วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 21, 2553

คำแปลจดหมาย 4 หน้ากระดาษ เขียนด้วยลายมือของ “วิคเตอร์ บูท” - 9 กันยายน 2553

จาก uddthailand


@...คนฉลาดต้องรู้ว่าตนเองโง่...ภูผาหิน เข้าประจำการรายงานข่าวสังคม Bangkok Gossip ในหนังสือพิมพ์ บางกอก ทูเดย์ ฉบับออนไลน์ประจำวันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2553...วันที่ต้องตั้งคำถามกับผู้มีอำนาจในประเทศ...การส่งตัว “วิคเตอร์ บูท” ให้ทางการสหรัฐฯ...พวกท่าน “ฉลาด” หรือ “โง่” กันแน่?...@

@...วันนี้ “ภูผาหิน” ขอร่ายมหากาพย์เรื่องยาวเกี่ยวกับ “พ่อค้าความตาย” ที่กลายเป็นเชื้อไฟนำพาประเทศเข้าสู่ภาวะ “ศึกสงคราม”ซึ่งสหายใจดีได้ทำการ “แปลจดหมาย” ฉบับหนึ่งความยาว 4 หน้ากระดาษ เขียนด้วยลายมือของ “วิคเตอร์ บูท” ก่อนที่เขาจะถูกดำเนินคดี เหมือนเรื่องนี้มีเป้าหมายและ “เงื่อนงำ” อะไรบางอย่าง...ซึ่งรัฐบาลไทยเองก็รู้...รัฐบาลสหรัฐก็รู้...แต่ไม่มีใครกล้าพูดความจริง!...@

@...การแปลเรื่องนี้ ดิฉัน “ดวงจำปา” ได้แปลจากการอ่านลายมือที่เขียนไว้ในรูปภาพที่โพสต์ประกอบไว้ ซึ่งดิฉันไม่ได้มีส่วนร่วม...ไม่ได้รู้เห็น...หรือไม่ได้แสดงความคิดเห็นว่า มีความเห็นพ้องต้องกันหรือไม่ กับเนื้อความจากจดหมายและรูปภาพที่โพสต์ประกอบไว้ในเรื่องนี้...ถ้าท่านนำเอาข้อความที่แปลนี้ไปถ่ายทอดหรือสื่อสาร หรือเผยแพร่ กรุณาช่วยลงหลักการอ้างอิงของดิฉันไว้ด้วย เพื่อความปลอดภัยในทางการบังคับใช้กฎหมายที่ใช้ควบคุมอยู่ในราชอาณาจักรไทย และ ในประเทศสหรัฐอเมริกา...@

@...(หน้า 1) เรียนท่านที่เคารพ...ทนายความของผมที่นี่ (ประไทศไทย) และที่กรุงมอสโคว์ได้ตรวจสอบผลการตัดสินของศาลอาญา และการตัดสินของศาลอุทธรณ์แล้ว ปรากฎว่าในทางกลับกันจากความหมายและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญไทย...ไม่มีศาลที่สามารถพิจารณากรณีของการส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้...แต่ถ้ามีศาลที่เกี่ยวกับเรื่องนี้จริง ผมคงเสนอให้ทราบหลายหัวข้อ ในเรื่องการสู้ความของผม “ผมไม่ใช่นักกฎหมาย” แต่ผมจะพยายามอธิบายหัวข้อและข้อเท็จจริงเหล่านี้ในกรณีของผมอย่างดีที่สุดเท่าที่ผมจะสามารถกระทำได้...ซึ่งมีดังต่อไปนี้คือ...@

@...1. การจับกุมตัวผมในวันที่ 6 มีนาคม 2551 นั้น...เป็นการยุแหย่โดยสายสืบของฝ่ายอเมริกัน ซึ่งเป็นผู้ไม่เคารพต่อกฎหมายไทยหรือกฎหมายสากล และเขาก็ไม่มีหลักฐานอะไรที่จะผูกมัดตัวผมได้...ฝ่ายอเมริกันนั้นได้ปฎิบัติการโดยการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย ด้วยการให้ผมเซ็นชื่อในเอกสารการจับกุมตัวผม ในข้อหาเรื่องการ “ก่อการร้าย” ตามที่กล่าวอยู่ในกฎหมายไทย...@

@...พวกเขาทำได้โดยการบอกกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยว่า...ผมเป็นอาชญากรและทางฝ่ายอเมริกันนั้น มีหลักฐานที่จะมัดตัวผมไว้แล้ว...มันได้เกิดขึ้น 5 วัน ก่อนที่ผมจะเดินทางเข้าไปในประเทศไทยโดยตรงจากกรุงมอสโคว์....ระหว่างการจับกุมผมนั้น เจ้าหน้าที่สายสืบฝ่ายอเมริกันได้ทำการค้นห้องพักในโรงแรมของผม โดยปราศจากหมายค้น...ที่ตามปรกติแล้วจะต้องออกโดยศาลยุติธรรมของประเทศไทย...@

@...พวกเขายอมรับเรื่องนี้ จากคำให้การในวันที่ 22 กันยายน 2551 ในการพิจารณาความเรื่องการส่งผู้ร้ายข้ามแดนที่ศาลอาญาในระหว่างการตรวจค้น...เจ้าหน้าที่สายสืบชาวอเมริกันก็ไม่ได้พบอะไร...ในห้องของผมก็ไม่ได้มีอาวุธ...ไม่มีภาพเขียนใดๆ เกี่ยวกับอาวุธ...ไม่มีเงินสด...ไม่มีกระบวนการหรือวิธีการที่ถูกระเบียบเหมาะสมในเรื่องการส่งผู้ร้ายข้ามแดนในเคสของผมเกิดขึ้นมาก่อนวันที่ 9 เมษายน 2551...ทางฝ่ายผู้ฟ้อง (อัยการ – ผู้แปล) ได้ตัดสินใจไม่ส่งฟ้องตามข้อกล่าวหาที่มาจากประเทศสหรัฐอเมริกา...0

0... (หน้า 2) เป็นระยะเวลาทั้งหมดหนึ่งเดือนที่ผมได้อยู่ภายใต้การสอบสวน ด้วยข้อหาของการ สนับสนุนการ “ก่อการร้าย” ภายใต้กฎหมายอาญาของเมืองไทย...ในวันที่ 9 เมษายน อัยการของไทยได้ยกคำฟ้องเรื่อง ผู้ต้องหา โดยเหตุผลและหลักฐานของการกล่าวหาในศาล...ผมก็ “โล่งอก” ไปประมาณ 1 นาที และหลังจากนั้นในทันทีผมได้ถูก “จับกุมโดยชั่วคราว” โดยรอฟังผลในเรื่องของการส่งผู้ก่อการร้ายข้ามแดน...0

0...ในการฟังความนั้นศาลไทยได้ขอหลักฐานเพียงนิดหน่อยจากฝ่ายอเมริกัน ถึงเรื่องการกระทำผิดของผม แต่ทางประเทศสหรัฐอเมริกาก็ไม่เคยส่งหลักฐานเหล่านี้ไปให้ พวกเขาได้อ้างว่า...ตัวหลักฐานเหล่านี้เป็น “ความลับสุดยอด” และ “ได้ถูกเก็บไว้ในสถานที่ความมั่นคงในประเทศสหรัฐอเมริกา” ศาลอุทธรณ์พิจารณาถึงหลักฐานที่เสนอส่งขึ้นมาว่า เพียงพอสำหรับการส่งผู้ก่อการร้ายข้ามแดนได้...@

@...อย่างไรก็ตาม หลักฐานที่ทางฝ่ายสหรัฐอเมริกาได้ส่งมานั้น มีเพียงแค่คำร้องอย่างเป็นทางการในการขอเรื่องการส่งผู้ร้ายข้ามพรมแดน และ เอกสารการจากการให้การที่เป็นลายลักษณ์อักษรของสายสืบ ที่ทำงานอยู่ในหน่วยปราบปรามยาเสพติด (DEA = Drug Enforcement Agency) ซึ่งพวกนี้ก็ไม่ได้มีส่วนร่วมในการจับกุมตัวผมเลย....ทางฝ่ายสหรัฐอเมริกายืนกรานในฝั่งไทยว่า ไม่ต้องการที่จะต้องส่งหลักฐานใดๆ ตามข้อกล่าวหาทางอาชญากรรมให้กับผู้พิพากษา....ศาลอุทธรณ์ก็ได้ใช้หลักการนี้ในการพิจารณาความ...@

@...อย่างไรก็ตาม ศาลอาญาได้ระบุว่า การขาดหลักฐานในกรณีนี้ เป็นเหตุผลที่สำคัญต่อการปฎิเสธคำร้องทางฝ่ายสหรัฐอเมริกาในเรื่องการส่งผู้ร้ายข้ามแดนของผม...หลักฐาน “เพิ่มเติม” ที่ทางฝ่ายสหรัฐฯ ได้ส่งมานั้น มันเกิดขึ้นหลังจากการจับกุมผมไว้มาหนึ่งปี ซึ่งประกอบไปด้วย สำเนาคู่มือเก่าๆ ภาษารัสเซีย ของเครื่องบินบรรทุกสินค้า และกระดาษที่พิมพ์ออกมาอีกหลายๆ แผ่น ซึ่งพิมพ์มาจากเวปไซต์ทางอินเตอร์เน็ทที่ใครๆ ก็เข้าไปค้นกันได้...@

@...ไม่มีสิ่งใดเลยในหลักฐานเหล่านี้ที่อยู่ในบัญชีรายการซึ่งได้ถูกรวบรวมไว้โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยในวันที่ผมถูกจับ...เมื่อทางฝ่ายรัฐบาลของรัสเซียได้เรียกร้องสำเนาของการฟ้องร้องและหลักฐานเพิ่มเติม ทางฝ่ายสหรัฐฯ ได้ส่งปึกเอกสารเดิมที่ประกอบไปด้วยคู่มือเก่าๆ และ เรื่องที่พิมพ์ออกมาทางอินเตอร์เน็ท...ซึ่งไม่เกี่ยวข้องเลยสักนิดเดียว...@

@...(หน้าที่ 3) หลักฐานเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตัวผมเลยแม้แต่น้อย...2. ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นด้วยกับศาลอาญาในเรื่องสถานะทางการเมืองในกรณีของผม...ผมไม่เคยขายอาวุธให้กับใคร...ธุรกิจของผมก็คือ การขนส่งสินค้าหลากหลายชนิดทางอากาศ โดยทำสัญญาว่าจ้างกับรัฐบาลต่างๆ…ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมาจากประเทศในทวีปแอฟริกา...@

@..ในการล่อลวงผมในกรุงเทพฯ นั้น..สายสืบของฝ่ายอเมริกันได้ปลอมตัวเข้ามาในฐานะของสมาชิกกลุ่ม FARC (กลุ่มปฎิวิติด้วยการใช้อาวุธจากประเทศโคลอมเบีย) โดยการขอร้องให้ผมขายอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมากให้กับฝ่ายเขา...จากนั้นเขาก็จับกุมตัวผม ผมไม่เคยมีความตั้งใจที่จะขายอะไรเลย...นอกจากเครื่องบินขนส่งสินค้าที่เหลืออยู่ลำหนึ่ง...ซึ่งผมพยายามอย่างยิ่งที่จะขายมันทิ้งเป็นเวลาหลายเดือนมาแล้ว...0
0..ทนายความของผมได้ใช้วิธีการที่จะพิสูจน์ว่า...กรณีของผมนั้นเป็นกรณี “การเมือง” โดยใช้เหตุผลที่ว่า...กฎหมายทางไทยและทางสากลนั้น ซึ่งต่างกับของสหรัฐอเมริกาได้มีความเห็นว่า...กลุ่มของ FARC นั้นเป็นกลุ่มทางการเมือง...ไม่ใช่กลุ่มอาชญากรหรือองค์กรทางการก่อการร้าย...ศาลอาญาได้มีความเห็นพ้องกับการสู้คดีของฝ่ายผมและคำขอร้องจากฝ่ายสหรัฐในการส่งตัวผมไปในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนนั้นก็ได้ถูกปฎิเสธกลับไป...@

@...แต่ทางศาลอุทธรณ์นั้นกลับได้ละเลยและไม่สนใจต่อตรรกะในผลของการตัดสินครั้งแรก...ศาลได้กล่าวว่า เมื่อตัวผมไม่ได้เป็นสมาชิกในกลุ่ม FARC ดังนั้น ในแง่มุมของทางการเมือง ก็ไม่สามารถมีผลบังคับใช้ในกรณีผมได้ แต่ตัวผมเชื่อว่า มันต้องมีผลบังคับใช้ได้ เพราะฉะนั้น ผมจึงไม่สามารถถูกส่งตัวไปในฐานะของการส่งผู้ร้ายข้ามแดน...@

@...3. ศาลอุทธรณ์ได้ลงความเห็นว่า ข้อหาของฝ่ายอเมริกันนั้นเห็นพ้องและลงรอยกันกับ มาตรา 135 ของประมวลกฎหมายอาญาของไทย (ในเรื่องของการก่อการร้าย) ซึ่งกลับกันกับตอนที่ศาลอาญาลงความเห็นว่า “มันไม่พ้องกัน” การตัดสินของศาลอุทธรณ์นั้น ได้แก้ไขข้อกล่าวหาข้อที่ 4 ของผม (ในเรื่องของการสนับสนุนทางอาวุธกับองค์กรผู้ก่อการร้าย)...@

@...แต่ในประเทศไทยนั้น FARC ไม่ได้ถูกพิจารณาให้เป็นองค์กรของการก่อการร้าย...นอกเหนือไปจากนั้น ข้อกล่าวหาเหล่านี้ ตามประมวลกฎหมายอาญาของไทย มาตรา 135 ได้ถูกยกข้อกล่าวหาไปจากผม ในกรณีของหลักฐานที่มีอยู่...@

@...(หน้าที่ 4)ตัวผมได้ถูกตัดสินให้พ้นผิดไปในเรื่องนี้แล้ว และตามกฎหมายนั้นไม่สามารถที่จะถูกส่งตัวในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนได้...ทั้งนี้รวมไปถึงข้อกล่าวหา 3 ข้อแรกด้วยที่ไม่เห็นพ้องกับมาตรา 135 ของประมวลอาญากฎหมายไทย...สรุปได้แล้วก็คือ ตัวผมนั้นไม่สามารถถูกส่งตัวออกไปในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนได้...@

@...4. ศาลอาญาได้กล่าวว่า...มันเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างบทลงโทษในอาชญากรรมที่กล่าวไว้ ซึ่งเหมือนกับว่า เป็นเรื่องของการกระทำผิดโดยบุคคลต่างชาติ ที่เกิดขึ้นบนผืนดินต่างชาติและคู่กรณีก็เป็นคนต่างชาติอีกด้วย....แต่ศาลอุทธรณ์ได้ตัดสินว่า ข้อกล่าวหาเหล่านี้ได้เห็นพ้องกันกับ มาตรา 135...@

@...ตามด้วยการพบกับ “นายศิริโชค โสภา” ที่เรือนจำพิเศษ เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2553 เพื่อเป็นการบอกนัยๆ ว่า...อาวุธต่างๆ ที่ถูกยึดได้ในกรุงเทพฯ จากประเทศเกาหลีเหนือ ในเดือนธันวาคม 2552และการปฎิเสธต่อการร่วมมือในการจับกุมอดีตผู้นำ “ทักษิณ ชิณวัตร” นั้น...ก็หมายถึงว่า คำตัดสินนี้ ได้เป็นที่สิ้นสุดลงเรียบร้อยแล้ว...@

@...ดังนั้น ผมจึงขอร้องท่านให้นำเอาคดีของผมนี้ ออกไปจากปัญหาการเมืองภายในประเทศเสีย... ผมขอร้องให้ท่านได้ช่วยแต่งตั้งผู้ที่สามารถสืบสวนดดีของผมได้ เพื่อแสงสว่างแห่งความยุติธรรมด้วยหลักการที่ถูกต้องตามเจตนารมณ์ จิตวิญญาณ และทางนิติธรรมในทางกฎหมายไทย...ซึ่งคดีของผมนั้น ได้ถูกละเมิดสิทธิอยู่...@

ด้วยความเคารพและขอบคุณ
(ลายมือชื่อ) วิกเตอร์ บูท - 9 กันยายน 2553


ที่มา: โดย uddthailand (update ณ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2010 เวลา 13:34 น.)
Ref : http://www.bangkok-today.com/node/7868

--------------------------------------------------

จาก อัลบั้มภาพ Matichon Online

ปฎิบัติการ "คน 4 คน" กับภารกิจหนึ่งเดียว เปิดโปง "วิคเตอร์ บูท" !

บทความโดย ปิยมิตร ปัญญา piyamitara@gmail.com
ที่มา: มติชนออนไลน์ (update: วันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เวลา 18:12:54 น.)

วิคเตอร์ อนาโตลเยวิช บูท เป็นคนชาญฉลาด มีไหวพริบปฏิภาณมาตั้งแต่วัยเด็ก ในบรรดาลูกๆ 2 คน วิคเตอร์ ฉลาดกว่า และทะเยอทะยานกว่า เซอร์เก บูท ผู้พี่ นั่นทำให้ วิคเตอร์ วัย 43 ปี คือแกนหลักของธุรกิจที่ทั้งคู่ร่วมกันดำเนินการร่วมกับ ริชาร์ด ชิชาคลี พลเรือนอเมริกันเชื้อสายซีเรีย

ความฉลาดเฉลียวและมีไหวพริบของ วิคเตอร์ คือปัจจัยสำคัญที่ไม่เพียงทำให้เขาสามารถสร้างรายได้หลายร้อยหรืออาจจะเป็นหลายพันล้านดอลลาร์ จากการขนส่งอาวุธให้กับทุกฝ่ายในระหว่างความขัดแย้ง โดยที่ยังสามารถอำพรางตัวเองได้ดีพอที่จะได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจให้ขนส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์ให้กับเหยื่อของสงครามและการกดขี่ที่เขาคือผู้ทำให้ "เกิดขึ้นและเป็นไปได้" ในภาคพื้นแอฟริกา โดยหน่วยงานบรรเทาทุกข์ของสหประชาชาติ

แม้จะฉลาดเพียงใด มีไหวพริบแค่ไหน ดูเหมือนวิบากกรรมที่ วิคเตอร์ บูท ทำไว้จะไล่ล่าตัวเขาจนทันในที่สุด ภาพของชายวัย 43 ปี ถูกตีตรวน สวมเสื้อเกราะ ถูกหน่วยคอมมานโดคุมตัวขึ้นเครื่องบินเช่าเหมาลำพิเศษ คือภาพสุดท้ายที่สะท้อนความเป็นจริงของกฎแห่งกรรม

อย่างน้อยที่สุด วิคเตอร์ บูท ก็ถูกนำตัวขึ้นพิจารณา ไต่สวนข้อเท็จจริงแห่งพฤติกรรมแห่งตนแล้วในวันนี้

วันเวลาของ วิคเตอร์ อาจจะยังคงความรุ่งโรจน์ เขาอาจจะยังใช้ชีวิตอย่างสบายๆ ทำธุรกิจทั้งหลายได้ตามปกติ ไม่จำเป็นต้องหอบหิ้วทั้งพี่ เพื่อน และภรรยามาปักหลักในมอสโก ไม่สามารถเดินทางไปไหนมาไหนอย่างเปิดเผยได้อีกต่อไปเหมือนอย่างที่เป็นอยู่

ชื่อ วิคเตอร์ บูท อาจจะยังคงสะอาดเอี่ยม ไม่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าอาวุธและก่อการร้ายหลายคนในซีกโลกตะวันตกเชื่อว่า เขาคือผู้รับผิดชอบต่อการแพร่หลายของความพรั่นพรึง ต้องรับผิดชอบกับความตายของผู้คนเป็นจำนวนมากกว่าจำนวนที่คนอย่าง โอซามา บิน ลาเดน ต้องรับผิดชอบเสียอีก

และชื่อ วิคเตอร์ บูท คงไม่จำหลักอยู่อย่างมั่นคงเป็นอันดับ 2 ในรายชื่อ "ผู้ที่ถูกต้องการตัวมากที่สุด" รองจาก บิน ลาเดน ที่ถูกแจกจ่ายกันเป็นการภายในในหน่วยงานข่าวกรองของสหรัฐอเมริกา

ถ้าหากโลกนี้มีคนน้อยไปสัก 4-5 คน คนไม่กี่คนที่ชื่อ ดักลาส ฟาราห์, สตีเฟน บราวน์, ดิค ดรอลันส์, โยฮัน พีลแมน และ ลี โวลอสกี้

น่าสนใจที่คนเหล่านี้ไม่เคยรู้จักกัน ไม่เคยพบปะพูดคุยกันมาก่อน ไม่เคยหารือซึ่งกันและกันว่าด้วยเรื่องราวของ วิคเตอร์ ต่างฝ่ายต่างอยู่กันคนละที่ทาง คนละประเทศ


จาก อัลบั้มภาพ Matichon Online
ดักลาส ฟาราห์

สิ่งร่วมเพียงประการเดียวที่คนทั้งหมดมี ก็คือ ความมุ่งมั่นที่จะเปิดโปง "วิคเตอร์ บูท"

วิคเตอร์ บูท น้อยครั้งที่จะตัดสินใจผิดพลาดในเรื่องหนึ่งเรื่องใด นับตั้งแต่เริ่มต้นกว้านซื้อเครื่องบินเก่าๆ การเริ่มคบหาเป็น "เพื่อนตาย" กับ ริชาร์ด ชิชาคลี การย้ายบริษัทพร้อมกับดึง เซอร์เก ผู้พี่ และ อัลลา ภริยา ไปปักหลักอยู่ที่ ซาร์จาห์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่ง "เอาหูไปนา เอาตาไปไร่" ได้มากกว่าที่ไหนๆ

เขาไม่เคยผิดพลาดแม้กระทั่งการคัดสรร "เส้นทางบิน" ในการลำเลียง "สรรพสิ่ง" ตามออเดอร์

แต่ครั้งหนึ่งเขาพลาดเมื่ออนุญาตให้ ดิค ดรอลันส์ ผู้สื่อข่าวชาวเบลเยียมร่วมเดินทางไปกับเที่ยวบินเพื่อทำ "ธุรกิจ" สำคัญกับ ฌ็อง-ปิแอร์ เบมบ้า ผู้นำกบฏเลื่องชื่อแห่งคองโก ซึ่งในเวลาต่อมากลายเป็นรองประธานาธิบดี

การเดินทางหนนั้นไม่มีอะไรติดอยู่ในความทรงจำของ ดรอลันส์ มากมายนัก เว้นเสียแต่ว่า เขาได้เห็น "ตัวตนที่แท้จริง" ของ วิคเตอร์ บูท มากขึ้น

บูท บอกว่า "เฮลิคอปเตอร์กันชิป" ที่เขาลำเลียงส่งมอบให้กับ เบมบ้า นั้นคือส่วนหนึ่งของ "แผนฟื้นฟูคองโก" ที่เขาหวังว่าจะประสบผลสำเร็จ เพื่อที่ตัวเองจะได้มาใช้ชีวิตใน "สวรรค์บนดิน" แห่งนี้ในบั้นปลายชีวิต

ดรอลันส์ เห็นกับตาว่า คนอย่าง วิคเตอร์ บูท เยือกเย็นแค่ไหน จัดการกับสถานการณ์การต่อรองธุรกิจที่กำลังจะ "หลุด" กลายเป็นเรื่อง "นอกเหนือการควบคุม" ได้อย่างไร เขาเล่าว่า เบมบ้า และพลพรรค ไม่เพียงคาดหวังว่า เฮลิคอปเตอร์สงคราม จะเป็นสินค้าเพียงอย่างเดียวบนเครื่องบินของบูท แต่ยังหวังด้วยว่า จะมี "แอลกอฮอล์" ติดมาด้วย

สัญชาตญาณบอก บูท ว่า ทุกอย่างกำลังจะ "วายป่วง" เขาตัดสินใจส่งนักบิน ยอมเสี่ยงตายเพื่อเอาใจลูกค้า บินข้ามแนวรบ ไปซื้อเบียร์มา 2-3 ลัง ชนิดที่นักบินรายนั้นหอบลงมาในสภาพเหงื่อแตกท่วมตัว

นั่นคือแบบฉบับของวิคเตอร์ บูท ในสายตาของ ดิค ดรอลันส์ ที่ไม่เคยเชื่อในคำหวานของชายที่มี "องครักษ์" รัสเซีย 3 คนประกบติดตัวอยู่ตลอดเวลา

องครักษ์ที่มีบุคลิกเหมือนหลุดออกมาจากภาพยนตร์แรมโบ้ ยังไงยังงั้น

เรื่องราวที่ ดรอลันส์ พบเห็นในราวปี 1993 คือตัวจุดประกายความสนใจให้กับคนอีก 2 คน คนที่อยู่ห่างไกลกันคนละประเทศ ให้สนใจในตัว วิคเตอร์ บูท ยิ่งค้นคว้า ยิ่งพิเคราะห์ พิจารณา พวกเขายิ่งมุ่งมั่นมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า จำเป็นต้องเปิดโปงตัวตนที่แท้จริงของชายผู้นี้

จาก อัลบั้มภาพ Matichon Online
โยฮัน พีลแมน

ในปี 2000 ดักลาส ฟาราห์ ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าสำนักข่าวภูมิภาคแอฟริกา ของหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์อยู่ในวอชิงตัน ในขณะที่ โยฮัน พีลแมน ทำงานอยู่กับองค์กรการกุศลเพื่อสันติภาพของวิหารฟรานซิสกัน ในนครแอนท์เวิร์บ ประเทศเบลเยียม

ด้วยวิถีของสัมมาชีพ ดักลาส คุ้นเคยอยู่กับการค้าอาวุธไม่มากก็น้อย แต่ตรงกันข้าม โยฮัน ไม่เคยรู้เรื่องราวการค้าอาวุธมาก่อน สิ่งที่เขาเชี่ยวชาญอย่างยิ่งยวดคือ "วรรณกรรมยุคกลาง" ของยุโรป ที่ร่ำเรียนมาเป็นพิเศษเท่านั้น

สิ่งที่ผลักดันให้เขาทุ่มเวลาให้กับการค้นคว้าเรื่องการค้าอาวุธของวิคเตอร์ บูท อย่างสาหัส คือคุณงามความดีและอุดมคติในใจเท่านั้นเอง

โยฮัน บอกว่า เขาถึงกับช็อค เมื่อพบว่า ไม่ว่าจะเป็นอุดมคติ อุดมการณ์ทางการเมือง หรือจริยธรรม จรรยาใดๆ ไม่ได้มีผลกระทบกระเทือนต่อการตัดสินใจหยิบยื่นอาวุธให้กับทุกๆ คน ทุกๆ ฝ่ายในคู่สงคราม คู่ความขัดแย้งของวิคเตอร์ บูท เลยแม้แต่น้อยนิด

ดักลาส ฟาราห์ เขียนบทความจากการค้นคว้าของตนเองลึกลงไปในเครือข่ายของ วิคเตอร์ บูท ร่วมกับ สตีเฟน บราวน์ หลายต่อหลายชิ้น แต่ที่ โยฮัน พีลแมน ทำนั้นมีบทบาทสำคัญยิ่งกว่า เขาจัดทำรายงานเรื่องการค้าอาวุธของ วิคเตอร์ พร้อมหลักฐานบ่งชี้หลายประการนำเสนอต่อสหประชาชาติ ตั้งแต่ความเคลื่อนไหวของเที่ยวบิน ใบอนุญาตขนส่งสินค้าที่น่าเคลือบแคลงทั้งหลาย ทำให้สหประชาชาติตัดสินใจว่าจ้าง โยฮันเป็นกรณีพิเศษเพื่อทำวิจัยเชิงลึกในเรื่องนี้ต่อไป

ในรายงานว่าด้วยเรื่องอังโกลา ที่โยฮันนำเสนอต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเมื่อปลายปี 2000 เป็นครั้งแรกที่ชื่อของวิคเตอร์ บูท ถูกเชื่อมโยงเข้ากับการค้าอาวุธ

ดักลาส ยังคงนำเสนอข้อมูลของตนอย่างต่อเนื่อง เมื่อไม่นานที่ผ่านมานี่เองที่ หนังสือ "เมอร์ชานท์ ออฟ เดธ" ของเขาถูกตีพิมพ์เผยแพร่

ในนั้นคือรายละเอียดถี่ยิบของวิคเตอร์ บูท กับขบวนการค้าอาวุธและผลของสงครามที่เขาช่วยในการก่อขึ้น

ลี โวลอสกี้ เป็นนักกฎหมาย และเป็นนักการเมืองเดโมแครต ทำงานอยู่ในระบบอย่างเคร่งครัด เขาสำเร็จการศึกษาจากฮาร์วาร์ด และกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญรัสเซียที่เป็นหนึ่งในคณะทำงานด้านภัยคุกคามข้ามชาติในสังกัดทีมที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของทำเนียบขาวในยุค บิล คลินตัน ในเวลาต่อมา

ปี 2000 แฟ้มคดีของ วิคเตอร์ บูท หนาเพียง 2-3 หน้า ตกมาถึงโต๊ะทำงานของ ลี มันดึงดูดเขาได้ในทันทีทันควัน เขาบอกในภายหลังว่า วิคเตอร์ บูท เรียกได้ว่าเป็นตัวแทนของ "ปรากฏการณ์ในยุคหลังสงครามเย็น" ได้อย่างชัดเจน เขาทำในสิ่งที่ไม่มีใครทำ ไม่มีกรอบใดๆ กีดกั้น ไม่มีฝ่ายใดตอบสนอง หรือหาหนทางแก้ไขปัญหานี้

"เราจำเป็นต้องสร้างการตอบสนองอันนั้นขึ้นมาให้ได้" เขาสรุป

สำหรับ ลี โวลอสกี้ แล้ว วิคเตอร์ บูท ยิ่งสาวยิ่งลึก ยิ่งค้นยิ่งพบ เขาได้ข้อสรุปแน่วแน่ว่า "ฝีไม้ลายมือ" ของบูท ปรากฏอยู่ในทุกหนทุกแห่ง ทุกที่ที่มีความขัดแย้งและการสู้รบ

เขาเดินหน้า ตั้งความหวังเอาไว้ว่า จะดำเนินการให้ได้ "หมายจับสากล" สำหรับ วิคเตอร์ บูท ออกมาให้ได้ ในขณะที่ข้อฟ้องร้องก่อนหน้านั้นที่มีต่อ บูท มีเพียงข้อกล่าวหาว่า "ฟอกเงิน" จากทางการเบลเยียม เท่านั้นเอง

ความคาดหวังของเขาถูกสกัดด้วยการมาถึงของ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช หน่วยเล็กๆ ของเขาถูกยุบ ความหวังของเขาพลอยสลายไปพร้อมกันในทันที

เมื่อถึงต้นปี 2008 นั้น ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนยังเคว้งคว้างสำหรับทุกคนที่เคยพยายามไล่ล่า วิคเตอร์ บูท ซึ่งในขณะนั้นหลบไปใช้ชีวิตอย่างสำราญภายใต้การคุ้มครองอย่างน่าสนใจในกรุงมอสโก

ดรอลันส์ ผู้สื่อข่าวชาวเบลเยียมยังคงรายงานข่าวจากแอฟริกา แต่เลี่ยงที่จะพูดถึงสงครามกลางเมืองและพ่อค้าอาวุธไปแล้ว เนื่องเพราะพยายามลืมเลือนวิคเตอร์ บูท

โยฮัน พีลแมน ยังคงมีสำนึกในอุดมการณ์เต็มเปี่ยม แต่ภารกิจของเขากลับเป็นการประสานงานกับกองกำลังรักษาสันติภาพในคองโก

โวลอสกี้ พ้นจากสภาความมั่นคงแห่งชาติ เข้าร่วมงานกับบริษัทกฎหมายเอกชนในนิวยอร์ก พยายามจะลืมชายชาวรัสเซียรายนี้เช่นเดียวกัน

5 มีนาคม 2008 วิคเตอร์ บูท ออกนอกประเทศเป็นครั้งแรกในรอบหลายต่อหลายปี เขาเดินทางถึงกรุงเทพฯเมื่อค่อนดึกวันนั้น เดินทางต่อเข้าเมืองมา "เช็คอิน" ที่โซฟิเทล สีลม ใจกลางกรุงเทพมหานคร

เขาเลือกห้องสวีต ที่ชั้น 15 บรรจงแขวนป้าย "ห้ามรบกวน" ไว้ด้านหน้า และหลับสนิทไปตอนตี 3

ไม่นานต่อมา วิคเตอร์ บูท ถูกจับกุมที่ห้องพักแห่งนี้ และเริ่มต้นการดำดิ่งสู่ความไม่แน่นอนและการชดใช้ของตนเองนับแต่บัดนั้น



ที่มา: มติชนออนไลน์
Ref:หน้า 17 วันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 33 ฉบับที่ 11942 มติชนรายวัน

------------------------------------------------------

จาก อัลบั้มภาพ Matichon Online

"เมียบูท" ขู่ฟ้องนายกฯ-รัฐบาล อ้างไทยทำข้อตกลงกับสหรัฐฯ แลกตัวสามีกับการไล่ล่า "ทักษิณ"

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน นางอัลลา บูท ภริยานายวิคเตอร์ บูท ผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นพ่อค้าอาวุธระดับโลกจากสหรัฐอเมริกา เปิดแถลงข่าวว่า เตรียมการฟ้องร้องดำเนินคดีกับทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องและต้องรับผิดชอบกับการทำให้สามีของนางต้องถูกส่งตัวให้กับทางการสหรัฐอเมริกาในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

โดยการฟ้องร้องจะพุ่งเป้าไปที่รัฐบาลไทย, นายกรัฐมนตรีไทย และบุคคลที่ลงนามในการปล่อยตัวนายบูทให้ไปอยู่ในการควบคุมของเจ้าหน้าที่สหรัฐอเมริกา เพราะการกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดกฎหมายของไทยเอง

นางบูทอ้างด้วยว่า ทางการสหรัฐอเมริกาอาจทำความตกลงกับไทย แลกเปลี่ยนตัวนายบูทกับการให้ความช่วยเหลือจากทางการสหรัฐเกี่ยวเนื่องกับการไล่ล่าอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

นอกจากนั้น ยังเปิดเผยด้วยว่า ได้แนะนำให้นายวิคเตอร์ บูท ผู้เป็นสามีฟ้องร้องใครก็ตามที่ตีพิมพ์ข้อกล่าวหาที่ปราศจากข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตน และเห็นว่า ควรฟ้องร้องต่อผู้สร้างภาพยนตร์ "ลอร์ด ออฟ วอร์" ที่นำแสดงโดยนิโคลัส เคจ ด้วย


ที่มา : มติชนออนไลน์ (update; วันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เวลา 19:39:19 น.)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น