จาก อัลบั้มภาพ Matichon Online |
"มติชนออนไลน์" เปิดเอกสารดังกล่าวดังนี้
อ้างขับไล่"มาร์ค"ตามสิทธิ รธน.
ตามที่ พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคคดีพิเศษได้กล่าวหาพวกข้าพเจ้า ดังมีรายชื่อต่อไปนี้คือ 1. นายวีระ มุสิกพงศ์ 2. นายแพทย์เหวง โตจิราการ 3. นายจตุพร พรหมพันธุ์ 4. นายก่อแก้ว พิกุลทอง 5. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ 6. นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท 7. นายนิสิต สินธุไพร 8. นายขวัญชัย สาระคำ 9. ยศวริศ ชูกล่อม 10.นายการุณ โหสกุล 11. นายวิเชียร ขาวขำ 12. พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรรัตน์ 13. นายอริสมันต์ พงษ์เรื่องรอง 14. นายอดิศร เพียงเกษ 15. นายสุภร อัตถาวงศ์ 16.นายพายัพ ปั้นเกตุ ในความผิดฐานร่วมกันหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิดหรือสนับสนุนให้มีการกระทำผิดฐานก่อการร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1 , 135/2 และ 135/3 ประกอบ มาตรา 83 , 84 , 85 และ 86 โดยกล่าวหาพวกข้าพเจ้าว่าได้กระทำความผิดดังกล่าวตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2552 ถึงเดือนพฤษภาคม 2553
"พวกข้าพเจ้าขอเรียนว่าพวกข้าพเจ้ามิได้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด แต่เหตุที่พวกข้าพเจ้าได้ร่วมกันเดินขบวนชุมนุม ประท้วง โต้แย้ง หรือเคลื่อนไหว ก็โดยมีเจตนาที่จะเรียกร้องต่อรัฐบาล เพื่อให้ได้รับความเป็นธรรม เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ เนื่องมาจากภายหลังการเข้ายึดอำนาจของคณะรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นเหตุให้มีประชาชนผู้รักและหวงแหนประชาธิปไตยได้รวมตัวชุมนุมกัน เพื่อคัดค้านการทำรัฐประหาร จนกระทั่งมีการรวมตัวกันตั้งเป็นกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ (นปก.) ซึ่งต่อมาก็ได้มีการร่วมตัวจากกลุ่มคนที่รักประชาธิปไตยจากทั่วประเทศ และมีการเปลี่ยนชื่อกลุ่มจากเดิมเป็นกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)"
กลุ่ม นปช. เห็นว่าการเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่เป็นไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยกำหนด เนื่องจากในการจัดตั้งรัฐบาลในครั้งนี้ได้มีบุคคลในวงการทหารเข้ามากำกับดูและบีบบังคับให้พรรคการเมืองอื่นๆ ต้องเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรค มีการประชุมเพื่อจัดตั้งรัฐบาลในสถานที่ของกองทัพในลักษณะที่เห็นได้ว่าเป็นรัฐบาลทหารมิใช่รัฐบาลที่มาจากประชาชน
อีกทั้งมีการกระทำอีกหลายอย่างที่มิได้ปฏิบัติตามจารีตประเพณีของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เช่น การแถลงนโยบายการบริหารราชการแผ่นดินต่อรัฐสภา ก็จัดให้มีขึ้นที่กระทรวงการต่างประเทศแทนที่จะต้องกระทำในรัฐสภา และในระหว่างการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ปรากฏเป็นที่ประจักษ์ว่ามีการทุจริตคอร์รับชั่นอย่างมากมาย การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลเป็นสองมาตรฐาน มีการเลือกปฏิบัติที่ไม่มีความเท่าเทียมกัน สังคมมีความเหลื่อมล้ำ ประชาชนมีความแบ่งแยก แบ่งสี แบ่งพรรคแบ่งพวกเป็นหลายฝ่าย รัฐบาลไม่มีความสามารถในการสร้างความปรองดอง และความสามัคคีในหมู่ประชาชน ระบบราชการถูกแทรกแซงจากการเมือง ข้าราชการที่มีความใกล้ชิด หรือรับใช้นักการเมือง ก็จะมีความเจริญก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ การแต่งตั้งโยกย้ายไม่เป็นธรรมทำให้ข้าราชการดีต้องเสียขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ เป็นต้น
ชุมนุมสันติ ปราศจากอาวุธ
หากยังคงปล่อยให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ บริหารราชการแผ่นดินต่อไปย่อมจะเกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติ สังคม เศรษฐกิจ อย่างใหญ่หลวง ประชาชนและพวกข้าพเจ้าจึงได้รวมตัวกันเพื่อชุมนุม เรียกร้องให้รัฐบาลที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ยุบสภาคืนอำนาจให้แก่ประชาชน เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้ง ซึ่งประชาชนจะได้ตัดสินใจในการเลือกผู้นำประเทศใหม่อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งหากประชาชนเลือกพรรคประชาธิปัตย์เป็นเสียงข้างมากในสภา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะหัวหน้าพรรคก็สามารถเข้ารับตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีได้อย่างสง่างาม และถูกต้องตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งข้อเรียกร้องดังกล่าวของประชาชนและพวกข้าพเจ้าเป็นข้อเรียกร้องที่ชอบด้วยระบอบประชาธิปไตยที่ทั่วโลกยอมรับ โดยในการต่อสู้เรียกร้องในครั้งนี้ ประชาชนและพวกข้าพเจ้ายึดหลักการเรียกร้องโดยสงบ สันติ และปราศจากอาวุธ อันเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ การกระทำการดังกล่าวของประชาชนและพวกข้าพเจ้าจึงเป็นการใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ มิใช่เป็นการก่อการร้ายตามที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด
ดังนั้นการที่พนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้กล่าวหาว่ากระทำการเป็นแกนนำหลักทำหน้าที่ในการวางแผนควบคุม สั่งการหรืออำนวยการหรือสลับสับเปลี่ยน กล่าวปราศรัยโจมตีฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายตรงข้ามบนเวทีชุมนุม เคลื่อนไหว ได้ร่วมกันหรือใช้ให้ผู้อื่นชุมนุมประทวงโต้แย้งเคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐบาลที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรียุบสภาทันทีในโดยเร็ว ปลุกระดมมวลชน ขับเคลื่อนการชุมนุมให้เข้าสู่ความขัดแย้งหรือปลุกปั่น บิดเบือนความจริงหรือยุยงส่งเสริมด้วยคำพูดที่รุนแรงกร้าวร้าว สร้างสมปมขัดแย้ง อาฆาตมาตร้าย ให้เกลียดชังรัฐบาล รวมทั้งมีการกล่าวหาว่าใช้กองกำลังติดอาวุธหรือกองกำลังไม่ทราบฝ่าย ข่มขู่รัฐบาล ทำร้ายเจ้าหน้าที่ และกระทำต่อยุทธภัณฑ์อาวุธของรัฐบาล มีการกล่าวหาว่าใช้อาวุธและกองกำลังติดอาวุธก่อวินาศกรรม ข่มขู่รัฐบาล ทั้งทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์และทำร้ายเจ้าหน้าที่
โยนรัฐบาลจุดชนวนรุนแรง
โดยกล่าวหาว่ากองกำลังติดอาวุธไม่ทรายฝ่ายดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของพวกข้าพเจ้า และมีการกล่าวหาว่ากระทำการเพื่อริดรอนสิทธิ เสรีภาพของประชาชน ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินทางราชการและของเอกชน จนทำให้เกความเสียหายแก่เศรษฐกิจอย่างร้ายแรง ซึ่งพวกข้าพเจ้าได้ให้การปฏิเสธไว้แล้วในชั้นสอบสวนของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ว่าพวกข้าพเจ้าไม่ได้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา แต่ความรุนแรงที่เกิดขึ้นนั้น เกิดขึ้นจากฝ่ายรัฐบาลเป็นผู้ก่อให้เกิดขึ้น โดยใช้กองกำลังทหารติดอาวุธเข้าปราบปรามประชาชน มีการนำอาวุธปืนความเร็วสูง (สไนเปอร์) มาใช้สังหารประชาชนทำให้ การชุมในครั้งนี้มีประชาชนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
จะเห็นได้ว่าญาติพี่น้องของผู้ที่สูญเสียชีวิตไม่มีผู้ใดติดใจสงสัยว่าการเสียชีวิตของประชาชนเกิดจากผู้ต้องหา แต่ในทางตรงกันข้าม เชื่อว่าความตายของญาติพี่น้องเกิดจากการกระทำของรัฐบาล และได้มีการแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และกรรมการศูนย์อำนวยการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) ทุกคน ในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา พยายามฆ่า และข้อหาอื่น ๆ โดยมีพยานบุคคล พยานเอกสาร และวัตถุพยานที่จะแก้ข้อกล่าวหา
ขออัยการสอบพยานเพิ่ม
พวกข้าพเจ้าจึงขอความกรุณา ขอให้ท่านได้โปรดสอบสวนเพิ่มเติมพยานที่พวกข้าพเจ้าเสนอมานี้ ดังมีรายชื่อพยานและประเด็นที่ประสงค์จะให้สอบสวนเพิ่มเติม ตามเอกสารที่ส่งมาด้วยพร้อมหนังสือร้องขอความเป็นธรรมฉบับนี้แล้ว
เหตุที่พวกข้าพเจ้าไม่ได้นำพยานดังกล่าวมาเพื่อให้พนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ ทำการสอบสวนเพิ่มเติมนั้น เนื่องมาจาก พวกข้าพเจ้าในฐานะผู้ต้องหาไม่ได้รับความเป็นธรรมในหลายประการจากการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยในการสอบสวนครั้งนี้ ได้มีการตั้งธงของคดีนี้ไว้แล้วว่าจะต้องมีความเห็นสั่งฟ้องพวกข้าพเจ้าแน่นอน ทั้ง ๆ ที่การสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ โดยจะเห็นได้จากการที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเป็นรายวัน มาตลอดเกี่ยวกับการสอบสวนคดีนี้ว่าจะทำสำนวนสั่งฟ้องพวกข้าพเจ้า
จนกระทั่งในวันที่ 12 กรกฎาคม 2553 นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้จัดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่าจะส่งฟ้องพวกข้าพเจ้าทั้งหมดภายในเดือนกรกฎาคม 2553 ทั้ง ๆ ที่ในขณะที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษแถลงข่าวนั้น อยู่ในระหว่างที่พนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ ยื่นคำร้องฝากขังพวกข้าพเจ้าเป็นครั้งที่ 3 โดยได้อ้างในคำร้องขอฝากขังต่อศาลว่าพนักงานสอบสวนยังมีพยานที่จะต้องสอบสวนอีกกว่า 50 ปาก โดยก่อนหน้านี้พวกข้าพเจ้าได้เคยยื่นเรื่องขอความเป็นธรรมต่อพนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ และขอให้สอบสวนพยานของพวกข้าพเจ้าเพิ่มเติม แต่เมื่ออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งอยู่ในฐานะเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนกลับมาให้ข่าวดังกล่าวต่อสื่อมวลชน พวกข้าพเจ้าจึงเห็นว่าพวกข้าพเจ้าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากพนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ พวกข้าพเจ้าจึงมีหนังสือไปยังพนักงานสอบสวน เพื่อแจ้งว่าจะไม่ขอนำพยานมาให้สอบสวนเพิ่มเติมอีก ตามหนังสือฉบับลงวันที่ 19 กรกฎาคม 2553
ซัด "ธาริต"จูงใจ หลอกพยาน
นอกจากนั้นยังปรากฏข้อเท็จจริงเป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชนทั่วไปทางสื่อมวลชนว่านายธาริต เพ็งดิษฐ์ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนยังมีพฤติการณ์ในการสอบสวนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา โดยได้มีการจูงใจ ให้คำมั่นสัญญา หลอกลวง ขู่เข็ญพยาน และญาติ รวมถึงคนใกล้ชิดของพยาน หรือผู้ต้องหา ซึ่งการกระทำดังกล่าวนั้นเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นเหตุให้พวกข้าพเจ้าไม่มีความไว้วางใจในการสอบสวนของพนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษว่าจะให้ความเป็นธรรมกับพวกข้าพเจ้า
นอกจากเหตุที่พวกข้าพเจ้าได้กราบเรียนดังกล่าวแล้วในการสอบสวนพวกข้าพเจ้า นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน มีหน้าที่ดูแลและควบคุมการสอบสวนคดีนี้แล้ว นายธาริต เพ็งดิษฐ์ ยังเป็นเป็นกรรมการในศูนย์อำนวยการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้อยู่ในฐานะที่จะต้องถูกดำเนินคดีนี้ด้วย เนื่องจากมีการกล่าวหาจากผู้เสียหายเป็นจำนวนมากว่าศูนย์อำนวยการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) นั้นเป็นผู้สั่งการให้มีการใช้อาวุธร้ายแรงสังหารประชาชน ผู้ชุมนุม และได้มีการร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับกรรมการ ศอฉ.ทุกคนแล้ว
ดังนั้นคณะกรรมการ ศอฉ. ทุกคนรวมทั้งนายธาริต เพ็งดิษฐ์ จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียและเป็นคู่กรณีโดยตรงที่ต้องถูกดำเนินคดีนี้ด้วย จึงไม่มีความชอบธรรมที่จะให้นายธาริต เพ็งดิษฐ์ เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนเพื่อสอบสวนคดีนี้ ทำให้พวกข้าพเจ้าเห็นว่าพวกข้าพเจ้าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการสอบสวนของพนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ อย่างแน่นอน เพราะการสอบสวนของพนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ ก็จะสอบสวนเพื่อโยนความผิดมาให้พวกข้าพเจ้า และประชาชน เพื่อตนและคณะกรรมการ ศอฉ. ทุกคนจะได้หลุดพ้นจากความผิด ทั้ง ๆ ที่เป็นผู้สั่งการให้สังหารประชาชนมือเปล่าด้วยอาวุธร้ายแรง
ด้วยเหตุนี้พวกข้าพเจ้าจึงเห็นว่าถึงแม้จะมีการสอบสวนพยานตามที่พวกข้าพเจ้าได้อ้างขอให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวน ก็คงไม่ได้นำเอาพยานดังกล่าวมาพิจารณาเพื่อประกอบการสั่งคดี เพราะจะต้องสั่งฟ้องพวกข้าพเจ้าตามที่ได้เคยให้ข่าวต่อสื่อมวลชนไว้ จึงทำให้พวกข้าพเจ้าหวังพึ่งความเป็นธรรมจากพนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษไม่ได้
พ.ร.ก.ฉุกเฉินทำพยานกลัว
หนังสือระบุว่า พวกข้าพเจ้าจึงต้องขอพึ่งบารมีจากท่าน และเชื่อมั่นว่าพวกข้าพเจ้าจะได้รับความเป็นธรรมจากท่านอย่างแน่นอน พวกข้าพเจ้าจึงได้ดำเนินการแจ้งต่อพนักงานสอบสวนว่าในชั้นสอบสวนนี้พวกข้าพเจ้าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการสอบสวน จึงไม่ประสงค์ที่จะนำพยานมาให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติมอีกต่อไป แต่พวกข้าพเจ้าจะมาร้องขอความเป็นธรรมจากท่าน และจะนำมาพยานมาเพื่อขอให้ท่านได้โปรดสอบสวนเพิ่มเติมพยานของพวกข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าหวังและมั่นใจว่าหากมีการสอบสวนพยานเพิ่มเติมของพวกข้าพเจ้าตามที่ร้องขอแล้ว จะทำให้พวกข้าพเจ้าได้รับความเป็นธรรม และสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของพวกข้าพเจ้าได้ว่าพวกข้าพเจ้าไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด
อย่าส่งสำนวนให้ดีเอสไอสอบเพิ่ม
ในท้ายหนังสือระบุว่า
"เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีที่มีอัตราโทษสูงและเกี่ยวข้องกับประชาชน รวมทั้งสื่อมวลชน จำนวนมากที่รู้เห็นเหตุการณ์ในการชุมนุมเรียกร้องในครั้งนี้ว่าการชุมนุมของประชาชนและพวกข้าพเจ้านั้นเป็นการชุมนุมโดยสงบ สันติ และปราศจากอาวุธโดยแท้จริง เป็นการชุมนุมตามสิทธิที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่เนื่องจากในขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการประกาศใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในหลายจังหวัด รวมทั้งกรุงเทพมหานครด้วย ซึ่งเป็นอุปสรรคในการติดตามพยานหลักฐาน ไม่ว่าจะเป็นพยานบุคคล พยานวัตถุ หรือพยานเอกสาร ซึ่งอาจเป็นเหตุให้ยังมีพยานหลักฐานบางส่วนยังไม่สามารถนำเสนอต่อท่านได้ทันในการยื่นคำร้องขอความเป็นธรรมในครั้งนี้ ดังนั้นจึงขอความกรุณาและขอกราบเรียนว่าอาจจะมีการขอยื่นพยานหลักฐานเพิ่มเติมในโอกาสต่อไป"
"พวกข้าพเจ้าไม่ไว้วางใจ และเชื่อว่าพวกข้าพเจ้าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมจากพนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ ดังนั้นในการสอบสวนพยานเพิ่มเติมของพวกข้าพเจ้า ขอท่านอย่าได้ส่งสำนวนไปให้พนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษทำการสอบสวนเพิ่มเติม โดยในการสอบสวนพยานเพิ่มเติมในครั้งนี้ พวกข้าพเจ้าขอความกรุณาท่านได้โปรดทำการสอบสวนโดยพนักงานอัยการ ซึ่งพวกข้าพเจ้ามีความไว้วางใจ และเชื่อมั่นว่าจะได้รับความเป็นธรรม โดยพวกข้าพเจ้าจะดำเนินการติดตามพยานตามที่อ้างต่อท่านมาให้ท่านทำการสอบสวน ตามที่ท่านกำหนดนัดโดยเคร่งครัด"
จึงเรียนมาเพื่อทราบและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความอนุเคราะห์จากท่านโดยมีคำสั่งให้สอบพยานเพิ่มเติมตามที่พวกข้าพเจ้าเสนอมาข้างต้น
ลงชื่อ นายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายวิเชียร ขาวขำ นายการุณ โหสกุล นายแพทย์เหวง โตจิราการ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายก่อแก้ว พิกุลทองนายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท นายนิสิต สินธุไพร นายขวัญชัย สาระคำ นายยศวริศ ชูกล่อม พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรรัตน์
ขอบคุณที่มา: มติชนออนไลน์
วันที่ 03 สิงหาคม พ.ศ. 2553 เวลา 10:00:30 น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น