื่องแบบนี้? เพราะกัมพูชาไม่ได้ประโยชน์ใดๆเลยในการฝึกคนพวกนี้”
ส่วนนายกอย กวง โฆษกกระทรวงต่างประเทศกัมพูชา ยืนยันว่า ไม่มีความจริงแม้แต่น้อย ทั้งยังตำหนิทางการไทยที่มักจะกล่าวหากัมพูชาเมื่อไม่สามารถแก้ไขปัญหาภายใน ประเทศได้
“พวกเขานิยมพูดผ่านสื่อ ดังนั้น เราจะพูดผ่านสื่อบ้าง กัมพูชาเรียกร้องเสมอให้ไทยยุติการกระทำที่เป็นการกล่าวโทษกันไปมาเช่นนี้ คราวก่อนๆเมื่อไรก็ตามที่มีปัญหาที่หาทางแก้ไม่ได้พวกเขามักจะพูดว่ากลุ่ม นั้นกลุ่มนี้มาจากกัมพูชา ดังนั้น เราจึงขอเรียกร้องให้ไทยยุติการกระทำเช่นนี้ และพยายามแก้ไขปัญหาภายในประเทศเอง ไม่ใช่เอาแต่กล่าวหาใส่ร้ายคนอื่น”
เส้นทางนักรบแดง?
ขณะที่นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการปฏิเสธของกัมพูชาว่า ไม่ได้ต้องการกล่าวหากัมพูชา แต่มีข้อมูลที่ได้จากการสืบสวนสอบสวน เชื่อว่าจะใช้เวลาไม่นานในการขยายผลนักรบแดงที่ไปฝึกอาวุธในกัมพูชาและนำ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไป รวมทั้งการเคลื่อนไหวของนักรบที่เหลืออีก 28 คนที่เคลื่อนไหวในกรุงเทพฯ สร้างสถานการณ์ใช้ระเบิดและก่อกวนในชุมชน เป็นเบาะแสที่ได้จากประชาชน
ด้าน พ.ต.ท.พเยาว์เปิดเผยผลการสอบสวน 11 ชายฉกรรจ์ว่า ให้การเป็นประโยชน์ ดีเอสไอจึงจะกันไว้เป็นพยาน เพราะทั้งหมดให้การว่าได้ร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายน ได้เห็นกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ฮาร์ดคอร์ใช้อาวุธยิงตอบโต้ทหาร ยิงรถดับเพลิงในวันที่ 14-19 พฤษภาคม ในจำนวนนี้หลายรายถูกกระสุนปืนได้รับบาดเจ็บ บางคนมีหมายจับตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ได้รับการประกันตัวออกมาแล้วหลบหนีไป
นอกจากนี้ พ.ต.ท.พเยาว์ยังระบุว่า กลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ซึ่งนำโดยนางกัญญาภัค มณีจักร หรือดีเจอ้อม และนายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล ติดต่อประสานเพื่อหาคนเหล่านี้ไปฝึกอาวุธที่กัมพูชาจำนวน 39 คน โดยมีผู้ประสานงาน 2-3 สาย เส้นทางที่ 1 เดินทางจากกรุงเทพฯ-อ.ช่องจอม จ.สุรินทร์ เส้นทางที่ 2 กรุงเทพฯ-โคราช-สุรินทร์ และเส้นทางที่ 3 กรุงเทพฯ-พัทยา-สระแก้ว-กัมพูชา จากนั้นจะถูกนำตัวไปพักอยู่ในบ้านแห่งหนึ่งเพื่อรอรับการฝึก บางส่วนพักที่โรงแรมอังกอร์ จ.เสียมเรียบ โดยเข้ารับการฝึกที่ค่ายทหารแห่งหนึ่งเป็นเวลา 3 สัปดาห์
“นักรบแดง 11 คนให้การว่า การฝึกสัปดาห์แรกจะมีการให้ความรู้ ปลุกระดมสมอง ฝังความเชื่อที่ผิดๆ นำภาพวิดีโอและซีดีที่เกี่ยวกับการหมิ่นสถาบันมาให้ดูเพื่อทำให้เกิดความ รู้สึกเกลียดชัง สัปดาห์ที่ 2 เป็นการฝึกด้านอาวุธศึกษา ด้านวิธีการใช้เอ็ม 16 อาก้า เอ็ม 79 ระเบิดซีโฟร์ และอื่นๆ ส่วนสัปดาห์สุดท้ายเป็นการฝึกอาวุธจริง กระสุนจริง ระเบิดจริง โดยระหว่างฝึกจะได้รับเงินเบี้ยเลี้ยงเป็นค่าตอบแทนไม่มากนัก แต่หลังการฝึกทุกคนจะได้รับเงินจำนวน 20,000 บาท และกลับเข้ามาในประเทศเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม ผ่านเข้ามาทางชายแดนช่องจอม จ.สุรินทร์ สำหรับผู้ที่ได้รับการฝึกมีจำนวน 39 คน และเดินทางกลับเข้ามาเพียง 35 คน ที่เหลืออีก 4 คน นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง ไม่ให้กลับแต่ได้นำตัวไว้เป็นการ์ดของตัวเอง โดยหนึ่งในจำนวนนั้นมีนายมงคล สารพัน ผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายรวมอยู่ด้วย”
พ.ต.ท.พเยาว์ให้รายละเอียดเส้นทางนักรบแดงอย่างเหลือเชื่อแล้วยังระบุว่า นักรบอีก 24 คน กระจายกันอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ บางคนอยู่ลพบุรี กรุงเทพฯ ชลบุรี และสระบุรี
ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรค เพื่อไทย และแกนนำ นปช. ตอบโต้ดีเอสไอว่า เป็นการใช้วิธีสามานย์ เป็นวิชามารที่ดีเอสไอใช้มาตลอดเวลาตั้งแต่จับนายเมธี อมรวุฒิกุล หรือใครก็ตามในความผิดร้ายแรง ดีเอสไอจะไม่ตั้งข้อหาดำเนินคดี แต่กลับจะกันตัวไว้เป็นพยาน และมีอีกหลายคนที่รับเงินเดือนจากดีเอสไอในโครงการคุ้มครองพยาน แทนที่จะดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมา
คำถามที่ไม่มีคำตอบ!
อย่างไรก็ตาม เหตุระเบิดที่บางบัวทองยังมีการตั้งคำถามตามบล็อกต่างๆว่าเป็น “ฆาตกรรมอำพราง” หรือไม่ เพราะจากสภาพของแมนชั่นคือ ชั้น 2 ห้อง 201 มีชาวไทย-มุสลิมอาศัยอยู่และเข้าออกประจำ ห้อง 202 ที่ติดกับห้อง 201 เป็นห้องที่นายสมัยเช่าอาศัยและระบุชื่อเข้าพักชัดเจนทั้งที่มีคดีติดตัว อยู่ ส่วนห้อง 203 ที่ติดกับห้อง 202 กลับไม่มีการพูดถึงหรือรายงานความเสียหาย
ขณะที่ห้อง 202 ของนายสมัยถูกเจ้าหน้าที่รัฐและสื่อต่างๆตัดสินไปแล้วว่าเป็นต้นเหตุระเบิด บ้างก็บอกว่าเป็นระเบิดทีเอ็นที 10 กิโลกรัม หรือระเบิดซีโฟร์ซึ่งมีอานุภาพร้ายแรงอย่างที่เห็น ทั้งยังมีหลักฐานแผ่นซีดีและหนังสือใหม่เอี่ยม “รัฐไทยใหม่” และหลักฐานอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเสื้อแดง โดยไม่มีความเสียหายใดๆจากการระเบิด
หลักฐานต่างๆที่ปรากฏจากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่จึงโยงความผิดไปที่นาย สมัยซึ่งเคยร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงทั้งหมด เป็นการชี้มูลความผิดที่รวดเร็วปานจรวด เป็นการทำงานที่ยอดเยี่ยมเหนือชาติใดๆของเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานด้าน ความมั่นคง
อีกทั้งยังมีการตั้งข้อสังเกตหรือจับโกหกหลักฐานต่างๆว่าทำไมระเบิดที่ เกิดขึ้นจึงเหมือน “ระเบิดเทวดา” ที่บังคับทิศทางได้ แรงระเบิดดันจากห้อง 202 ไปห้อง 201 และต่อออกไปถึงภายนอกอาคาร ทำให้แพปลา ทาวน์เฮาส์ด้านข้างและรถยนต์เสียหายยับเยิน ขณะที่หลักฐานจากรูป คลิปภาพ และสภาพห้อง 203 ที่ติดกับห้อง 202 กลับไม่เป็นอะไรเลย ทำให้มีการตั้งประเด็นสงสัยและวิเคราะห์ว่าจะเป็น “ฆาตกรรมอำพราง” หรือไม่ เพราะมีการสะกดรอยนายสมัยซึ่งมีคดีถูกกล่าวหาทำลายทรัพย์สินที่ทำการกลุ่ม พันธมิตรฯที่เชียงใหม่แล้ว จึงมีข้อน่าสังเกตว่า
1.ระเบิดดูแนบเนียนเหมือน “มืออาชีพ” ที่เป็น “มือระเบิดโจรใต้” ซึ่งชำนาญการใช้ระเบิดเป็นอย่างดี
2.ระเบิดน่าจะเป็นการจุดชนวนด้วยรีโมตมือถือเพื่อหวังผลได้แน่นอน ไม่ใช่ระเบิดตั้งเวลาที่อาจมีความผิดพลาดได้
3.อานุภาพของระเบิดที่รุนแรงจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บนับสิบ ทำลายและเผาผลาญวัตถุสิ่งของต่างๆ แต่ทำไมซีดีและหนังสือ “รัฐไทยใหม่” จึงอยู่ในสภาพเหมือนใหม่ รวมทั้งลูกปืนจำนวนหนึ่งไม่ระเบิด และรางเพลิงกระสุนปืนก็ไม่มีความเสียหายใดๆ
ปริศนาโจรใต้!
นอกจากเหตุระเบิดยังถูกโยงไปถึงเหตุระเบิดอีก 4 คดีก่อนหน้านี้ทันทีว่าเกี่ยวข้องกับนายสมัย ทั้งที่นายสมัยมีอาชีพเป็นยาม แม้จะร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดง จะมีความรู้ต่อวงจรระเบิดร้ายแรงได้อย่างไร ส่วนสองผัวเมียที่ร่วมห้องมีรถวีโก้ป้ายทะเบียนจังหวัดนราธิวาสนั้น เจ้าหน้าที่กลับตัดประเด็นทันทีว่าไม่เกี่ยวกับการก่อการร้ายใน 3 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งแตกต่างลิบลับกับการสอบสวนเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่วันนี้ยังไม่มีแม้แต่การชันสูตรพลิกศพ 91 ชีวิต และหาข้อสรุปไม่ได้
แต่กลับกล่าวหาและใส่ร้ายป้ายสีคนเสื้อแดงว่าซ่องสุมฝึกกองกำลังและ ประโคมข่าวให้ประชาชนอคติและเกลียดชังคนเสื้อแดงว่าใช้ความรุนแรง ไม่เว้นแม้แต่ เสธ.แดงหากยังมีชีวิตอยู่ก็คงต้องถูกกล่าวหาว่าเป็นคนผิดอีกแน่นอน อีกทั้งแกนนำทั้งหมดก็ถูกคุมขังอยู่ในคุก หากเป็นผู้ก่อการร้ายจริงก็คงไม่น่าเกิดเหตุระเบิดขึ้นอีก
มาตรฐานอภิสิทธิ์
สถานการณ์การเมืองวันนี้จึงอยู่กับ “วาทกรรม” ใส่ร้ายป้ายสี หรือโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเชื่อว่ามี “ไอ้โม่งชุดดำ” ขบวนการ “ก่อการร้าย” และ “เครือข่ายล้มเจ้า” ทั้งที่ไม่มีหลักฐานใดๆชัดเจนหรือผ่านกระบวนการยุติธรรมปรกติ แต่เจ้าหน้าที่รัฐทุกระดับกลับออกมาพูดเหมือนมีหลักฐานแน่นหนา โดยไม่คำนึงถึงผลเสียหายต่อบ้านเมืองและความรู้สึกของประชาชน ทั้งที่คนเสื้อแดงส่วนใหญ่ต่อสู้อย่างสันติวิธีเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม และประชาธิปไตย แต่กลับกลายเป็น “จำเลย” ของสังคมไปโดยปริยาย เหมือนคำพูดที่ว่า “กูทำอะไรก็ผิด มึงทำอะไรก็ไม่ผิด”
ขณะที่รัฐบาลก็ทำทุกวิถีทางเพื่อให้อยู่ในอำนาจและตักตวงผลประโยชน์อย่าง ไม่ละอาย แม้การทุจริตคอร์รัปชันซึ่งรัฐมนตรีหลายกระทรวงมีพฤติกรรมไม่โปร่งใสและลุ แก่อำนาจ โดยเฉพาะการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการก็ไม่มีใครกล้าแตะต้อง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และกฎเหล็กขึ้นสนิม 9 ข้อก็ไม่อาจลงโทษรัฐมนตรีที่มีพฤติกรรมฉาวได้ นอกจากจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็น “ผู้นำที่ไร้อำนาจ” แล้วยังทำตัวเหมือนคน “หูหนวกตาบอด” อีกด้วย
ความปรองดองจึงเป็นแค่ “วาทกรรมตอแหล” ที่เป็นไปไม่ได้ เพราะรัฐบาลใช้กลไกทุกอย่างเพื่อรักษาความมั่นคงให้กับรัฐบาล ไม่ใช่รักษาความมั่นคงให้กับประเทศชาติ
เหมือนความยุติธรรมที่ “เลือกปฏิบัติ” ซึ่งคนเสื้อแดงถูกขังมานานกว่า 4 เดือนแล้ว การขอประกันตัวไม่เป็นผล การดำเนินคดีนัดฟังปากคำพยานปากแรกถูกลากไปถึงสิ้นปี เหมือนถูกขังฟรีถ้าไม่ผิด โดยระบุว่าอยู่ระหว่างการสอบปากคำพยานเพิ่มเติม และมีแนวโน้มจะถูกคุมขังต่อไปเรื่อยๆ
ขณะที่คดีนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์หรือพระราชินี ตามประมวลกฎ หมายอาญา มาตรา 112 เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2551 โดยการนำคำปราศรัยของ น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือดา ตอร์ปิโด ซึ่งศาลอาญาพิพากษาจำคุกแล้ว 18 ปี มาเผยแพร่ซ้ำนั้น ศาลนัดสืบพยานโจทก์ปากแรกในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2554 (เกือบสิ้นปีหน้า) นอกจากนี้นายสนธิซึ่งมีข้อหาเป็น “ผู้ก่อการร้าย” กรณียึดสนามบินสุวรรณภูมิตั้งแต่ปี 2551 ก็สามารถใช้ชีวิตอย่างอิสระภายนอกโดยแทบจะไม่มีความคืบหน้าของคดี
จึงทำให้มีคำถามว่าหลักนิติรัฐที่นายอภิสิทธิ์ประกาศว่าต้องมีความ ยุติธรรมและเสมอภาคนั้นน่าจะเป็นมาตรฐานแบบอภิสิทธิ์ชน เพราะคน 2 กลุ่มที่ถูกกล่าวหาเป็น “ผู้ก่อการร้าย” เหมือนกัน คนกลุ่มหนึ่งถูกคุมขังอย่างไม่มีกำหนด ขณะที่คนอีกกลุ่มหนึ่งกลับเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
กระชับอำนาจ
ดังนั้น ตราบใดที่รัฐบาลยัง “ลูบหน้าปะจมูก” และใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไล่ล่าคนเสื้อแดงต่อไป นอกจากความปรองดองจะไม่มีวันเกิดขึ้นแล้ว ยังมีแนวโน้มที่จะมีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ “มือที่คิดว่าไม่ มีใครมองเห็น” กลับทำให้คนไทย “ตาสว่าง” มากขึ้นๆ
วันนี้กลุ่มอำมาตย์ยังคงเดินหน้ากวาดล้างคนเสื้อแดง โดยอ้างว่าเป็นพวกฮาร์ดคอร์ที่ต้องการใช้ความรุนแรง พยายามโยงให้เป็นเครือข่ายเดียวกับระบอบทักษิณ หากต้องการรักษาความมั่นคงของระบอบอำมาตย์จึงจำเป็นต้องทำลายคนเสื้อแดงให้ สิ้นซากหรือทำให้อ่อนแอมากที่สุด
วันนี้กลุ่มคนเสื้อแดงกลับเพิ่มมากขึ้นๆทั้งที่ “ไร้ซึ่งแกนนำ” แม้คนเสื้อแดงถูกทำลายแทบไม่เหลือที่ให้ยืนในสังคม แต่สิ่งที่กลุ่มอำมาตย์ไม่อาจทำลายได้คือ “จิตใจที่แน่วแน่” ของคนเสื้อแดงที่ทุกคนพร้อมจะต่อสู้เพื่อให้ได้ความยุติธรรมและประชาธิปไตย ที่แท้จริงกลับคืนมา
ถ้าเวลาแค่ 3 สัปดาห์สามารถสร้าง “นักรบแดง” ได้จริงอย่างที่ดีเอสไอพยายามยัดเยียด
ระวัง “อินทรี (เสื้อ) แดง” ผู้เกลียดชังความอยุติธรรมจะเต็มเมือง!!
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 281 วันที่ 16 – 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553 หน้า 8 คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น