วันศุกร์, ธันวาคม 03, 2553

เหลือง แดง แผ่วไร้เงื่อนไขกดดันรัฐบาล



เข้าสู่เดือน ธ.ค.อันเป็นเดือนสุดท้ายของปี 2553 แล้ว ต้องยอมรับตลอดปีที่ผ่านมาการเมืองไทยมีพลวัตแห่งการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นการเมืองทั้งในหรือนอกสภา ซึ่งล้วนแล้วส่งผลกระทบต่อประเทศไทยโดยรวมไม่มากก็น้อยแล้วตามแต่สถานการณ์ความรุนแรง

ส่งผลให้ในเดือนนี้กำลังถูกจับตามองว่าการเมืองไทยจะเคลื่อนไปในทิศทาง ไหนหลังจากทั้งกลุ่มคนเสื้อแดงและเสื้อเหลืองเตรียมเคลื่อนทัพในช่วงกลาง เดือนนี้บนฐานของเงื่อนไขที่แตกต่างกันออกไป ท่ามกลางบรรยากาศแห่งเวลามหามงคลไปจนถึงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาความสุขของคนทั้งประเทศไทย

ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ คือ แล้วพลังคนสองสีจะมีมากขนาดไหน

เริ่มกันที่กลุ่ม แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เตรียมเคลื่อนทัพในวันที่ 10 ธ.ค.โดยอาศัยเงื่อนไขสำคัญได้แก่ 1.รำลึกเหตุการณ์ 10 เม.ย. 2553 ที่มีผู้เสียชีวิตจากการขอพื้นที่คืนของรัฐบาล 2.วันรัฐธรรมนูญที่สะท้อนถึงการมีประชาธิปไตยของประเทศไทย ตรงกับแนวทางการเคลื่อนไหวของ นปช.ที่ต้องการให้ประเทศมีประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

แต่ดูๆ ไปแล้วการเคลื่อนไหวของ นปช.หนนี้คงไม่สร้างแรงกระเพื่อมทางการเมืองได้มากนัก ตรงนี้อาจได้รับการซักค้านว่าไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นเพราะพรรคประชาธิปัตย์ เองเพิ่งรอดจากการถูกยุบพรรค ทำให้น่าจะนำประเด็นเรื่องสองมาตรฐานมาเป็นเงื่อนไขในการเคลื่อนไหวได้ และน่าจะมีพลังพอ

ถ้ามองตรรกะแบบนี้ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่เมื่อมาดูปัจจัยแวดล้อมและปัจจัยภายในแล้วต้องบอกว่าทุกอย่างตรงกันข้าม ทั้งหมด เป็นเพราะหากดูการเคลื่อนไหวของ นปช.ในลักษณะนี้หลายครั้งที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าจุดประสงค์ของแกนนำ นปช.ไม่ได้ต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองขึ้น

โดยเพียงแค่ต้องการรักษาฐานมวลชนของพรรคเพื่อไทยเอาไว้มากกว่า เพราะหาก นปช.ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลยปล่อยให้การครบรอบวันเสียชีวิตของคนเสื้อแดง ผ่านไปก็เป็นเรื่องยากเหมือนกันที่แกนนำ นปช.ต้องตอบคำถามกับมวลชนของตัวเองแล้วจะพาลกระทบมาถึงฐานเสียงของพรรคเพื่อ ไทยด้วย

จึงเลือกที่จะมีการจัดกิจกรรมเอาไว้บ้างดีกว่าปล่อยให้เงียบหายไป

ประกอบกับหัวขบวน นปช.เองก็เพิ่งมีการปรับเปลี่ยนผู้บริหารกันครั้งใหญ่หลังจากที่แกนนำแดง รุ่น 1 ต้องอยู่ในเรือนจำโดยเอา ธิดา ถาวรเศรษฐ์ ภรรยา นพ.เหวง โตจิราการ ขึ้นมาเป็นรักษาการประธาน นปช.ไปพลางก่อน คงต้องให้เวลาอีกสักพักกว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทาง

ขณะที่ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้เลย คือ ท่าทีของพรรคเพื่อไทย โดยสังเกตได้จากคำปราศรัยของจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.เมื่อวันที่ 19 พ.ย. ที่สี่แยกราชประสงค์เพื่อประกาศให้คนเสื้อแดงเอาคืนรัฐบาลด้วยการเลือกตั้ง เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่การชุมนุมกดดันเหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา

“คนที่มาวันนี้เพราะความเจ็บปวด คนเกิดเป็นไพร่ทำอะไรก็ผิด วันนี้ยังไม่ใช่วันชี้ขาด เราพร้อมกลับมาทุกเดือน วันนี้ขอให้เดินไปสู่การเลือกตั้ง สิ่งที่ไม่ยุติธรรมจะได้ยุติธรรม และดาบนั้นก็จะคืนสนอง” ส่วนหนึ่งจากคำปราศรัยในวันนั้นของจตุพร

คำปราศรัยดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยเองประสงค์ต้องการให้คน เสื้อแดงกลับเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง เท่ากับว่าการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงในขณะนี้จึงเป็นการเลี้ยงมวลชนเอาไว้ เท่านั้นแทนการปลุกขวัญกำลังใจเพื่อรบกับรัฐบาล

มากันที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) กันบ้าง โดยเตรียมรวมพลกันในวันที่ 11 ธ.ค.นี้ เงื่อนไขสำคัญอยู่ที่การให้ยกเลิกบันทึกผลการประชุมของคณะกรรมาธิการเขตแดน ไทยกัมพูชา เพราะเห็นว่าการยอมรับบันทึกดังกล่าวเท่ากับเป็นการยอมรับบันทึกความเข้าใจ การสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกร่วมไทยกัมพูชา ฉบับวันที่ 14 มิ.ย. 2543 (MOU 43) ซึ่งหมิ่นเหม่ต่อการเสียดินแดนของไทยบริเวณปราสาทพระวิหารให้กับกัมพูชา

การเคลื่อนไหวของ พธม.กลับเข้าสู่อารมณ์ชาตินิยมอีกครั้ง พธม.มีความพยายามหลายครั้งที่จะนำเรื่องนี้มาขยายผลทางการเมืองหลายครั้งแต่ ก็ไม่ได้ผล อาจเป็นเพราะว่าอารมณ์ของสังคมในเวลานั้นไม่ตอบสนองกับเรื่องนี้ ทำให้เงื่อนไขนี้ของ พธม.ไม่สร้างพลังกดดันได้มากนัก แต่ถึงกระนั้น พธม.จะขอฮึดอีกครั้งในวันที่ 10 ธ.ค.นี้

แต่ทว่าทำท่าจะมีปัญหาแล้วเมื่อปรากฏว่าคณะกรรมาธิการวิสามัญของรัฐสภา ที่พิจารณาเรื่องนี้เตรียมขอขยายเวลาออกไปอีก 60 วัน เพื่อเป็นการแก้เกม พธม. นอกจากนี้เมื่อดูเวลาแล้วก็พบว่าเป็นช่วงที่รัฐสภาปิดสมัยประชุมกว่าที่ เรื่องดังกล่าวจะเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภาอีกครั้งก็ต้องรอไปอีกราว 2 เดือน

ส่งผลให้การพามวลชนเสื้อเหลืองมาปักหลักที่สี่แยกมัฆวานฯ ไม่น่าจะสร้างเงื่อนไขอะไรได้มาก ไม่เพียงเท่านี้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเองก็ได้ส่งสัญญาณมาแล้วว่า เตรียมหาเวลาไปพบแกนนำทั้ง 5 คน ทำให้เป็นการลดอุณหภูมิได้บ้างในระดับหนึ่ง

ขณะเดียวกันเรื่องจำนวนคนก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้การเคลื่อนไหว พธม.เริ่มลดทอนพลังลง บทเรียนนี้มีให้เห็นแล้วจากการชุมนุมเพื่อต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญระหว่าง วันที่ 2325 พ.ย.ที่ผ่านมา จำนวนคนน้อยจนน่าใจหายไม่สามารถสร้างแรงกดดันให้ที่ประชุมรัฐสภาล้มเลิกการ แก้ไขรัฐธรรมนูญได้ ทำให้น่าหวั่นใจว่าขนาดเรื่องรัฐธรรมนูญที่น่าจะสร้างความกดดันได้ยังทำอะไร ไม่ได้ แล้วเรื่องเจบีซีจะทำอะไรรัฐบาลได้

ทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลสำคัญให้ สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำ พธม.ถึงกับพูดออกมาว่า “สถานการณ์ตอนนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว” พร้อมกับจะประชุมแกนนำในวันที่ 3 ธ.ค. เพื่อทบทวนสถานการณ์ทั้งหมด โดยมีความเป็นไปได้สูงที่อาจจะเลื่อนการชุมนุมออกไปแบบไม่มีกำหนด

เพราะฉะนั้น เห็นได้ว่าไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวของเสื้อเหลืองหรือแดงก็คงไม่สามารถ สร้างเงื่อนไขกดดันรัฐบาลได้มากเหมือนในอดีตที่เคยทำได้เหมือนอดีต ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าสังคมเริ่มปฎิเสธการเมืองนอกสภาที่เคยสร้างผลงาน ด้วยการมอบความเดือดร้อนให้กับประชาชน


ที่มา: posttoday (update: 03 ธันวาคม 2553 เวลา 09:12 น.)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น