อ่านแล้ว...อยากอ้วก
ฅนไท on Fri Jul 02, 2010 7:55 pm
Thanks: ฝากไฟล์รูปฝาก hosting ราคาถูก
เป็นกองทัพประชาชน ชี้สไนปเปอร์เอามาคุ้มกันเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ไม่ได้ลอบสังหารใคร
วันนี้ (2 ก.ค.) ที่รัฐสภา สำหรับประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 ในส่วนของกระทรวงกลาโหม จำนวน 1.7 แสนล้านบาท ในช่วงบ่ายนั้น พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม ได้ชี้แจงยอมรับว่า งบประมาณที่ได้รับการจัดสรรประมาณ 1.67% ต่อจีดีพีตามงบประมาณปี 2554 นั้น ไม่เพียงพอต่อการจัดซื้ออาวุธของกองทัพ เพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศ เพราะถ้าจะเพียงพอต้องได้รับการจัดสรรประมาณ 2% ต่อจีดีพี ซึ่งกองทัพยืนยันว่า แผนการจัดซื้ออาวุธดังกล่าวไม่ได้เป็นความต้องการสะสมอาวุธ เพื่อสะสมเงินทอง แต่ต้องสะสมเอาไว้ เพื่อถ่วงดุลทางอำนาจกับประเทศเพื่อนบ้าน
ด้าน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ชี้แจงถึง กรณีที่กรรมาธิการฯ หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า มีการนำกองทัพมายุ่งกับการเมือง ว่า กองทัพเป็นกองทัพประชาชน ไม่มีสี กำลังพลทั้งหมดไม่ได้เลือกเป็นฝ่ายใคร ท่านเป็นรัฐบาลก็ต้องใช้เรา ในส่วนของกองทัพที่เข้ามาปฏิบัติการนั้น มาดูแลความสงบ ไม่ได้มาสลายการชุมนุม และยืนยันว่า ทำไม่ได้ เพราะเป็นคนไทยด้วยกัน แค่มีความเห็นที่ต่างกัน ส่วนรายละเอียดขอให้ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ชี้แจงจะดีกว่า ส่วนเรื่องพลแม่นปืน หรือ สไนปเปอร์นั้น ยอมรับว่าทุกหน่วยของกองทัพบกมีการฝึกพลซุ่มยิง เพื่อไว้ใช้ในราชการสงครามเหมือนกันทุกประเทศ แต่ในสถานการณ์ที่กรุงเทพฯ ในฐานะที่เป็นคนไทยด้วยกันอยากจะเรียนว่า เราไม่ได้จัดพลซุ่มยิง หรือลอบสังหารมาปฏิบัติหน้าที่ มีแต่พลแม่นปืนมาคุ้มกันเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวต่อว่า กำลังพลมาจากทุกกองทัพภาค มาโดยคำสั่งของ ศอฉ. แต่การใช้กำลังเป็นไปตามมติของคณะรัฐมนตรี และมีระเบียบการเคลื่อนกำลังของกระทรวงกลาโหม ส่วนยุทโธปกรณ์ที่นำมามีเพียงอาวุธปืนเล็กประจำกาย ปืนพก ปืนลูกซอง ไม่ได้ใช้เอ็ม 79 ปืนกล ซึ่งทุกอย่างมีกฎของการใช้อย่างละเอียดถึงตัวพลทหารว่า จะใช้อย่างไรได้บ้าง ส่วนเรื่องผู้เสียชีวิต ทหารเสียชีวิต จำนวน 8 นาย เป็นทหารบก 7 นาย ทหารอากาศ 1 นาย บาดเจ็บ 417 นาย ยืนยันว่า ทหารไม่ได้ทำร้ายประชาชนอย่างแน่นอน และเราเชื่อมั่นว่า ผู้มาชุมนุมเป็นผู้ชุมนุมที่บริสุทธิ์.
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=8&contentID=75731
Thanks: ฝากไฟล์รูปฝาก hosting ราคาถูก
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRJM09EQTJNRFkzTkE9...
ป๊อกย้ำทหารไม่มีสี ยันทหารไม่ทำร้ายประชาชน
ด้านพล.อ.อนุพงษ์ ชี้แจงว่า กองทัพนั้นเป็นกองทัพประชาชนไม่มีสี กำลังพลของเราทั้งหมดไม่ได้เลือกเป็นฝ่ายใคร ท่านเป็นรัฐบาลก็ต้องใช้เรา ในส่วนของกองทัพที่เข้ามาปฎิบัติการนั้นมาดูแลความสงบ ไม่ได้มาสลายการชุมนุม และยืนยันว่าทำไม่ได้ เพราะเป็นคนไทยด้วยกัน แค่มีความเห็นที่ต่างกัน ส่วนรายละเอียดขอให้ศอฉ. ชี้แจงจะดีกว่า ส่วนเรื่องพลแม่นปืนหรือสไนเปอร์นั้นยอมรับว่าทุกหน่วยของกองทัพบกมีการฝึก พลซุ่มยิงเพื่อไว้ใช้ในราชการสงครามเหมือนกันทุกประเทศ แต่ในสถานการณ์ที่กรุงเทพฯ ในฐานะที่เป็นคนไทยด้วยกันอยากจะเรียนว่าเราไม่ได้จัดพลซุ่มยิงหรือลอบ สังหารมาปฎิบัติหน้าที่ มีแต่พลแม่นปืนมาคุ้มกันเจ้าหน้าที่ที่ปฎิบัติงาน กำลังพลมาจากทุกกองทัพภาค มาโดยคำสั่งของศอฉ. แต่การใช้กำลังเป็นไปตามมติของคณะรัฐมนตรีและมีระเบียบการเคลื่อนกำลัง ของกระทรวงกลาโหม ส่วนยุทโธปกรณ์ที่นำมามีเพียงอาวุธปืนเล็กประจำกาย ปืนพก ปืนลูกซอง ไม่ได้ใช้เอ็ม 79 ปืนกล และการใช้มีกฎของการใช้อย่างละเอียดถึงตัวพลทหารว่าจะใช้อย่างไรได้บ้าง
พล.อ.อนุพงษ์ชี้แจงว่า ส่วนเรื่องผู้เสียชีวิต ทหารเสียชีวิตจำนวน 8 นาย หนึ่งในนั้นมีทหารอากาศ 1 นาย บาดเจ็บ 417 นาย การดำเนินการ ยืนยันว่าทหารไมได้ทำร้ายประชาชนอย่างแน่นอน ขณะเดียวกันเราเชื่อมั่นว่าผู้มาชุมนุมเป็นผู้ชุมนุมที่บริสุทธิ์ อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เข้าใจว่าต้องมีการพิสูจน์กันมากมาย จะให้ตนพูดออกไปก็คงไม่ได้ เหตุการณ์นี้จะเรียกว่า อะไรก็แล้วแต่ต้องให้พิสูจน์ออกมา เราอย่าไปเก็งกันเอง
"ผมไม่ได้บอกว่าคนสีไหนยิงทหาร แต่ว่ามันมีการบาดเจ็บล้มตาย ถ้าจะมีการกล่าวอ้าง ยิ่งเราอยู่ในระดับสูงของประเทศ ควรอยู่บนหลักที่ไม่อนุมานกันเอาเอง คิดเอาเอง ผมว่าอยู่ด้วยพยานหลักฐาน ต้องให้มีการพิสูจน์กัน คิดว่าการที่เราพูดกันเองนอกจากเรื่องไม่จบแล้วความเสียหายจะเกิดขึ้นกับ ประเทศชาติ แล้วนำไปสู่ความแปลกแยกและก็แตกแยก” พล.อ.อนุพงษ์กล่าว
ผบ.ทบ.กล่าวว่า สำหรับกรณีที่กมธ.มีการตั้งข้อสังเกตุและมีความเป็นห่วงว่าจะเกิดเหตุการณ์ สร้างความแตกแยกในภาคอีสานเหมือนกับที่เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตนว่าทุกท่านที่มีเกียรติที่กำหนดนโยบายของชาติ และตนผู้ปฎิบัติการคงไม่อยากให้เหตุการณ์อย่างนั้นเกิด แม้ว่าตนจะไม่ได้เกิดจากภาคอีสาน แต่ช่วงชีวิตราชการได้ไปปฎิบัติราชการสนามชายแดนกับคนอีสาน กองทัพเรามีคนอีสานเกินครึ่ง ตนคอยดูแลเขาและให้ความยุติธรรมเช่นเดียวกับคนไทยทั่วไป
"ขอเรียนว่าเหตุการณ์ที่จะเกิดความแปลกแยกในคนอีสานนั้น เรามาช่วยกันทำอย่าให้มันเกิด กองทัพจะไม่เป็นตัวทำเช่นนั้น ถ้าหากมีวันเช่นนั้นผมว่าเราน่าจะเสียโอกาสที่มาเราอยู่ในจุดที่เราร่วมทำ กันได้ แต่เราไม่ได้ทำ ผมไม่เป็นศัตรูกับพี่น้องประชาชน ลูกน้องและผู้ใต้บังคับบัญชาของผมยังสามารถเข้าไปในหมู่บ้านภาคตะวันออก เฉียงเหนือและภาคเหนือ โดยนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเข้าไปสู่ประชาชน ไม่ได้เข้าไปบี้ประชาชน พูดง่ายๆ คือ เป็นมิตรกับประชาชน กองทัพของเราแม้มีคนอีสานเกินครึ่ง เราปกครองเขาได้โดยไม่มีความแตกแยกในกองทัพ” พล.อ.อนุพงษ์กล่าว
ผบ.ทบ.กล่าวว่า ส่วนที่มีการกล่าวหาว่ากองทัพไม่ได้ทำอะไรในช่วงเหตุการณ์ยึดสนามบิน สุวรรณภูมิ ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะรัฐบาลในขณะนั้น ได้สั่งให้พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รักษาการผบ.ตร. เป็นผู้รับผิดชอบสถานการณ์เหมือนกับที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นอยู่ในตอนนี้ แล้วขอให้กองทัพอากาศเป็นผู้จัดกำลังให้ส่วนที่สุวรรณภูมิ มอบหมายให้กองทัพ เรือจัดกำลังไปให้ แล้วถ้าทั้งสองแห่งกำลังยังไม่พอจะเป็นหน้าที่ของกองทัพบกในการจัดกำลังเข้า ไปให้
“กองทัพเรือ กองทัพอากาศ จัดไป อย่างละ1 กองร้อย กองทัพบกแม้ไม่ได้เกี่ยวข้องแต่จัดไป 3 กองร้อย ไปอยู่ระดับ 3 เราจัดไปให้อยู่ที่คนใช้ว่าจะใช้อย่างไร จะทำแผนอย่างไร ปรากฏว่าผู้รับผิดชอบขณะนั้นเป็นตำรวจและเป็นรุ่นเดียวกับผมก็ไม่ได้สั่งการอะไรทหารบกก็ไปเฝ้าเครื่องบินป้องกันไม่ให้ถูกเผา อยู่จนเลิกและกลับหน่วยสุดท้าย ถามว่าไปไหม ไปครับแต่อยู่ที่คนสั่งและคนควบคุมว่าจะเอาอย่างไร ถ้าหากจะถามว่าทำอย่างไรและออกแผนอย่างไรก็ต้องไปถามท่านโกวิท ตอนนั้นผมจัดกำลังเสริมให้เท่านั้น อยู่ดีๆ จะให้ผมไปสั่งการได้อย่างไร เพราะไม่ได้อยู่ในคำสั่งของศอฉ.ในเวลา นั้น พวกท่านเองเป็นผู้ถืออำนาจรัฐ ส่วนผมเป็นผู้ปฎิบัติ ท่านจะเป็นฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาล ก็อยู่ในอำนาจรัฐทั้งสิ้น ถ้าท่านไม่เข้าใจตรงนี้เกรงว่าอีสานจะไม่เข้าใจ ผมเรียนด้วยความสัตย์จริงว่าเป็นเช่นนั้น” พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว
Thanks: ฝากไฟล์รูปฝาก hosting ราคาถูก
งั้นไอ้ตัวที่มันยิงและไล่ล่าประชาชน คงเป็น "ทะเหี้ย" ที่ได้รับคำสั่งจาก "โคตรทะเหี้ย" ที่ไหนก็ไม่รู้สินะ
ฅนไท
Thanks: ฝากไฟล์รูปฝาก hosting ราคาถูก
ฅนไท พิมพ์ว่า:
งบประมาณที่ได้รับการจัดสรรประมาณ 1.67% ต่อจีดีพีตามงบประมาณปี 2554 นั้น ไม่เพียงพอต่อการจัดซื้ออาวุธของกองทัพ เพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศ เพราะถ้าจะเพียงพอต้องได้รับการจัดสรรประมาณ 2% ต่อจีดีพี ซึ่งกองทัพยืนยันว่า แผนการจัดซื้ออาวุธดังกล่าวไม่ได้เป็นความต้องการสะสมอาวุธ เพื่อสะสมเงินทอง แต่ต้องสะสมเอาไว้ เพื่อถ่วงดุลทางอำนาจกับประเทศเพื่อนบ้าน
งบเท่าไหร่ก็ไม่พอหรอกจ้า เพื่อนบ้านเราไปไกลถึงไหนต่อไหนแล้ว
ที่จริงเราไม่จำเป็นต้องใช้งบประเทศในการจัดซื้ออาวุธก็ได้นะ
ถึงเวลาเด๋ว 'เมกา ก็ขนมาให้พร้อมกำลังพลเองแหละ
ทำอย่างกับสะสมแสตมป์ ...แบบว่า ยิ่งเก่า ยิ่งราคาแพง
ฅนไท
ว่าด้วยเรื่อง "เรือดำนํ้า"
วันเสาร์ ที่ 03 กรกฎาคม 2553 เวลา 9:21 น
ถึงคราวกองทัพต้องอ้อนวอนนักการเมืองไม่ให้ปรับลดงบประมาณ โดยยกแม่น้ำทั้งห้ามากล่อมให้เห็นความจำเป็นในการปกป้องความมั่นคงของประเทศ พร้อมทั้งเปรียบเทียบให้เห็นถึงงบฯของประเทศเพื่อนบ้านว่าเขาได้กันมากน้อยแค่ไหน ที่สำคัญกองทัพยืนยันว่าไม่ได้ต้องการจะสะสมอาวุธ แต่ต้องการถ่วงดุลทางอำนาจกับประเทศเพื่อนบ้าน และยังได้ตั้งคำถามกลับไปยัง กมธ.ว่า “ถ้าจะถามว่ากองทัพสะสมอาวุธเพื่ออะไร ก็ต้องถามกลับไปยังประเทศเพื่อนบ้านเช่นกันพวกเขามีเรือดำน้ำเพื่ออะไร”
เมื่อกองทัพให้ความสำคัญต่อการมีเรือดำน้ำของประเทศเพื่อนบ้าน ลองมาดูกันว่า “เรือดำน้ำ” นั้นมีความสำคัญอย่างไร
“เรือดำน้ำ” เป็นเรือที่ใช้ในสงครามสร้างจากเหล็กแต่มีความสามารถในการเคลื่อน ที่ทั้งใต้น้ำและผิวน้ำ ปี ค.ศ. 1620 เรือดำน้ำลำแรกถูกสร้างขึ้นมา ขณะนั้นจุคนได้ 12 คน ดำน้ำได้ลึกเพียง 4.5 เมตร และเคลื่อนที่ใต้น้ำได้เพียง 8 กิโลเมตรก็ต้องขึ้นสู่ผิวน้ำ แต่ปัจจุบันเรือดำน้ำสามารถจุคนได้ถึง 150 คน สามารถอยู่ใต้น้ำได้นานนับเดือน จนกว่าอากาศและอาหารจะไม่เพียงพอ
เรือดำน้ำ ถูกนำไปใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง นอกจากทำการรบแล้ว ยังทำงานเฉพาะกิจบางอย่าง เช่น การสำรวจซากเรือโบราณ การวางสายเคเบิลใต้น้ำ การหาร่องรอยของแผ่นดินไหว และการศึกษาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตใต้ทะเล ทำให้มนุษย์เราสามารถจะเข้าถึงโลกใต้ทะเลที่เราไม่เคยสัมผัสมาก่อน
============================================
เหอๆๆๆๆ ....บ่งบอกถึงศักยภาพทางสมองได้อย่างชัดเจน
_________________
มาช่วยอ๊วกกกกกก........ด้วยคน อิ อิ
ตอบลบ