ที่มา: เดลินิวส์ โดยทีมวาไรตี้
จาก อัลบั้มเดลินิวส์ออนไลน์ |
ระทึก! 'เขาพระวิหาร' ซ้ำรอย...?
ขณะที่สถานการณ์ความขัดแย้งเรื่องการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ระหว่างประเทศไทยและกัมพูชายังคงเป็นข้อพิพาทที่หาจุดจบไม่ได้ จนคณะกรรม การมรดกโลกได้เลื่อนการตัดสินออกไปอีก 1 ปี ซึ่งไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร แต่ความรู้สึกของคนไทยเวลานี้ยังอดใจหายไม่ได้ เนื่องจากผลการตัดสินเมื่อปีพ.ศ. 2505 ที่ผ่านมา คำพิพากษาของศาลโลกได้ตัดสินให้เขาพระวิหารตกเป็นของกัมพูชาไปแล้ว!!
ไม่ใช่เพียงแค่ปราสาท พระวิหารที่ไทยสูญเสียไป แต่หากย้อนประวัติศาสตร์การสูญเสียดินแดนไทยในอดีต จะพบว่าประเทศไทยเคยมีพื้นที่มากกว่า 1,200,000 ตารางกิโลเมตร แต่ปัจจุบันนี้เหลืออยู่ประมาณ 500,000 กว่าตารางกิโลเมตร ส่วนอีก 700,000 กว่าตารางกิโลเมตรนั้น ได้สูญเสียไปในประวัติศาสตร์ถึง 13 ครั้ง ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นพื้นที่ของประเทศต่าง ๆ โดยรอบประเทศไทย
ธีระพงษ์ โสดาศรี รองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ผู้สนใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทยได้ให้ความรู้ถึงการสูญเสียดินแดนไทยทั้ง 13 ครั้งว่า
ครั้งแรก ไทยเสียเกาะหมากให้กับประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2329 พื้นที่ 375 ตารางกิโลเมตร ในสมัยรัชกาลที่ 1 สาเหตุ เกิดจากพระยาไทรบุรีให้อังกฤษเช่าเกาะหมากเพื่อหวังจะขอให้อังกฤษคุ้มครองเกาะหมากจากกองทัพของกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ซึ่งยกทัพมาจัดระเบียบหัวเมืองปักษ์ใต้ แต่ในที่สุดอังกฤษก็ยึดเอาไป ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นปีนัง อยู่ในประเทศมาเลเซีย
ครั้งที่ 2 เสียมะริด ทวาย ตะนาวศรี ให้กับพม่า เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2336 พื้นที่ 55,000 ตารางกิโลเมตร ในสมัยรัชกาลที่ 1 เช่นกัน โดยแต่เดิมเป็นของไทยครั้งสมัยสุโขทัย มังสัจจา สาเหตุคือเจ้าเมืองทวายเป็นไส้ศึกให้พม่า รัชกาลที่ 1 ไม่สามารถตีคืนจากพม่าได้ ประกอบกับชาวเมืองทวายไม่พอใจกองทัพไทยที่เข้ามายึดครองจึงตกเป็นของพม่าไป
ต่อมาครั้งที่ 3 บันทายมาศ เปลี่ยนชื่อเป็นฮาเตียน เสียให้กับฝรั่งเศส เมื่อพ.ศ. 2336 ในสมัยรัชกาลที่ 2 แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสูญเสียเนื้อที่ไปจำนวนเท่าใด
ครั้งที่ 4 เสียแสนหวี เมืองพง เชียงตุง ให้กับพม่า เมื่อพ.ศ. 2368 พื้นที่ 62,000 ตารางกิโลเมตร ในสมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งแต่เดิมได้ดินแดนนี้มาในสมัยรัชกาลที่ 1 โดยพระเจ้ากาวิละ ยกทัพไปตีมาได้จึงขึ้นอยู่กับไทยได้ 20 ปี เนื่องจากเป็นดินแดนที่อยู่ห่างไกลประกอบกับเกิดกบฏเจ้าอนุเวียงจันทน์และเกิดกบฏทางหัวเมืองปักษ์ใต้ (กลันตัน ไทรบุรี) ไทยจึงห่วงหน้าพะวงหลังไม่มีกำลังใจจะยึดครอง หลังจากนั้นพม่าเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ทำให้เชียงตุงตกเป็นของอังกฤษโดยสิ้นเชิง
ต่อมาปี พ.ศ. 2369 เสียรัฐเปรัคให้กับอังกฤษเป็น ครั้งที่ 5 ในสมัยรัชกาลที่ 3 เป็นการสูญเสียที่ทำร้าย จิตใจคนไทยทั้งชาติ เนื่องจาก สูญเสียห่างจากครั้งก่อนไม่ ถึง 1 ปี
ครั้งที่ 6 เสียสิบสองปันนา ให้กับจีน เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2397 พื้นที่ 90,000 ตารางกิโลเมตร ในสมัยรัชกาลที่ 4 ปัจจุบันเป็นดินแดนยูนนานตอนใต้ของจีน โดยเมืองเชียงรุ้งเป็นเมืองหลวงของไทยในสมัยรัชกาลที่ 1 ต่อมาเกิดการแย่งชิงราชสมบัติกันเอง แสนหวีฟ้า มหาอุปราชหนีลงมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้เกณฑ์ทัพเชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน ไปตีเมืองเชียงตุง เพราะต้องตีเมืองเชียงตุงให้ได้ก่อนจึงจะได้เชียงรุ้ง แต่ไม่สำเร็จ ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 4 ได้ให้กรมหลวงลวษาธิราชสนิท (ต้นตระกูลสนิทวงศ์) ยกทัพไปตีเชียงตุงเป็นครั้งที่ 2 แต่ไม่สำเร็จจึงต้องเสียให้กับจีนไป
ครั้งที่ 7 เสียดินแดนเขมรและเกาะ 6 เกาะ ให้ กับฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2410 พื้นที่ 124,000 ตารางกิโลเมตร ในสมัยรัชกาลที่ 4 ฝรั่งเศสบังคับให้กัมพูชาทำสัญญา รับความคุ้มครองจากฝรั่งเศส หลังจากนั้นได้ดำเนินการทางการทูตกับประเทศไทย ขอให้มีการแบ่งปันเขตแดนกัมพูชากับญวน แต่กลับตกลงกัน ไม่ได้ ขณะนั้นพระปิ่นเกล้า แม่ทัพเรือสวรรคต ไทยจึงอ่อนแอ ฝรั่งเศสจึงบังคับทำสัญญารับรองความอารักขาจากฝรั่งเศสต่อกัมพูชา ใน ช่วงนี้เองอังกฤษและฝรั่งเศสได้ทำสัญญากันเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2438 โดยตกลงกันให้ไทยเป็นรัฐกันชน ประกอบกับการดำเนินนโยบายของรัชกาลที่ 5 ที่ไปประพาสยุโรปถึง 2 ครั้ง ทำให้อังกฤษ เยอรมนี และรัสเซียเห็นใจไทย ฝรั่งเศสจึงยึดดินแดนไป
ครั้งที่ 8 เสียแคว้นดินแดนใหม่ ชื่อสิบสองจุไท (เมืองไล เมืองเชียงค้อ) ให้กับฝรั่งเศสอีก เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2431 พื้นที่ 87,000 ตารางกิโลเมตร ในสมัยรัชกาลที่ 5 พวกฮ่อก่อกบฏ ไทยจึงจัดกำลังไปปราบจำนวน 2 กองทัพ แต่ปฏิบัติเป็นอิสระแก่กัน อีกทั้งแม่ทัพทั้งสองไม่ถูกกัน จึงเป็นโอกาสให้ฝรั่งเศสส่งทหารเข้าเมืองไล โดยอ้างว่ามาช่วยไทยปราบฮ่อ แต่หลังจากปราบได้แล้วก็ไม่ยอมยกทัพกลับไป อีกทั้งไทยก็ไม่ได้จัดกำลังไว้ยึดครอง จนในที่สุดไทยกับฝรั่งเศสได้ทำสัญญากันที่เมืองแถง (เบียนฟู) ยอมให้ฝรั่งเศสรักษาเมืองไลและเมืองเชียงค้อ
ครั้งที่ 9 ไทยต้องสูญเสียฝั่งซ้ายแม่น้ำสาละวินให้กับประเทศอังกฤษ ในสมัยรัชกาลที่ 5 ในช่วงปี พ.ศ. 2433 นับเป็นการสูญเสีย ครั้งยิ่งใหญ่ทางด้านรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจและทรัพยากรอันอุดมไปด้วยดินแดนผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์
ต่อมาครั้งที่ 10 ก็เสียฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง (อาณา จักรล้านช้างหรือประเทศลาว)ให้กับฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2436 พื้นที่ 143,000 ตารางกิโลเมตร ในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยดินแดนนี้เคยเป็นของไทยมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวร แต่ต้องเสียให้กับฝรั่งเศสตามสัญญาไทยกับฝรั่งเศส เท่านั้นยังไม่พอ ฝรั่งเศสยังเรียกเก็บเงินจากไทยอีก 1 ล้านบาทเป็นค่าเสียหายที่ต้องรบกับไทย และเสียค่าประกันว่าไทยต้องปฏิบัติตามสัญญาอีก 3 ล้านบาท
นอกจากนี้ฝรั่งเศสยังได้ส่งทหารมายึดเมืองจันทบุรีและตราดไว้นานถึง 15 ปี นับว่าเป็นความเจ็บปวดที่สุดของไทยถึงขนาดที่เจ้านาย ฝ่ายในต้องขายเครื่องแต่งกาย เพื่อนำเงินมาถวายรัชกาลที่ 5 เป็นค่าปรับและรัชกาลที่ 5 ต้องนำเงินถุงแดง (เงินพระคลังข้างที่) ออกมาใช้
ครั้งที่ 11 เสียฝั่งขวาแม่น้ำโขง (ตรงข้ามหลวงพระบาง ดินแดนในทิศตะวันออกของน่าน, จำปาศักดิ์, มโนไพร) ให้กับฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2446 พื้นที่ 25,500 ตารางกิโลเมตร ในสมัยรัชกาลที่ 5 ไทยทำสัญญากับฝรั่งเศสเพื่อขอให้ฝรั่งเศสคืนจันทบุรีให้ไทย แต่ฝรั่งเศสถอนไปจากจันทบุรีแล้วไปยึดเมืองตราดแทนอีก 5 ปี และเมื่อฝรั่งเศสได้หลวงพระบางไปแล้วยังรุกล้ำบ้านนาดี, ด่านซ้าย จังหวัดเลย และยังได้เอาศิลาจารึกที่พระเจดีย์ศรีสองรักไปด้วย
ในปีพ.ศ. 2449 เสียมณฑลบูรพา (พระตะบอง, เสียมราฐ, ศรีโสภณ) ให้กับ ฝรั่งเศสอีกเช่นกันเป็นครั้งที่ 12 พื้นที่ 51,000 ตารางกิโลเมตร ในสมัยรัชกาลที่ 5 ไทยได้ทำสัญญากับฝรั่งเศสเพื่อแลกกับตราด, เกาะกงและด่านซ้าย ตลอดจนอำนาจศาลไทยที่จะบังคับต่อคนในบังคับของฝรั่งเศสในประเทศไทย เพราะขณะนั้นมีคนจีนญวนไป พึ่งธงฝรั่งเศสกันมากเพื่อสิทธิการค้าขาย ฝรั่งเศสก็เพียงแค่ถอนทหารออกจากตราดและด่านซ้าย เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2450 แต่ไม่คืนเกาะกงให้ไทย
ครั้งที่ 13 เสียหัวเมืองมลายู (รัฐกลันตัน ตรังกานู ปะลิส และไทรบุรี) ให้กับอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2451 พื้นที่ 80,000 ตารางกิโลเมตร เพื่อแลกกับอังกฤษยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตและให้ ไทยกู้เงินเพื่อสร้างทางรถไฟสายใต้ ปัจจุบันเป็นของมาเลเซีย
และ ครั้งที่ 14 เสียเขาพระวิหารให้กับเขมร เมื่อวันที่15 มิถุนายน 2505 พื้นที่ 2 ตารางกิโลเมตร เนื่องมาจากหลักฐานสำคัญของเขมร ใน สมัยที่เป็นของฝรั่งเศส เมื่อรู้ว่ากรมพระยาดำรงราชานุภาพจะเสด็จเขาพระวิหาร จึงไปก่อนและชักธงชาติฝรั่งเศสรับเสด็จ และถ่ายรูปไว้และนำมาเป็นหลักฐาน แต่ปัจจุบัน ยังเป็นข้อพิพาทและรอการตัดสินใหม่
ถ้าถามว่าเหตุใดไทย จึงยอมเสียดินแดนมากมาย ในสมัยนั้นต้องเข้าใจว่าเป็นยุคแห่งการล่าอาณานิคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงรัชกาลที่ 5 ยอมเสียแผ่นดินส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนมากเอาไว้ เหมือนยอมตัดแขนเพื่อรักษาชีวิต เพราะเราใช้นโยบายที่จะเสียน้อยแต่ไม่ต้องเสียเอกราช
การกล่าวถึงประวัติ ศาสตร์ที่ผ่านมา ไม่ใช่เป็นการปลุกจิตให้ฮึกเหิม เกิดการเกลียดชัง แต่วัตถุประสงค์ แท้จริงก็เพื่อทำให้คนไทยได้ทราบว่า เคยเสียดินแดนไปแล้วถึง 14 ครั้ง เพื่อจะได้ช่วยกันจดจำ และรักษาผืนแผ่นดินที่มีอยู่เอาไว้อย่างเต็มกำลัง ช่วยสร้างจิตสำนึกของคนไทยให้รักกัน ไม่แตกความสามัคคี พร้อมเด็กและเยาวชนรุ่นหลังจะได้เรียนรู้เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น.
แรงบันดาลใจทำซีดีบันทึกประวัติศาสตร์ไทยเผยแพร่คนรุ่นหลัง
นอกจากจะมีความรู้ความสนใจทางประวัติศาสตร์ของไทยแล้ว ยังนำความรู้นั้นมาบันทึกเป็นซีดีเผยแพร่ประวัติศาสตร์ของไทยให้แก่ผู้ที่สนใจด้วย โดย ธีระพงษ์ บอกเล่าถึงแรงบันดาลใจว่า เนื่องจากอยากให้คนรุ่นหลังได้รับทราบประวัติความเป็นมาของไทยเพื่อส่งเสริมความสามัคคีและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงได้จัดทำ “ซีดีข้อมูลสารคดีกษัตริยาธิราชชนชาติไทย” โดยตอนแรกได้บรรยายถึงประวัติความเป็นมาของประวัติศาสตร์ไทยและประวัติความเป็นมาของราชวงศ์ต่าง ๆ กษัตริย์ทั้ง 49 พระองค์ใน 8 ราชวงศ์ เป็นการสรุปย่อสั้น ๆ
ส่วนตอนที่ 2 เป็นการบรรยายประวัติศาสตร์ชาติไทย เริ่มตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรีจนถึงปัจจุบันรวมทั้งบรรยายพระราชกรณียกิจที่สำคัญของแต่ละรัชกาลด้วย และ ที่ปลาบปลื้มมากที่สุดคือ หลังจากทำซีดีแจกให้ผู้ที่สนใจแล้วสภาสังคมสงเคราะห์ แห่งประเทศไทยได้เห็น จึงนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2553 ที่ผ่านมา ส่วน ซีดีความรู้เรื่อง “การสูญเสียดินแดนไทย” ได้ข้อมูลมาจากหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ที่จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งมี ผู้สนใจมากทำให้เวลาไปบรรยายให้ความรู้จะนำไปเปิดให้ผู้ฟังรับทราบและใครสนใจก็จะให้นำไปไรต์แจกจ่ายกันไป เพราะคิดว่าอย่างน้อยจะได้ทำให้คนไทยเกิดความรักและหวงแหนในชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ที่กว่า
จะมาเป็นประเทศไทยเราทุกวันนี้.
-----------------------------------------------------
สงคราม (1)
* พญาไม้ทูเดย์ * พญาไม้13 ส.ค. 2553 9:49 น.
ทันทีที่ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หลุดปากไปว่า..กรณีพิพาทระหว่าง ไทย กับ กัมพูชา ในเรื่องเขาพระวิหารนั้น..อาจจะต้องใช้การทหาร
ที่พังทันทีก็คือประเทศไทย
ยิ่งเมื่อ พลเอก ประวิตร วงศ์สุวรรณ..ถึงแม้จะบ่ายเบี่ยงว่าเรื่องราวทางทหาร..จะยังไม่มีการนำมาใช้..แต่การยืนยันว่า ประเทศเราเป็นประเทศใหญ่..ก็ไม่สมควรจะพูดเช่นกัน
มาดูกันซิว่า..หากจะใช้มาตรการทางทหารกับกัมพูชาแล้ว..ผลประโยชน์ได้เสียจะเป็นอย่างไร..
กัมพูชานั้น..เป็นประเทศในกลุ่มประเทศอินโดจีน ที่ประกอบกันด้วย 3 ชาติคือกัมพูชา ลาว และเวียดนาม........เมื่อรวมพลเมืองเข้าด้วยกันแล้วก็จะมีจำนวนมากกว่า 100 ล้าน..
ทั้ง 3 เคยร่วมอยู่ในชะตากรรมเดียวกันในสงครามเปลี่ยนประวัติศาสตร์..เมื่อสหรัฐอเมริกา ได้ใช้ไทยเป็นฐานทัพทั้งทางอากาศ และทางบกในการสนับสนุนรัฐบาลในประเทศทั้ง 3 ต่อสู้กับผู้ที่เป็นรัฐบาลในปัจจุบัน..จนเมื่อสงครามอินโดจีนเปลี่ยนโฉม..คนทั้งโลกเชื่อกันว่า..ประเทศไทยจะเป็นโดมิโนตัวสุดท้ายที่จะเปลี่ยนไป
นั่นทำให้..ทั้ง 3 จับมือกันทั้งทางเศรษฐกิจและการทหาร..ทำให้ประเทศไทยไม่ได้เปรียบในเรื่องประชากรมากกว่า..คำว่าเราเป็นประเทศใหญ่..จึงใช้ไม่ได้ในศึกสงครามครั้งนี้หากจะเกิดขึ้น
หากมองเข้าไปในกองทัพ..ทหารของเวียดนามและกัมพูชา..เชี่ยวชาญในการทำสงครามเพราะสู้รบกับกองทัพอเมริกันมาเป็นสิบปี..และสามารถเอาชนะในสงครามได้..ตรงกันข้ามกับกองทัพไทย..ที่ไม่เคยอยู่ในสงครามใหญ่สงครามที่สู้รบกับชาติมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลก
อีกทั้งอุปกรณ์สงครามที่เวียดนามสะสมอยู่นั้น..ประเมินกันว่าอยู่ในอันดับต้นๆของโลก..เพราะเวียดนามมีพรมแดนติดต่ออยู่กับประเทศจีน และเคยทำสงครามต่อกัน..สงครามระหว่าง ไทย กัมพูชา จึงมองข้ามกำลังพล และยุทโธปกรณ์ของเวียดนามไปไม่ได้
ชายแดนระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา..โดยเฉพาะฝั่งกัมพูชา เป็นป่าทึบ..ที่ทหารกัมพูชาใช้เป็นสมรภูมิสู้รบกับกองทัพอเมริกัน..เขาจึงชำนาญพื้นที่อย่างยิ่ง..โอกาสที่ทหารไทยจะบุกเข้าไปจึงไม่ง่าย ไม่ว่าจะคำนวณกันจากโต๊ะทรายหรือจอคอมพิวเตอร์..
เรื่องนี้ยังไม่จบ..
สงคราม (2)
* พญาไม้ทูเดย์* พญาไม้17 ส.ค. 2553 10:27 น.
ว่ากันต่อ..เรื่องสงคราม..หรือการใช้กิจการทหารแก้ปัญหา เขาพระวิหาร ระหว่างไทยกับกัมพูชา..อนุสนธิจากการที่ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้หลุดปากออกไป..และดูเหมือนว่า..สมเด็จฯ ฮุนเซน..แห่ง กัมพูชา..ได้ขานรับออกมาแล้ว
ว่า...นองเลือด
ทันทีที่กระสุนนัดแรกระเบิดขึ้น เปิดฉากสงคราม ไทย กัมพูชา ยุคใหม่..ความแตกแยกในประเทศไทยในปัจจุบันจะส่งผลทันทีต่อความมั่นคงของแผ่นดิน..ประเทศกัมพูชาในสภาพที่ไร้ไมตรีต่อกันและเป็นคู่สงคราม..จะเป็นแผ่นดินทองของคนไทยจำนวนหนึ่งซึ่งปฏิเสธการปกครองของรัฐบาลไทยในปัจจุบัน..
สงครามจะไม่เล่นกันอยู่บนแผ่นดินกัมพูชาแต่จะเข้ามาเล่นกันอยู่ในราชอาณาจักรไทย..และเล่นกันตลอดตั้งแต่เหนือจรดใต้..ในทุกๆ ชายแดนที่ขึงพรืดติดกัน..
กองทัพไทยจะต้องระดมกำลังพลนับล้าน..เพื่อสงครามนี้..แต่อาวุธที่มีอยู่ในคลังพระแสงเวลานี้..เรามีเพียงพออยู่หรือ..แต่เรื่องเหล่านี้ ไม่ใช่ปัญหาของประเทศในกลุ่มอินโดจีน..ที่มีประเทศจีนและรัสเซียหนุนหลัง..
อเมริกาซึ่งกระสันอยากจะเข้ามาขุดเจาะน้ำมันในประเทศกัมพูชาอยากจะสร้างโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ในเวียดนาม..ญี่ปุ่นที่กำลังบุกเบิกการลงทุนในเวียดนาม เกาหลีที่ตามหลังญี่ปุ่นเข้ามาสิงคโปร์กับมาเลเซีย ที่กำลังจะวางรถไฟเชื่อมตัดข้ามอ่าวไทย..เข้าสู่กัมพูชา..
ไทยในฐานะเป็นผู้กล่าวถึง การแก้ปัญหาโดยทางทหาร..คือผู้เสียหายคือผู้เล่นเกมสงคราม คือชาติใหญ่ที่ใช้กำลังเข้ารังแกชาติเล็ก..จะเอาอะไรไปชี้แจงกับชาวโลก..
ไทยที่ปฏิเสธคำพิพากษาของศาลโลก ไทยที่จะลาออกจากยูเนสโก้ไทยที่ล้มเลิก เอ็ม โอ ยู..ที่เคยให้ไว้..ใครกันแน่ที่จะเป็นผู้เสียหาย..
น้ำลายหยดเดียวของ นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย..จะทำให้ไทยกลายเป็น "ชาติโดดเดี่ยว" ในสังคมโลก..
แน่นอนว่าในฐานะประชาชนคนไทย..เราจะไม่ยอมให้ใครประเทศไหนไม่ว่าเก่งแค่ไหนใหญ่คับฟ้า..มาใช้เรือปืนปิดอ่าวแล้วเข้ามาปล้นแผ่นดิน และประชาชนติดแผ่นดินออกไป..คนไทยเจ็บปวดมามากแล้วในประวัติศาสตร์..ของการศิโรราบโดยไม่ต่อสู้..
แต่..ผู้นำในการต่อสู้..ต้องเป็น "นักรบ" ไม่ใช่ "ตัวตลก" ที่บัญชาการไม่ได้แม้กระทั่งน้ำลายในปากของตัวเอง
Ref: Facebook บันทึก by Attachai Anantameak on 17 สิงหาคม 2010 เวลา 22:57 น.
----------------------------------------------------
เรื่องเกี่ยวกับ "เขาพระวิหาร" จากเว็บ เสธ.แดง Jun 21 2008
เรื่อง จริง "เขาพระวิหาร" จะเชื่อ เสธ.แดง หรือ จะเชื่อ เจ็กลิ้มกับควายพันธมิตร นักการเมืองส้นตีน หรือ นสพ.-ข้าราชการ -นักวิชาการปัญญอ่อน ไอ้พวกควายโง่ที่ตามเรื่อง เราเสียเขาพระวิหาร เสียพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรทับซ้อน เชื่อ เจ็กลิ้ม มหาจำรองพระไม่โกนคิ้มแต่โกนหมอย เชื่อพรรค ปชป.ที่อยากเป็นรัฐบาลจนลืมธรรมะคุณธรรมและอุดมการณ์พรรค เชื่อเปลว สีเงิน หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฯลฯ รับเงินต่างชาติ ทำลายประเทศไทย
แต่ทุกคนที่ออกมายืนยันว่าไทยไม่เสียดินแดน ขึ้นทะเบียนเฉพาะเขาพระ วิหาร คือชนชั้นปกครองและออกมาจากปากผู้นำประเทศ ผู้นำเหล่าทัพ คณะ รัฐมนตรี และที่สำคัญคือ กระทรวงการต่างประเทศ มึงไม่เชื่อ แต่เสือกไป เชื่อ เจ็กบ้า เอเอสทีวี ว่าเสียดินแดน แม่ง...ด่าซ้ำอีก 100 ครั้ง ไอ้ควาย!...โง่ คนไทยหรือเปล่า ว่ะ... จะให้ดูรูปและเน้นอีกที
ว่าเขมรยุคนี้เขาน่ารักมาก แต่มึงอยากจะมีเรื่องเขมร อยากรบกับเขมร เราเคยรบกันแล้วเมื่อ ปี 2530 กูเคยจนศึกจบ ดีไม่ตายห่าไปอีกคน มึงรีบส่งชื่อสมัครกูเลย เวลารบ กันเดี๋ยวจะให้ดูรูป ว่าเหลือแค่ไหน วันนั้นรัสเซีย-เวียดนาม ช่วย มัน วันนี้จีนแดงช่วยมัน ส่วนไทย แม่งปากหมาอย่างเดียว เมื่อวานตำรวจตั้งแนว 7 ชั้น ใส่หน้ากาก ป้องกันไอพิษ ห้ามพันธมิตรผ่านราชดำเนิน หงอยแดก เลี้ยวซ้ายนึกว่าจะ ลุย ตำรวจเขาเปิดให้ เพื่อล่อไปเข้าซองเมื่อ 2 ปีก่อน รอลุยทิ้ง ไชโยโห่ ร้องประกาศชัยชนะ แม่ง..ควายจริงๆ
ทบทวนเรื่อง "เขาพระวิหาร" อีกที 6 ตุ.ค.2502 ...สีหนุยื่นฟ้องศาลโลก ที่กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ ศาลตัดสินให้เขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา 15 มิ.ย.2505... จอมพลประภาสยกธงชาติไทยลงจากเขาพระวิหาร มาไว้ที่ฐาน ตชด. ไม่ชักธงลง 46 ปี ผ่านไปไวเหมือนโกหก มาถึง 2551 เดือนกรกฎคม หน้านี้ เขมรจะเอา เขาพระวิหารเข้าเป็นมรดกโลกที่ เมือง ควิกเบก ประเทศแคนนาดา โดยเขาทั้งพื้นที่ที่เคยชนะไทยที่ศาลโลก เรา ต้องเสียดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตร
แต่จริงๆ พื้นที่นี้คนไทยอยู่ทั้ง นั้น ทั้งร้านค้าหน้าเขาพระวิหาร กระทั่งขอทาน คนไทยกระทืบเขมรหนีหมด เขมร ไม่เคยขึ้นมายุ่งบนที่ราบสูง เรายังเรียกมันว่าเขมรต่ำ เหมือนเดิม 22 พ.ค.2551 ... รัฐมนตรีต่างประเทศ นพดล รีบแจ้นไปหาพี่ใหญ่เขมร คือ ฝรั่งเศส เจอ ซกอาน รองนายกเขมร รับผิดชอบเรื่องเขาพระวิหาร ที่สำนักงาน ใหญ่ยูเนสโก อยู่ในกรุงปารีส รบกัน 3 เพลง เขมรยอม นพดล ไม่ขึ้นทั้งพื้นที่ ที่ใช้แผนที่ ฝรั่งเศสสมัยชนะไทยปี 2505 ขึ้นแค่ตัวปราสาท เหมือนแผนที่ไทยทำใหม่หลบ เขา พระวิหารให้ ให้เขมรส่งแผนที่มาใหม่ ห้ามไปแดกไทย 1 ก,พ,2553... มึงทั้ง 2 ประเทศ ต้องเอาแผนที่ทับซ้อน มาเสนอ แผนกมรดก โลก จะได้แบ่งเงินบริหารถูก เพราะเงินเยอะมาก ค่อยว่ากันอีกที คือ อีก 2 ปี มึงค่อยรบกัน
เตรียมตัวพวกปากหมา สาวกเจ๊กบ้า เก่งแต่ปาก ด่า เขมร ด่ารัฐบาล ไม่รู้จริง ให้รีบสมัครเป็นทหาร 5 ม.ย.2551... กระทรวงต่างประเทศรับแผนที่ฉบับใหม่แค่ตัวปราสาท ส่งให้ พล.ท. แดน มีชูอรรถ นักเรียนเตรียมทหารรุ่น 12 เจ้ากรมแผนที่ทหาร ตรวจสอบด้วยดาว เทียม ยืนยัน ตรงแผนที่ไทยเปี๊ยะ แสดงว่าเขมรยอมไทย ใช้แผนที่ไทย ช่อง ละ 1 ตารางกิโลเมตร อัตราส่วน 1 ต่อ 5 หมื่น ไม่ใช้ แผนที่ฝรั่งเศส ช่อง ละ 2 ตารางกิโลเมตร 1 ต่อ 2 แสน ตั้งแต่โบราณ 16 มิ.ย.2551... สภาความมั่นคงแห่งชาติ พล.อ.สุรพล เผื่อยอัยกา ผอ.สมช.เตรียมทหารรุ่น 10 รับรอง 17 มิ.ย.2551
ผ่านความเห็นชอบ ครม.ไทย ไม่ใช่ ครม.เจ๊กลิ้ม รัฐบาลโจ๊ก กอง พล 93 มีมหาจำรองเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เจ็กลิ้ม เป็นนายกรัฐมนตรี โปรด เกล้า โดยไอ้สุริยไสย กับ ไอ้สมศักดิ์ เครา 18 มิ.ย.2551 รัฐมนตรีต่างประเทศ นพดล แถลงข่าวให้คนไทยฟังเรื่อง จริง คนปกติเชื่อ แต่ควายที่ฟัง เจ๊กลิ้ม กับนักการเมืองส้นตีน และนัก วิชาการ ไฟธาตุแตก ด่าว่าไม่จริง ประเทศไทยทำไมคนปัญญาอ่อนแบบนี้ ลองเอาตีนคิดอีกครั้ง...คนพูดว่าเขาพระวิหารเข้ามรดกโลก แค่ตัวปราสาท เช่น ผบ.ทบ.-รัฐมนตรีต่างประเทศ-ครม.-สมช.-บิ๊กจิ๋ว-หน่วยงานกระทรวงต่าง ประเทศ-กรมแผนที่ทหาร พูด ...แม่งควายไม่เชื่อ แต่ไปเชื่อ เจ๊กบ้า ว่าเสีย ดินแดน ...ควายจริงๆ
ไทยได้อะไรบ้างหลัง "เขาพระวิหาร" เป็นมรดกโลก สนามบินอุบล แตกแน่ คนไหลมาจากทั่วโลก แบบ เสธ.แดง ไปเที่ยว เมืองเพ ตรา จอร์แดน จากสนามบินอุบลฯไปเขาพระวิหารแค่ 60 กิโลเมตร ถนนจะกลาย เป็น 4 เลน เงินไหล เข้าไทยเละ เพราะเขมรไม่มีสนามบิน กว่าจะสร้างเสร็จที่ตีนเขา หาเงินไม่ต่ำกว่า 20 ปี และกว่าจะเดินทางมาถึงเขาถูกเขมรปล้นก่อน เขมรมีสนามบินใกล้สุดเมืองเสียมราฐ ต้องวิ่งมาจังหวัดเขาพระ วิหาร ทางลูกรัง แล้วจึงมาอ้อมขึ้นเขา ถูกปล้นไม่ก็ถูกข่มขืนตายห่าก่อน ดัง นั้นคนทั่วโลก มาสนามบินอุบล อย่างเดียว (จบ)
Ref: Facebook บันทึก by Tp Phong on 18 สิงหาคม 2010 เวลา 12:27 น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น