วันอังคาร, มิถุนายน 28, 2554

วันเสาร์, มิถุนายน 25, 2554

นับถอยหลังเข้าสู่ช่วง 7 วันอันตราย โค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง



นับถอยหลัง 7วันอันตราย


นับถอยหลังเข้าสู่ช่วง 7 วันอันตราย โค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง แต่ก่อนไปถึงจุดนั้นคณะกรรมการ การเลือกตั้ง หรือกกต. ได้จัดให้มีการใช้สิทธิ์เลือกตั้งล่วงหน้า จากเดิมที่เคยกำหนดไว้ 2 วัน ครั้งนี้ลดลงเหลือ 1 วัน คือวันอาทิตย์ที่ 26 มิ.ย.นี้ นอกจากวันลดลง เวลาในการใช้สิทธิ์ก็ลดลงด้วย จาก 8 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น เป็น 8 โมงเช้าถึงบ่าย 3 โมงเท่านั้น


โดยมียอดผู้มาลงทะเบียนขอใช้สิทธิ์เลือกตั้งล่วงหน้านอกเขต ทั้งสิ้น 2,647,019 ราย เทียบกับการเลือกตั้งเมื่อเดือนธ.ค.2550 ที่มีเพียง 2,015,410 ราย มากกว่ากันถึง 6 แสนราย ยังไม่รวมยอดผู้มาลงทะเบียนขอใช้สิทธิ์เลือกตั้งล่วงหน้าในเขตเลือกตั้งอีก 217,821 ราย เมื่อจำนวนคนเพิ่มขึ้น เวลาน้อยลง แม้แต่คนที่เป็นกกต.เองก็ยังมีความเป็นห่วงเรื่องดังกล่าว เนื่องจาก เกรงจะมีผู้ใช้สิทธิ์ตกค้าง


ทางออกเฉพาะหน้าคือถ้าหากจังหวัดไหนมีผู้มาขอใช้สิทธิ์ล่วงหน้ามาก ก็ให้เพิ่มหน่วยเลือกตั้งกลางเพื่อให้เพียงพอกับผู้มาใช้สิทธิ์ รวมถึงเพิ่มคูหา เพิ่มเจ้าหน้าที่ ทั้งยังสั่งย้ำไปถึงกกต.จังหวัดให้เข้าใจตรงกัน ว่าหากผู้ใช้สิทธิ์มาถึงหน่วยเลือกตั้งก่อนบ่าย 3 โมง แต่ต้องมายืนรอคิวจนเลยเวลา ก็ต้องรอให้คนกลุ่มนี้ใช้สิทธิ์เสร็จก่อนถึงจะปิดรับหย่อนบัตรได้


ทั้งหมดนี้คือปัญหาในความดูแลรับผิดชอบของ กกต. ที่ตามโพลสำรวจพบประชาชนมากกว่าครึ่งไม่ค่อยเชื่อมือ กกต.ว่าจะทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้ผ่านไปอย่างบริสุทธิ์โปร่งใส รวมถึง กกต.เองก็ทำตัวให้มีพิรุธที่จู่ๆ เดิน ทางไปต่างประเทศโดยอ้างว่าไปดูงาน จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังไปทั่วบ้านทั่วเมือง แม้ในที่สุด 5 เสือกกต.จะกลับมาอยู่รวมกันพร้อมหน้า แต่กลิ่นผิดปกติยังมีอยู่


เป็นความผิดปกติที่อาจส่งผลกระทบเชื่อมโยงไปถึงวันเลือกตั้งจริง 3 ก.ค. เนื่องจากการเลือกตั้งล่วงหน้าหมายถึงคะแนนก้อนใหญ่กว่า 2.6 ล้านเสียง จึงไม่เพียงตกเป็นเป้าจับตาของพรรคเพื่อไทย แม้แต่พรรคเล็กอย่างพรรครักประเทศไทยของ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ก็ยังออกมาตั้งข้อสังเกต อ้างข้อมูลเชิงลึกว่าในวันเลือกตั้ง 3 ก.ค. ขอให้จับตาดูให้ดี จะมีคนนำบัตรลงคะแนนไปใส่เพิ่มแล้วอ้างว่ามาจากการเลือกตั้งล่วงหน้า


นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่พรรคเพื่อไทยพยายามร้องเรียน เกี่ยวกับเรื่องรูปแบบบัตรเลือกตั้ง ที่อาจสร้างความสับสนทำให้ประชาชนผู้ลงคะแนนเข้าใจผิด จนกลายเป็นบัตรเสีย ไหนจะกรณีกลุ่มชาวบ้านมหาสารคามร้องเรียนเรื่องที่ไปมีชื่อโผล่ขอใช้สิทธิ์ล่วงหน‰าที่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี หรือกรณีสาวจังหวัดนครพนมเข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่าไปมีชื่ออยู่ในบัญชีผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้งล่วงหน้าที่ประเทศสิงคโปร์


ตามด้วยเรื่องที่ศูนย์ต่อต้านทุจริตการเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทย ออกมาจับผิดตัวเลขผู้ขอใช้สิทธิ์ล่วงหน้า ที่กกต.สรุปยอด 2 ครั้ง ครั้งแรก 2.4 ล้านคน ครั้งที่สอง 2.6 ล้านคน แตกต่างกันถึง 2 แสนกว่าคน และที่จับได้คาหนังคาเขาเลยก็คือ การแจกจ่ายแผ่นซีดี "ทักษิณคิด ประเทศไทยหายนะ" และ "เผาบ้านเผาเมือง 19 พ.ค." ที่พบการแพร่ระบาดทั้งในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ ฝั่งธนฯ ปทุมธานี และพิษณุโลก


ตำรวจจับกุมคนรับจ้างแจกจ่ายมีทั้งจักรยานยนต์รับจ้าง นักศึกษา และชาวบ้านคนธรรมดา พร้อมของกลางซีดีและเอกสารสิ่งพิมพ์รวมแล้วหลายหมื่นชิ้น ถึงจะยังสาวไม่ถึงตัวการแต่ถ้าดูจากเนื้อหาในแผ่นซีดีก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่าเป็นฝีมือของฝ่ายไหน ส่วนที่ลือกันว่าขบวนการแจกซีดีดันไปสอดรับกับคิวของพรรค การเมืองใหญ่ยกทีมไปเปิดเวทีปราศรัยแยกราชประสงค์ เล่นเกมเสี่ยงวัดใจคนกรุง


หวัง "ฟอกตัว" จากเหตุการณ์เดือน เม.ย.-พ.ค.2553 ด้วยมุขเดิมๆ คือโยนความผิดไปให้ "ทักษิณ" กับ "คนชุดดำ" เป็นต้นเหตุความตาย 91 ศพ ก็เป็นแค่การวิเคราะห์กัน ไป ส่วนจะจริงตามนั้นหรือไม่ ไม่มีใครยืนยัน ก่อนหน้านี้ยังมีกรณี ร.ต. หญิงระนองรักษ์ สุวรรณฉวี ผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 5 แกนนำพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน นำทีมผู้สมัครส.ส.เขตนครราชสีมาของพรรค และผู้สมัคร จังหวัดเดียวกันของพรรคเพื่อไทย


ออกมาตั้งโต๊ะแถลงเปิดโปงข้าราชการระดับสูงของจังหวัด ใช้อำนาจขู่บังคับผู้นำชุมชน อาทิ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และอสม. ให้ชี้นำประชาชนเลือกผู้สมัครของพรรคการเมืองที่ควบคุมกระทรวงใหญ่ หากไม่ยอมทำตามจะถูกปลด ขณะเดียวกันมีใครไม่รู้ส่งเรื่องร้องเรียนไปยัง กกต.แนบหลักฐานภาพถ่ายคนของพรรคการเมืองกำลังแจกเงิน โดยมีชาวบ้านนั่งล้อมรอบ ระบุเหตุการณ์เกิดขึ้นที่จังหวัดบุรีรัมย์


บรรยากาศต่างๆ เหล่านี้ไม่ต่างจากที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ตั้งแต่แรกว่า ในจังหวะการเลือกตั้งเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ถึงสารพัดโพลจะชี้ตรงกันว่า น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย ยังเป็นฝ่ายครองกระแสความนิยมเหนือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งในระบบเขตและระบบบัญชีรายชื่อ ชนิดทิ้งขาดหลายช่วงตัว


แต่ปรากฏการณ์อีกฟากฝ่ายอยู่ในภาวะ ดิ้นรนหนีตาย จำเป็นต้องใช้กลไกอำนาจรัฐทุกอย่างในมือ ควบคู่ไปกับการยิงกระสุนปืนกลชุดใหญ่ จึงเป็นเหมือนสัญญาณเตือนพรรคเพื่อไทย ประมาทไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว โดยเฉพาะช่วง 7 วันก่อนเลือกตั้ง ซึ่งเป็นโค้งอันตรายอย่างแท้จริง


ข่าวสดรายวัน : วันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7514

เอกสารลับ ยุทธการกระชับวงล้อม 14-19 พ.ค.53 ( ตอน 2)กระสุนจริงและสไนเปอร์


เอกสารลับ ยุทธการกระชับวงล้อม 14-19 พ.ค.53 ( ตอน 2)กระสุนจริงและสไนเปอร์
วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 13:00:11 น.

หมายเหตุ : บทความชิ้นนี้ตีพิมพ์ในวารสารเสนาธิปัตย์ กรมยุทธศึกษาทหารบก ปีที่ 59 ฉบับที่ 3 กันยายน-ธันวาคม 2553 เป็นบทความที่เขียนขึ้นเพื่อประกอบการจัดทำ”เอกสารแนวทางในการปฏิบัติทางทหาร: กรณีศึกษาการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในเมือง” จากความริเริ่มของพล.ท.สิงห์ศึก สิงห์ไพร เพื่อกำหนดบทบาทของกองทัพบกในการแก้ปัญหาการก่อความไม่สงบในเมืองรูปแบบใหม่


(ตอน2)

ความสำเร็จทางยุทธการ : การกระชับวงล้อมพื้นที่ราชประสงค์

1.แผนยุทธการมีพื้นฐานและสอดรับกับความสำเร็จทางยุทธศาสตร์ทางทหารและนโยบายของรัฐบาล

2.แผนยุทธการมีการวางแผนเป็นขั้นตอนรัดกุมมีเสรีในการปฏิบัติตามกรอบเวลามีการวางแผนและปฏิบัติโดยปราศจากแรงกดดันด้วยเวลา

3.การปฏิบัติการข่าวสารนับว่าเป็นผลในระดับยุทธการ ทั้งในส่วนการสร้างขวัญและกำลังใจของฝ่ายปฏิบัติการ และลดขวัญกำลังใจของกองกำลังไม่ทราบฝ่าย

4.ความสำเร็จของการปฏิบัติงานด้านการข่าวในพื้นที่กลุ่ม นปช.ทำให้สามารถใช้หน่วยได้ตรงกับขีดความสามารถและถูกต้องเหมาะสมกับภารกิจ ยกตัวอย่าง การใช้หน่วยสไนเปอร์ของทุกกรม โดยเฉพาะกับพื้นที่ตึกสูงตามเส้นทางถนนวิทยุและสายสารสิน

5.ความสำเร็จในการจู่โจม แม้ว่าแผนยุทธการครั้งนี้ไม่สามารถจู่โจมด้วยเวลาได้ ก็มีการแก้เกมด้วยการจู่โจมด้วยความเร็วโดยการส่งล่วงหน้าเข้ารักษาความปลอดภัยบนพื้นที่อาคารสูง การเข้ายึดพื้นที่สวนลุมพินีเป็นส่วนใหญ่ได้ก่อนสว่าง และการรุกเข้าพร้อมกัน 3 ทิศทาง


6.การปฏิบัติตามแผนยุทธการ กระทำด้วยการรุกคืบด้วยความระมัดระวังของแต่ละพื้นที่โดยการประเมินศักยภาพของกำลังการ์ดนปช.ให้สูงกว่าเมื่อครั้ง10 เมษายน เพื่อให้มีระบบป้องกันตัวทหารที่มากขึ้น ดังนั้นการปฏิบัติการทางทหารที่ใช้กำลังทหารประมาณ 2 หมื่นนาย มีการสูญเสียทหาร 1 นาย กับบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง ก็ถือว่าเป็นความสูญเสียที่ยอมรับได้

7.กองกำลังการ์ด นปช.มีการตั้งรับแบบกองโจรวางกำลังเต็มพื้นที่ ขาดผู้เชี่ยวชาญการวางกำลังตั้งรับและร่นถอยแบบทหารที่แท้จริง เนื่องจากการเสียชีวิตของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ทำให้จุดศูนย์ดุลของ นปช.กลายมาเป็นจุดแข็งของการปฏิบัติของกองทัพ

8.แผนยุทธการเป็นการวางแผนการปฏิบัติรบเต็มรูปแบบเสมือนการทำสงครามรบในเมือง ใช้กำลังขนาดใหญ่ถึง 3 กองพล วางแผนเข้าปฏิบัติการ ซึ่งมีอำนาจกำลังรบเปรียบเทียบสูงกว่ามาก ยิ่งมีการสั่งการให้ใช้กระสุนจริงกับกลุ่มกลุ่มก่อการร้ายผู้ถืออาวุธ และเพื่อป้องกันตัวเองได้ ทำให้ทหารที่เคยสูญเสียความเชื่อมั่นจากเหตุการณ์ 10 เมษายน ก็มีจิตใจรุกรบมากขึ้น

9.แผนยุทธการในการรุกผ่านฝ่ายเดียวกันจากถนนสาทร ถนนสีลม ถนนสุรวงศ์ และถนนวิทยุ ทำให้กองกำลังทหารสามารถรักษาโมเมนตัมในการปฏิบัติการได้อย่างตอ่เนื่อง และสามารถพิทักษ์ป้องกันพื้นที่ส่วนหลัง (พื้นที่สีลม) ได้อย่างปลอดภัย

10.ความมีเอกภาพในการปฏิบัติ จากการสั่งการของแม่ทัพภาคที่ 1 กับกองกำลัง 3 กองพลให้ปฏิบัติการได้ถูกจังหวะการรุกและการหยุดหน่วย เพื่อผลการรุกของหน่วยอื่นหรือรอเวลาสำหรับการปฏิบัติชั้นสุดท้าย ยกตัวอย่างหน่วยรุกแตกหัก ได้แก่ พล ม.2 รอ.จากทิศทางสีลมมุ่งสู่สี่แยกศาลาแดง ส่วนที่ 2 กองพลที่เหลือคือ พล.ร.9 รับผิดชอบพื้นที่แยกอโศก เพลินจิต ชิดลม และ พล.1 รอ.รับผิดชอบพื้นที่ดินแดง พญาไท ราชปรารภ กำลังส่วนนี้ต้องตรึงกำลัง ปิดเส้นทางหลบหนี ขณะเดียวกันก็เปิดพื้นที่ให้ผู้ชุมนุม นปช.ได้ทยอยออกจากพื้นที่ราชประสงค์ผ่านถนนพระราม 1 ไปแยกปทุมวัน หรือเข้าไปในวัดปทุมวนาราม



ความสำเร็จทางยุทธวิธี : การกระชับวงล้อมพื้นที่ราชประสงค์

ยุทธการกระชับวงล้อมเมื่อ 19 พฤษภาคม พ.ศ.2553 เป็นการปฏิบัติทางทหารเต็มรูปแบบ จึงเห็นได้ว่าภารกิจชัดเจน คือการกระชับวงล้อมด้วยกระสุนจริง จากกำลังหน่วยรบหลักของเหล่าทหารราบ เหล่าทหารม้า และหน่วยส่งกำลังทางอากาศ อย่างเช่น ร.31 รอ.ในภารกิจปฏิบัติการพิเศษ อาจเรียกได้ว่าเป็นการรบในเมืองที่ใช้อาวุธยุทธโธปกรณ์ทางทหารเต็มอัตราศึก ทั้งกำลัง อาวุธประจำกายที่ทันสมัย ชุดสไนปอร์ หน่วยยานเกราะ ซึ่งการปรับกำลังและการเปลี่ยนแปลงทางยุทธวิธีที่สำคัญครั้งนี้ก็เป็นผลสะท้อนจากบทเรียนเมื่อ 10 เมษายน พ.ศ.2553 นั่นเอง

การปฏิบัติการทางยุทธวิธีที่ใช้เวลาทำงาน 9 ชั่วโมง (เวลา 03.30-13.30) ถือว่าเป็นบทเรียนที่สำคัญยิ่งทางยุทธวิธีของการรบในเมือง ที่สมควรได้มีการบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของการรบในเมือง ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

1.การปฏิบัติการทางยุทธวิธีสอดรับกับแผนยุทธการกระชับวงล้อมของศอฉ.ในระดับยุทธการและนโยบายของรัฐบาลที่กล่าวมาข้างต้น เมื่อการเมืองชัดเจนผู้บังคับบัญชาชั้นสูงของกองทัพชัดเจน ผู้บังคับหน่วยชัดเจนนำมาซึ่งแผนยุทธการและแผนปฏิบัติระดับยุทธวิธีก็มองเห็นทิศทางที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ


2.ปรับยุทธวิธีการปราบจลาจลเป็นยุทธวิธีการรบในเมือง เพื่อการปราบปรามกองกำลังติดอาวุธ หรือผู้ก่อการร้ายที่แอบแฝงในกลุ่ม นปช.ด้วยฐานข่าวของ ศอฉ.ว่ามีกองกำลังติดอาวุธประมาณ 500 คน มีอาวุธปืนซุ่มยิง อาวุธสงคราม เช่น M 79 M 16 AK 47 และ Travo-21

3.ปรับการยิงกระสุนยางจากปืนลูกซองเป็นการใช้กระสุนจริงจากอาวุธประจำกาย ทำให้ต้องมีการสร้างวินัยอย่างเข้มงวด ตามกฎการใช้กำลัง จากเบาไปหาหนัก ตามหลักสากลมีการยิงให้กรวยกระสุนตกต่ำกว่าหัวเข่า การยิงเมื่อเห็นเป้าหมายหรือบุคคลถืออาวุธ เป็นการยิงเพื่อป้องกันตัวเอง การยิงขู่จะยิงเมื่อม็อบเคลื่อนที่เข้ามาแล้วสั่งให้หยุด ก็ไม่ยอมหยุด


4.การจัดระยะห่างระหว่างการวางกำลังของหน่วยทหารกับแนวตั้งรับของม็อบในระยะยิงหวังผลปืนM16 ประมาณ 400 หลา ซึ่งต้องมีกำลังพลเข้าเวรตรวจดูความเคลื่อนไหวกลุ่ม นปช.ทั้งกลางวันและกลางคืนตลอดเวลา

5.การปรับการวางกำลังและการเคลื่อนที่ภายใต้อาคารและทางเดินเท้าไม่มีการจัดรูปขบวนยืนแถวหน้ากระดานเป็นแผงกลางถนน เพื่อเตรียมตัวผลักดันกับฝูงชนในภารกิจปราบจลาจล เพื่อป้องกันการซุ่มยิงจากด้านหลังผุ้ชุมนุม


6.การดัดแปลงที่วางกำลังเป็นการตั้งรับแบบเร่งด่วนเคลื่อนที่ไปข้างหน้าหรือถอยร่นด้วยกำบังกระสอบทรายสูงระดับครึ่งเข่า เมื่อต้องนอนราบหรือสูงระดับศรีษะเมื่อต้องการยืนปฏิบัติการ และมีการวางแนวทหารตั้งรับเป็นชั้นๆ ตามเส้นทางเคลื่อนที่เข้าหาม็อบ มิใช่เป็นการวางแนวเป็นปึกแผ่นเพียงชั้นเดียว ซึ่งถ้าม็อบมีจำนวนมากกว่า ก็สามารถล้อมทหารและเข้าถึงตัวแย่งปืนได้ง่าย

7.ใช้ลักษณะผู้นำหน่วยขนาดเล็กสูงมาก เพราะต้องอดทน ใจเย็น รอเวลา ทนต่อการยั่วยุ การรับควันไฟกลิ่นยางรถยนต์ที่เหม็นรุนแรงตลอดทั้งวันทั้งคืน

8.การใช้ส่วนสไนเปอร์คุ้มครองการเคลื่อนที่ในการรุกไปข้างหน้าและการป้องกันให้หน่วยเมื่อเคลื่อนที่ไปข้างหน้า หรือเมื่อกองกำลังหยุดนิ่งอยู่กับที่เป็นเวลาข้ามวันข้ามคืน อีกทั้งต้องรับภารกิจอารักขาผู้บังคับบัญชาระดับสูงอีกด้วย

9.การวางกำลังตามแนวทางเดินเท้าสามารถวางกำลังได้ ยิ่งกระจายกำลังออกไปให้ได้มากก็ยิ่งตกเป็นเป้าหมายคุ้มค่าน้อยลง และไม่ตกเป็นเป้าหมายคุ้มค่าน้อยลง และไม่ตกเป็นเป้าหมายขนาดใหญ่ให้กับกระสุน M 79 ของกำลังก่อการร้าย

10.พัฒนารูปแบบการวางจุดตรวจการณ์ข้างหน้า (Out Post) โดยใช้สะพานลอยข้ามถนนมีการปิดฉากม่านดำเสริมด้วยบังเกอร์และกระสอบทราบ ทำให้ลดการตรวจการณ์ของการ์ด นปช.และเสริมการป้องกันได้อีกทางหนึ่ง ทั้งสามารถปกปิดการถ่ายรูปจากสื่อมวลชน

11.การปรับกำลังและระดมพลแม่นปืนเท่าที่มีอยู่ของกองทัพบกเข้าประจำพื้นที่เพื่อต่อต้านการซุ่มยิงของกลุ่ม นปช.ทั้งบนอาคารสูงและพื้นที่สูงข่ม

12.การกำหนดพื้นที่อันตรายเป็นฉนวนกั้นกลางระหว่างแนวระยะยิงหวังผลของหน่วยทหารกับแนวตั้งรับของกลุ่มนปช.เป็นยุทธวิธีประการหนึ่ง โดยมีการประกาศเขตการยิงด้วยกระสุนจริง (Live Firing Zone)



13.การกำหนดเขตห้ามบิน เป็นแผนยุทธการที่สนับสนุนงานยุทธวิธี ทำให้มั่นใจว่าการรบเหนือน่านฟ้าพื้นที่ราชประสงค์ ฝ่ายเราสามารถครองความได้เปรียบทางอาศัยอยู่

14.ยุทธวิธียอมเสียพื้นที่ แล้วถอยกลับมาตั้งรับในพื้นที่ที่ปลอดภัยกว่า ห่างจากระยะยิงของพลซุ่มยิงกลุ่ม นปช.เห็นได้จากความล้มเหลวในการกระชับวงล้อมในพื้นที่ 14 พฤษภาคม ถือว่าเป็นยุทธวิธีที่ชาญฉลาด ด้วยการไม่บุกตะลุยเข้าสู่คิลลิ่งโซน (Killing Zone)


15.การถอนกำลัง หรือการวางกำลังกระจายตัวมากขึ้นภายหลังค่ำมืด ก็ถือว่าเป็นยุทธวิธีหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการไม่ตกเข้าไปในกับดักที่เป็นเป้าหมายคุ้มค่า

16.การใช้หน่วยรถหุ้มเกราะเมื่อจำเป็นและต้องการผลแตกหักในการสลายการชุมนุมเท่านั้น จึงทำให้ไม่ปรากฏการเคลื่อนไหวของยานเกราะก่อนวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ.2553


17.การใข้รถหุ้มเกราะกับพลรบเคลื่อนที่ตามกันนั้นเป็นยุทธวิธีหนึ่งที่ได้แปรเปลี่ยนไปเพื่อเป็นการข่มขวัญการ์ด นปช.เพราะลดการสูญเสียพลรบ จากอาวุธ M79 จรวด RPG หรือระเบิดเคโมร์ตามแนวตั้งรับ นปช.


18.การสนธิกำลังอย่างลงตัวของชุดรบที่ประกอบด้วยชุดสไนเปอร์ ขบวนรถหุ้มเกราะพลรบหลังรถหุ้มเกราะขุดผจญเพลิง ขุดกู้ระเบิด (EOD) เป็นที่ประสบความสำเร็จที่น่าสนใจ


19.การกำหนดระยะเวลาการปฏิบัติการที่ส่งผลให้มีเสรีในการปฏิบัติทางยุทธวิธีเช่น การเริ่มปฏิบัติในตอนเช้าตรู่ ทำให้มีเวลามากพอสำหรับกำลังในการรุกเข้าเคลียร์พื้นที่ แต่การรบในเวลากลางคืนทำให้การมองเห็นจำกัด อาจตกเป็นเป้าหมายของกองกำลังก่อการร้ายที่แอบแฝง และที่สำคัญไม่มียิงฝ่ายเดียวกันหรือยิงประชาชนผู้บริสุทธิ์


20.การใช้หน่วย ปจว.ทางยุทธวิธี เพื่อทำความเข้าใจก่อนการบุกสลายการชุมนุมถือว่าเป็นหลักสากลประการหนึ่ง

21.การใช้หน่วยในพื้นที่วางกำลังส่วนล่างหน้าไว้แล้วตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม เพื่อตรึงกำลังป้องกันมิให้มวลชนคนเสื้อแดงยกกำลังเข้าช่วยที่ราชประสงค์ ต่อจากนั้นจึงใช้กำลังหลักเข้าสลายกลุ่มชุมนุม

22.การยอมถอนตัวของกำลังทหารออกจากพื้นที่ราชประสงค์ภายหลังถูกโจมตีด้วย M79 ในช่วงตอนเย็นตรงพื้นที่แยกสารสิน ถอยกลับไปยังพื้นที่ปลอดภัยถนนสีลมถือว่าเป็นการตัดสินใจในระดับยุทธวิธีที่ถูกต้อง เพื่อลดการสูญเสียโดยไม่จำเป็น

23.มีการซักซ้อมแผนและซักซ้อมการปฏิบัติทั้งหมดทั้งในพื้นที่ตั้งหน่วยและที่ร.11 รอ. เป็นการสร้างหลักประกันความมั่นใจสู่ความสำเร็จ และเป็นการลดเกณฑ์เสี่ยงได้อีกทางหนึ่ง

.................
(ติดตามอ่านตอน3 ตอนจบ) ข้อเสนอแนะจากบทเรียนทางยุทธศาสตร์ ยุทธการ และยุทธวิธี พรุ่งนี้(26มิ.ย.)

เอกสารลับ ยุทธการกระชับวงล้อม 14-19 พ.ค.53 ( ตอน 1) "มาร์ค"สั่งกระชับวงล้อมเพื่อ"ยุติ"ไม่ใช่"เจรจา

เอกสารลับ ยุทธการกระชับวงล้อม 14-19 พ.ค.53 ( ตอน 1) "มาร์ค"สั่งกระชับวงล้อมเพื่อ"ยุติ"ไม่ใช่"เจรจา"


บทความชิ้นนี้ตีพิมพ์ในวารสารเสนาธิปัตย์ กรมยุทธศึกษาทหารบก ปีที่ 59 ฉบับที่ 3 กันยายน-ธันวาคม 2553 เป็นบทความที่เขียนขึ้นเพื่อประกอบการจัดทำ”เอกสารแนวทางในการปฏิบัติทางทหาร: กรณีศึกษาการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในเมือง” จากความริเริ่มของพล.ท.สิงห์ศึก สิงห์ไพร เพื่อกำหนดบทบาทของกองทัพบกในการแก้ปัญหาการก่อความไม่สงบในเมืองรูปแบบใหม่

ผู้เขียนใช้นามแฝงว่า”หัวหน้าควง” เป็นจปร.32 (เหล่าทหารราบ) เป็นนายทหารปฏิบัติการประจำกรมยุทธศึกษาทหารบก

เนื้อหาในบทความนี้เป็นมุมมองของนายทหารที่ปฏิบัติการณ์สลายการชุมนุมของ”คนเสื้อแดง”ในเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ที่สรุปบทเรียนจาก”ความสำเร็จ”ในการกระชับวงล้อมพื้นที่ราชประสงค์


มีเนื้อหาหลายช่วงตอนที่น่าสนใจ เช่น

1.ในขณะที่”สุเทพ เทือกสุบรรณ”รองนายกรัฐมนตรี ปราศรัยบนเวทีราชประสงค์ยืนยันว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ได้ร่วมสั่งการในการสลายการชุมนุม โดยนายสุเทพประกาศว่าเขาเป็นคนสั่งการเอง

“ผมเรียนกับพี่น้องครับ นายกฯ อภิสิทธิ์ ไม่ได้ร่วมสั่งการใด ๆทั้งสิ้น ผมเป็นผู้อำนวยการ ศอฉ. ผมเป็นคนสั่งการทุกอย่าง แล้วผมรับผิดชอบ เขากล่าวหาว่า ทำให้คนตาย ผมไปมอบตัวแล้ว ผมเรียนกับพี่น้องครับ ผมพร้อมที่จะสู้คดีพิสูจน์ความถูก ความต้อง ผมไม่หนีไปต่างประเทศเหมือนทักษิณ”

แต่ในบทความชิ้นนี้ ระบุชัดว่า”นายกรัฐมนตรีได้สั่งการในที่ประชุม ศอฉ. ในวันที่ 12 พฤษภาคม ให้ฝ่ายทหารเริ่มต้นปฏิบัติการตามแผนยุทธการที่วางไว้”

นอกจากนั้นยังระบุด้วยว่านโยบายรัฐบาลชัดเจนมาตลอดที่จะใช้มาตรการทางทหารกดดันม็อบกลุ่ม นปช. ความชัดเจนก็คือนโยบายกระชับวงล้อมเพื่อ"ยุติการชุมนุม"ไม่ใช้การกระชับวงล้อมเพื่อ"เปิดการเจรจา"

และนั่นอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ข้อเสนอเป็นตัวกลางในการเจรจาของ"วุฒิสมาชิก"ในคืนวันที่ 18 พฤษภาคมถูกปฏิเสธ


ยุทธการกระชับวงล้อมแบ่งเป็น 3 ช่วง คือ 1. ช่วง 14 พฤษภาคม 2.ช่วง 15-18 พฤษภาคม และ 3 ช่วงวันที่ 19 พฤษภาคม ตั้งแต่เวลา 03.00 จนกระทั่งแกนนำประกาศยุติการชุมนุม 13.20 น.

2.”หัวหน้าควง”สรุปว่าเหตุผลหนึ่งที่ประสบชัยชนะในการกระชับวงล้อมมาจากการถอนตัวของนายวีระ มุสิกพงศ์ ประธานกลุ่มนปช. และการเสียชีวิตของพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง เพราะทำให้นปช.ไม่มีหัวในระดับยุทธศาสตร์ทางการเมืองและไม่มีหัวเสธ.ระดับยุทธศาสตร์ทางทหารในการวางแผนตั้งรับ

ก่อนหน้านี้นายสุเทพ ปราศรัยว่าเขาสงสัยว่าพวกของนายจตุพร พรหมพันธุ์ เป็นฝ่ายยิงเสธ.แดง

3.เอกสารชุดนี้บอกชัดเจนถึงแผนยุทธการทั้งหมด และหน่วยทหารที่ใช้ในครั้งนี้ มีการยอมรับในเอกสารถึงการใช้”หน่วยสไนเปอร์” เป็นหน่วยแรกในการเข้าสลาย โดยยึดพื้นที่สูงคืออาคารเคี่ยนหงวน และอาคารบางกอกเคเบิ้ล

และมีหลายช่วงตอนที่พุดถึง”หน่วยสไนเปอร์” ที่ระดมพลแม่นปืนเท่าที่มีอยู่ในกองทัพบกเข้าประจำพื้นที่ เพื่อต่อต้านการซุ่มยิงของกลุ่มนปช.ทั้งบนอาคารสูงและพื้นที่สูงข่ม

4.มีการพูดถึงการสั่งการให้ใช้”กระสุนจริง” และระบุว่า”แผนยุทธการครั้งนี้เป็นการวางแผนการปฏิบัติรบเต็มรูปแบบ เหมือนการทำสงครามรบในเมือง ใช้กำลังขนาดใหญ่ถึง 3 กองพล”และ”ยิ่งมีการสั่งการให้ใช้กระสุนจริงกับกลุ่มผู้ก่อการร้ายผู้ถืออาวุธและเพื่อป้องกันตัวเองได้ ทำให้ทหารที่สูญเสียความเชื่อมั่นจากเหตุการณ์ 10 เมษายน มีจิตใจรุกรบมากขึ้น”

และ”ปรับการยิงกระสุนยางจากปืนลูกซองเป็นการใช้กระสุนจริงจากอาวุธประจำกาย”

5.จากหน่วยข่าวศอฉ.เชื่อว่ามีผู้ก่อการร้ายที่แอบแฝงในกลุ่มนปช. เป็นกองกำลังติดอาวุธประมาณ 500 คน มีอาวุธซุ่มยิง อาวุธสงคราม เช่น M 79 M16 AK 47 และ Travo-21


6.ในส่วนของ”ข้อเสนอแนะทางยุทธวิธี” มีข้อหนึ่งที่ระบุว่า “ผู้บังคับบัญชาหน่วยระดับยุทธวิธีควรปฏิบัติภายใต้การรักษาชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธ์เป็นที่สำคัญที่สุด และต้องควบคุมการลั่นไกกระสุนจริงโดยมีสติ และมีเจตนารมณ์ อย่าให้กำลังพลปฏิบัติด้วยความโมโห หรือการแก้แค้นเป็นอันขาด”

และ”ควรมีการศึกษาค้นหาตัวแบบที่เหมาะสมในการกำหนดพื้นที่ที่ใช้กระสุนจริง เพราะปัจจุบันยังไม่ทราบว่ามีประเทศใดในระดับนานาชาติที่ได้นำมาปฏิบัติในการสลายการชุมนุมที่ได้รับการยอมรับ”

และนี่คือรายละเอียดของบทความชิ้นนี้โดย"มติชนออนไลนื"แบ่งเนื้อหาดังกล่าวเป็น 2 ตอน
.......................................................................


บทเรียนยุทธการกระชับวงล้อม พื้นที่ราชประสงค์ 14-19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 ( ตอน 1 )

ความสำเร็จทางยุทธศาสตร์การกระชับวงล้อมพื้นที่ราชประสงค์ครั้งนี้ สืบเนื่องมาจาก ความสำเร็จทางยุทธศาสตร์ทางการเมือง ตั้งแต่ระดับนโยบาย คือคณะรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กระทรวง ทบวง กรม หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงความมีเอกภาพของรัฐบาลกับ
กองทัพ

กล่าวนำ

สืบเนื่องจากสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ แดงทั้งแผ่นดิน (นปช.) กับรัฐบาล โดยกลุ่ม นปช.ได้มีการชุมนุมเกินขอบเขตของกฎหมายอย่างต่อเนื่อง มาตั้งแต่ 12 มีนาคม จนถึง 18 พฤษภาคม 2553 และกลุ่ม นปช.ได้เคลื่อนย้ายมวลชนมาปักหลักตั้งเวทีปราศรัยถาวรที่บริเวณพื้นที่สี่แยกราชประสงค์สร้างความเดือดร้อนต่อประชาชนในกรุงเทพฯ ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาล และได้สร้างผลเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างร้ายแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ.เพื่อการแก้ไขปัญหาการชุมนุมของกลุ่ม นปช. ตามพระราชบัญญัติการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 โดยมีกองทัพบกเป็นกลไกหลักในการแก้ไขปัญหา และกองทัพบกได้นำ กำลังพลเข้าแก้ไขปัญหาในเหตุการณ์สำคัญ ๆ 3 เหตุการณ์ คือ เหตุการณ์ 10 เมษายน พื้นที่สี่แยกคอกวัว เหตุการณ์การรักษาพื้นที่สีลม เหตุการณ์
สลายการเคลื่อนไหวกลุ่ม นปช. พื้นที่อนุสรณ์สถาน ดอนเมือง

บทความฉบับนี้เขียนขึ้นเพื่อประกอบการจัดทำ "เอกสารแนวทางในการปฏิบัติทางทหาร : กรณีศึกษาการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในเมือง" ตามดำริของเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก พล.ท.สิงห์ศึก สิงห์ไพร เพื่อกำหนดบทบาทของกองทัพบกในการแก้ปัญหาการก่อความไม่สงบใน
เมืองรูปแบบใหม่

เมื่อรัฐบาลมีนโยบายที่ชัดเจนในการกระชับวงล้อมพื้นที่ชุมนุมราชประสงค์ ศอฉ. ผ่านการสั่งการมายังกองทัพบกก็ได้จัดกำลังเปิด

ยุทธการกระชับวงล้อม โดยแบ่งการปฏิบัติออกเป็น 3 ห้วงเวลา กล่าวคือ ห้วงแรก เป็นการกระชับวงล้อมขั้นต้น ในวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 ห้วงที่ 2 เป็นการถอยร่นเพื่อสถาปนาแนวตั้งรับเร่งด่วนในวันที่ 15-18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 และห้วงสุดท้ายการกระทบวงล้อมขั้นสุดท้ายในวันที่ 19 พฤษภาคม ตั้งแต่เวลา 03.00 น. จนกระทั่งแกนนำประกาศยุติการชุมนุมบนเวทีราชประสงค์ เมื่อเวลา 13.20 น.

บทความนี้จะได้นำเสนอบทเรียนแบบความสำเร็จของยุทธการกระชับวงล้อมพื้นที่ราชประสงค์ในระดับยุทธ์ศาสตร์ ยุทธการ และยุทธวิธี
พร้อมด้วยข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล ศอฉ. กองทัพบก และหน่วยปฏิบัติระดับยุทธวิธีเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อไป
ความสำเร็จทางยุทธศาสตร์ : การกระชับวงล้อมพื้นที่ราชประสงค์


การแถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ เมื่อเวลา 22.00 น. วันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 ของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ภายหลังทหารประสบความสำเร็จในการปฏิบัติการ "ยุทธการกระชับวงล้อม" ในเวลา 10 ชั่วโมงก่อนหน้านั้น

นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงความพอใจผลงานยุติม็อบว่า "...เป้าหมายของ ศอฉ.เพื่อกระทบวงล้อม เพื่อให้เกิดการยุติการชุมนุมโดยเร็วที่สุด

เรายึดหลักสากล ทำให้เกิดความพอใจ..." คำพูดไม่กี่คำของนายกรัฐมนตรีภายใต้สถานการณ์วิกฤตครั้งนี้ ทำให้ทหารและกองทัพที่เป็นหมัดสุดท้าย ซึ่งเป็นกลไกบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลที่มีอยู่รู้สึกมั่นใจและเชื่อมั่นถึงยุทธศาสตร์ทางการเมืองของยุทธการครั้งนี้

ความสำเร็จในยุทธศาสตร์ทางทหาร ยุทธการกระชับวงล้อม เมื่อ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 เป็นผลจากความชัดเจนทางการเมืองสำคัญ ได้แก่

1.นโยบายรัฐบาลชัดเจนมาตลอดที่จะใช้มาตรการทางทหารกดดันม็อบกลุ่ม นปช. ความชัดเจนก็คือนโยบายกระชับวงล้อม เพื่อการยุติ การชุมนุมไม่ใช้การกระชับวงล้อมเพื่อเปิดการเจรจา ดังนั้นถ้าการเดินทางยุทธศาสตร์ทหารนั้น ถ้าเป้าหมายทางการเมือง (Political will) ชัดเจน การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ทางการทหารก็ไม่ยากและเมื่อนายกรัฐมนตรีได้สั่งการในที่ประชุม ศอฉ.ในวันที่ 12 พฤษภาคม ให้ฝ่ายทหารเริ่มต้นปฏิบัติการตามแผนยุทธการที่ได้วางไว้

2.สำหรับสัญญาณทางการเมืองที่ส่งไปยังสังคมได้ส่งผลของจิตวิทยาระดับยุทธศาสตร์คือ การใช้ภาษาคำว่า "การกระชับวงล้อม" ไม่ใช่ "การสลายม็อบ" คือ "การปราบม็อบ" หรือ "การปิดล้อม" จากภาษาที่สื่อดังกล่าวสังคมรับได้ และรู้สึกผ่อนคลาย ทั้งคาดหวังว่าเหตุการณ์จะสงบโดยเร็ว และอาจมีการสูญเสียชีวิตประชาชนบ้าง แต่ไม่มากมายเหมือนเช่นในอดีต

3.มาตรการตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดโทรศัพท์ ตัดระบบการส่งกำลังบำรุง และการตัดการเติมคนเสื้อแดงเข้าไปในราชประสงค์เป็นมาตรการระดับยุทธศาสตร์ ที่รัฐบาลภายใต้การอำนวยการของ ศอฉ.ได้สร้างแรงกดดันให้ม็อบราชประสงค์ ถูกบีบกระชับวงล้อมทั้งทางกายภาพและทางจิตใจ อย่างไรก็ตามมาตรการนี้ได้ส่งผลข้างเคียงต่อชุมนุมผู้อาศัยโดยรอบพื้นที่การชุมนุม ถ้าปล่อยไว้นาน อาจส่งผลทำให้เกิดกระแสตีกลับ มาขับไล่รัฐบาลได้

4.ความมีเอกภาพของรัฐบาลกับกองทัพ แม้ว่าจะมีกระแสข่าวความไม่ลงรอยกันบ้างในการแก้ปัญหาเนื่องจากการใช้กำลังทหารขอคืนพื้นที่ เพราะบทเรียนวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553 บริเวณสี่แยกคอกวัวจะตามมาหลอกหลอนผู้นำกองทัพอยู่เสมอ ๆ แต่เมื่อได้ประเมินทางยุทธศาสตร์เพื่อมีความคุ้มค่าและมองเห็นความสำเร็จรับบาลกับกองทัพก็หันมาร่วมมือกันเปิดยุทธการครั้งนี้อย่างมั่นใจ รวมไปถึงความร่วมมือของทุกกองกำลัง
ของทุกเหล่าทัพ ก็เป็นการแสดงถึงความมีเอกภาพ


5.ปัจจัยเวลาในกรอบการปฏิบัติงานก็เป็นเรื่องสำคัญเนื่องจากความล้มเหลวในการรุกเข้าขอคืนพื้นที่ใน 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 ทำให้หน่วยทหารทั้งในส่วนพื้นที่ถนนพระราม 4 บ่อนไก่ และถนนราชปรารภ (สามแยกดินแดง) ต้องตรึงกำลังให้อยู่กับที่ หรือแทบจะเรียกได้ว่าถอยร่นออกมาจากระยะยิงของสไนเปอร์จากการ์ด นปช. แต่เมื่อรัฐบาลเข้าใจว่าต้องให้เสรีในการปฏิบัติเรื่องเวลา รัฐบาลจึงมีมติผ่าน ครม. ประกาศให้พื้นที่ กรุงเทพมหานคร หยุดราชการเป็น 2 ช่วง คือ ช่วง 17-18 พฤษภาคม และ 19-21 พฤาภาคม ทำให้ทหารไม่มีแรงกดดันเรื่องเวลาเหมือนเช่นเหตุการณ์ 10 เมษายนที่ผ่านมา

6.ประสิทธิภาพของการทำงานปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operations) ได้ผลทางยุทธศาสตร์ ทั้งในส่วนของกรมประชาสัมพันธ์ ผ่านโทรทัศน์ NBT และการแถลงข่าวของ ศอฉ.โดยโฆษกของ ศอฉ. สามารถตอบโต้กลุ่ม นปช.และตอบข้อสงสัยของสังคม ผู้ชุมนุม ผู้ได้รับการ เดือดร้อนรอบพื้นที่ชุมนุม ประชาชนในส่วนที่เหลือของประเทศ ยกเว้นพื้นที่ภาคอีสานและภาคเหนือที่มีมวลชนเป็นสีแดงเข้มก็ไม่ได้ผล รวมทั้งการสื่อสารกับนานาชาติในระดับโลก ก็ถือว่าได้ผลระดับหนึ่ง ผ่านทางรองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกรัฐบาล และกระทรวงการต่าง
ประเทศ

7.การปรากฏตัวทางยุทธศาสตร์ ศอฉ. ได้ใช้ประโยชน์จากการที่สามารถควบคุมสื่อสารโทรทัศน์ในเวลาแถลงข่าวของผู้นำทหารในการ แก้ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นรองเสนาธิการทหารบก ผช.เสธ.ฝยก. แม่ทัพภาคที่ 1 และ ผบ.พลหน่วยปฏิบัติ ทำให้กำลังพลมีความเชื่อมั่น การปฏิบัติการยุทธการกระชับวงล้อม มีการวางกำลังทางทหารและมีผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นรับผิดชอบอย่างชัดเจน สังคมและประชาชนก็มั่นใจว่า น่าจะมีความสำเร็จสูง

8.การชี้แจงทำความเข้าใจของการใช้อาวุธ ตามหลักสากล มีกฎการใช้กำลัง การยิงกระสุนจริง การใช้หน่วยสไนเปอร์ ก็ถือว่ากระทำได้อย่างทันท่วงที เพื่อตอบโต้กับภาพข่าวทั้งในและต่างประเทศ เพราะถ้าไม่มีการแก้ข่าวทุกวัน ข่าวความห่วงใยเหล่านี้ได้ไต่ระดับเลขาธิการสหประชาชาติ เลขาธิการอาเซียน ซึ่งทำให้เกิดความยุ่งยากของปัญหามากยิ่งขึ้น จนกระทั่งรัฐบาลไม่สามารถรับมือกับต่างประเทศได้

9.การควบคุมการติดต่อสื่อสารทุกระบบ ก็ถือว่าเป็นงานระดับยุทธศาสตร์ที่สำคัย เมื่อกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสั่งปิดเว็บไซต์ เฟซบุ๊ค และทวิสเตอร์ของเครือข่ายอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทำให้ช่องทางสื่อสารถูกตัดขาดลง

10.การทำงานที่สอดคล้องกันระหว่างมาตรการตัดน้ำตัดไฟ กับมาตรการของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในเรื่องการประกาศงดทำธุรกรรมทางการเงินของผู้ต้องสงสัยที่ต่อท่อน้ำเลี้ยงให้กับกลุ่ม นปช. คือการตัดแหล่งทุนสำคัญของการเคลื่อนไหวลงได้ระดับหนึ่ง

11.การนำคดีการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงกับคดีการก่อการร้ายมาเป็นคดีของกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นผลให้การทำคดีมีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดความเข้มข้นในการสืบสวนสอบสวน ตามกระบวนยุติธรรมและมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากถึง 11 หน่วยงาน มาช่วยกันทำคดีการก่อการร้าย ก็ถือว่าเป็นการสร้างความเข้มข้นของการบังคับใช้กฎหมายอย่างมาก

12.จุดอ่อนทางยุทธศาสตร์ของกลุ่ม นปช.ที่กลายเป็นจุดแข็งของรัฐบาล คือ การถอนตัวของนายวีระ มุสิกพงศ์ ประธานกลุ่ม นปช. และการเสียชีวิตของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้มีความเชี่ยวชาญทางทหารที่มีส่วนดูแลและวางแผนการรักษาความปลอดภัยของการ์ด นปช. ถือว่าเป็นสัญญาณแห่งความพ่ายแพ้ทางยุทธศาสตร์ เพราะกลุ่ม นปช.ไม่มีหัวในระดับยุทธศาสตร์ทางการเมือง คือ นายวีระ มุสิกพงศ์ และไม่มีหัวเสธ.ระดับยุทธศาสตร์ทางทหารในการวางแผนตั้งรัฐ ในกรณีที่ทหารจะเข้าสลายม็อบ นปช.

สรุปได้ว่า ความสำเร็จทางยุทธการกระชับวงล้อมพื้นที่ราชประสงค์ครั้งนี้ สืบเนื่องมาจาก ความสำเร็จทางยุทธศาสตร์ทางการเมือง ตั้งแต่ระดับนโยบาย คือ คณะรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กระทรวง ทบวง กรม หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ความมีเอกภาพของรัฐบาลกับกองทัพ การที่ทหารสามารถกำหนดยุทธศาสตร์ทางทหารที่ชัดเจนได้ก็เนื่องจากการเมืองของรัฐบาลที่ชัดเจน และที่สำคัญดังที่ซุนวูกล่าวไว้ว่า "ชัยชนะย่อมเกิดจากฝ่ายตรงข้ามหรือข้าศึกตกอยู่ในสถานการณ์พ่ายแพ้เอง" นั่นคือสภาพการแตกแยกทางความคิดของกลุ่มแกนนำหลัก และการสูญเสียมือวางแผนระดับเสนาธิการ ทำให้สถานการณ์ของกลุ่ม นปช.เริ่มเพลี่ยงพล้ำทางยุทธศาสตร์มาตามลำดับ

แผนยุทธการและหน่วยรับผิดชอบการกระชับวงล้อมพื้นที่ราชประสงค์
แผนยุทธการสลายม็อบราชประสงค์ถูกกำหนดดีเดย์ไว้ตั้งแต่ตี 3 ครึ่งวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 หน่วยแรกที่เข้าปฏิบัติการคือ หน่วยสไนเปอร์ เพื่อยึดพื้นที่สูงข่มของตึกบนถนนวิทยุ (อาคารเคี่ยนหงวน) และสะพานแยกสารสิน(อาคารบางกอกเคเบิล)โดยที่อาคารสูงบนถนนวิทยุถูกยึดได้ก่อนตี 5 ครึ่ง ส่วนตึกสูงด้านถนนสารสินยังเข้าไม่ได้

หลังจากนั้นทหารจาก พล.ม.2 รอ.ได้แยกกำลังรุกเข้าไป 3 ทิศทาง ตามเส้นทางถนนวิทยุ ถนนสีล้ม และถนนสุรวงศ์ มีการเคลื่อนรถหุ้มเกราะปฏิบัติพร้อมทหารเดินเท้าอาวุธเต็มอัตราศึกเป็นรูปขบวนการรบที่คุ้นตาสำหรับการปฏิบัติการของยานยนต์รบกับหน่วยของการยุทธรบในเมือง

แต่กว่าที่ภาพรถหุ้มเกาะจะค่อย ๆ บดทับและพังทลายป้อมค่ายป้องกันของ นปช. ที่ศาลาแดงได้นั้น ได้มีการวางแผนปรับแผนส่วนหน้ามาแล้วเป็นเดือนโดยใช้บทเรียน 10 เมษายน เป็นสมมติฐาน ดังนั้นแผนยุทธการครั้งนี้จึงมีการวางแผนอย่างรัดกุมและตั้งอยู่บนสถานการณ์ที่เป็นไปได้มากที่สุด และจะเห็นได้ว่ายุทธการครั้งนี้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ทางการทหารและยุทธศาสตร์ทางการเมืองที่กล่าวมาแล้วข้างต้น


ขั้นการปฏิบัติยุทธการกระชับวงล้อม
จากการประมวลภาพการแถลงข่าวของ ศอฉ. และภาพข่าวของสื่อมวลชน แผนยุทธการน่าจะประกอบด้วยขั้นการปฏิบัติ 4 ขั้นตอน ได้แก่

1.ขั้นการกระชับวงล้อมขั้นต้น เพื่อทดสอบกำลังเข้าควบคุมพื้นที่ขั้นต้น ใช้เวลา 1 วัน (14 พฤษภาคม)

2.ขั้นการวางกำลังตรึงพื้นที่รอบนอก เพื่อป้องกันการเติมคนของกลุ่ม นปช. อาจเรียกได้ว่าเป็นการกลับหลังหันรบ 180 องศา มาตั้งรับใย 3 พื้นที่หลัก ได้แก่ บ่อนไก่ ถนนราชปรารภ และสามย่าน ขั้นนี้ต้องใช้ความอดทนอย่างสูวสุด ควบคุมสถานการณ์ให้นิ่งให้ได้ รอฟังคำสั่งต่อไปใช้เวลา 4 วัน (15-18 พฤษภาคม)

3. ขั้นการสลายม้อบภายหลังจากปฏิบัติการในขั้นที่ 2 ที่ต้องใช้เวลา 4 วัน เพื่อเช็คข่าวการวางกำลังและอาวุธสงครามในพื้นที่สวนลุมพินี การวางกำลังหลังแนวด่านตรวจ นปช.โดยรอบพื้นที่ราชประสงค์ การเช็คที่ดั้งจุดใช้อาวุธ M 79 การตรวจสอบกองกำลังกลุ่มอ่กการร้ายจำนวน 500 คนว่าวางกำลังพื้นที่ใด เมื่อทุกหน่วยเข้าที่พร้อม การปฏิบัติการก็เริ่มต้นในเช้าตรู่วันที่ 19 พฤษภาคม โดยให้เสร็จสิ้นภารกิจภายใน 1,800 ของวันเดียวกัน

4. ขั้นการกระชับวงล้อมขั้นสุดท้าย เพื่อตรวจสอบค้นหาหลักฐาน อาวุธสงครามและสิ่งผิดกฎหมาย เริ่มปฏิบัติการในวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ.2553 สาเหตุที่ไม่สามารถทำได้ในวันบุกสลายการชุมนุมในขั้นที่ตอนที่ 3 เพราะกลุ่ม นปช.ได้วางเต้นท์และที่พักเป็นจำนวนมาก และตั้งแต่บ่ายของวันที่ 19 พฤษภาคม มวลชนเสื้อแดงได้ก่อการจลาจลในพื้นที่ราชประสงคืและทั่วกรุงเทพฯ

หน่วยรับผิดชอบวางกำลังยุทธการกระชัยวงล้อม

เป็นการปฏิบัติการร่วม 3 เหล่าท้พคือ กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ โดยกำลังหลักที่ใช้ปฏิบัติการเป็นกำลังของกองทัพบก จำนวน 3 กองพล ได้แก่

กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.ร.1รอ.) ใช้กำลัง 3 กรม หลักคือ ร.1 รอ. ร.11 รอ.และ ร.31 รอ.ให้ ร.1 รอ กับ ร.11 รอ. วางกำลังพื้นที่ดินแปลง พญาไทราชปรารภ ร.31 รอ.เป็นหน่วยเคลื่อนที่เร็ว พร้อมปฏิบัติการพิเศษ กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) มีหน้าที่ดูแลพื้นที่ถนนวิทยุ บ่อนไก่ ศาลาแดง ลุมพินี สามย่านกองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9) มีหน้าที่ดูแลพื้นที่อโศก เพลินจิต ชิดลม

นอกจากนี้ยังมีกองกำลังพร้อมสนับสนุน คือ พล.ร.2 รอ.กำลังของหน่วยอากาศโยธิน (อย.) ของกองทัพอากาศสแตนด์บายพร้อมออกปฏิบัติหน้าที่ 24 ชั่วโมง และมีหน่วยปฏิบัติการทางอากาศพร้อมขึ้นบินเหนือพื้นที่ราชประสงค์ ขณะที่กองทัพเรือรับภารกิตจพิเศาอารักขาสถานที่สำคัญ โดยเฉพาะบริเวณโรงพยาบาลศิริราชง

ทั้งนี้ การปฏิบัติภารกิจของกองทัพจะมีสัญญาณบอกฝ่าย เป็นสัญลักษณ์แถบสี ติดหัวไหล่ แขนขวา โดยจะมีการเปลี่ยนสีทุกวัน แต่เมื่อการปฏิบัติภารกิจเต็มขั้นในวันที่ 19 พฤษภาคม กำลังทุกหน่วยจะใช้แถบสีชมพูเป็นสัญลักษณ์บอกฝ่าย ติดไว้บริเวณหลังหมวกเหล็กทุกนาย


( ติดตาม ตอน 2 )

โกอินเตอร์..เพิ่งรู้ "ดีแต่พูด" ภาษาอังกฤษใช้คำว่า "He is only good at talking" ใช้ตัวย่อ "HIOGAT"


โกอินเตอร์

ที่มา: คอลัมน์ เหล็กใน
มันฯ มือเสือ


ใครยังไม่ได้อ่าน ต้องหาอ่านบทความของ นายแอนดรูว์ สปูนเนอร์ ชื่อ Thailand"s PM Abhisit Vejjajiva: "He"s only good at talking." เผยแพร่ในเว็บไซต์ asiancorrespondent.com

บทความเขียนเป็นภาษาอังกฤษ ถ้าใครอ่านไม่เข้าใจ ก็หาเปิดอ่านฉบับแปลภาษาไทยได้จาก "ข่าวสด" ฉบับ 23 มิ.ย.

หาหนังสือพิมพ์ไม่ได้ก็เปิดเว็บไซต์ www.khaosod. co.th เลือกวันที่ 23 มิ.ย. แล้วคลิกเข้าไปที่พาดหัวข่าว "ดีแต่พูด"ดัง/สื่อนอกชี้/ยี่ห้อมาร์ค

อ่านแล้วเพิ่งรู้ "ดีแต่พูด" ภาษาอังกฤษใช้คำว่า "He is only good at talking" กำลังดังถึงขนาดมีการจัดกลุ่มคำ หรือแฮชแท็ก บนทวิตเตอร์โดยใช้ตัวย่อ "HIOGAT"

"ดีแต่พูด" จึงเป็นคำฮิตของไทยที่ยกระดับสู่สากลไปเรียบร้อย

คาดการณ์กันเล่นๆ ว่าอีกหน่อย "ดีแต่โพสต์" หรือ "ดีแต่เฟซบุ๊ก" อาจยกระดับตามไปติดๆ

เพราะล่าสุดมีการเขียนบันทึกจากใจผ่านเฟซบุ๊กออกมาเป็นตอนที่ 6 แล้ว ครั้งนี้พูดถึงการนิรโทษกรรม "ทักษิณ" กับ 91 ศพ

เนื้อหาวกไปวนมาอยู่บ้างแต่พอจับใจความได้ว่า

ถ้าพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลก็จะนิรโทษกรรมให้ทักษิณ ซึ่งจะครอบคลุมถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งถูกคนเสื้อแดงกล่าวหาว่าเข่นฆ่าประชาชน 91 ศพด้วย

เมื่อทักษิณได้เงิน 4.6 หมื่นล้านซึ่งเป็นเงินภาษีประชาชนแต่ถูกศาลฯ สั่งยึดไปกลับคืนมาได‰ ก็จะนำเงินภาษีของประชาชนส่วนหนึ่งมาจ่ายเยียวยาครอบครัวของ 91 ศพ

ทุกอย่างก็จบ จะไม่มีการทวงถามความยุติธรรมใดๆ อีกต่อไป

เจ้าของเฟซบุ๊กคิดเอง เขียนเอง เออเอง สรุปเองเสร็จสรรพครบวงจร

ว่าทั้งหลายทั้งปวงที่ยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทย และแกนนำเสื้อแดงทำอยู่ จุดหมายปลายทางคือนิรโทษกรรมช่วยเหลือทักษิณ ให้ได้เงิน 4.6 หมื่นล้านคืนมา

นอกจากนี้ยังมีการยุยงให้คนเสื้อแดงไปยกป้ายถามยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยว่า "นิรโทษกรรมจะทำอย่างไรกับ 91 ศพ" "นิรโทษกรรมข้าม 91 ศพ แลกเงิน 46,000 ล้านหรือ"

อ่านเฟซบุ๊กตอน 6 นี้แล้วหลายคนอาจนึกถึงคำถากถางของณัฐวุฒิ ที่บอกว่าสุดยอดจักรวาลชีวิตของประชาธิปัตย์ก็คือทักษิณ

ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง

ถ้าหากสุดยอดจักรวาลชีวิตของพรรคใดก็แล้วแต่ ดันไปอยู่ที่คนเพียงคนเดียว ไม่ว่าคนๆ นั้นจะเป็นนายเก่าหรือเป็นศัตรูคู่แค้นก็ตาม

แทนที่จะอยู่ตรงการนำเสนอนโยบายต่อประชาชน

ก็สมควรที่พรรคนั้นจะถูกประชาชนลงโทษผ่านการกาบัตรเลือกตั้ง

วันอังคาร, มิถุนายน 21, 2554

นารีขี่ม้าขาว’พิชิต‘ดีแต่พูด’


‘นารีขี่ม้าขาว’พิชิต‘ดีแต่พูด’


นางระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช นายกสมาคมครอบครัวอบอุ่นและเป็นสุข และอดีต ส.ว.ขอนแก่น มองว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่กดขี่ผู้หญิงมากที่สุด แม้ว่ากฎหมายจะกำหนดถึงความเท่าเทียมกันระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย และถึงเวลาแล้วที่ผู้หญิงจะเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการเมืองไทยด้วยการมีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก ด้วยเหตุผลดังนี้


การก้าวสู่ถนนการเมืองของคุณยิ่งลักษณ์

คิดว่าเป็นความชื่นใจและเป็นโอกาสที่อยากจะเห็นมานานมากแล้ว ทั้งๆที่กฎหมายรัฐธรรมนูญไม่ว่าฉบับไหนก็ระบุถึงความเท่าเทียม ความเสมอภาค แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่ ไม่มี และเป็นไปไม่ได้ เพราะเรายังติดอยู่ในสังคมไทยที่มีอคติกับผู้หญิง คือเป็นสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่
ซึ่งในระบอบประชาธิปไตยที่มีผู้ชายเป็นใหญ่มักจะมองว่าผู้หญิงทำได้แค่ในกรอบของการบ้านการเรือน หรือไม่มีความสามารถที่จะเข้ามาทำงานด้านการบริหารประเทศ บทบาททุกๆด้านของผู้หญิงจึงถูกมองว่ายังอ่อนด้อยอยู่


แม้ว่าโอกาสที่จะเข้ามามีส่วนร่วม มาทำงานในวงการการเมืองตั้งแต่ระดับท้องถิ่นในด้านการบริหาร การปกครอง เศรษฐกิจ การศึกษา วัฒนธรรม ผู้หญิงถูกมองว่าอ่อนด้อยทุกด้าน มาถึงวันนี้ผู้หญิงเราในภาคของธุรกิจเติบใหญ่ขึ้นมาเป็นผู้บริหารและเป็นผู้นำองค์กรเยอะ แต่ในภาคราชการยังกดผู้หญิงอยู่ เช่น เวลาสอบเข้ารับราชการผู้หญิงจะสอบได้มาก แต่พอจะขึ้นเป็นหัวหน้าหน่วยหรือตำแหน่งผู้บริหารมักจะถูกกดไว้


พอมีผู้หญิงเข้ามาสู่การเมืองก็จะถูกมองว่าอ่อนด้อย ไม่เท่าผู้ชาย ไม่สามารถทำโน่นทำนี่ได้ เพราะผู้หญิงมีอารมณ์ ไม่มีเหตุผล มีอารมณ์เป็นตัวนำ เรื่องใหญ่ๆทำไม่เป็น คิดไม่เป็น ไม่กล้าตัดสินใจ มีจิตใจโลเล นี่คือภาพที่ถูกวาดโดยสังคมที่มีอคติในสังคมที่มีผู้ชายเป็นใหญ่ ตรงนี้บอกได้เลยว่าเป็นความคิดที่ผิดที่เกิดขึ้นในสังคมไทยมานานแล้ว และเรากำลังรอการพิสูจน์ตรงนี้


เมื่อมีคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก้าวเข้ามาสู่ทิศทางนี้ก็เป็นเหมือนกับสังคมการเมืองไทยของประเทศไทยที่ว่าใครจะเดินมาสู่การเมืองได้ต้องมาจากครอบครัว เช่น ผัวตาย ผัวโดนเลขที่ 111 หรือ 109 หรือลูกโดนกระทำ หรือถูกพัก หรืออะไรต่างๆ แม่หรือเมียถึงจะเข้ามา เป็นอย่างนั้นจริงๆ


อย่างกรณีคุณยิ่งลักษณ์ก็เป็นกระแสจากตรงนี้ส่วนหนึ่งที่ทำให้ต้องลุกขึ้นมาสู้ เพราะครอบครัวเขา พี่ชายเขา (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรมจนต้องระเห็จไม่ได้อยู่ผืนแผ่นดินไทย จึงเป็นเรื่องของแรงผลักเข้ามาสู่การเมืองไทย คือมาจากสิ่งที่กดดันครอบครัว ทำให้ต้องลุกมาต่อสู้และเข้าสู่ถนนการเมืองในที่สุด


ถ้าถามว่าคุณยิ่งลักษณ์กับคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ความได้เปรียบเสียเปรียบเป็นอย่างไร และใครคู่ควรหรือเหมาะสมกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของประเทศไทย ขอบอกเลยว่าคุณยิ่งลักษณ์ในทางการเมืองไม่ได้ด้อยไปกว่าคุณอภิสิทธิ์ คุณยิ่งลักษณ์ได้คลุกคลีทางการเมืองตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อ รุ่นพี่ ตั้งแต่คุณเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกเทศมนตรีเมืองเชียงใหม่ และอะไรต่ออะไรที่เขาทำกันมา คุณยิ่งลักษณ์อยู่เบื้องหลังเสมอ แต่ทีนี้ในครอบครัว ถ้าสมมุติว่าครอบครัวไหนไม่ได้เป็นครอบครัวที่เสียสละหรือเห็นแก่ผลประโยชน์ของสังคมและส่วนรวมแล้วไม่มีทางที่จะเข้ามาสู่การเมืองได้


ดังนั้น การมองว่าคุณยิ่งลักษณ์โนเนมทางการเมือง ไม่มีบทบาทเลย พี่เชื่อว่าสามารถแก้ปัญหาและตัดปัญหาไปได้ในส่วนของเหตุผลข้างต้น ทีนี้เรื่องความสามารถ คุณยิ่งลักษณ์เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำงานบริหารองค์กรที่มีมูลค่าทุนทรัพย์เป็นแสนๆล้านบาท แม้กระทั่งการทำงานในด้านสาธารณกุศลต่างๆ เช่น มูลนิธิไทยคม สามีพี่เคยไปร่วมงานกับคุณยิ่งลักษณ์แล้วเล่าให้ฟังว่าคุณยิ่งลักษณ์เก่งมาก ไม่ว่าเรื่องการเป็นผู้นำ การตัดสินใจ การบริหารจัดการ เพราะฉะนั้นถ้าเทียบฝีมือเรื่องการบริหารระหว่างคุณอภิสิทธิ์กับคุณยิ่งลักษณ์ คุณอภิสิทธิ์เทียบไม่ติดเลย


การที่มีผู้หญิงเข้ามาเป็นแคนดิเดตในการทำงานการเมือง แล้วมีโอกาสที่จะถูกเพื่อนสมาชิกในสภาผู้แทนราษฎรโหวตเพื่อเลือกมาเป็นนายกรัฐมนตรี พี่คิดว่าเป็นนิมิตหมายแห่งความงดงาม เรามีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ชายมา 26 คนแล้ว บ้านเมืองเกิดความวุ่นวายทุกรูปแบบที่เราเจอมา เมื่อเรามีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้หญิง มีความอ่อนโยน ความละเอียด ความรอบคอบ ความนุ่มนวล พี่เชื่อว่าในสถานการณ์ที่มีความอ่อนไหวในเรื่องของความปรองดอง ความสมานฉันท์ หรือการสร้างชาติให้เข้มแข็ง ให้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น พี่เชื่อมั่นว่าเราถึงยุคทองแล้วล่ะ


เราตกอับมานานแล้วตั้งแต่เหตุการณ์รัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 บ้านเมืองเราจากการเป็นแนวหน้าของอาเซียน จากการบริหารประเทศที่ได้รับการยอมรับในทักษิโณมิก การแก้ปัญหากองทุนไอเอ็มเอฟ จนกระทั่งเขางงมากว่าเมืองไทยจากเสือกลายเป็นแมวได้อย่างไร เราทำได้ชั่วพริบตาเพียงระยะเวลา 4-5 ปีเท่านั้น พอแล้วสำหรับความบอบช้ำของบ้านเมือง และลองดูผู้หญิงบริหารบ้าง พี่ขอบอกว่าพี่อยากทำงานการเมืองใจจะขาด พี่เคยคิดอยากรวมผู้หญิง สร้างพรรคที่มีผู้หญิงเป็นแกนนำบริหารงานขึ้นมา คือพรรคพลังหญิงไทย


มาถึง ณ วันนี้พี่สบายใจที่มีผู้หญิงคนหนึ่งลุกขึ้นมาจากครอบครัว ลุกขึ้นมาฟื้นธุรกิจของตัวเอง ลุกขึ้นมาต่อสู้ แม้ว่าแรงผลักตรงนั้นจะมาจากแรงบีบ ถูกกดจากครอบครัวที่ถูกกระทำอย่างไม่ยุติธรรม แต่คุณสมบัติส่วนตัวของคุณยิ่งลักษณ์และประสบการณ์การบริหารงาน พี่ว่าไม่ธรรมดา และยิ่งใหญ่ด้วย เมื่อบวกกับสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณซึ่งเป็นพี่ชายได้ทำไว้ พี่น้องประชาชนรักคุณทักษิณ และเชื่อว่าใครก็ตามที่มาจากสายใยของคุณทักษิณพี่น้องประชาชนก็รักด้วย


แม้ว่ากระแสของโพลหรืออะไรต่างๆจะออกมาเป็นอย่างไร พี่อยากให้รอดูของจริงดีกว่า เพราะเวลานี้พี่น้องคนรากหญ้าเป็นคนธรรมดาแต่ไม่ธรรมดารู้เรื่องหมดแล้วนะ และถือเป็นนิมิตหมายใหม่ที่ประชาชนรากหญ้าต้องการลุกขึ้นมาหาผู้นำของเขาอย่างจริงจัง พี่ยังบอกไม่ได้ว่ากระแสของคุณยิ่งลักษณ์แรงแค่ไหน แต่ที่แน่นอนคือกระแสของคุณทักษิณยังแรงมากๆ ซึ่งจะเป็นแรงสนับสนุนที่สำคัญในการช่วยคุณยิ่งลักษณ์นำพรรคเพื่อไทยสู้ศึกการเลือกตั้งครั้งนี้ ต้องยอมรับว่าบารมีของคุณทักษิณยังแรงอยู่ และจะส่งถึงผู้สมัครของเพื่อไทยทุกคน ทำให้ผู้สมัครพรรคหาเสียงง่ายขึ้น ที่สำคัญพี่น้องประชาชนรู้แล้วว่าที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น


ถ้าได้เป็นนายกฯหญิงคนแรกของไทย

จะเป็นสิ่งที่เราเป็นอารยะ เพราะการยอมรับความสามารถของผู้หญิงเท่าเทียมผู้ชายในประเทศไทยเกิดขึ้นแล้ว โดยประชาชนเป็นเสียงสวรรค์ ถือเป็นระบอบประชาธิปไตยที่งดงามที่สุด ซึ่งระบอบประชาธิปไตยไม่ใช่ระบอบที่ใครจะสั่งและเอาใครมาเป็นหุ่นเชิด หรือเอาคนที่ตัวเองต้องการ ไม่ใช่แล้ว ในต่างประเทศเวลานี้พบว่ามี 11 ประเทศที่มีผู้หญิงเป็นผู้นำ โดยเป็นประธานาธิบดี 4 ประเทศ นอกนั้นเป็นนายกรัฐมนตรี พี่คิดว่าของเราถึงเวลาแล้ว ในเอเชียมีแค่อินเดียที่มีผู้หญิงเป็นประธานาธิบดี ประเทศไทยจะดังทะลุฟ้าถ้ามีผู้หญิงเป็นนายกรัฐมนตรี พี่เชื่อในเรื่องของความนุ่มนวล ความอ่อนหวาน ความจริงจังจริงใจ จะทำให้ประเทศเราเป็นที่ยอมรับ หลังจากถูกดูหมิ่น ประณามหยามเหยียดว่าเป็นชาติที่ใกล้จะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันเอง


พี่ขอบอกว่าไม่ต้องห่วงว่าคุณยิ่งลักษณ์จะมาเป็นหุ่นเชิดให้คุณทักษิณ เพราะเขามีมติกรรมการบริหารพรรคอยู่แล้ว คุณทักษิณมีสิทธิเสนอแนะ ส่วนจะทำตามหรือไม่เป็นเรื่องของกรรมการบริหารพรรค คุณยิ่งลักษณ์จะเชื่อพี่ชายโดยไม่ฟังคนอื่นเลย พี่เชื่อว่าคงไม่ทำแบบนั้น เพราะการทำงานในระบอบประชาธิปไตยมติพรรคเป็นเรื่องสำคัญ และการทำงานถ้าจะประสบความสำเร็จเราต้องมีฐานประชาชนหนุน ผู้ที่จะมาทำงานกับเราต้องได้รับการเกียรติและการยอมรับ คุณทักษิณมีสิทธิเสนอความคิด และถ้าเป็นความคิดดีๆ คนรากหญ้าได้ประโยชน์ ทำไปเลย ถ้าใครมีอำนาจรัฐแต่ไม่มีประชาชนหนุนหลัง ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ จะอยู่ได้ไม่นาน


นายกฯคนต่อไปถูกมองไม่เป็นตัวของตัวเอง

การที่ทั้งคุณอภิสิทธิ์และคุณยิ่งลักษณ์ถูกมองว่าไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง เช่น คุณอภิสิทธิ์ถูกมองว่าเป็นนอมินีของกองทัพและระบอบอำมาตย์ ขณะที่คุณยิ่งลักษณ์ถูกมองว่าเป็นนอมินีของคุณทักษิณ เรื่องนี้พี่คิดว่าไม่พ้นที่จะต้องถูกมองเช่นนี้ คือสังคมไทยมองในทางลบมากกว่าทางบวก พี่อยากบอกให้ทุกคนรู้ว่าในสภาพของความเป็นจริงคุณอย่าหลอกกันเลย ทุกวันนี้คุณยิ่งลักษณ์ถูกมองว่าเป็นนอมินีคุณทักษิณ แต่จะให้เขาลาออกจากความเป็นพี่เป็นน้องไม่ได้ สิ่งที่ตระกูลเขาถูกกระทำ ถ้าเป็นคุณอภิสิทธิ์หรือคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ คุณเจ็บปวดหรือไม่

ถ้าคุณอภิสิทธิ์หรือคุณสุเทพเป็นพ่อแม่ของคนที่ถูกฆ่าในเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อเดือน เม.ย.-พ.ค. 2553 คุณรู้สึกเจ็บปวดหรือไม่ เพราะฉะนั้นความจริงหนีไม่พ้น คนจะมองอย่างไรห้ามไม่ได้ แต่หัวใจของผู้หญิงที่เข้ามาทำงานการเมือง พี่คิดว่าเขาตัดสินใจดีแล้วว่าโดนกระหน่ำแน่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องครอบครัว ทำไมเป็นนางสาว ทำไมไม่ใช้นามสกุลสามี อย่างโน้นอย่างนี้สารพัด นี่คือสิ่งเลวร้ายของสังคมไทยที่วาดภาพผู้หญิงที่เข้ามาเล่นการเมืองว่าเลวเสมอ เหมือนกับพี่ ช่วงที่เข้ามาเล่นการเมืองก็โดนสารพัด แต่พี่ไม่สน


ทีนี้มาถึงคุณอภิสิทธิ์ คุณมีความสามารถในการรวมพรรคการเมืองต่างๆมาสู้กับพรรคเพื่อไทยจนกระทั่งได้เป็นนายกรัฐมนตรี โดยไปจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร ซึ่งใครๆก็รู้อย่างเต็มอก ตรงนี้ไม่ต้องมาตั้งคำถามกับพี่เลย ภาพของคุณติดอยู่ตรงนั้นแล้ว คุณเป็นเด็กที่ถูกสร้างมาจากค่ายทหาร ประเทศไทยไม่ใช่ของคุณคนเดียว ไม่ใช่ของคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก และไม่ใช่ของคุณสุเทพ แต่เป็นของประชาชนภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข


ที่สำคัญภาพของคุณอภิสิทธิ์ในช่วงที่มีการประกาศภาวะฉุกเฉิน ใครเป็นคนสั่งต้องสู้กันในศาล คุณจะได้รับความยุติธรรม ขอย้ำว่าภาพของคุณหนีไม่พ้นกับการเป็นฆาตกรมือเปื้อนเลือดอย่างที่เขาพูดกัน พี่ไม่ต้องพูด ทั้งสายตาหรือคนเป็นกลางที่มองถึงปัญหาของสังคมไทย คุณหนีไม่พ้นภาพตรงนั้น คุณจะเป็นหุ่นเชิดของใครก็หนีไม่พ้น เหมือนคุณยิ่งลักษณ์ก็หนีไม่พ้น ทุกคนมีภาพลักษณ์ของตัวเองที่ติดตัวแล้ว ไม่ใช่จะล้างกันง่ายๆ ตรงนี้จะติดตัวไปเสมอ ดังนั้น พี่เชื่อว่าผู้หญิงทำอะไรเอาจริงเอาจัง อย่างคุณยิ่งลักษณ์ ลองดูสายตาเขาสิ เขาจริงจัง และผู้หญิงเราต้องสวย เก่ง เด็ดเดี่ยว กล้าหาญ ไม่กลัวใครด้วย


ฝากอะไรกับคุณยิ่งลักษณ์หากได้เป็นนายกฯ

อยากให้คุณยิ่งลักษณ์แก้ไขปัญหาสังคมเป็นเรื่องแรก โดยให้ทุกครอบครัวมีความอบอุ่นและเป็นสุข ฐานตรงนี้จะนำไปสู่การสร้างชาติ สร้างบ้าน สร้างเมือง เวลานี้เรื่องศีลธรรม คุณธรรมตกต่ำมาก เพราะปัจจุบันมีการทุจริตคอร์รัปชันโดยไม่ละอายเกรงกลัวต่อบาป และทำได้โดยไม่คำนึงถึงว่าความถูกคืออะไร ทำผิดจนกระทั่งโฆษณาประกาศเชิญชวนให้คนเชื่อว่าอันนั้นเป็นสิ่งที่ถูก ซึ่งน่ากลัวมาก เพราะฉะนั้นพี่อยากให้คุณยิ่งลักษณ์ให้ความสำคัญกับสังคมเป็นเรื่องแรก


เรื่องที่ 2 คือเรื่องปากท้อง ทำอย่างไรจึงจะสร้างรายได้ให้กับครัวเรือน สร้างโอท็อป พัฒนาพื้นที่ขึ้นมา พัฒนารายได้ให้กับคนรากหญ้า ขอบอกว่าขณะนี้คนรากหญ้าไม่มีจะกินแล้ว ควรหากองทุนให้เขาทำและขยายตลาดให้กว้างไกลออกไป ประเทศต่างๆกินน้ำมันไม่ได้ แต่เขากินสิ่งต่างๆที่มีอยู่ในประเทศไทยได้ ตรงนี้พี่เชื่อในความสามารถของคุณยิ่งลักษณ์ว่าทำได้ และเท่าที่เห็นในประเทศไทยที่ผ่านมามีการเพิ่มเงินเดือนหรือสวัสดิการทั้งหลายให้กับประชาชนทุกหมู่เหล่า แต่เราไม่เคยพูดว่าจะหาเงินมาได้อย่างไร ถ้าพี่น้องเรามีรายได้ก็อยู่อย่างมีศักดิ์ศรี อาชญากรรมจะลดน้อยลง


เรื่องที่ 3 ที่อยากเห็นมากๆคือ การแก้ปัญหายาเสพติดอย่างเอาจริงเอาจัง เวลานี้ที่ปัญหายาเสพติดและปัญหาอาชญากรรมมีมากเพราะการกินหัวคิวเยอะ และการเข้าสู่ตำแหน่งต้องใช้เงิน นี่คือปัญหาที่ต้องปราบให้ได้ ถ้าปราบได้แล้วเรื่องความยุติธรรม ความเป็นธรรมในระบอบของคุณธรรมต้องตามมา จะส่งผลให้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันหมดไป


ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 7 ฉบับ 315 วันที่ 18 - 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554 หน้า 18 - 19 คอลัมน์ ฟังจากปาก โดย กิตติพิชญ์ ยิ่งวรการสุข
2011-06-17

โฆษกปชป.บอกเตรียมเอาน้ำดับบ้านถูกเผาที่ราชประสงค์ "ณัฐวุฒิ" ลั่นต้องใช้ "น้ำใจ" ไม่ใช่ "น้ำลาย"


โฆษกปชป.บอกเตรียมเอาน้ำดับบ้านถูกเผาที่ราชประสงค์ "ณัฐวุฒิ" ลั่นต้องใช้ "น้ำใจ" ไม่ใช่ "น้ำลาย"


นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย และ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการสรยุทธ เจาะข่าวเด่น ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. กรณีการตั้งเวทีหาเสียงของพรรคปชป.ที่บริเวณราชประสงค์

โดยนายณัฐวุฒิ ตั้งคำถามเรื่องที่พรรคประชาธิปัตย์จะมาเปิดเวทีที่ราชประสงค์ เห็นว่าปชป.พูดเรื่องนี้มาปีกว่า และช่วงการรณรงค์ก็พูดเรื่องการเผาบ้าน เผาเมือง และข้อกล่าวหาต่างๆโดยตลอด ซึ่งจะทำให้ขัดแย้ง ตนก็ยื่นเรื่องหลักฐานให้กกต. กกต.ก็ไม่ได้ให้ความคืบหน้า พอมีผลโพลล์ทุกสำนักว่าพท.มีโอกาสชนะเลือกตั้ง ปชป. จึงเปลี่ยนเกมจากที่บางส่วนนำเสนอนโยบาย ส่วนนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็พูดเรื่องเผาบ้าน เผาเมือง แต่วันนี้ทั้งหมดเปลี่ยนมาพูดเรื่องนี้แทน

"จริงๆการจะพูดเรื่องเหตุการณ์ นี้เป็นเงื่อนไขในการกระตุกความรู้สึกกับคนที่เจ็บปวด แม้มันเป็นสิทธิแต่เห็นว่ามันไม่เหมาะกับสถานการณ์ เพราะ จะทำให้คนที่สูญเสีย มีความรู้สึกถูกเหยียบย่ำ ถูกกระทำ ถ้าปชป. เรียกความปรองดอง แถลงที่ไหนก็ได้ ซึ่งราชประสงค์เป็นการตอกลิ่มความขัดแย้งลงไป"

ขณะที่นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า จริงๆแล้วไม่มีใครอยากเห็นความขัดแย้ง ซึ่งก็อยากให้การหาเสียงไม่มีความรุนแรงคุกรุ่น ในขณะนี้การหาเสียงที่ผ่านมาคุณณัฐวุฒิและพวกไม่ให้ความเป็นธรรมกับข้อเท็จจริง ซึ่งกล่าวหาท่านนายกฯอภิสิทธิ์ ท่านเองก็หลีกเลี่ยงมาตลอด ประชาชนก็มองเห็นว่า ท่านพยายามเจรจา ลงบันทึกในเฟซบุ๊ค ปรากฏว่า คุณณัฐวุฒิ ก็ออกมาโต้ คนก็อยากรู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร

"เราก็ไม่ได้ปิดราชประสงค์ เรามาหาเสียงที่หน้าเซ็นทรัลเวิลด์ด้วยซ้ำไป คนก็อยากฟังเรื่องการปรองดอง คนไทยทุกคนก็อยากช่วยกันคิด คุณณัฐวุฒิ เองก็น่าจะมาคิดมาบนพื้นฐานของการรับฟังความจริงด้วย ไม่ใช่ว่าพอจะมาพูดเรื่องนี้ก็ไม่พอใจขึ้นมา การที่จะเหยียบย่ำนั้นพรรคปชป.ไม่มีพฤติกรรมนั้นๆอยู่แล้ว ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นร้าวลึก คุณณัฐวุฒิ เองก็มีส่วน เป็นคนพูดเองว่าให้เผาทั่วประเทศ"

ด้านนายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ถ้าเราจะไปพูดเรื่องการปรองดองในสถานที่ที่เป็นสัญลักษณ์ความขัดแย้ง การที่จะพูดเรื่องปรองดองนั้นไปที่ไหนก็ได้ เพียงเพื่อเป็นเงื่อนไขการกระตุกอารมณ์ความรู้สึกของคนที่เจ็บปวด อย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่รัฐบาลไม่เคยอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งอาจต้องการให้คนที่อาจมีอารมณ์ก็ออกไปแสดงออก ก็ไม่รู้ว่าจะมีใครเข้าฮอร์สจากสถานการณ์นี้หรือไม่

ส่วนนพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า คุณณัฐวุฒิพูดว่าจะไปปลุกระดมความขัดแย้ง ซึ่งอาจคิดถึงตัวเอง และคุณจตุพรเวลาที่ปิดราชประสงค์ แต่คุณชวน และคุณอภิสิทธิ์ไม่มีการพูดความขัดแย้ง ที่จะปราศรัย ไม่มีเรื่องเหล่านี้ ต่างกับคุณณัฐวุฒิและจตุพรที่พูดมาตลอด ส่วนที่บอกว่าทำไมไม่พูดเรื่องนโยบายนั้น มันจบไปแล้วใน 1 เดือนที่ผ่านมา การสำรวจต่างก็ชัดแล้วว่าเป็นอย่างไร ขณะนี้สิ่งที่ประชาชนกังวลที่สุดว่าหลังเลือกตั้งจะสงบจริงหรือไม่ และตนเชื่อว่าประชาชนต้องการฟังการร่วมกันคิดว่าจะตัดไฟความขัดแย้งอย่างไร และเราก็จะพูดเรื่องนั้น

ด้านนายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ในสมัยโบราณเมื่อ 2 ฝ่ายทำสงคราม ฝ่ายที่ฆ่าฝั่งตรงข้ามตายยังถือว่าสนามที่เป็นทุ่งสังหารต้องให้เกียรติ ต้องเคารพกัน แต่นี่มีการต่อสู้ทางการเมือง รัฐบาลเอาทหารออกมามีคนตายเกือบ 100 ศพ ไม่มีความจริงออกมา แต่จะมาปราศรัยเปิดเวที ซึ่งแน่นอนว่าจะอธิบายว่าฆ่ากันเอง มีคนชุดดำเป็นใครไม่รู้มาฆ่ากัน

กรณีเรื่องลงพื้นที่ที่กลุ่มคนเสื้อแดงนั้นอาจสร้างการเผชิญหน้า และยั่วยุให้เกิดการกระทบกัน ทำให้คนกังวลว่า ขณะนี้กลุ่มคนเหล่านี้ยังไม่ได้เป็นรัฐบาล แล้วหลังการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร

นายณัฐวุฒิ กล่าวถึงกรณีนี้ว่า ตนไม่สบายใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่บอกได้ว่าทำไมมันถึงเกิดขึ้น เรามีสถานการณ์ที่นำมาสู่ความสูญเสีย ซึ่งพรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาลที่เป็นคู่กรณีของผู้สูญเสียตอกย้ำด้วยวาทกรรมต่างๆนานา ประชาชนเขามีเลือดเนื้อมีหัวใจ ซึ่งตนก็เตือนว่าการแสดงอกแบบนี้ไม่ใช่บรรยากาศที่สร้างสรรค์ในการเลือกตั้ง แต่จะให้ตนไปสั่งห้ามก็ไม่ได้เพราะไม่ใช่เจ้านาย

ด้านนพ.บุรณัชย์ กล่าวโต้ว่า การหาเสียงครั้งนี้ก็มีการกล่าวหากันทั่วไปประเทศ ทำไมคุณณัฐวุฒิ ถึงเป็นคนเดียวที่มีสิทธิจะพูด ก็อยากให้รอวันพฤหัสบดีนี้ ซึ่งไม่มีพูดว่าจะมาปลุกระดมเหมือนอย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแน่นอน

นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ตนไม่ได้บอกว่าจะปลุกระดม แต่พูดว่าจะไปเหยียบย่ำคนตาย ประชาชนตายมาปีนึง ความจริงยังไม่ปรากฎ มันไม่เป็นเหตุเป็นผลเลย ประการต่อมาคือ ที่ตนพูดว่า"เผาเลย"นั้น มันพูดที่เขาสอยดาวยังไม่มีการชุมนุมใหญ่เลย ไม่มีใครรู้เลยว่าจะมีราชประสงค์ หรือ ผ่านฟ้า แต่เอามาอธิบายให้เป็นเงื่อนไขให้เข้าใจผิด ทั้งนี้ นพ.บุรณัชย์ กล่าวเสริมว่าเรื่องคลิปเสียงนั้นก็เป็นความขัดแย้งที่ถูกผลิตขึ้น บ้านเมืองที่ถูกเผามานั้น จะเดินหน้าต่อไป เราจะเอาน้ำมาดับ เหตุผลในการปรองดองต้องอยู่บนพื้นฐานของการสร้างความสมานฉันท์ ซึ่งความพยายามเหล่านี้จะพูดในวันนั้น ไม่อยากให้วิจารณ์กันไปก่อน

นายณัฐวุฒิ ยืนยันว่าไม่เคยพูดยืนยันว่าเป็นคลิปจริงเลย การจะดับไฟนั้นต้องดับด้วยน้ำใจ ไม่ใช่ใช้น้ำลาย การจะไปเปิดเวทีปราศรัย เอาเรื่องราวที่ความจริงยังไม่ปรากฎ เอามาพูดย้ำกันอีก น้ำใจอยู่ตรงไหนแล้วที่บอกว่าเผาบ้านเผาเมือง คดีไปถึงไหน


ที่มา: มติชนออนไลน์ : วันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 21:00:00 น.

เพื่อไทย หมดหวัง ตร เอาผิดมือแจกซีดีส่ร้ายพรรค



อัปโหลดโดย DNNTHAILAND เมื่อ 21 มิ.ย. 2011

กกต แจง เดินทางไปต่างประเทศ 21 6 54



อัปโหลดโดย DNNTHAILAND เมื่อ 21 มิ.ย. 2011

วันศุกร์, มิถุนายน 17, 2554

แดงมหาสารคาม ขู่ต่อต้านหากยกเลิกหมู่บ้านแดง



แดงมหาสารคาม ขู่ต่อต้านหากยกเลิกหมู่บ้านแดง
อัปโหลดโดย DNNTHAILAND เมื่อ 17 มิ.ย. 2011

จับพิรุธ!เงินสนับสนุนการเมืองปี54 ปชป.60ล้าน เพื่อไทย แค่ 8 แสน บางพรรคแค่ห้องแถว


ล่าสุด ประเทศไทยมีพรรคการเมืองที่ยังดำเนินการอยู่ จำนวน 57 พรรคการเมือง แต่พรรคการเมืองที่ชาวบ้านรู้จักจริง มีไม่เกิน 10 พรรค


บางพรรคได้รับการจัดสรรมาโฆษณานโยบายพรรคการเมืองผ่านสื่อทีวี ชาวบ้านถึงกับถามกันว่า มีพรรคการเมืองชื่อแบบนี้ ด้วยหรือนี่ ?


เทศกาลเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม มีพรรคการเมืองส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ จำนวน 40 พรรค และ ส.ส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง จำนวน 34 พรรค เท่านั้น นั่นแสดงว่า มีเกือบ 20 พรรคที่ไม่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง

แต่ไม่ว่า จะส่งหรือไม่ส่ง ผู้สมัครรับเลือกตั้ง พรรคการเมืองก็ยื่นขอรับการจัดสรรเงินสนับสนุนพรรคการเมืองจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง

"มติชนออนไลน์" นำท่านผู้อ่านไปดูว่า พรรคการเมืองขอเงินไปเท่าไร และเอาเงินไปทำอะไร


เพราะอย่าลืมว่า เงิน กกต.ก็คือเงินภาษีของเรานั่นเอง

จากการตรวจสอบข้อมูล กกต. ในส่วน เงินสนับสนุนพรรคการเมือง ปีงบประมาณ 2554 ซึ่งพรรคการเมืองต่างๆเสนอต่อกกต. ในแผนงานและโครงการต่างๆ มีดังต่อไปนี้


พรรคประชาธิปัตย์ ขอรับการจัดสรรเงินสนับสนุนทั้งสิ้นกว่า 60ล้านบาท ใน 12 โครงการ โดยมีค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ เป็น "ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งตามมาตรา 52" จำนวนเงินกว่า 40ล้านบาท และมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าใช้จ่ายในการบริหารพรรคการเมืองและสาขาพรรคการเมืองกว่า 10.1ล้านบาท ค่าตอบแทนบุคลากรของพรรคการเมือง และค่าใช้จ่ายในการพัฒนาบุคลากรทางการเมืองกว่า 7.1ล้านบาท ค่าใช้จ่ายในการให้ความรู้และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนทางการเมืองกว่า 2.1ล้านบาท


พรรคเพื่อไทย ขอรับการจัดสรรเงินสนับสนุนทั้งสิ้น 800,000บาท โดยมีค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ใน "แผนค่าใช้จ่ายในการจัดอบรม สัมมนาของพรรคการเมือง"กว่า 272,280 บาท แผนค่าจ้างบุคลากรของสำนักงานใหญ่พรรคการเมืองกว่า 207,120บาท แผนค่าใช้จ่ายในการจัดประชุมใหญ่พรรคการเมืองกว่า 100,000บาท


พรรคเครือข่ายชาวนาแห่งประเทศไทย ขอรับการจัดสรรเงินสนับสนุนทั้งสิ้นกว่า 3.7ล้านบาท โดยมีค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ไปกับ "ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเลือกตั้งตามมาตรา 52 กว่า 1.2ล้านบาท ค่าตอบแทนบุคลากรของพรรคการเมือง และค่าใช้จ่ายในการพัฒนาบุคลากรทางการเมือง 824,600บาท ค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตยในพรรคการเมือง 783,900บาท

พรรคกสิกรไทย ขอรับการจัดสรรเงินสนับสนุนทั้งสิ้น 694,280 บาท โดยมีค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ไปกับการเลือกตั้ง จำนวน 209,280 บาท แผนค่าจ้างบุคลากรของสำนักงานใหญ่พรรคการเมือง 197,400บาท แผนค่าใช้จ่ายในการจัดประชุมใหญ่พรรคการเมือง 100,000 บาท


พรรครวมชาติพัฒนา ขอรับการจัดสรรเงินสนับสนุนทั้งสิ้นกว่า 13ล้านบาท โดยมีข้อสังเกตว่า พรรคดังกล่าว ไม่มี "ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเลือกตั้งตามมาตรา 52" เลย และสัดส่วนค่าใช้จ่ายที่มากที่สุดคือ "ค่าใช้จ่ายในการให้ความรู้ และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนทางการเมือง" จำนวนเงินกว่า 4.7ล้านบาท รองลงมาคือ "ค่าใช้จ่ายในการบริหารพรรคการเมือง และสาขาพรรคการเมือง"กว่า 3.9ล้านบาท และ "ค่าตอบแทนบุคลากรของพรรคการเมือง และค่าใช้จ่ายในการพัฒนาบุคลากรทางการเมือง"กว่า 2.8ล้านบาท


พรรคเพื่อแผ่นดิน ขอรับการจัดสรรเงินสนับสนุนทั้งสิ้นกว่า 27ล้านบาท มีค่าใช้จ่ายสูงสุด คือค่าใช้จ่ายในโครงการเอกสารสิ่งพิมพ์ ซึ่งอยู่ใน"ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเลือกตั้ง มาตรา 52" จำนวนกว่า 11ล้านบาท รองลงมาคือค่าใช้จ่ายใน"โครงการเพื่อแผ่นดินสัญจรพบประชาชน"กว่า 6ล้านบาทและค่าใช้จ่ายใน "โครงการจัดจ้างบุคลากรประจำสำนักงานใหญ่"กว่า 2ล้านบาท



พรรคประชาราช ขอรับการจัดสรรเงินสนับสนุนทั้งสิ้นกว่า 8ล้านบาท มีค่าใช้จ่ายสูงสุดใน "โครงการจัดจ้างบุคลากรสนง.ใหญ่พรรคและสาขาพรรค"กว่า 2ล้านบาท ค่าใช้จ่ายใน "โครงการจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์รณรงค์การเลือกตั้ง" จำนวนเงินกว่า 1.5ล้านบาท ค่าใช้จ่ายใน "โครงการการมีส่วนร่วมทางการเมืองของสมาชิกพรรคปี 2554" จำนวน 600,000 บาท


พรรคความหวังใหม่ ขอรับการจัดสรรเงินสนับสนุนทั้งสิ้นกว่า 2ล้านบาท มีค่าใช้จ่ายสูงสุดใน "โครงการค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง" 521,500 บาทรองมาคือค่าใช้จ่ายใน "โครงการจ้างบุคลากร" 507,120 บาท และค่าใช้จ่ายใน "โครงการการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค" 302,350 บาท

อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่า ตัวเลขค่าใช้จ่ายในแผนโครงการต่างๆทั้ง 9 โครงการของ "พรรคภูมิใจไทย" กับ "พรรคเพื่อไทย" แทบจะก็อบปี้กันมาเพราะจำนวนเงินเท่ากันและเหมือนกันแทบทุกรายการ

เช่นเดียวกับ"พรรคดำรงไทย" มีตัวเลขค่าใช้จ่ายในแผนโครงการต่างๆคล้ายกันกับ "พรรคเพื่อไทย" และ "พรรคภูมิใจไทย" หากว่าต่างกันที่ "แผนค่าเช่าสำนักงานสาขาพรรคการเมือง" ซึ่งเป็นจำนวนเงิน 24,000บาท

ก่อนหน้านี้ เคยมีการตั้งข้อสังเกตว่า บางพรรคตั้งขึ้นมาเพื่อขอรับเงินสนับสนุนจาก กกต. เท่านั้น โดยหาห้องแถวเช่าไว้ เป็นสำนักงานใหญ่พรรคการเมือง แต่ไม่มีกิจกรรมใดๆ ทั้งสิ้น.


ที่มา : มติชนออนไลน์
update: วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 21:30:00 น.

จับพิรุธ!เงินสนับสนุนการเมืองปี54 ปชป.60ล้าน เพื่อไทย แค่ 8 แสน บางพรรคแค่ห้องแถว


ล่าสุด ประเทศไทยมีพรรคการเมืองที่ยังดำเนินการอยู่ จำนวน 57 พรรคการเมือง แต่พรรคการเมืองที่ชาวบ้านรู้จักจริง มีไม่เกิน 10 พรรค


บางพรรคได้รับการจัดสรรมาโฆษณานโยบายพรรคการเมืองผ่านสื่อทีวี ชาวบ้านถึงกับถามกันว่า มีพรรคการเมืองชื่อแบบนี้ ด้วยหรือนี่ ?


เทศกาลเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม มีพรรคการเมืองส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ จำนวน 40 พรรค และ ส.ส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง จำนวน 34 พรรค เท่านั้น นั่นแสดงว่า มีเกือบ 20 พรรคที่ไม่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง

แต่ไม่ว่า จะส่งหรือไม่ส่ง ผู้สมัครรับเลือกตั้ง พรรคการเมืองก็ยื่นขอรับการจัดสรรเงินสนับสนุนพรรคการเมืองจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง

"มติชนออนไลน์" นำท่านผู้อ่านไปดูว่า พรรคการเมืองขอเงินไปเท่าไร และเอาเงินไปทำอะไร


เพราะอย่าลืมว่า เงิน กกต.ก็คือเงินภาษีของเรานั่นเอง

จากการตรวจสอบข้อมูล กกต. ในส่วน เงินสนับสนุนพรรคการเมือง ปีงบประมาณ 2554 ซึ่งพรรคการเมืองต่างๆเสนอต่อกกต. ในแผนงานและโครงการต่างๆ มีดังต่อไปนี้


พรรคประชาธิปัตย์ ขอรับการจัดสรรเงินสนับสนุนทั้งสิ้นกว่า 60ล้านบาท ใน 12 โครงการ โดยมีค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ เป็น "ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งตามมาตรา 52" จำนวนเงินกว่า 40ล้านบาท และมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าใช้จ่ายในการบริหารพรรคการเมืองและสาขาพรรคการเมืองกว่า 10.1ล้านบาท ค่าตอบแทนบุคลากรของพรรคการเมือง และค่าใช้จ่ายในการพัฒนาบุคลากรทางการเมืองกว่า 7.1ล้านบาท ค่าใช้จ่ายในการให้ความรู้และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนทางการเมืองกว่า 2.1ล้านบาท


พรรคเพื่อไทย ขอรับการจัดสรรเงินสนับสนุนทั้งสิ้น 800,000บาท โดยมีค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ใน "แผนค่าใช้จ่ายในการจัดอบรม สัมมนาของพรรคการเมือง"กว่า 272,280 บาท แผนค่าจ้างบุคลากรของสำนักงานใหญ่พรรคการเมืองกว่า 207,120บาท แผนค่าใช้จ่ายในการจัดประชุมใหญ่พรรคการเมืองกว่า 100,000บาท


พรรคเครือข่ายชาวนาแห่งประเทศไทย ขอรับการจัดสรรเงินสนับสนุนทั้งสิ้นกว่า 3.7ล้านบาท โดยมีค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ไปกับ "ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเลือกตั้งตามมาตรา 52 กว่า 1.2ล้านบาท ค่าตอบแทนบุคลากรของพรรคการเมือง และค่าใช้จ่ายในการพัฒนาบุคลากรทางการเมือง 824,600บาท ค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตยในพรรคการเมือง 783,900บาท

พรรคกสิกรไทย ขอรับการจัดสรรเงินสนับสนุนทั้งสิ้น 694,280 บาท โดยมีค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ไปกับการเลือกตั้ง จำนวน 209,280 บาท แผนค่าจ้างบุคลากรของสำนักงานใหญ่พรรคการเมือง 197,400บาท แผนค่าใช้จ่ายในการจัดประชุมใหญ่พรรคการเมือง 100,000 บาท



พรรครวมชาติพัฒนา ขอรับการจัดสรรเงินสนับสนุนทั้งสิ้นกว่า 13ล้านบาท โดยมีข้อสังเกตว่า พรรคดังกล่าว ไม่มี "ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเลือกตั้งตามมาตรา 52" เลย และสัดส่วนค่าใช้จ่ายที่มากที่สุดคือ "ค่าใช้จ่ายในการให้ความรู้ และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนทางการเมือง" จำนวนเงินกว่า 4.7ล้านบาท รองลงมาคือ "ค่าใช้จ่ายในการบริหารพรรคการเมือง และสาขาพรรคการเมือง"กว่า 3.9ล้านบาท และ "ค่าตอบแทนบุคลากรของพรรคการเมือง และค่าใช้จ่ายในการพัฒนาบุคลากรทางการเมือง"กว่า 2.8ล้านบาท


พรรคเพื่อแผ่นดิน ขอรับการจัดสรรเงินสนับสนุนทั้งสิ้นกว่า 27ล้านบาท มีค่าใช้จ่ายสูงสุด คือค่าใช้จ่ายในโครงการเอกสารสิ่งพิมพ์ ซึ่งอยู่ใน"ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเลือกตั้ง มาตรา 52" จำนวนกว่า 11ล้านบาท รองลงมาคือค่าใช้จ่ายใน"โครงการเพื่อแผ่นดินสัญจรพบประชาชน"กว่า 6ล้านบาทและค่าใช้จ่ายใน "โครงการจัดจ้างบุคลากรประจำสำนักงานใหญ่"กว่า 2ล้านบาท




พรรคประชาราช ขอรับการจัดสรรเงินสนับสนุนทั้งสิ้นกว่า 8ล้านบาท มีค่าใช้จ่ายสูงสุดใน "โครงการจัดจ้างบุคลากรสนง.ใหญ่พรรคและสาขาพรรค"กว่า 2ล้านบาท ค่าใช้จ่ายใน "โครงการจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์รณรงค์การเลือกตั้ง" จำนวนเงินกว่า 1.5ล้านบาท ค่าใช้จ่ายใน "โครงการการมีส่วนร่วมทางการเมืองของสมาชิกพรรคปี 2554" จำนวน 600,000 บาท


พรรคความหวังใหม่ ขอรับการจัดสรรเงินสนับสนุนทั้งสิ้นกว่า 2ล้านบาท มีค่าใช้จ่ายสูงสุดใน "โครงการค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง" 521,500 บาทรองมาคือค่าใช้จ่ายใน "โครงการจ้างบุคลากร" 507,120 บาท และค่าใช้จ่ายใน "โครงการการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค" 302,350 บาท

อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่า ตัวเลขค่าใช้จ่ายในแผนโครงการต่างๆทั้ง 9 โครงการของ "พรรคภูมิใจไทย" กับ "พรรคเพื่อไทย" แทบจะก็อบปี้กันมาเพราะจำนวนเงินเท่ากันและเหมือนกันแทบทุกรายการ

เช่นเดียวกับ"พรรคดำรงไทย" มีตัวเลขค่าใช้จ่ายในแผนโครงการต่างๆคล้ายกันกับ "พรรคเพื่อไทย" และ "พรรคภูมิใจไทย" หากว่าต่างกันที่ "แผนค่าเช่าสำนักงานสาขาพรรคการเมือง" ซึ่งเป็นจำนวนเงิน 24,000บาท

ก่อนหน้านี้ เคยมีการตั้งข้อสังเกตว่า บางพรรคตั้งขึ้นมาเพื่อขอรับเงินสนับสนุนจาก กกต. เท่านั้น โดยหาห้องแถวเช่าไว้ เป็นสำนักงานใหญ่พรรคการเมือง แต่ไม่มีกิจกรรมใดๆ ทั้งสิ้น.


ที่มา : มติชนออนไลน์
update: วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 21:30:00 น.

แดงมหาสารคาม ขู่ต่อต้านหากยกเลิกหมู่บ้านแดง



แดงมหาสารคาม ขู่ต่อต้านหากยกเลิกหมู่บ้านแดง
อัปโหลดโดย DNNTHAILAND เมื่อ 17 มิ.ย. 2011

แดงมหาสารคาม ขู่ต่อต้านหากยกเลิกหมู่บ้านแดง



แดงมหาสารคาม ขู่ต่อต้านหากยกเลิกหมู่บ้านแดง
อัปโหลดโดย DNNTHAILAND เมื่อ 17 มิ.ย. 2011

วันเสาร์, มิถุนายน 11, 2554

2 ออร์แกไนเซอร์ ยิ่งลักษณ์-เพื่อไทย หัวใจคือพี่เลี้ยง อภิสิทธิ์-ดรีมทีม ปชป.คิด-เขียน-โต้ด้วยตัวเอง



2 ออร์แกไนเซอร์ ยิ่งลักษณ์-เพื่อไทย หัวใจคือพี่เลี้ยง อภิสิทธิ์-ดรีมทีม ปชป.คิด-เขียน-โต้ด้วยตัวเอง

ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการหย่อนบัตรลงคะแนน

กองกำลังของ 2 พรรคการ เมืองใหญ่ กับ 1 พรรค การเมือง "ตัวแปร" โหมนโยบาย ออกแคมเปญ ผลักดันตัวละคร และจัดอีเวนต์การเมืองอย่างเอิกเกริก

พรรคเพื่อไทยจัดฉากให้ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" สวมบทนารีขี่ม้าขาว เก่งเศรษฐกิจ-รู้ทันการเมือง เข้าใจกองทัพ เล่นตามบท เดินตามเกม ทุกจังหวะก้าว

พรรคประชาธิปัตย์เปิดทางให้ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" สวมบทนักประชาธิปไตย-นักคิด-รู้ทันเศรษฐกิจไทย-เศรษฐกิจโลก

พรรคภูมิใจไทยจัดอีเวนต์ให้ผู้นำมวลชนที่ลงสมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์อย่าง "ป้าสะอิ้ง" นางศุภาธินันท์ ไถวศิลป์ และ นายคำตา แคนบุญจันทร์ เป็นคนเดินเรื่อง

หัวหน้าทีมทั้ง 2 ทีม ในคู่แข่ง-ลู่สนาม จะเป็นแต้มที่ชี้ขาด ก่อนการกากบาทเลือก ส.ส. 1 เบอร์ 2 ระบบ

@ยิ่งลักษณ์-เพื่อไทย หัวใจ คือ พี่เลี้ยง

ทุกองคาพยพของ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ผู้สมัคร ส.ส. ปาร์ตี้ลิสต์หมายเลข 1 ฝ่ายเพื่อไทยและคณะ ล้วนมีเขี้ยว-เล็บ ครบเครื่อง

ทั้งทีมงานยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีการเมือง และฝ่ายจรยุทธ์บริหารมวลชน

ทั้งทีมงานนักวางแผนการตลาด นักประชาสัมพันธ์ และการบริหารจัดการพื้นที่ "สื่อ" ทั้งหนังสือพิมพ์-วิทยุ-ฟรีทีวี และทีวีดาวเทียม

ทั้งทีมงานบ้านเลขที่ 111 และอดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชนอีก 36 คน อาทิ จาตุรนต์ ฉายแสง, วราเทพ รัตนากร, พงศ์เทพ เทพกาญจนา, สมชาย วงศ์สวัสดิ์, ยงยุทธ ติยะไพรัช ฯลฯ

อดีตรัฐมนตรีจากไทยรักไทย-พลังประชาชน แทบทุกคน เดินทางเข้าพรรค เพื่อแสดงการมีส่วนร่วม-ชิงเค้ก การคืนสู่อำนาจ อีกครั้ง

ทีมงานจรยุทธ์ ชิงไหวชิงพริบ โค้งอันตราย ใช้ "ทีมลูกผสม" ปูพรมราวกับ "กองกำลังปีศาจ" ทั่วทุกวง

โดยมีทีมงาน "ระดับบน" ไม่ถึง 10 คน บัญชาการรบ

ในทุกทีมงาน เคยประสานมือ ทุ่มเทมันสมองจน "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ได้อำนาจล้นมือ เป็นรัฐบาลพรรคเดียวครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมือง ช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

ทุกทีมงานจึงมีเป้าหมายระยะสั้นภายใน 23 วัน ต้องทำให้ "ยิ่งลักษณ์" เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก และนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 ของประเทศไทย ตามรอยเท้า "ทักษิณ"

ในช่วงโค้งสุดท้าย ก่อนวันหย่อนบัตรเลือกตั้งล่วงหน้า 26 มิถุนายน 2554 และวันหย่อนบัตรตัดสินอนาคตประเทศไทย 3 กรกฎาคม 2554 ยุทธวิธีการเมืองส่วนใหญ่จึงเป็นภาระของฝ่ายกลยุทธ์โฆษณาและมาร์เก็ตติ้งล้วน ๆ


ทีมงานบริการเสริมเข้าประจำที่บริการหลัก ปรากฏชื่อ ทรงศักดิ์ เปรมสุข อดีตรองกรรมการผู้อำนวยการสายงานการตลาดเอไอเอส นักกลยุทธ์ประชาสัมพันธ์แห่งค่ายเอสซีแมทช์บอกซ์ เจ้าของแคมเปญโฆษณา 30 บาทรักษาทุกโรค, กองทุนหมู่บ้านและธนาคารประชาชน

ประสบการณ์จากอดีตกรรมการผู้จัดการบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) สู่กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท วอยซ์ ทีวี จำกัด เจ้าของคอนเทนต์ ข่าว-เรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ ในอินเทอร์เน็ต ทีวี, ทีวีดาวเทียม ถูกนำมาเป็น "สะพาน" เชื่อมกับการสร้างกระแส + ความนิยมทางการเมือง

วาระสำคัญบนพื้นที่สื่อ ซึ่งส่งผ่านระบบ "โซเชียลมีเดีย" มักเริ่มเปิดประเด็นมาจาก "วอยซ์ทีวี" ที่เชื่อมกับระบบ "ทวิตเตอร์" สายตรงจาก "ทักษิณ"

ผสานกับทีม นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ผู้มากด้วยคอนเน็กชั่น พิเศษกับสื่อทุกสาขา ที่เคยทำงานคู่กับ "ทรงศักดิ์" ในฐานะประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) และรองประธานกรรมการบริหาร บริษัทในเครือ ชิน คอร์ปอเรชั่น (ชินคอร์ป) ที่เชี่ยวชาญงานสร้างภาพลักษณ์

ค่ายเพื่อไทย รวมหัวใจ-หัวสมอง จากนักการเมือง-พี่เลี้ยง นักกลยุทธ์การตลาด เต็มอัตราศึก

@ อภิสิทธิ์-ดรีมทีม ปชป. คิด-เขียน-โต้ ด้วยตัวเอง

ดรีมทีมเศรษฐกิจ-พรรคจอมหลักการ คือจุดแข็งคู่ขับเคลื่อนประชาธิปัตย์ทั้งพรรค

มอตโตและแคมเปญของพรรค ทั้งโค้งออกตัว ถึงโค้งสุดท้าย จึงใช้แนวทางที่ "อยู่ในกรอบ" ที่คิดสร้างสรรค์ โดย "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ทุกคำ ทุกบรรทัด

ยึดหลัก "กฏเหล็ก-ประชาธิปไตย-เศรษฐกิจเสรี-สังคมสวัสดิการ"

จุดแข็ง-จุดขายในเวทีปราศรัย จุดใหญ่ทั้ง 4 ภาคจึงเน้นเนื้อหา จี้จุดอ่อนฝ่ายตรงข้ามที่ว่าด้วยนโยบายแก้ปัญหาเศรษฐกิจ-ปัญหาการเมือง ที่มาจาก "ทักษิณและพวก"

แม้ปัจจุบัน "ดรีมทีมเศรษฐกิจ" จะผลัดใบจาก ศุภชัย พานิชภักดิ์, ธารินทร์ นิมมานเหมินท์ มาเป็น กรณ์ จาติกวณิช, กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ, อภิรักษ์ โกษะโยธิน, กนก วงศ์ตระหง่าน จะไม่ใช่ "จุดขาย"

แต่หัวใจคือการโชว์-ชูหัวหน้าทีม-หัวหน้าพรรค "อภิสิทธิ์" นายกรัฐมนตรี คนที่ 27 ของประเทศไทยเป็น "จุดขาย"

โดยมีทีมงาน 9 อรหันต์ในคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์การหาเสียง ที่มี กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เป็นประธาน ร่วมกับทีมงานการเมืองระดับเขี้ยวอย่าง ชำนิ ศักดิเศรษฐ์, สุเทพ เทือกสุบรรณ, บัญญัติ บรรทัดฐาน ร่วมกำกับการแสดง

ผสมผสานกับทีม "อภิรักษ์" ชิงเสียงคนรุ่นใหม่ในโซเชียลมีเดีย

พื้นที่ที่ "อภิสิทธิ์" บุกไปชิงคะแนน จึงถูกกำหนดตารางวางแผนมาจากนักกลยุทธ์-ต่างวัยใน 3 ทีมดังกล่าว

ทั้งพื้นที่ฐานที่มั่นในเขต กทม. 33 เขต และพื้นที่สุ่มเสี่ยงที่ภาคอีสาน-เหนือ-กลางถูกพลอตจุดให้ "อภิสิทธิ์" ลงไปควานหาคะแนน "ปาร์ตี้ลิสต์" เข้ามาสมทบกับคะแนน ส.ส.เขต เพื่อให้ได้แต้ม ส.ส.รวมไม่น้อยกว่า 200 ที่นั่งตามเป้า

ทั้งชื่อบริษัท ซีเอ็ม ออร์กาไนเซอร์ จำกัด (มหาชน) โดย เสริมคุณ คุณาวงศ์ ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ปรากฏขึ้นเป็น "ตัวช่วย" จัด อีเวนต์การเมืองในโค้งอันตราย

ชื่อ "เสริมคุณ" เจ้าของผลงานการผลิต Light and Sound ที่นครวัด และรับดูแล Angkor National Museum สำหรับส่วนธุรกิจในประเทศกัมพูชา

มีโปรไฟล์ร่วมจัดงานทั้งในระดับชาติและนานาชาติมาแล้วหลายงาน อาทิ งาน APEC CEO Summit งาน OTOP City งานแม่น้ำของแผ่นดิน งานฉลองเทศกาลมหาสงกรานต์ งานเคานต์ดาวน์เทศกาลปีใหม่ลานหน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์

การจัดงานระดมทุนให้พรรคประชาธิปัตย์ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ครั้งที่ผ่านมา บมจ.ซีเอ็ม ออร์กาไนเซอร์ บริจาคให้พรรค 4 แสนบาท พร้อมกับเป็นผู้ร่วมจัดงานดังกล่าวด้วย

อาจกล่าวได้ว่าในวาระนี้เป็นครั้งแรกที่ "บมจ.ซีเอ็มฯ" เปิดหน้าทำงานอีเวนต์การเมืองเป็นครั้งแรก

แหล่งข่าวในพรรคประชาธิปัตย์บอกว่า ในการจัดเวทีปราศรัยใหญ่ 4 ภาค มีทีมงานจาก "ซีเอ็ม ออร์กาไนเซอร์" ร่วมบริหารจัดการ

รวมทั้งอีเวนต์ที่สำคัญในช่วงโค้งสุดท้ายปราศรัยใหญ่ในพื้นที่ กทม. ก่อนลงคะแนนล่วงหน้า 10 มิย.2554 และปราศรัยใหญ่ ชนเพื่อไทย 1 ก.ค.2554 ที่สนาม ม.ธรรมศาสตร์ รังสิต บรรจุคนได้ 2.5 หมื่นคน

นอกจากนี้จะมีการ "หาเสียง" จับกลุ่มนักศึกษาด้วยการเปิดอีเวนต์ปล่อยชุด mobile unit เคลื่อนที่หาเสียงตามมหาวิทยาลัย 37 แห่ง

แคมเปญปิดท้ายหาเสียงสำหรับการปิดโหวตแบบ "big-win" ยังถูก ปิดเงียบ รอแง้มจาก "อภิสิทธิ์" คนเดียวเท่านั้น

วันพุธ, มิถุนายน 08, 2554

เปิดวอร์รูมลับ "ยิ่งลักษณ์" ชง 6 แคมเปญ โชว์ซีนเศรษฐกิจ เดี่ยวไมโครโฟน-ยึดจอ-ยกแผง




เปิดวอร์รูมลับ "ยิ่งลักษณ์" ชง 6 แคมเปญ โชว์ซีนเศรษฐกิจ เดี่ยวไมโครโฟน-ยึดจอ-ยกแผง

ละครการเมืองกำลังถึงฉาก "พีก" สะเทือนอารมณ์คนดู

ทั้งยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กำลังปะทะทางความคิด โชว์กึ๋น ชิงคะแนนผู้ชม

ฝ่าย "อภิสิทธิ์" ยังคงโชว์ความเป็นตัวของตัวเอง พูด-คิด-ทำ-โต้ ด้วยตัวเอง

ต่างจากฝ่าย "ยิ่งลักษณ์" ที่ใช้ทุกสรรพกำลัง ในเพื่อไทย-ชินวัตร-นักการเมืองพี่เลี้ยงจากบ้าน 111 ทุกเครือข่าย สนับสนุนภาพลักษณ์

อีก 3 สัปดาห์ก่อนวันลงคะแนนเลือกตั้งทั้ง 2 พรรค จึงดวลหมัดเฉพาะเรื่อง "เศรษฐกิจ" และลีลา-ท่าที กับทหาร โน้มน้าวชนชั้นสูง-ชนชั้นกลาง และคนในกองทัพ

ข่าว-ยิ่งลักษณ์จะไปพบหารือกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) จึงเป็น 1 ใน "บท" ที่ "ยิ่งลักษณ์" ต้องแสดง
สคริปต์เรื่อง "ปรองดอง" แม้ยังย่ำอยู่กับที่ แต่ยังยืนยันเนื้อหาว่าด้วยหลักนิติธรรม-นิติรัฐ ไม่ให้หลุดกรอบ

ฉากหน้าเปิดประเด็น "พร้อมเจรจา" พร้อม ๆ กับฉากใต้ดิน ที่มีนักการเมืองระดับ "คอนเน็กชั่นพิเศษ" เดินสาย มุดกองทัพ เพื่อส่ง "สาส์น" จาก "ทักษิณ ชินวัตร"

นักการเมืองผู้มากด้วยเพื่อน-พี่ในกองทัพ จงใจเจรจาเพื่อ "แก้ไข" สัญญาณที่ถูกปล่อยเข้าหูทหารก่อนหน้านี้ที่มีนัยว่า "ชื่อ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อาจจะเป็นเต็งหนึ่งว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม"

สัญญาณใหม่มีความหมายชัดเจน กว่าว่า "เป็นไปได้ยากที่จะมีชื่อ พล.อ. ชัยสิทธิ์ขึ้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพราะเขามีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยราบรื่นกับคนสำคัญในตระกูลชินวัตร"

แหล่งข่าว-ข้อมูลจาก "ทักษิณ" ถูกส่งตรงถึงกองทัพด้วยว่า "หากทักษิณ ให้ความสำคัญกับ พล.อ.ชัยสิทธิ์ คงบรรจุไว้ในบัญชีผู้สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ไปแล้ว ไม่ให้ไปลงสมัคร ส.ส.เขตหินอย่างจังหวัดราชบุรี แข่งกับนักการเมืองสายแข็งจากภูมิใจไทยและประชาธิปัตย์หรอก"

ทีมงานยุทธศาสตร์ของพรรคประเมินว่า ประเด็น "ปรองดอง" เป็นประเด็นอ่อนไหว เปิดไปแล้ว "เสี่ยง"

หากประเมินสถานการณ์ผิดพลาด แทนที่จะได้แต้ม อาจเสียแต้มในโค้งสุดท้าย แล้วยากจะกู้คืน จึงจำเป็นต้องกำหนดแผน-บท-สคริปต์อย่างระมัดระวัง


ดังนั้น "ยิ่งลักษณ์" จึงจะไม่ใช้ประเด็นปรองดองเป็นเรื่องนำ แต่จะเบี่ยง-พลิ้วไปเปิดประเด็นเศรษฐกิจเป็นบทนำ

ที่สำคัญ จังหวะที่ทุกองคาพยพในเพื่อไทยต้องหลีก "ซีน" ให้ "ยิ่งลักษณ์" โชว์เดี่ยว


เป็นจังหวะที่แม้แต่ "ทีมเศรษฐกิจ" ทั้ง 4 คน ต้อง "ถอย" ไปยืนแถวหลัง เป็นเพียงวอลเปเปอร์ประกอบฉากเท่านั้น

ทั้งมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ โอฬาร ไชยประวัติ สุชาติ ธาราดำรงเวช และพิชัย นริพทะพันธ์ ต้องยุติบทบาทการพูดต่อสาธารณะเรื่องเศรษฐกิจ

มีหน้าที่เพียงเป็นคน "ขยายความ" หรือ "อธิบายเพิ่ม" ที่มาและหลักคิดของนโยบายเท่านั้น

ทีมหลัก-กุนซือสำคัญ "ทีมเล็ก" ที่มีองค์ประชุมเพียง 5 คน สรุปตาราง แคมเปญให้ "ยิ่งลักษณ์" ต้องแสดงอีก 3 สัปดาห์ โดยเน้นบทพูดนโยบายเศรษฐกิจอีก 5-6 เรื่อง

โดยเฉลี่ยจะเปิดนโยบายใหม่ ๆ สัปดาห์ละ 2 เรื่อง แบ่งเป็นเปิดประเด็นช่วงต้นสัปดาห์ 1 เรื่อง และช่วงเสาร์-อาทิตย์ 1 เรื่อง

ทุกเรื่องจะแตกต่าง-เพิ่มเติมตัวเลขที่ "มากกว่า" นโยบายของพรรรคประชาธิปัตย์อย่างเห็นได้ชัด


เช่นเรื่อง "เบี้ยยังชีพคนชรา 500 บาท" ซึ่งเป็นนโยบายที่ประชาธิปัตย์ได้คะแนนนิยมมากที่สุด ถูก "ยิ่งลักษณ์" ต่อเติมตัวเลขขึ้นเป็นอัตรา 600-1,000 บาท

แหล่งข่าวในทีมเล็ก-องค์ประชุมน้อยเล่าคีย์เวิร์ดว่า "ในช่วงโค้งสุดท้ายคุณยิ่งลักษณ์จะเปิดนโยบายที่โดนใจประชาชนหลายเรื่อง แต่ทีมเศรษฐกิจ ทุกคนถูกกำชับห้ามพูดก่อน ห้ามแย่งซีนว่าที่นายกฯ"

ทีมเศรษฐกิจครึ่งหนึ่งของพรรคจึงปฏิเสธ-ยกเลิกนัดกับสื่อเป็นกรณีพิเศษ ในช่วงเวลานี้ทำแต่เพียงช่วยดูเนื้อหาใน "สคริปต์" ให้อ่านง่าย เข้าใจเร็วเท่านั้น

จังหวะก้าว-จังหวะคิดและจังหวะปราศรัยของ "ยิ่งลักษณ์" จึงถูกกำหนดไว้แล้วตามตาราง โดยเตรียมเปิดนโยบายที่ตรงจุด ตรงเวที ตรงกลุ่มเป้าหมาย และโดนใจทั้ง 6 แคมเปญ


ทั้งนี้ ทุกนโยบาย ทุกแคมเปญ แผนการในปฏิทินพรรคระบุว่า จะทยอยเปิดตัวก่อนวันที่ 26 มิถุนายน 2554 ซึ่งเป็นวันลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้า

ไม่นับรวมวันปราศรัยใหญ่ ปิดเกมการรณรงค์หาเสียงในกรุงเทพมหานคร ที่เพื่อไทยจองสนามกีฬาราชมังคลา กีฬาสถานไว้ปิดฉากอย่างอลังการในวันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม 2554 เพื่อชิงภาพข่าว-ชิงพาดหัวในวันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม ก่อนโหวต 1 วัน

บทสำคัญ ซีนโดนใจจะถูกใช้เรียกคะแนนเห็นใจในโค้งสุดท้าย เพื่อให้กองเชียร์ "ปิดโหวต" แบบแลนด์สไลด์

ที่มา: คอลัมน์ เลือกตั้งรัฐบาล 2554 ในประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 08 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 13:01:44 น.