Dailyworldtoday
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเตรียมทำหนังสือถึงนายกฯให้ทบทวนต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ระบุประกาศใช้ 3 เดือนพบพฤติกรรมละเมิดสิทธิประชาชนอย่างกว้างขวาง หากดันทุรังใช้ต่อต้องตอบคำถามให้ได้ว่าทำไมองค์กรปรกติที่มีอยู่ไม่สามารถใช้ควบคุมสถานการณ์ได้ ชี้ถ้าเป็นเพราะผู้บริหารองค์กรไม่มีน้ำยาก็ต้องแก้ให้ถูกจุดด้วยการปรับเปลี่ยน “อภิสิทธิ์” ต้องคงการใช้กฎหมายพิเศษไว้โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ตำรวจเพิ่มที่เฝ้าระวังเป็น 68 จุด ส่งตำรวจพร้อมอาวุธคุม 24 ชั่วโมง พบคนร้ายยิงได้ทันทีเพื่อระงับเหตุ สำนักงบฯเผย ศอฉ. ทำงาน 3 เดือนเบิกงบแล้วไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท
นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในฐานะประธานอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมือง สิทธิทางการเมือง และสิทธิชุมชน เปิดเผยหลังการประชุมคณะอนุกรรมการว่า ที่ประชุมได้ศึกษาเรื่องการบังคับใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยตั้งข้อสังเกตว่ารัฐบาลควรยกเลิกการประกาศใช้ เนื่องจากพบว่าการประกาศใช้ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาสถานการณ์ความรุนแรงได้ผ่านไปแล้ว แม้ว่าจะมีบางเหตุการณ์เกิดขึ้น เช่น เหตุระเบิดที่พรรคภูมิใจไทย เหตุยิงระเบิดอาร์พีจีที่คลังน้ำมันกรมพลาธิการทหารบก แต่สถานการณ์ขณะนี้ถือว่าปรกติ สามารถใช้กฎหมายอาญาปรกติดูแลสถานการณ์ได้ หากรัฐบาลยังคงยืนยันที่จะใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินก็ต้องตอบให้ได้ว่าเหตุใดองค์กรปรกติที่มีอยู่ เช่น ตำรวจ จึงดูแลสถานการณ์ไม่ได้
พ.ร.ก.ฉุกเฉินอุปสรรคปรองดอง
“การต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอาจทำให้การปฏิรูปประเทศและแผนปรองดองไม่ประสบความสำเร็จและเกิดแนวร่วมมุมกลับ เกิดสถานการณ์ใต้ดิน การที่ฝ่ายความมั่นคงและรักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ระบุว่ายังจำเป็นต้องคง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เนื่องจากมีเรื่องการเคลื่อนไหว การปองร้ายผู้นำ เรื่องนี้รัฐบาลต้องชี้แจงให้ได้ว่าองค์กรปรกติที่มีอยู่สามารถจัดการได้หรือไม่ หากจัดการไม่ได้ต้องปรับเปลี่ยนในเรื่องตัวบุคคลหรือกลไกที่มีปัญหา” นพ.นิรันดร์กล่าวและว่า การยืดอายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินทำให้พบพฤติกรรมละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น กรณีของกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย วันที่ 2 ก.ค. กรรมการสิทธิฯจะทำหนังสือสอบถามและเสนอแนะต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาเรื่องยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ส่วนกรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดงระบุว่าพร้อมจะชุมนุมอีกครั้งหลังยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินนั้น นพ.นิรันดร์กล่าวว่า หากเป็นไปตามมาตรา 63 ก็เป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญสามารถทำได้ หากละเมิดก็สามารถดำเนินการตามกฎหมาย
สอบยิงคลังน้ำมันไม่คืบ
ที่กองบัญชาการกองทัพบก พ.ต.อ.ทรงพล วัฒนะชัย รองผู้บังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจนครบาล แถลงหลังการประชุมศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ว่าที่ประชุมรับทราบรายงานความคืบหน้าการสอบสวนคดีคนร้ายยิงอาร์พีจีใส่คลังน้ำมันของกรมพลาธิการทหารบก ซึ่งหลังจากเจ้าหน้าที่ตรวจพบรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน วขก 235 กทม. นายชาคริต วิไลวรรณ เจ้าของและพักอาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าวได้มาแสดงตัวพร้อมให้การว่าไม่มีส่วนรู้เห็น ขณะที่ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ยืนยันว่าไม่พบผลการตรวจลายนิ้วมือและสารดินระเบิด และจากการซักถามของชุดสืบสวนไม่ปรากฏว่ามีพยานหลักฐานว่านายชาคริตจะมีส่วนเกี่ยวข้อง จึงตัดประเด็นนี้ออกไป
ตำรวจเพิ่มพื้นที่เฝ้าระวัง 68 จุด
“ตำรวจเชื่อว่าน่าจะมีคนเห็นเหตุการณ์ จึงประกาศขอความร่วมมือให้มาให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวนเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานออกหมายจับคนร้ายต่อไป” พ.ต.อ.ทรงพลกล่าวและว่า เพื่อป้องกันเหตุร้ายที่เกิดขึ้น กองบัญชาการตำรวจนครบาลได้ประชุมเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ และได้กำหนดพื้นที่เสี่ยงไว้ 68 จุด ทั้งหมดเป็นคลังน้ำมัน โรงกลั่นน้ำมัน จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ไปประจำจุดเสี่ยงทั้ง 68 จุด ตลอด 24 ชั่วโมง อย่างน้อยจุดละ 2 นาย โดยอนุญาตให้มีอาวุธปืนยาวและอาวุธที่จำเป็นประจำตัว หากเกิดการเผชิญหน้าให้ใช้มาตรการเด็ดขาดเพื่อระงับยับยั้งความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น
จับคนใกล้ชิด “เสธ.แดง” ได้อีก
ส่วนมาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญ พ.ต.อ.ทรงพลกล่าวว่า ได้ดำเนินการแล้ว ที่บ้านพักนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีสำคัญ บ้านพักประธานศาลฎีกา ทำเนียบรัฐบาล รัฐสภา และที่เพิ่มเติมคือคลังน้ำมัน ประปา และไฟฟ้า สำหรับความคืบหน้าการออกหมายจับตามหมายคดีฉุกเฉินสามารถจับกุมได้แล้ว 16 ราย อาทิ นายยงยุทธ ท้วมมณี อายุ 54 ปี ผู้ติดตามใกล้ชิด พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง และนายสมบัติ บุญงามวงศ์ ประธานมูลนิธิกระจกเงา โดยเจ้าหน้าที่ส่งตัวไปควบคุมที่กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 คลอง 5 จังหวัดปทุมธานี ส่วนที่เหลือเป็นการจับกุมผู้เกี่ยวข้องกับการเผาศาลากลางจังหวัดขอนแก่นและอุดรธานี
“การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงในพื้นที่ต่างๆยังมีอยู่ และมีความเชื่อมโยงกับการก่อวินาศกรรมในพื้นที่ต่างๆ” พ.ต.อ.ทรงพลกล่าว
5 ก.ค. ชี้ขาดต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. กล่าวว่า ศอฉ. จะชี้ขาดการต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในวันที่ 5 ก.ค. นี้ เพื่อเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาในการประชุมวันที่ 6 ก.ค. เบื้องต้นจะพยายามลดพื้นการต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินให้ได้มากที่สุด แต่มีเงื่อนไขว่าเมื่อลดลงแล้วประสิทธิภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่ยังคงอยู่และไม่ส่งผลต่อการดำเนินคดี
ส่วนกรณีมีข้อกังขาว่าทำไมคนร้ายยิงอาร์พีจีถูกถังที่ไม่มีน้ำมันนั้น พ.อ.สรรเสริญกล่าวว่า การตรวจสอบพบว่าถังน้ำมันทั้งหมดมี 11 ถัง มีน้ำมันอยู่เพียง 4 ถัง ที่เหลือไม่มีน้ำมัน
ผลสอบตำรวจ 4 จังหวัดถึงมือ “ปทีป”
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย รอง ผบ.ตร. ด้านงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ในฐานะประธานตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการปฏิบัติหน้าที่ของ 4 ผู้บังคับการจังหวัดภาคอีสานที่ปล่อยให้ผู้ชุมนุมกลุ่มเสื้อแดงเผาศาลากลางจังหวัด กล่าวว่า ได้ส่งผลตรวจสอบข้อเท็จจริงไปยังสำนักงานกำลังพล (สกพ.) เพื่อทำการประมวลก่อนที่จะเสนอเรื่องให้กับ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาการ ผบ.ตร. พิจารณา โดยรายละเอียดในสำนวนการตรวจสอบจะมีการระบุถึงข้อเท็จจริงในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้บังคับการทั้ง 4 จังหวัด ตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุ และหลังเกิดเหตุ
“ในรายงานมีเพียงผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยเน้นช่วงก่อนเกิดเหตุ เพื่อดูว่าได้มีการวางมาตรการป้องกันอะไรไว้บ้าง ไม่ได้ทำความเห็นเสนอประกอบไปด้วยเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน คงไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุขึ้น สิ่งที่ต้องทำหลังจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกหน่วยคงต้องมีการฝึกฝนในเรื่องของการควบคุมและดูแลผู้ชุมนุมในสถานการณ์ต่างๆ เพื่อไม่ให้มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต” พล.ต.อ.จุมพลกล่าว
กกต. เพิ่มความเข้มรักษาความปลอดภัย
นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวว่า กกต. ตกเป็นเป้าลอบสังหารมานานแล้ว มีการข่มขู่กันอย่างเปิดเผยระหว่างการปราศรัยบนเวทีในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เราไม่ประมาท วางมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มข้น ส่วนจะต้องประสานของกำลังตำรวจติดตามคุ้มกัน กกต. แต่ละคนหรือไม่นั้นต้องรอประเมินจากการข่าวที่ฝ่ายความมั่นคงจะแจ้งมาก่อน
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการ ศอฉ. กล่าวว่า ฝ่ายรัฐไม่ได้ประมาทเรื่องการรักษาความปลอดภัยสถานที่และบุคคลสำคัญ เพราะทราบดีว่าสถานการณ์อย่างนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ในบ้านเมือง แต่ก็ไม่ถึงกับตื่นตระหนก
“ผมไม่ได้คิดแต่เรื่องความปลอดภัยของตัวเอง เพราะมีหน้าที่ต้องทำเพื่อให้บ้านเมืองอยู่รอดปลอดภัย” นายสุเทพกล่าว
“มาร์ค” ไม่กังวลเป็นเป้าสังหาร
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ข่าวการลอบสังหารคนสำคัญมีมาเป็นระยะ ไม่ได้วิตกอะไร แต่คนอื่นหากมีความวิตกกังวลก็สามารถแจ้งให้เจ้าหน้าที่ไปช่วยดูแลความปลอดภัยได้
“ยุคนี้มีบางฝ่ายที่พร้อมจะใช้ความรุนแรง เราก็ต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น สิ่งที่น่าเป็นห่วงไม่ใช่เรื่องตัวบุคคลแต่เป็นเรื่องค่านิยม เมื่อไรที่เราเอาวัฒนธรรมความรุนแรงเข้าสู่ระบบการเมืองปัญหามันจะไม่จบไม่สิ้น ไม่มีประเทศไหนที่สามารถเดินหน้า ก้าวหน้าไปได้ถ้ามีวัฒนธรรมความรุนแรง และประชาธิปไตยไม่มีที่ไหนที่จะพัฒนาได้ถ้าความรุนแรงเข้ามาเป็นวงจรวัฏจักร เมื่อความรุนแรงนำเข้ามาสู่วัฒนธรรมทางการเมืองรัฐบาลก็พยายามจะแก้ปัญหา นี่คือเหตุผลที่เราต้องยืนยันในการบังคับใช้กฎหมายพิเศษออกไป ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างความปรองดองควบคู่กันไปเพื่อให้เอาคนที่เขาตกเป็นเหยื่อ เป็นเครื่องมือของการใช้ความรุนแรงออกมา” นายอภิสิทธิ์กล่าว
หนุนต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในกรุงเทพฯ
ผู้สื่อข่าวถามว่าเป้าก่อเหตุรุนแรงขยายเป็น 60 จุดแล้ว นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ในช่วงที่มีการชุมนุมจะพบว่ามีการก่อเหตุที่ไหนบ้าง มันมีหลายสิบแห่งที่มีการก่อเหตุ ซึ่งเราต้องไม่ประมาท ยืนยันว่าไม่ได้พูดแบบเหวี่ยงแห เพราะเราดูจากการข่าวและการเคลื่อนไหวว่าใครมีเป้าหมายอย่างไร ส่วนเรื่องการต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินส่วนตัวเห็นด้วยที่จะคงไว้ในกรุงเทพฯ แต่จะนานแค่ไหนขึ้นอยู่กับสถานการณ์ หากประชาชนช่วยกันต่อต้านความรุนแรงก็จะแก้ได้เร็ว
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่านายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี จะให้นิยามคำว่าก่อการร้ายกับคำว่าก่อจลาจลใหม่ เพราะมีผลในเรื่องการประกันภัย จะส่งผลต่อคดีหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ทุกอย่างต้องเป็นไปตามความเป็นจริง นโยบายที่ให้ไปคือเรื่องเหล่านี้ต้องอยู่ที่ข้อเท็จจริง จะไปพยายามทำอะไรเพื่อหวังผลในเรื่องอื่นไม่ได้ แต่จะพยายามให้บริษัทประกันได้เข้าใจถึงสถานการณ์และผ่อนปรนหากเขามีเงื่อนไขของเรื่องเหล่านี้อยู่
เมื่อถามย้ำว่าบริษัทประกันภัยนำเรื่องที่รัฐบาลบอกว่าก่อการร้ายมาเป็นข้ออ้างไม่จ่ายค่าสินไหมผู้ได้รับผลกระทบ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เราก็พยายาม ทั้งนายกอร์ปศักดิ์และกระทรวงการคลัง ซึ่งมีคณะกรรมการกำกับดูแล พยายามแก้ไขปัญหานี้อยู่ เรื่องที่จะให้ไปกำหนดอะไรที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงมันทำไม่ได้
กมธ. ทหารจี้ถามงบ ศอฉ.
ที่รัฐสภา ในการประชุมคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ที่มี พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย เป็นประธาน ได้พิจารณาการเบิกจ่ายงบประมาณของ ศอฉ. ที่ประชุมสอบถามตัวแทนสำนักงบประมาณว่า ตั้งแต่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและตั้ง ศอฉ. ขึ้นมา มีการเบิกจ่ายงบประมาณไปแล้วทั้งหมดเท่าไร ทำไมตัวเลขเบี้ยเลี้ยงของกำลังพลทหารและตำรวจที่ทำงานให้กับ ศอฉ. กับผู้ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จึงแตกต่างกันมาก เพราะกำลังพลของ ศอฉ. ได้รับวัน 400 บาท ขณะที่ในพื้นที่ภาคใต้ได้เพียง 210 บาท
ดีเอสไอพบแนวทางก่อวินาศกรรม
ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า การข่าวของดีเอสไอพบว่าจะมีการก่อวินาศกรรมสถานที่ราชการและลอบสังหารผู้นำ ซึ่งมีแผนกระทำโดยใช้ระเบิดทีเอ็นทีประกอบกับถังแก๊สเช่นเดียวกับกรณีเกิดขึ้นที่พรรคภูมิใจไทย ซึ่งในส่วนของดีเอสไอได้เสริมกำลังทหารเพิ่มอีก 20 นาย มารักษาความปลอดภัยเพื่อไม่ให้สำนวนคดีถูกโจรกรรมและให้ความคุ้มครองพยาน
นายธาริตยังยืนยันการตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของ 4 หน่วยงานว่าเป็นไปอย่างโปร่งใส ไม่มีการข่มขู่เรียกทรัพย์จากนิติบุคคลหรือบุคคลที่ถูกอายัดการทำธุรกรรมตามที่เป็นข่าว ทั้งนี้ มาตรการการห้ามทำธุรกรรมการเงินเป็นมาตรการหนึ่งในการตรวจสอบ เนื่องจากบ้านเมืองมีเหตุร้ายแรงเกิดขึ้น แต่การดำเนินการเป็นไปโดยให้เกียรติ ไม่กลั่นแกล้ง และยังไม่มีการตั้งข้อกล่าวหาทั้ง 83 ราย โดยจะเปิดโอกาสให้ชี้แจงเต็มที่ตามกรอบเวลาที่กำหนด 60 วัน
เรื่องจากปก:
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
ปีที่ 11 ฉบับที่ 2832 ประจำวัน ศุกร์ ที่ 2 กรกฏาคม 2010
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น