วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 07, 2553

"การปฏิรูประบบโครงสร้างสถาบันการเมือง กับการเสริมสร้างพลังทางสังคม"

จาก อัลบั้ม นสพ.ข่าวสดรายวัน
1.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ 2.สุรนันทน์ เวชชาชีวะ
3.ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ 4.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล

หมายเหตุ - สถาบันพระปกเกล้าจัดประชุมวิชาการสถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 12 เรื่อง "คุณภาพสังคมกับคุณภาพประชาธิปไตย" ที่ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ ในการประชุมกลุ่มย่อย หัวข้อ "การปฏิรูประบบโครงสร้างสถาบันการเมือง กับการเสริมสร้างพลังทางสังคม" มีข้อเสนอที่น่าสนใจ


สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ประธานคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ

น่าสนใจว่า 6 ประเด็นที่เสนอแก้รัฐธรรมนูญ สำรวจความเห็นประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วย แต่น่าห่วงคนที่ไม่มีความเห็นร้อยละ 20-30

ปัญหา การเมืองหลัก คือเรื่องซื้อสิทธิ์ขายเสียง มีการยุบพรรคก็แก้ไม่ได้ การซื้อเสียงคิดว่าภาคใต้มีน้อย แต่ลงไปภาคใต้แพร่หลายระดับท้องถิ่น ซื้อกันขนานใหญ่ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่ากลัวมาก และจะอยู่กับประเทศต่อไป

ประชาธิปไตย ไทยระบบตรวจสอบอ่อนแอ รูปแบบขั้วอำนาจหรือรัฐสภามีจุดอ่อนมาก หากพรรครัฐบาลเสียงข้างมากจะเป็นเผด็จการรัฐสภา การตรวจสอบอ่อนแอ รัฐบาลสั่งสภาได้หมด สภาเป็นทาสนายกฯ

ถ้าเสียงน้อยรัฐบาลก็ไม่มี เสถียรภาพ นึกไม่ออกก็ดูรัฐบาลอภิสิทธิ์ไว้ ถ้าขัดแย้งตกลงไม่ได้จริงๆ รัฐบาลก็แตก การอภิปรายไม่ไว้วางใจทำรัฐบาลอยู่ไม่ครบเทอมได้เสมอ

ที่ไม่ได้เสนอให้เลือกนายกฯ โดยตรง เพราะเห็นว่ายังมีปัญหาสำหรับไทย เพราะใช้เงินเยอะ และต้องเลือกตั้งสองขั้น


สุรนันทน์ เวชชาชีวะ อดีตกก.บห.พรรคไทยรักไทย

พรรค การเมืองเป็นกลไกสำคัญในระบอบประชาธิปไตย ทำไมเดินไปสักพักจึงอยู่ได้ไม่ยั่งยืน มีพรรคประชาธิปัตย์ที่อยู่ยืนยง มีการเปลี่ยนผู้นำมาหลายคน พรรคควรเป็นที่ของกลุ่มชาวนา ชาวไร่ กลุ่มผู้บริโภคมาขายความคิด พรรคควรตกผลึกความคิดแกนนำจากกลุ่มต่างๆ

ระบบ ที่ทำให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง เห็นด้วยว่าส.ส.ไม่ต้องสังกัดพรรค ส่วนการยุบพรรคก็ทำให้พรรคไม่โต ประชาธิปัตย์มีธรรมชาติของตัวเอง แต่พรรคอื่นถูกตัดตอนมาตลอด

ถามว่าอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร สั่งการในพรรคเยอะหรือไม่ ก็ตอบว่าเยอะ แต่พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ยังสั่งการมากกว่าอีก พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ก็สั่ง

แต่ในที่สุดก็ต้องฟังสมาชิก อาจมีการซื้อขายตัวบ้าง เอาเข้าจริงก็กลับไปหาประชาชน

อุปสรรค หนึ่งคือทัศนคติสังคมที่เป็นปัญหามาก เช่น การเลือกตั้งมาขอเสียงประชาชน ไม่ได้ซื้อเสียง แต่มีค่ารถสินน้ำใจคนก็เลือกให้ เป็นระบบอุปถัมภ์ เลือกตั้งก็ได้ทุกครั้ง เป็นความชื่นชมเพราะช่วยกันเวลาลำบากกันมา ระบบนี้แข็งแรงมาก และกลับมาสู่ระบบการเมืองแข็งแรงในปัจจุบัน

ปัญหา ในพรรคการเมืองคือเรื่องการปฏิรูประบบการระดมทุนในพรรค การลงเลือกตั้งต้องใช้เงิน ไม่ใช่ซื้อเสียง แต่ทำป้าย แผ่นพับ ใครจะออกทุน ถ้าไม่ใช่บริษัทน้ำเมา นายทุนต่างๆ

เมื่อให้แล้วจะขออะไรก็ต้องตอบแทน รัฐบาลนี้ก็ยังติดกับดักนี้อยู่


ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ คณะกรรมการพิจารณาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ

อย่า หลงประเด็นตกเป็นเครื่องมือรัฐบาลที่จะให้แก้ 6 ประเด็น แต่ต้องแก้ประเด็นเดียว แก้ให้มีการตั้งส.ส.ร.ใหม่หมด มาจัดทำโครงสร้างใหม่หมด แล้วถามประชาชนที่จะให้คำตอบว่าประชาธิปไตยต้องการอะไร แล้วก็ทำตามประชาชนต้องการ หากต้องทำประชามติก็ต้องทำ

การเสนอเลือก ตั้งนายกฯ โดยตรงก็มีคนหาว่าไปเทียบชั้นกับเบื้องสูง จึงเสนอให้เลือกตั้งนายกฯ พร้อมครม.บางส่วน เช่น รองนายกฯ หรือรัฐมนตรีกระทรวงสำคัญๆ อาจเลือกส.ส.ก่อน เช่น พรรคการเมืองมีที่นั่งเกิน 10 ที่นั่ง ก็ใช้การเลือกตั้งสองรอบ หากมี 10 พรรคที่มีนั่งเกิน 10 ขึ้นไป ก็มีสิทธิ์เสนอ จะได้เสียงชัดเจนจากประชาชนว่าต้องการเลือกใคร

เสถียรภาพรัฐบาลจะ สูง พลังประชาธิป ไตยรองรับรัฐบาล สภาจะเปิดอภิปรายไม่ได้ถ้าไม่มีเหตุผล อาจเปิดได้กรณีทรยศประเทศ คอร์รัปชั่นชัดเจน ส่วนนายกฯ ก็ยุบสภาได้หากไม่เอื้อในการออกกฎหมายชัดเจน ส.ส.สังกัดพรรคหรือไม่ก็ได้

การ ป้องกันนายกฯ อยู่ในตำแหน่งนานไป ก็กำหนดวาระไม่เกิน 2 สมัยติดต่อกัน พลังประชาชนจะเข้มแข็งยันระบบให้มีประสิทธิภาพได้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ก็ใช้ระบบเลือกตั้งผู้บริหารโดยตรงหมดแล้ว

ข้อเสนอนี้อาจ ไม่สำเร็จในปีสองปีนี้ แต่วันหนึ่งอาจย้อนมาดูว่าน่าทดลองใช้ ถ้าไม่สอดคล้องก็เปลี่ยนแปลงได้ แต่เราล็อกตัวเองเกินไป คิดนอกกรอบไม่ได้ อย่างนายสมบัติ เสนอมาหัวมังกุท้ายมังกร

ถ้าเอาพรรคที่ได้สัดส่วน สูงมาจัดตั้งรัฐบาล จะสร้างความสับสน การจะแก้ต้องให้เลือกตั้งฝ่ายบริหารโดยตรง เลือกเป็นคณะ จำนวนเท่าใดก็ว่าไป ผมเสนอเป็นหลักการไว้

78-79 ปี เราเดินมาแล้วเมื่อถึงทางตันจะหาทางออกได้อย่างไรก็ต้องทำ ต้องรื้อระบบใหม่ รื้ออย่างไรต้องถามประชาชน ถ้าไม่เอาก็จบ ถ้าอยากเลือกนายกฯ โดยตรงก็ต้องสนองตอบ

พลังของประชาชนจะค้ำจุนเสถียรภาพรัฐบาล จะมีความชอบธรรมสูงสุดในการบริหารประเทศ หากอยู่ 4 ปีแล้ว ไม่มีผลลัพธ์ก็ไม่ต้องเลือกอีก

ส่วน เรื่องตัวบุคคลก็ต้องสร้างจริยธรรมคุณธรรม สร้างระบบควบคุม ลงโทษทางสังคม ต้องเพิ่มพลังให้ตัวบุคคล มิฉะนั้น จะวนเวียนระบบเก่า เป็นรัฐบาลอีกไม่กี่วันก็มีคนบอกว่าไม่เอาแล้ว หรือจะไปหาทหารแล้ว

เป็นการบั่นทอนสังคมและการเมืองไทยมาก


ปริญญา เทวานฤมิตรกุล นิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์

ความสำเร็จของระบอบประชาธิปไตย ร้อยละ 50 คือระบบตรวจสอบถ่วงดุล และอีก 50 คือเรื่องคนและความสามารถในการปกครองระบอบประชาธิปไตย

ขณะที่ระบบรัฐสภามีจุดอ่อนที่แบ่งแยกอำนาจมีปัญหา ประชาชนเลือกส.ส. และส.ส.ไปเลือกนายกฯ ทำให้ฝ่ายบริหารมีอำนาจมากกว่านิติบัญญัติ

เครื่อง มือรัฐบาลในการควบคุมส.ส. คือพรรคการเมือง ดูทั่วโลกพบว่าปัญหาจะเกิด 2 รูปแบบ คือเกิดเผด็จการโดยใช้พรรคการเมือง แบบฮิตเลอร์ในเยอรมัน หรือรัฐบาลผสมที่ไม่มีเสถียรภาพ ซึ่งของไทยเกิดทั้งสองแบบ

วิธีแก้ดู จากเยอรมันซึ่งแก้กันทั่วโลก คือไม่บังคับส.ส.สังกัดพรรค อาจคิดว่าส.ส.จะขายตัว แต่ในโลกนี้มีไทยประเทศเดียวที่บังคับสังกัดพรรค วันนี้หากนายกฯ สั่งยุบสภา จะย้ายพรรคกันอุตลุด

บังคับให้สังกัดพรรค แต่ก็ให้เสรีภาพส.ส. จึงเห็นการโหวตสวนมติพรรค ต่างประเทศก็มีทำ แต่มารยาททำแล้วจะลาออก กฎหมายทำเหมือนอนุญาตให้สามีภรรยานอกใจกันได้แต่ห้ามหย่า

กรณีตุลาการภิวัฒน์ในรัฐธรรมนูญปี ถือเป็นความล้มเหลวในการแก้ปัญหาโครงสร้างสถาบันการเมือง ปัญหาคือตุลาการเป็นผู้ใช้อำนาจตีความกฎหมาย

แต่การทำหน้าที่สรรหาองค์กรอิสระ สรรหาส.ว. ไม่ใช่อำนาจตีความกฎหมาย ทำให้หลักแบ่งแยกอำนาจผิดเพี้ยน เมื่อกรรมการตัดสินมาเป็นคนเลือกตัวผู้เล่นแล้ว การทำหน้าที่ของกรรมการย่อมได้รับความเชื่อถือน้อยลง

การให้อำนาจ ตุลาการมากเกินไปในเรื่องที่ไม่ควรเป็นอำนาจฝ่ายตุลาการ ทำให้เกิดผลร้ายต่อการทำหน้าที่ฝ่ายตุลาการ กระทบต่อการปกครองประชาธิปไตยทั้งหมด ไม่เป็นผลดีต่อประเทศที่กำลังขัดแย้งแตกแยก การแก้ปัญหาตุลาการต้องทำเพียงตัดสินตีความกฎหมาย ไม่ใช่คัดเลือกตัวบุคคล

ส่วน ปัญหาฝ่ายบริหารครอบงำนิติบัญญัติ ต้องแก้ไขให้ 3 อำนาจเป็นอิสระจากกัน มีการตรวจสอบถ่วงดุล เราบังคับส.ส.สังกัดพรรคมา 36 ปี คิดว่ายังขายตัวอยู่หรือไม่ แค่เปลี่ยนจากซื้อหลังเลือกตั้งมาซื้อก่อนเลือกตั้ง ไม่ช่วยอะไร รัฐธรรมนูญมีช่องอยู่แล้ว

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทาง การเมือง ไม่ใช่ดำเนินการเฉพาะนายกฯ หรือรัฐมนตรีเท่านั้น ต้องรวมถึงส.ส.ด้วย หากใช้อำนาจมิชอบก็อยู่ในอำนาจศาลฯ ตัดสิน

หากทำ ให้เกิดการตรวจสอบถ่วงดุล 3 อำนาจ บริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ ก็จะเกิดพลังต่อสังคม ต้องแก้ในกฎหมายป.ป.ช. และกฎหมายอาญาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยให้ประชาชนเป็นผู้เสียหายสามารถฟ้องผู้แทน ส.ส. ส.ว. ได้หากใช้อำนาจโดยมิชอบ รวมทั้งการขายตัว

การแก้ระบบตรวจสอบ ถ่วงดุลแก้ได้ครึ่งเดียว หากคนไม่เคารพกฎหมาย ต้องส่งเสริมการมีส่วนร่วมของสังคมพลเมือง ผู้ตรวจการแผ่นดินและคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ ต้องมีบทบาทส่งเสริมพลังตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายการเมือง

ทั้งการแก้ระบบตรวจสอบถ่วงดุลและสร้างพลังสังคมพลเมือง จะเป็นปัจจัยสร้างความสำเร็จประชาธิปไตยได้


ที่มาบทความ: ข่าวสดรายวัน หน้า 3 วันที่ 07 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7283
ชื่อบทความ: รายงานพิเศษ สถาบันการเมืองกับพลังสังคม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น