by Herogeneral on 2010-08-27 - 00.25 pm
Ref: พฤติกรรม “จนตรอก” ของรัฐบาลไทย
Robert Amsterdam Thailand
ตำนานเรื่อง “พ่อค้าความตาย” วิกเตอร์ บูท กำลังหักมุมอย่างน่าทึ่ง
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ศาลอุทธรณ์ในประเทศไทยได้กลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยพิพากษาให้ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนชาวรัสเซียไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา เห็นชัดว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ถูกรัฐบาลสหรัฐกดดันอย่างหนัก การส่งตัวบูทเป็นการกระทำที่จนตรอกของรับบาลเหตุผลเพื่อหลีกเลี่ยงคำประณามจากนานาชาติต่อการกระทำของตน รัฐบาลสหรัฐรุกรัฐบาลไทยอย่างอย่างหนัก
โดยมีการเรียกตัวเอกอัครราชทูตไทยเข้าพบ ณ กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ เพื่อแสดงเจตจำนงให้รัฐบาลไทยส่งตัวบูทไปยังสหรัฐ ขณะเดียวกันผู้แทนสภาคองเกรสได้เขียนจดหมายตั้งคำถามถึงสถานภาพประเทศไทยที่ “เป็นผู้ไม่ฝักใฝ่กลุ่มองค์การนาโต้”
ท่ามกลางปริศนาว่ามีการ “ปรับ” ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของสหรัฐและรัสเซีย บูทมีสายสัมพันธ์กับกลุ่มตระกูลที่เหี้ยมอำมหิต ซึ่งกลุ่มตระกูลดังกล่าวคงบคุมพื้นที่ทางการเมืองของรัฐบาลรัสเซีย หลายคนเชื่อว่าบูทมีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อตกลงที่รองนายกรัฐมนตรีรัสเซียนายไอกอร์ เซชิน และประธานาธิบดีเวเนซูเอล่านายฮูโก้ ซาเวช ได้กำหนดขึ้นเพื่อสนับสนุนกบฏเอฟเออาร์ซีในประเทศโคลัมเบีย โดยข้อตกลงค้าอาวุธสงครามและพลังงานที่มีขึ้นอย่างต่อเนื่องใน 2-3 ปีที่ผ่านมาได้สร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับทั้งสองประเทศ โดยประธานาธิบดีซาเวชสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลรัสเซียในการแทรกแซงตลาดพลังงาน และรัฐบาลรัสเซียสนับสนุนนโยบายของประธานาธิบดีซาเวชซึ่งสร้างความไร้เสถียรภาพให้กับประเทศเพื่อนบ้านในละตินอเมริกา
ขณะที่เครื่องบินสหรัฐจอดรอ ณ สนามบินนานาชาติดอนเมือง เพื่อรับตัวนายวิกเตอร์ บูทไปยังสหรัฐ ข้อกล่าวหาเรื่องข้อตกลงที่รัฐบาลอภิสิทธิ์พยายามจะตกลงกับบูทก่อนที่จะมีคำพิพากษาให้ส่งตัวบูทไปยังสหรัฐได้ถูกเปิดโปง โดยวันที่ 24 สิงหาคม นายนิติภูมิ นวรัตน์ คอลัมนิสต์ไทยรัฐซึ่งหลายคนรู้จักดี โดยนายนิติภูมิสามารถพูดภาษารัสเซียและเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสภาร่างนิติบัญญัติหลังจากการทำรัฐประหารในปี 2549 เปิดเผยว่าตัวแทนรัฐบาลอภิสิทธิ์ได้เข้าเยี่ยมบูทในเรือนจำ
โดยมีการเสนอให้บูทให้ร้ายอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้าอาวุธสงครามที่ผิดกฎหมาย เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่บูทจะไม่ถูกส่งตัวไปยังสหรัฐ และไม่นานหลังจากนั้นนายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส. พรรคเพื่อไทย ได้ยกประเด็นนี้ขึ้นมาอภิปรายในรัฐสภา โดยกล่าวหาว่านายศิริโชค โสภา ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ได้ช่วยเหลือนายอภิสิทธิ์ในการเสนอข้อตกลงดังกล่าว ขณะที่มีการปฏิเสธข้อตกยื่นหมูยื่นแมวนั้น นายศิริโชคยอมรับว่าเคยไปพบบูทที่เรือนจำจริง
หลังจากรัฐประหารปี 2549 เป็นต้นมา อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรถูกสอบสวนดำเนินคดีอาญาหลายข้อหา อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการเพิ่มอิทธิพลทางการเมืองในกระบวนการยุติธรรมหลังรัฐประหาร ศาลยุติธรรมพิพากษาให้ทักษิณมีความผิดไม่กี่ข้อหา ซึ่งน้อยมากหากเีทียบกับสิ่งที่นายทหารที่ทำรัฐประหารกล่าวหา และน้อยกล่าวสิ่งที่ฝ่ายตรงที่บ้าคลั่ง อย่างนายกษิต ภิรมย์ ตั้งข้อเปรียบว่าทักษิณเป็นฮิตเล่อร์หรือสตาลิน
จนถึงวันนี้ ทักษิณถูกตัดสินว่ากระทำความผิดเพียงหนึ่งข้อหา ซึ่งไม่ใช้ความผิดอันเกี่ยวกับการคอรัปชั่นอย่างที่หลายคนกล่าวหา แต่เป็นกรณีที่ทักษิณได้เซ็นยินยอมให้ภรรยาของตนไปประมูลซื้อที่ดินสาธารณะในกรุงเทพมหานคร ศาลพิพากษาให้ทักษิณมีความผิดฐานละเมิดกฎหมายรัฐธรรมนูญในบทที่ว่าด้วยเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน
เดือนกุมภาพันธ์ 2553 ศาลฎีกาพิพากษายึดทรัพย์ของทักษิณมูลค่า 1.4 พันล้านดอลล่าสหรัฐ ตามความผิดข้อหา “คอรัปชั่นเชิงนโยบาย” แม้ว่าบริษัทบางบริษัทของทักษิณจะทำผลกำไรมหาศาลไม่ต่างก่อนที่ทักษิณจะขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีก็ตาม และเมื่อไม่นานมานี้กรมสอบสวนคดีพิเศษตัดสินไม่สั่งฟ้องทักษิณในคดีที่เป็นเหตุให้ทรัพย์สินของทักษิณถูกยึด
การขาดหลักฐานที่น่าเชื่อถือเพื่อที่จะพิสูจน์ว่าทักษิณคือ “ปิศาจร้าย” ทำให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ต้องสร้างเรื่องป้ายสีทักษิณให้ใหญ่ขึ้น โดยเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับบูทแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไทยพยายามที่จะดำเนินคดีกับฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของตนแบบ “Dreyfus” (ใส่ร้ายป้ายสี ขบวนการล่าแม่มด) ในขณะที่การฆ่าหมู่ในเดือนเมษายนและพฤษภาคมเผยให้เห็นว่ารัฐบาลไทยละเลยความรับผิดชอบที่จะปกป้องชีวิตพลเรือนของตน และระหว่างการตัดสินใจว่าจะลบหลู่ไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศหรือไม่
รัฐบาลไทยได้พยายามเสนอข้อตกลงอันเลวร้ายกับบูท แสดงให้เห็นการกระทำอันต่อทรยศประเทศสัมพันธมิตรอันใกล้ชิด เพื่อแลกกับการดำเนินนโยบายทางการเมืองอันน่าละอายที่เกี่ยวกับการป้ายสี คุกคาม และการดำเนินคดีฝ่ายตรงข้าม การกระทำเหล่านี้ไม่ใช่การกระทำของสัมพันธมิตรที่ดี และไม่ว่าเรื่องดังกล่าวจะเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่ก็ตาม การกระทำเหล่านี้ถือเป็นการกระทำของกลุ่มคนที่จนตรอกและถูกประชาชนค่อนประเทศเกลียดชัง กลุ่มคนเหล่านี้พร้อมที่จะสละเกียรติยศและผลประโยชน์ของประเทศเพื่อแลกกับการรักษาอำนาจการเมืองที่เสื่อมถอย
ขณะที่ทั่วโลกกำลังมองดูสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น รัฐบาลไทยเดินหน้าสร้างความยุ่งยาก ฟอกอาชญากรรมของตน และขัดขวางกระบวนการบุติธรรมอย่างเป็นระบบ รัฐบาลยังคงแต่งเรื่องป้ายสีฝ่ายตรงข้าม และปฏิเสธที่จะเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับผลชันสูตรของศพทั้ง 91 ศพที่เสียชีวิตในเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2553 ซึ่งรวมถึงการเสียชีวิตของช่างภาพชาวอิตาลีนายฟาบิโอที่รัฐบาลไทยพยายามปกปิดอย่างน่าละอาย และเหมือนทุกครั้ง รัฐบาลประณามฝ่ายตรงข้ามตนทันทีว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย” ปัดความรับผิดชอบ ล้าช้าในการเปิดเผยพยานหลักฐานที่อาจจะเปิดเผยสิ่งที่ตรงข้ามกับข้อกล่าวหา
ขณะที่รัฐบาลพยายามปิดบังความจริงที่เกิดขึ้นระหว่างการฆ่าหมู่ในกรุงเทพมหานครคือกระทำอาชญากรรมที่เห็นได้ชัด เรื่องอื้ฉาวของบูทเผยให้เห็นว่าถึงธาตุแท้ทางการเมืองแที่รัฐบาลใช้ข้อหา“ก่อการร้าย” กล่าวหาคนเสื้อแดงและทักษิณ เมื่อศีลธรรมของอภิสิทธิ์จมดิ่งลงสู่หุบเหวลึก แม้แต่ “พ่อค้าความตาย” ได้ค้นพบว่ากลลวงของรัฐบาลเป็นสิ่งที่ต่ำทราม หรืออาจจะเป็นเพียงกลลวงที่โง่เขลาเท่านั้น การที่บูทกำข้อมูลซึ่งอาจสร้างความเสียหายต่อรัฐบาล ทำให้หลายคนตั้งคำถามถึงความปลอดภัยของบูท ในระหว่างที่อยู่ในการควบคุมของรัฐบาลไทย
ด้วยเหตุผลหลายประการ เราเชื่อว่าว่าบูทจะไม่ถูกส่งตัวไปยังสหรัฐในเร็วๆนี้ อย่างไรก็ตามเราได้แต่หวังว่านานาชาติจะใช้กดดันให้รัฐบาลไทยส่งตัวบูทไปยังสหรัฐและเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับประชาชนชาวไทยและชาวต่างชาติที่ถูกสังหารและได้รับบาดเจ็บระหว่างการสังหารหมู่เมื่อไม่นานมานี้โดยรัฐบาลอภิสิทธิ์
ถึงเวลาแล้วที่นานาชาติต้องแสดงท่าที ก่อนที่รัฐบาลไทยจะฟอกอาญากรรมของตนจนขาวสะอาด กำจัดผู้นำฝ่ายตรงข้ามที่เรียกร้องประชาธิปไตยสำเร็จ และกระทำการอันน่าอัปยศโดยทำลายพันธกรณีที่มีต่อพันธมิตรประเทศอันยาวนาน ประชาคมโลกต้องไม่นิ่งเฉยต่อการกระทำที่ผิดกฎหมายของรัฐบาลอันธพาล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น