![]() |
จาก ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ |
หอการค้าชี้3Gสะดุด ไทยเสียโอกาส2แสนล้าน จี้รัฐเร่งทุบโต๊ะเรียกเชื่อมั่น
หอการค้าฯย้ำขีดแข่งขันตก ต่ำ-โอกาสธุรกิจหายวับกว่า 2 แสนล้าน หลังประมูลไลเซนส์ 3G ล่ม แนะกดดันรัฐบาลให้เร่งเคาะโต๊ะเคลียร์ทุกปัญหา เหตุกระเทือนเศรษฐกิจมหภาคและกระทบภาพลักษณ์การลงทุน ชี้ถึงเวลาวมกันกดดันองค์กรอิสระและหน่วยงานอื่น ๆ ให้ใช้ผลประโยชน์ของประเทศเป็นตัวตั้ง
ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวในงานสัมมนาวิชาการ "วิกฤต 3G จุดเปลี่ยนธุรกิจไทย" เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 2553 ที่ผ่านมาว่า การระงับการประมูลใบอนุญาต 3G กระเทือนถึงกำไรที่ธุรกิจและประเทศไทยควรได้ เพราะ 3G คือสิ่งที่สามารถลดต้นทุนทางธุรกิจได้ ไม่ว่าจะมาจากการอัพเดตข้อมูล หรือการสร้างระบบการประชาสัมพันธ์ การกระตุ้นการขาย จึงเป็นความน่าเสียดายสำหรับเศรษฐกิจมหภาคของประเทศ และยังกระทบความเชื่อถือด้านการลงทุนด้วย ถ้ารัฐบาลไม่ใส่ใจก็ต้องมีการกดดันให้ใส่ใจมากกว่านี้ เพราะภารกิจของนายกรัฐมนตรีในการบริหารประเทศคือ การทำให้เศรษฐกิจเติบโต โดยความเสียหายดังกล่าวมีการประเมินมูลค่าไว้ที่ 200,000 กว่าล้านบาท จากการหายไปของเงินลงทุนและรายได้จากแอปพลิเคชั่นที่ต่อยอดจากการมีบริการ 3G
"การมี 3G หมายรวมถึงการทำให้คนต่างจังหวัดได้เข้าถึงคลังสมอง เข้าถึงธุรกิจอีคอมเมิร์ซ โดยมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำ การทำให้ธุรกิจ SMEs เกิดขึ้นได้รวดเร็ว ทำให้มีเศรษฐีใหม่อายุไม่ถึง 30 เกิดขึ้นได้มากมาย เพราะประเทศที่ใหญ่ที่สุดตอนนี้คือประเทศ Facebook ที่กลายเป็นช่องทางในการเจาะตลาดหาลูกค้าใหม่ วันนี้ดาต้าและออนไลน์คือความเปลี่ยนแปลงของโลก ผู้คนจะติดคำว่าสะดวกและเร็ว ระบบเศรษฐกิจกำลังเปลี่ยนครั้งใหญ่ ไปสู่ดิจิทัลอีโคโนมี่ โนว์เลจอีโคโนมี่ ไม่สามารถอยู่อย่างโดดเดี่ยวได้ ทุกอย่างต้องเชื่อมต่อกัน ความเร็วจึงเป็นเรื่องสำคัญ"
โครงสร้างของธุรกิจใหม่คือ การสร้างฐานข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีทีที่เข้มแข็ง เมื่อขาด 3G จึงขาดพื้นฐานสำคัญในการสร้างสรรค์ธุรกิจให้มีความโดดเด่น จากผลสำรวจของบริษัทวิจัยไอดีซีแสดงให้เห็นว่า ความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย หากเทียบประเทศในเอเชียแล้วอยู่ระดับกลาง ๆ แพ้มาเลเซีย สิงคโปร์ และถ้าลงลึกไปถึงดัชนีชี้วัดทางวิทยาศาสตร์ ไอซีที โครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ จะพบว่าไทยอยู่ในอันดับต่ำมาก แม้แต่งบฯด้านวิจัยและพัฒนาเมื่อเทียบกับจีดีพีของประเทศแล้วใช้ไม่ถึง 2% ต่ำกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหลายมาก
ที่สำคัญคือ การล้มประมูล 3G กระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศมาก เป็นการย้ำว่า ไทยมีปัญหาด้านการดูแลทางกฎหมาย ดังนั้นตนมองว่าถึงเวลาที่ควรกดดันองค์กรอิสระและหน่วยงานอื่น ๆ ให้ใช้ผลประโยชน์ของประเทศเป็นตัวตั้ง ถ้าคนที่ถูกเลือกตั้งมาจากประชาชนไม่สามารถเคลียร์ทุกปัญหาได้ ก็ต้องร่วมกันกดดัน เพราะผู้นำควรทุบโต๊ะเพื่อพัฒนาประเทศ" ดร.ธนวรรธน์กล่าว
"คนมักมองว่า วงการโทรคมนาคมไทยมีปัญหาเพราะอยู่ในมือของต่างชาติ จริง ๆ ต้องมองว่าเขาได้พัฒนาเทคโนโลยีหรือไม่ เงินหมุนเวียนในไทยหรือไม่ จริงอยู่เขาทำกำไรได้ก็ต้องปันผล แต่เมื่อพัฒนาเทคโนโลยีแล้วทำให้ผู้ประกอบการอื่น ๆ ในไทยต่อยอดได้ ก็คือประโยชน์ ประเทศจะได้ความคุ้มค่าจากภาษีที่เก็บได้ ขณะที่ประชาชนได้ความคุ้มค่าจากการนำโทรคมนาคมไปลดต้นทุนธุรกิจหรือการเข้า ถึงข้อมูลได้มากขึ้น"
ด้าน พ.อ.นที ศุกลรัตน์ กรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) กล่าวว่า การไม่มี 3G ทำให้ประเทศไทยต้องปล่อยให้คลื่นความถี่หลายย่าน ไม่ว่าจะเป็น 2.1 GHz, 2.3 GHz และ 2.5 GHz ไม่ได้ใช้งานให้เกิดประโยชน์ ขณะที่ปัจจุบันโครงข่าย 2G เริ่มมีค่าบำรุงรักษาแพงกว่าลงทุน 3G ในอีกด้านการมี 3G ยังหมายถึงการเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการจากสัมปทานไปสู่การให้ใบอนุญาต ซึ่งลดต้นทุนในการให้บริการ จากเดิมเอกชนต้องจ่ายรายได้ให้รัฐวิสาหกิจ 25-30% แต่ระบบไลเซนส์จ่ายแค่ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตราว 2%
"เจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ 2540 ต้องการให้บริการโทรคมนาคมเป็นบริการสาธารณะที่รัฐต้องจัดสรรให้โดยไม่แสวง หากำไร เพื่อให้ประชาชนได้จ่ายค่าบริการถูกลง ทำให้เกิดการแข่งขันสมบูรณ์ ซึ่งหากเป็นไปตามนั้น เราจะไม่เห็นเอไอเอสประกาศจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นมากกว่า 100% ของกำไร เพราะเงินส่วนนี้ควรนำไปจ่ายคืนให้ผู้ใช้บริการในรูปแบบของการลดค่าบริการ"
พ.อ.นทีกล่าวต่อว่า ความเสียหายกรณี 3G ไม่ได้มีแค่เงินลงทุนโครงข่ายที่หายไป แต่ยังมีมิติอื่น ๆ เช่น ในเกาหลีใต้ระบุว่า การมีบรอดแบนด์ความเร็วสูงช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการแพทย์กว่า 75% ขณะที่ในอังกฤษลดต้นทุนด้านการเดินทางได้ถึง 40% ภายใน 1 ปี และในหลายประเทศยังนำไปใช้ลดปัญหาการจราจร การใช้น้ำมันเพื่อลดโลกร้อนด้วย
ที่มา: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์(update วันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เวลา 10:15:52 น.)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น