วันเสาร์, กรกฎาคม 03, 2553

เงินบริจาคพันธมิตรฯ ทะลุ100 ล้าน เสียภาษีหรือยัง ?

จาก ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

28 มิถุนายน 2553 "เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ " สมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.)ระบบสรรหา ได้ทำหนังสือถึงนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังขอให้ตรวจสอบการเสียภาษี กรณี เงินบริจาค"ASTV-เครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.)


"เรืองไกร" อ้าง จดหมายของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ทำขึ้นในนามแกนนำ พธม. เพื่อโต้ตอบนายวีระ สมความคิด ซึ่งมีเนื้อหาบางส่วนที่แสดงให้เห็นว่า มีเงินได้พึงประเมินเกิดขึ้นในนามบุคคลต่าง ๆ ที่ได้รับมาจากบุคคลอื่นในรูปเงินบริจาค ซึ่งควรถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากรมาตรา 40(8) ที่จะต้องมีการเสียภาษีปีละสองครั้ง


หากจะเข้าใจ ความเป็นมาของปริศนาเงินบริจาค ต้องย้อนกลับไปดู เหตุการณ์ในปี 2551 กลาง สมรภูมิ สงครามครั้งสุดท้าย พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่มี สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นหนึ่งในแกนนำ คนสำคัญ ได้ยึดทำเนียบรัฐบาลเป็นฐานที่มั่น ได้มีการใช้ ASTV ถ่ายทอดสด การชุมนุมขับไล่รัฐบาลนอมินีของพ.ต.ท.ทักษิณ แบบเรียลลิตี้ 24 ชั่วโมง


ด้วยพลานุภาพแห่งพลังทุน มีการเรี่ยไรบริจาคเงินทุกวัน คุยข่มกันว่า หากเพียงแค่เหล่าบรรดาแกนนำเอ่ยปากร้องขอบนเวที ไม่ว่าอะไรก็สามารถเนรมิตได้ในเวลาอันรวดเร็ว


บนเวที มีการป่าวประกาศ ว่า ยอดเงินบริจาคทะลุ 100 ล้านแล้ว (จ้า) แทบทุกคืน


ก่อนหน้านี้ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ขึ้นเวทีเปิด ตู้ ป.ณ.100 ขอรับบริจาคเพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายและค่าจ้างพนักงานเอเอสทีวี ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2551 -5 กันยายน 2551 ซึ่งได้มาถึง 13 ล้านบาท โดยยืนยันว่าจะไม่มีการเปิดรับอีก เพราะเอเอสทีวีสามารถอยู่ได้แล้วจากเงินของผู้ชุมนุมคนละ 200 บาท


ครั้งนั้น นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ เคยกล่าวไว้ว่า ค่าใช้จ่ายของกลุ่มพันธมิตรฯ อยู่ที่วันละ 1 ล้านบาท ในการจัดงานและกิจกรรมต่างๆ ค่าถ่ายทอดสัญญาณ แสงเสียง ค่าน้ำมันปั่นเครื่องไฟ ค่าสวัสดิการ อาหารของคณะทำงาน ค่าตอบแทนวิทยากรและศิลปิน ฯลฯ พร้อมกับแจกแจงข้อมูลเงินบริจาคที่แบ่งเป็น 2 บัญชี คือ บัญชียามเฝ้าแผ่นดิน และ บัญชีเอเอสทีวี


...น่าจะเป็นการชุมนุมโดยอหิงสาที่มีค่าใช้จ่ายต่อวันสูงกว่า การชุมนุมครั้งใด ๆ (ก่อนปี 2551)


เหตุใด บริษัท เอเอสทีวี จึงต้องเปิดขอรับเงินบริจาคกลางเวทีพันธมิตรฯ ? แล้วเงินบริจาคซึ่งถือว่าเป็นรายรับทั้งในส่วนของมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน และ บริษัท เอเอสทีวี ที่ว่ากันว่าทะลุ 100 ล้านแล้วนั้น มีการเสียภาษีให้แก่แผ่นดินหรือไม่ เป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ


แหล่งข่าวระดับสูงกรมสรรพากร เปิดเผยว่า เงินบริจาค ถือเป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษี ตาม พ.ร.บ.ให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร พ.ศ.2481 ถ้าเงินบริจาคเข้าตัวบริษัทก็ต้องนำมาคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล


ถ้าเงินบริจาคเข้า กระเป๋าบุคคลธรรมดา ถือเป็นกรณีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่ต้องเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 40(8) ตาม พ.ร.บ.ให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร พ.ศ.2481 เช่นเดียวกัน


ก่อนหน้านี้ มีการก่อตั้ง "มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน" ที่นายสนธิ มีความคิดต้องการให้เป็นเหมือนองค์กรพัฒนาเอกชน ที่รับเงินเดือนโดยตรงกับประชาชน จนนำไปสู่การจดทะเบียนอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 23 เมษายน 2550 มี นายคำนูณ สิทธิสมาน เป็นประธาน


มูลนิธิแห่งนี้ เปิดรับสมัครเป็นสมาชิกหนังสือยามเฝ้าแผ่นดินแทน ด้วยการส่งใบสมัครไปที่ 49/1 อาคารบ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ เขตพระนคร ซึ่งยังเป็นที่ตั้งของบริษัท บุ๊ค ด็อท คอม, บริษัท เวิล์ดไวด์ มีเดีย, บริษัท ภูเก็ตบลูสกาย


ครั้งนั้น แกนนำพันธมิตรฯ ยืนยันว่า ผู้ที่สงสัยในการบริหารค่าใช้จ่ายต่างๆ สามารถตรวจสอบเรื่องดังกล่าวได้ เพราะทางทีมงานจะนำเสนอรายละเอียดค่าใช้จ่ายผ่านบนเว็บไซต์ อีกทั้งการดำเนินงานของพันธมิตรฯ เป็นการดำเนินงานในลักษณะองค์กร

แต่จากวันนั้น จนถึงวันนี้ เงินบริจาค ค่าใช้จ่ายและรายรับต่างๆ ยังไม่เคยถูกตรวจสอบ โดยเฉพาะกรมสรรพากร ก็แสนดี ...นิ่งเงียบเป็นแมวนอนหวด


ผ่านไป 2 ปี เมื่อพันธมิตรฯทะเลาะกันเอง ข้อมูลก็โผล่ออกมาว่า เงินบริจาค ถูกแบ่งออกเป็น 5 กอง ประกอบด้วย 5 รายการ ดังนี้


1.บริจาค ให้นายวีระ สมความคิด ผ่านคุณธิดาลักษณ์ วรรณวัฒนากิจเลขานายสนธิ ลิ้มทองกุล 2. บริจาคให้กองทุนสู้คดี (โดยคุณสุวัตร อภัยภักดิ์ เป็นผู้ดูแล) 3. กองทุนรักษาผู้บาดเจ็บ (โดยคุณพิภพ ธงไชย เป็นผู้ดูแล) 4. มูลนิธิจำลอง ศรีเมือง (โดยพลตรี จำลอง ศรีเมือง เป็นผู้ดูแล) 5. ASTV (โดยผู้บริหาร ASTV เป็นผู้ดูแล)

จริง ๆ แล้ว เงินที่อยู่ในชื่อบุคคลต่าง ๆ ย่อมอาจถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามความในมาตรา 61 ของประมวลรัษฎากร ที่กรมสรรพากรมีอำนาจตรวจสอบว่า เงินที่บุคคลดูแลนั้น อยู่ในหนังสือสำคัญใด เช่น สมุดบัญชีเงินฝากธนาคารต่าง ๆ (บัญชีกระแสเลขที่ 008-1-09707-0 , บัญชีเลขที่ 008-1-09660-0 , บัญชีเลขที่ 008-2-24447-8 หรือบัญชีออมทรัพย์เลขที่ 157-0-06294-3) และเงินเหล่านั้นได้รับมาตั้งแต่ช่วงปีใด แต่ละปีมีเงินได้เท่าไร มีการเสียภาษีจากเงินได้ที่ปรากฏในหนังสือสำคัญแล้วหรือไม่ รวมทั้งตรวจสอบการโอนเงินได้ให้แก่บุคคลอื่นนั้น บุคคลอื่นที่ได้รับเงินไปนั้น มีใครบ้าง ได้รับในฐานะอะไร


หากนำเงินดังกล่าวมาหักออกตามสิทธิที่ระบุไว้ในมาตรา 61 วรรคสอง ก็ควรตรวจสอบต่อไปด้วยว่า บุคคลอื่นที่ได้รับเงินไปอีกทอดหนึ่งนั้น มีการเสียภาษีแล้วหรือไม่ เช่น ค่าทนายความที่จ่ายครั้งละประมาณ 200,000 บาท จำนวนหลายครั้งรวมเป็นเงินหลายล้านบาท ทนายความผู้รับเงินมีการไปเสียภาษีประเภทเงินได้ค่าธรรมเนียมวิชาชีพตาม มาตรา 40 (6) อีกทอดหนึ่งหรือไม่


สำหรับเงินบริจาคในนามมูลนิธิ ถ้ามีการจดทะเบียนมูลนิธิดังกล่าวโดยถูกต้องตามกฎหมาย ย่อมถือเป็นนิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 10 จากรายได้ก่อนหักรายจ่ายใด ๆ


ทั้งนี้ มูลนิธิจะได้รับยกเว้นรายได้ตามมาตรา 65 ทวิ (13) คือ เงินค่าลงทะเบียนหรือค่าบำรุงที่ได้รับจากสมาชิก หรือเงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับจากการบริจาคหรือจากการให้โดยเสน่หา แล้วแต่กรณี


จากข้อมูลของ"เรืองไกร"พบว่า เงินบริจาคของมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินเพื่อพันธมิตรสู้คดีตั้งแต่ สิงหาคม 2552- กุมภาพันธ์ 2553 ปรากฏว่า มีเงินเหลือในบัญชี 10,737,284.83 บาท

ถ้าให้ดี "กรณ์ จาติกวณิช" น่าจะสั่งให้กรมสรรพากร เข้าไปตรวจสอบ โดยพลัน !!!


แต่ถ้ากลัวก็บอกมาตรงๆ จะได้รู้ว่า ประเทศนี้ 2 มาตรฐาน จริงๆ


บทความ: ประชาชาติธุรกิจออ นไลน์
วันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553 เวลา 19:54:56 น.
---------------------------------------------------------------


"เรืองไกร"ร้อง รมว.คลังสอบเงินบริจาค"ASTV-เครือข่าย พธม." เสียภาษีหรือไม่ ใช้ จม."สนธิ"โต้"วีระ"มัดคอ

คลิกอ่าน วิวาทะ"สนธิ ลิ้มทองกุล-วีระ สมความคิด"สาวไส้กันเละ หลังแตกคอ พธม.เรื่องเงินบริจาค
คลิกอ่าน "สุชาติ ลายน้ำเงิน" โอดคำสั่งห้ามทำธุรกรรม ทำหมดตัว รับไม่อายพรรคให้เดือนละ 5 หมื่นประทังชีวิต

นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.)ระบบสรรหา เปิดเผยเมื่อวันที่ 28 มิถุนายนว่า ได้ทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังขอให้ตรวจสอบการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2 กรณี ดังนี้

กรณี 1 นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทยที่พูดว่า พรรคเพื่อไทยให้เงินเดือนอีก 50,000 บาทย่อมทำให้มีมูลพอเชื่อได้ว่า นายสุชาติ มีเงินเดือนจากพรรคการเมืองเดือนละ 50,000 บาท ซึ่งเงินดังกล่าวควรเป็นเงินได้พึงประเมินของผู้มีเงินได้ที่ต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต่อกรมสรรพากรภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไป จึงขอให้ตรวจสอบว่า เงินได้จากพรรคการเมืองดังกล่าวผู้ได้รับเงินมีการนำเงินได้นั้นไปรวมเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามประมวลรัษฎากรมาตรา 40(1) ถูกต้องแล้วหรือไม่ และเงินได้นั้นมีการรับมาแล้วในปีภาษีใดบ้าง

(อ้างข้อมูลจาก www.matichon.co.th วันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553 เวลา 13:47:33 น.)

กรณีที่ 2 นายสนธิ ลิ้มทองกุลได้ทำจดหมายในนามแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.) เพื่อโต้ตอบนายวีระ สมความคิด ซึ่งมีเนื้อหาบางส่วนที่แสดงให้เห็นว่า มีเงินได้พึงประเมินเกิดขึ้นในนามบุคคลต่าง ๆ ที่ได้รับมาจากบุคคลอื่นในรูปเงินบริจาค ซึ่งควรถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากรมาตรา 40(8) ที่จะต้องมีการเสียภาษีปีละสองครั้ง ดังรายการต่อไปนี้

-บริจาคให้นายวีระ สมความคิด ผ่านคุณธิดาลักษณ์ วรรณวัฒนากิจเลขานายสนธิ ลิ้มทองกุล

-บริจาคให้กองทุนสู้คดี (โดยคุณสุวัตร อภัยภักดิ์ เป็นผู้ดูแล)

- กองทุนรักษาผู้บาดเจ็บ (โดยคุณพิภพ ธงไชย เป็นผู้ดูแล)

- มูลนิธิจำลอง ศรีเมือง (โดยพลตรี จำลอง ศรีเมือง เป็นผู้ดูแล)

- ASTV (โดยผู้บริหาร ASTV เป็นผู้ดูแล)

(ข่าวจากเว็บไซด์ www.matichon.co.th ของวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2553หัวข้อ วิวาทะ"สนธิ ลิ้มทองกุล-วีระ สมความคิด"สาวไส้กันเละ หลังแตกคอ พธม.เรื่องเงินบริจาค)

การรับเงินบริจาคดังกล่าวอาจแสดงให้เชื่อได้ว่า มีบุคคลธรรมดา(ในรูปกองทุนแยกจากบัญชีมูลนิธิ) ได้รับเงินได้พึงประเมินที่ต้องนำมารวมคำนวณภาษีตามประมวลรัษฎากร เช่นนายวีระ สมความคิด นายสุวัตร อภัยภักดิ์ นายพิภพ ธงไชย พลตรี จำลอง ศรีเมือง และผู้บริหาร ASTV เป็นต้น

จากจดหมายของนายสนธิ จึงปรากฏข้อเท็จจริงที่แจ้งให้ทราบว่า มีการได้รับเงินได้พึงประเมินในรูปแบบต่าง ๆ เช่น กองทุนสู้คดี กองทุนรักษาผู้บาดเจ็บ เป็นต้น ซึ่งเงินดังกล่าวมีชื่อบุคคลเป็นผู้ดูแล

ดังนั้น เงินที่อยู่ในชื่อบุคคลต่าง ๆ ย่อมอาจถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามความในมาตรา 61 ของประมวลรัษฎากร ที่กรมสรรพากรมีอำนาจตรวจสอบว่า เงินที่บุคคลดูแลนั้น อยู่ในหนังสือสำคัญใด เช่น สมุดบัญชีเงินฝากธนาคารต่าง ๆ (บัญชีกระแสเลขที่ 008-1-09707-0 , บัญชีเลขที่ 008-1-09660-0 , บัญชีเลขที่ 008-2-24447-8 หรือบัญชีออมทรัพย์เลขที่ 157-0-06294-3) และเงินเหล่านั้นได้รับมาตั้งแต่ช่วงปีใด แต่ละปีมีเงินได้เท่าไร มีการเสียภาษีจากเงินได้ที่ปรากฏในหนังสือสำคัญแล้วหรือไม่ รวมทั้งตรวจสอบการโอนเงินได้ให้แก่บุคคลอื่นนั้น บุคคลอื่นที่ได้รับเงินไปนั้น มีใครบ้าง ได้รับในฐานะอะไร

หากนำเงินดังกล่าวมาหักออกตามสิทธิที่ระบุไว้ในมาตรา 61 วรรคสอง ก็ควรตรวจสอบต่อไปด้วยว่า บุคคลอื่นที่ได้รับเงินไปอีกทอดหนึ่งนั้น มีการเสียภาษีแล้วหรือไม่ เช่น ค่าทนายความที่จ่ายครั้งละประมาณ 200,000 บาท จำนวนหลายครั้งรวมเป็นเงินหลายล้านบาท ทนายความผู้รับเงินมีการไปเสียภาษีประเภทเงินได้ค่าธรรมเนียมวิชาชีพตามมาตรา 40 (6) อีกทอดหนึ่งหรือไม่

สำหรับเงินบริจาคในนามมูลนิธิ ถ้ามีการจดทะเบียนมูลนิธิดังกล่าวโดยถูกต้องตามกฎหมาย ย่อมถือเป็นนิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 10 จากรายได้ก่อนหักรายจ่ายใด ๆ ทั้งนี้ มูลนิธิจะได้รับยกเว้นรายได้ตามมาตรา 65 ทวิ (13) คือ เงินค่าลงทะเบียนหรือค่าบำรุงที่ได้รับจากสมาชิก หรือเงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับจากการบริจาคหรือจากการให้โดยเสน่หา แล้วแต่กรณี

กรมสรรพากรจึงควรมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามข่าวว่า บุคคลที่เกี่ยวข้องได้ทำหน้าที่เสียภาษีให้รัฐอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้วหรือไม่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเรืองไกรได้แนบเอกสารที่อ้างว่า เป็นเงินบรจาคของมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินเพื่อพันธมิตรสู้คดีตั้งแต่ สิงหาคม 2552- กุมภาพันธ์ 2553 ปรากฏว่า มีเงินเหลือในบัญชี 10,737,284.83 บาท

บทความ: มติชนออนไลน์
วันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2553 เวลา 14:05:24 น.
----------------------------------------------------------


วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553 เวลา 06:42:36 น. มติชนออนไลน์

วิวาทะ"สนธิ ลิ้มทองกุล-วีระ สมความคิด"สาวไส้กันเละ หลังแตกคอ พธม.เรื่องเงินบริจาค

หมายเหตุ- เป็นจดหมายที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ชี้แจงแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สหรัฐอเมริกาผ่านทางจดหมายอิเล็คทรอนิกส์ (อีเมล์) กรณีของนายวีระ สมความคิดไปพูดที่สหรัฐอเมริกาให้กลุ่ม พธม.ที่สหรัฐฟังในประเด็นต่างๆ เช่น เกิดความแตกแยกระหว่างแกนนำ พธม. กับนายวีระ สมความคิด ทำให้นายวีระฯ ไม่ได้ออกรายการใดๆ ที่ ASTV อีกต่อไป , ปัญหาความขัดแย้งเกี่ยวกับการบริหารจัดการเรื่องเงินบริจาคของนายวีระกับ พธม., วิธีการดำเนินการในเรื่องการประท้วงเขาพระวิหาร ฯลฯ

อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นนายวีระได้ให้สัมภาษณ์โต้ตอบจดหมายชี้แจงของนายสนธิโดยปฏิเสธว่า ไม่ได้โกงที่เงินที่ประชาชนบริจาคเพื่อต่อต้านคอร์รัปชั่นเป็นประโยชน์ส่วนตัว

ทั้งนี้เนื้อหาการชี้แจงและโต้ตอบกันของบุคคลทั้งสองไปโพสต์อยู่ในเว็บไซต์ต่างๆ เช่น โอเคเนชั่น เฟซบุ๊คของนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
-------------------------

วันเสาร์ ที่ 19 มิถุนายน 2553
ลับ...."สนธิ" ชี้แจง "วีระ" กรณีปราศรัยที่อเมริกา
Posted by weera , ผู้อ่าน : 3084 , 11:40:36 น.
หมวด : นักข่าวอาสา Share Share พิมพ์หน้านี้
-----------------------------------------------------------------------------
19 มิถุนายน 2553

เรื่อง การปราศรัยของคุณวีระ สมความคิด

เรียน ท่านแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สหรัฐอเมริกาทุกท่าน

ตามที่มี พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สหรัฐอเมริกา หลายท่านได้สอบถามมาเรื่องเกี่ยวกับ กรณีของคุณวีระ สมความคิด ที่ได้ไปพูดพาดพิงถึงแกนนำพันธมิตร และ ASTV โดยไม่มีความจริงทุกประการนั้น

แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (ประเทศไทย) ได้มอบหมายให้ผมเป็นผู้ออกแถลงการณ์ ชี้แจงความจริง เพื่อให้แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สหรัฐอเมริกา ได้รับทราบ ดังนี้

1.แกนนำพันธมิตรฯ จะไม่ออกมาตอบโต้ คุณวีระในทางสาธารณะ เพราะไม่ต้องการให้สังคมเห็นว่า ได้มีการแตกแยกกัน ซึ่งอาจจะเป็นเหตุให้ฝ่ายตรงข้าม ตลอดจนสื่อฝ่ายตรงข้าม เข้ามาฉวยโอกาสโจมตี จึงได้มอบหมายให้ผม เป็นตัวแทนในการชี้แจงกับแกนนำพันธมิตรฯ สหรัฐอเมริกา โดยตรง และการชี้แจงนี้ เพื่อให้เกิดการเข้าใจ และหวังว่าแกนนำพันธมิตรฯ สหรัฐอเมริกา จะสามารถอธิบายเรื่องราวต่างๆ ให้กับพันธมิตรฯ ในสหรัฐอเมริกาได้

2. แถลงการณ์ฉบับนี้เป็นแถลงการณ์ ที่ส่งให้เฉพาะแกนนำพันธมิตรฯ สหรัฐอเมริกาเท่านั้น ใคร่ขอความกรุณาอย่านำไปเผยแพร่ ทั้งนี้ เพื่อที่จะรักษาความสามัคคีในหมู่เหล่าเอาไว้

3.คุณวีระ สมความคิด ได้พูดออกมาหลายประเด็น ที่ไม่ตรงต่อข้อเท็จจริง ดังต่อไปนี้

3.1 ประเด็นที่ 1 ได้เกิดความแตกแยกระหว่างแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กับคุณวีระ สมความคิด จนเป็นผลมาสู่การที่คุณวีระฯ ไม่ได้ออกรายการใดๆ ที่ ASTV อีกต่อไป

3.2 ประเด็นที่ 2 ได้เกิดปัญหาความขัดแย้ง เกี่ยวกับการบริหารจัดการเรื่องเงินบริจาค

3.3 ประเด็นที่ 3 วิธีการดำเนินการในเรื่องเขาพระวิหาร

3.4 ประเด็นที่ 4 การเชิญชวนให้คุณวีระ ออกจากองค์กรของตนเอง เพื่อเข้าร่วมกับพันธมิตรฯ อย่างเต็มตัว

3.5 ประเด็นที่ 5 การที่ อ.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ไม่สามารถมาจัดรายการที่ ASTV ได้อีก เป็นเพราะผมไปกดดัน อ.สมเกียรติฯ ไม่ให้ อ.สมเกียรติ ออกมาจัด

ผมใคร่ขอตอบบประเด็นความขัดแย้งตั้งแต่ ประเด็นที่ 3.1 ถึง 3.5 ในทีเดียวกัน เพราะว่า แต่ละประเด็นนั้นมีความเกี่ยวเนื่องซึ่งกันและกัน

คำชี้แจง

คุณวีระ สมความคิด เป็นหนึ่งในหน่วยงานภาคเอกชนที่ต้องดูแลต่อสู้เรื่องเกี่ยวกับการต่อต้านการคอร์รัปชั่น ในชื่อ เครือข่ายประชาชนต่อต้านการคอร์รัปชัน (คปต.)

การเข้ามาร่วมของคุณวีระ สมความคิด กับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น เป็นการเข้ามาร่วมในลักษณะเป็นแนวร่วม แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไม่เคยสร้างความกดดันให้คุณวีระ สมความคิด ในเรื่องที่ให้ออกจากองค์กรของตัวเอง เพื่อเข้ามาร่วมกับพันธมิตรฯ ทั้งนี้เพราะยังมีคนลักษณะแบบคุณวีระ สมความคิด ที่เป็นแนวร่วมอีกมาก ที่พอใจจะทำกิจกรรมทางการเมือง โดยที่ไม่ได้อยู่ภายใต้ร่มเงาของพันธมิตรฯ

ในช่วงระยะเวลา 193 วันนั้น แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไม่เคยกีดกันคุณวีระ สมความคิด ในเรื่องขึ้นเวที หรือการแสดงออกใดๆ ทั้งสิ้น มีแต่ให้การสนับสนุน เพราะแกนนำพันธมิตรฯ ยึดถือว่า คุณวีระ สมความคิด เป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์ เป็นสหายร่วมรบ ไม่เคยมองคุณวีระฯ เป็นศัตรูเลยแม้แต่นิดเดียว แม้กระทั่งทุกวันนี้ ก็ยังมองอยู่เช่นเดิม

ในเรื่องเกี่ยวกับเงินบริจาคนั้น เมื่อประชาชนบริจาคมาให้พันธมิตรฯ โดยหลายครั้ง จะมีการระบุผู้รับอย่างชัดเจน เช่น

- บริจาคให้กองทุนสู้คดี (โดยคุณสุวัตร อภัยภักดิ์ เป็นผู้ดูแล)

- กองทุนรักษาผู้บาดเจ็บ (โดยคุณพิภพ ธงไชย เป็นผู้ดูแล)

- มูลนิธิจำลอง ศรีเมือง (โดยพลตรี จำลอง ศรีเมือง เป็นผู้ดูแล)

- ASTV (โดยผู้บริหาร ASTV เป็นผู้ดูแล)

- ฯลฯ

เมื่อผู้บริจาคระบุว่า ต้องการให้คุณวีระ สมความคิด แกนนำพันธมิตรฯ ก็รวบรวมเงินส่วนของคุณวีระ และส่งมอบให้คุณวีระ ทุกๆครั้ง บางครั้งก็จะมาบริจาคที่บ้านพระอาทิตย์ เลขาของผม (คุณธิดาลักษณ์ วรรณวัฒนากิจ) ก็จะเป็นคนรวบรวมเงิน และมอบให้คุณวีระ เมื่อคุณวีระ เดินทางมาที่บ้านพระอาทิตย์

เครือข่ายประชาชนต่อต้านการคอร์รัปชัน (คปต.) ได้เคยติดต่อมาทางแกนนำพันธมิตรฯ และบอกว่า เงินที่คุณวีระ ได้รับนั้น คุณวีระฯ ไม่เคยเอามาเข้าบัญชีที่คุณวีระฯ เป็นผู้บริหารคนหนึ่ง

แกนนำพันธมิตรฯ ก็เลยนำเรื่องนี้ มาเล่าให้คุณวีระ ฟัง โดยทำหน้าที่เป็นผู้สื่อสาร มิได้ไปสร้างความกดดันใดๆ ทั้งสิ้น เพราะคุณวีระมักจะพูดเสมอว่า เงินที่ประชาชนบริจาคให้คุณวีระนั้น เป็นเงินบริสุทธิ์ และบริจาคให้คุณวีระโดยตรง เพราะฉะนั้นคุณวีระจะเอาไปใช้อะไรก็ได้

ในบางครั้ง ในการจัดคอนเสิร์ตการเมืองที่ต่างจังหวัดเพื่อระดมทุนช่วย ASTV ก็จะมีคนของคุณวีระเดินถือกล่องบริจาคให้คุณวีระเดินตามหมู่ประชาชนเพื่อขอรับบริจาคให้คุณวีระ โดยตรง

เนื่องจากว่า คุณวีระนั้น ถึงแม้จะทำงานโดยอิสระ แต่อีกด้านหนึ่ง ก็มาพึ่งพิงพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในการใช้มวลชน ตลอดจนการรับบริจาคเงินทองจากมวลชนพันธมิตรฯ

แกนนำพันธมิตรฯ ทั้ง 5 คน เกรงว่าจะมีข้อครหานินทาทีหลัง ในเรื่องของความโปร่งใส ประกอบกับในรายการค้นคนโกง ที่คุณวีระได้ใช้ ASTV เป็นเวทีเผยแพร่กิจกรรมของตัวเองออกไปนั้น ก็ได้มีตัววิ่งบนจอโทรทัศน์เชิญชวนให้ประชาชนบริจาคเงิน เข้าบัญชีส่วนตัวของคุณวีระฯ

แกนนำทั้งหมด จึงมอบหมายให้ผม เป็นตัวแทนในการอธิบายกับคุณวีระว่า เรื่องเงินบริจาคนั้น อยากให้ทำด้วยความโปร่งใส โดยทำภายใต้มูลนิธิ ยามเฝ้าแผ่นดิน ที่คนบริจาค สามารถบริจาคผ่านมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน โดยระบุว่า เป็นกองทุนคุณวีระ เพื่อต่อสู้เรื่องเขาพระวิหาร หรือเพื่อต่อสู้เรื่องการคอร์รัปชัน ฯลฯ

โดยเงินกองทุนที่อยู่ภายใต้มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ก็จะมีหลักฐานการโอนเงิน มีที่มาว่า เงินได้เข้ามาจริง ส่วนกองทุนนี้ก็จะเป็นกองทุนที่บริหารจัดการ โดยคุณวีระ แต่ผู้เดียว มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเป็นอันขาด

เงินกองทุนลักษณะนี้ก็มีอยู่ภายใต้มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินอยู่ 2 กองทุน

กองทุนแรกคือ กองทุนรักษาพยาบาลผู้ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งคุณพิภพ ธงไชย เป็นผู้ดูแลกองทุนนี้ แต่ผู้เดียว การตัดสินใจอยู่ที่คุณพิภพฯ เท่านั้น

อีกกองทุน ที่อยู่ภายใต้มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินก็คือ กองทุนสู้คดี ซึ่งคุณสุวัตร อภัยภักดิ์ เป็นผู้ดูแล และมีอำนาจตัดสินใจแต่ผู้เดียวเช่นกัน

ทั้งหมดนี้ แกนนำพันธมิตรฯ เพื่อเน้นประเด็นความโปร่งใสในเรื่องเงินทอง มิได้ไปกดดันคุณวีระแม้แต่นิดเดียว

คุณวีระ สมความคิด ปฎิเสธความหวังดีอันนี้ และก็ยังดำเนินรายการที่ ASTV ต่อ หากแต่ว่า ทาง ASTV ปฎิเสธที่จะให้มีตัววิ่งที่ระบุว่า ให้บริจาคโดยตรงกับคุณวีระ ทั้งนี้เพราะ ASTV เกรงว่า หากวันข้างหน้า มีคำถามเรื่องความโปร่งใสในเงินบริจาคของคุณวีระแล้ว ASTV จะกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด ในการระดมเงินประชาชนมาให้คุณวีระ

ทั้งหมดนี้ก็ก่อให้เกิดความไม่พอใจกับคุณวีระ สมความคิด ถึงกับเอาไปพูดออกรายการค้นคนโกงในบางเวลา และในที่สุด คุณวีระก็ทำหนังสือแจ้งความจำนงมาว่า ขอถอนตัวออกจากการจัดรายการที่ ASTV

หลังจากนั้น พลตรี จำลอง ศรีเมือง ก็มาแจ้งให้ผมทราบว่า คุณวีระได้ไปติดต่อกับ สมณโพธิรักษ์ แห่งสันติอโศก เพื่อขอจัดรายการที่ FMTV ของสันติอโศก โดยให้เหตุผลว่า ASTV คิดเงินค่าเวลาคุณวีระแพง

ผมก็เลยชี้แจงข้อเท็จจริงให้ พลตรี จำลอง ศรีเมือง ทราบว่า ASTV นอกจากจะไม่เคยคิดราคาค่าเวลาคุณวีระแล้ว ยังจัดพิธีกรมาช่วยคุณวีระอีกแรงหนึ่งด้วย พลตรี จำลองจึงกลับไปแจ้งให้ สมณโพธิรักษ์ ทราบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว

ต่อกรณีวิธีดำเนินการในเรื่องเขาพระวิหาร แกนนำพันธมิตรฯ ไม่เคยได้รับทราบหรือรับคำปรึกษาจากคุณวีระเลยว่า คุณวีระจะนำประชาชน (ซึ่งก็เป็น พธม. จากจังหวัดต่างๆ) เข้าไปประท้วงกรณีเขาพระวิหาร ทั้งที่ไม่ได้รับทราบ ไม่ได้รับคำปรึกษาหรือฟังความเห็นของแกนนำพันธมิตรฯ ASTV และเครือข่าย ไม่ว่าจะเป็น TV วิทยุ หนังสือพิมพ์ หรือเว็ปไซต์ ผู้จัดการออนไลน์ ก็ช่วยคุณวีระฯ รายงานข่าวตลอด

สิ่งที่พันธมิตรฯ หวั่นเกรงก็คือว่า แนวความคิดของการต่อสู้ของคุณวีระกับแกนนำพันธมิตรฯ นั้น ค่อนข้างจะแตกต่างกัน โดยพันธมิตรฯ มองว่า การจะประท้วงอะไรก็ตาม พันธมิตรฯ จะคำนึงถึงความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน ที่เข้ามาร่วมเป็นอันดับหนึ่ง เพราะการสูญเสียชีวิตและมีคนพิการบาดเจ็บกรณี 7 ตุลาคม ตลอดจนการถูก ลอบทำร้าย ด้วยระเบิด M 79 ในช่วง 193 วันนั้น เป็นปัญหาสำคัญ และประเด็นที่ยิ่งใหญ่มาก ในการพิจารณาการประท้วง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่คุณวีระจะนำประชาชน (ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็น พธม. ตามจังหวัดต่างๆ) ไปประท้วงในพื้นที่ศัตรู ในต่างจังหวัด เช่น ศรีสะเกษ เป็นการกระทำที่สุ่มเสี่ยงอันตรายต่อผู้ที่เข้ามาร่วม และหากมีการบาดเจ็บ หรือถึงแก่ชีวิตนั้น คนที่ต้องรับผิดชอบก็ต้องเป็นแกนนำพันธมิตรฯ ไม่ใช่คุณวีระ สมความคิด

การบาดเจ็บของพันธมิตรฯ ที่ไปประท้วงที่เขาพระวิหาร จ.ศรีสะเกษนั้น ในครั้งนั้น ที่ถูกกองกำลังจัดตั้งของฝ่ายตรงข้าม ด้วยความร่วมมือของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ก็เป็นบทพิสูจน์ต่อความกังวลของแกนนำพันธมิตรฯ

ด้วยเหตุนี้ หากคุณวีระ สมความคิด เรียกชุมนุมโดยที่แกนนำพันธมิตรฯ ไม่ทราบ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็มีความจำเป็นที่จะต้องชี้แจงว่า การชุมนุมที่คุณวีระฯ นำ นั้น ไม่ได้เป็นมติของแกนนำพันธมิตรฯ ซึ่งก็เป็นการประกาศอย่างชอบธรรม และถูกต้องที่สุด

ความขัดแย้งในวิธีการดำเนินการเกี่ยวกับมวลชน ระหว่างแกนนำพันธมิตรกับคุณวีระก็เลยมีข้อแตกต่างในแนวความคิด และในวิธีการ จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่มวลชน ซึ่งมีความสนิทสนมกับคุณวีระฯ ได้ต่อว่าแกนนำพันธมิตรฯ และ ASTV ว่าไม่ช่วยคุณวีระฯ

ในขณะที่ คุณวีระก็ยังเป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของแกนนำพันธมิตรฯ อยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ว่า วิธีการของพันธมิตรฯ กับวิธีการของคุณวีระต่างกันในรูปแบบและสาระโดยสิ้นเชิง เพราะพันธมิตรฯ นั้น เน้นอยู่ที่การตัดสินใจเป็นหมู่คณะเพื่อให้มีฉันทามติร่วมกัน

แต่ของคุณวีระเน้นอยู่ที่ปัจเจกบุคคล คือตัวคุณวีระเท่านั้น แต่เผอิญมวลชนนั้นเป็นมวลชนของพันธมิตรฯ ด้วยเหตุนี้ แกนนำพันธมิตรฯ จึงกังวล และเป็นห่วงต่อการตัดสินใจของคุณวีระฯ

อ.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์นั้น เส้นเลือดในสมองตีบ และอยู่ในขั้นของการฟื้นฟูสภาพร่างกาย ซึ่งขณะนี้ได้พ้นขีดอันตรายแล้ว และฟื้นฟูร่างกายกลับมาได้ 70% ทางแพทย์ ยังกำหนดให้ อ.สมเกียรติฯ ต้องพักฟื้นต่อ โดยไม่ทำอะไร ที่จะทำให้เกิดความเครียดได้ ต่อไปอีกระยะหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ อ.สมเกียรติฯ จึงไม่สามารถจะออกมาจัดรายการที่ ASTV ได้ หาใช่เพราะมีการกดดัน อ.สมเกียรติตามที่คุณวีระได้เคยพูดออกมา

แกนนำพันธมิตรฯ ทราบดีว่า การสร้างศรัทธา และความเชื่อ ให้กับมวลชนนั้น เป็นเรื่องละเอียดอ่อนค่อนข้างยากเย็น ทั้งนี้เพราะบุคลิค อุปนิสัย และพฤติกรรม ของมวลชนนั้น มีความหลากหลาย บางคนก็ใจร้อน ดุเดือดเลือดพล่าน บางคนก็สุภาพนุ่มนวล ไม่อยากให้มีการเผชิญหน้าฯลฯ

ด้วยเหตุดังกล่าว การตัดสินใจของแกนนำพันธมิตรฯ จึงเป็นการตัดสินใจ ที่ใช้องค์ประกอบรอบด้านเข้ามาเป็นส่วนในการนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และสิ่งที่แกนนำเป็นห่วงมากที่สุดคือ ชีวิต ความปลอดภัย ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

ในขณะเดียวกัน แกนนำพันธมิตรฯ ก็ยังต้องการ ความสามัคคี เพียงแต่หวังว่าคุณวีระและผู้ที่เชื่อในคุณวีระจะเข้าใจในคำชี้แจงครั้งนี้ การส่งแถลงการณ์ให้กับแกนนำพันธมิตร สหรัฐอเมริกานั้น จึงเป็นการชี้แจงกันเป็นการภายใน ส่วนตัวแกนนำนั้น จะไม่ออกไปพูดในทางสาธารณะ หากแต่ว่าผู้อื่นซี่งรู้เรื่องดี แต่ไม่ใช่แกนนำ ก็สามารถใช้สิทธิที่จะชี้แจงได้

ทั้งนี้เพราะเรื่องต่างๆที่เล่าให้ฟังนั้น นอกจากแกนนำพันธมิตรฯ และคุณสุริยะใส กตะศิลา ในฐานะผู้ประสานงานแล้ว ยังมีผู้รับรู้และรู้เห็นอยู่หลายท่าน เช่น ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ สุรวิชช์ วีรวรรณ ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย อัญชลี ไพรีรักษ์ และอีกหลายๆคน จึงเรียนมาเพื่อทราบ

ลงชื่อ (สนธิ ลิ้มทองกุล)

ตัวแทนแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

พลตรีจำลอง ศรีเมือง , นายพิภพ ธงไชย , นายสมเกียรติ์ พงษ์ไพบูลย์ , นายสมศักดิ์ โกศัยสุข
****************************************
ที่มา/อีเมล์วีระ
--------------------------------
คำชี้แจงจาก วีระ สมความคิด

วันอาทิตย์ ที่ 20 มิถุนายน 2553

"วีระ สมความคิด"...ชี้แจงจากอเมริกา

Posted by weera , ผู้อ่าน : 368 , 23:47:02 น.

หมวด : นักข่าวอาสา Share Share พิมพ์หน้านี้

"วีระ สมความคิด"...ชี้แจง
ถอดเทปการตอบคำถามของคุณวีระ สมความคิดในงาน “สานใจรวมพลังไทยเพื่อชาติ” June 6, 2010 Los Angeles, CA
โดย ดร. จอย ,คุณอรรคเดช ศรีพิพัฒน์ :

1. เกิดอะไรขึ้นกับความสัมพันธ์ระหว่างคุณวีระกับพันธมิตรและ ASTV

2. ทำไมคุณถึงไม่ออกรายการค้นคนโกงอีก

3. ปัญหาเรื่องเขาพระวิหารไปถึงไหนแล้ว และจะดำเนินต่อไปอย่างไร

4. ได้ข่าวว่าคุณสนธิ คุณวีระแยกทางกันหรือเปล่า

คุณวีระ สมความคิด : ผมไม่ได้แต่งงานกับคุณสนธิ ก็เลยไม่ได้แยกทางกัน... ไม่ได้แยกทางกัน เพียงแต่ว่าคุณสนธิอาจจะเข้าใจผิดและก็ไม่ได้ให้โอกาสผมนะครับ และก็แกอาจจะรักผมมากไปมั้ง อยากจะให้ผมอยู่กับแก แต่ผมไม่สามารถอยู่กับแก แกอยากให้ผมเนี่ยะลาออกจากเครือข่ายประชาชนต้านคอรัปชั่น มาอยู่กับมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน

ที่ผมทำไม่ได้ นะครับ เพราะว่าผมทำองค์กรของผมเนี่ยด้วยจุดยืนที่อยากจะแก้ปัญหาทุจริตคอรัปชั่นในสังคมไทย และก็ความมุ่งมั่นที่จะรักษาผลประโยชน์ของแผ่นดิน ผมไม่ต้องการที่จะไปอยู่ภายใต้... นะครับ การดูแล หรือครอบงำจากใคร ผมต้องการอิสระ (ปรบมือ)

ถึงแม้จะเป็นความหวังดี ก็ตามแต่ นะครับ แต่ถ้าเป็นความหวังดีแล้วเนี่ยะ ทำให้ผมต้องเสียจุดยืน แล้วก็ มันทำให้เกิดปัญหาในการทำงานเนี่ยะ นะครับ ผมก็มิอาจที่จะรับความหวังดีของท่านได้ ผมคงขอทำงานอย่างมีอิสระ นะครับ ที่จะไม่ให้ใครกล่าวหาผมได้ว่าเป็นคนของ ASTV แต่ผมอยากเป็นคนของประชาชนครับ (ปรบมือ)

ผมก็ไม่ได้มีสาเหตุโกรธเคืองกับคุณสนธิ ทุกวันนี้ก็ไม่ได้โกรธคุณสนธิ เพียงแต่คุณสนธิเนี่ยะ แกอาจจะหวังดีกับผมมาก และก็อยากที่จะช่วยแก้ข้อกล่าวหา เพราะว่า มีคนที่ไปกล่าวหาผม โดยที่เขาเนี่ยะเคยที่จะมาใกล้ชิดผม แต่ไม่ใช่คนที่เป็นลูกน้องผมนะ

ผมไม่ได้จ้างเค้า คือเค้าเป็นภรรยาของคนขับรถผม และเค้ามีโอกาสได้เข้ามาใกล้ชิดผมอยู่พักหนึ่ง และในช่วงที่ผมไปทำธุรกิจที่เขาพระวิหาร เขาก็เป็นคนที่ไปรับการบริจาคจากคนที่ช่วยสนับสนุนทั้งเงินและสิ่งของ และก็มีคนยืนยันว่า เขาแอบยักยอกเงินที่ประชาชนสนับสนุนผม

พอผมจับได้ ผมก็ให้เขาห่างออกไป แต่ผมไม่ได้ว่าอะไรนะ ก็คือให้ห่างออกไป นะครับ เขาก็โกรธและก็ไปบิดเบือนข้อมูลกับคุณสนธิ โดยไปฟ้องคุณสนธิบอกว่าผมเนี่ยะนะครับ ร่ำรวยแล้ว มีเงินมีทองมากมาย ผมแอบไปปลูกบ้านที่ภาคเหนือ 20 ล้านบ้างล่ะ ผมเนี่ยะไปซื้อบ้านอยู่ในหมู่บ้านนวธานี ที่เป็นหมู่บ้านเศรษฐี บ้านผมมีรถตั้ง 5 คัน แต่ไม่เคยที่จะมาให้โอกาสผม ในการที่กล่าวหาผมแล้วนี่ ไม่ได้มีหลักฐานชัดเจน

คุณสนธิก็เรียกผมไปพบเรื่องนี้ แล้วก็บอกว่า มีคนเขากล่าวหาอย่างเนี้ย และก็เป็นคนของคุณ ผมก็บอกว่า ”พี่ธิเรียกมาพบเลยครับ เขาพูดอะไรบ้าง”

แกก็ไม่พูดรายละเอียดให้ผมฟัง แต่แกไปพูดให้กับคนใกล้ชิดแกนนำคนอื่น และแกนนำคนอื่นก็เอาไปพูดบอกกันเต็มไปหมดนะครับ ผมก็ไม่มีโอกาสที่จะได้พูดกับคนทั้งประเทศ เพราะผมพูดมันผ่านสื่อ มันก็เหมือนกับการไปสาวไส้ คนที่เสียประโยชน์คือพวกเรา คนที่เสียหายก็พวกเรา คนได้ประโยชน์คือศัตรูของเรา

ผมก็ต้องอดทนมาโดยตลอด นะครับ ผมไม่มีหรอกครับบ้าน 20 ล้าน บ้านนั้นไม่ใช่บ้านของผม ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับผมเลยนะครับ คนที่พูดเนี่ยเขาเคยติดตามผมไป เมื่อครั้งที่พันธมิตรจังหวัดลำปางจัดงาน และผมก็พาพวกการ์ดพวกเขานี่ที่ดูแลผมไปพักที่บ้านหลังนี้ เหมือนกับผมมาพักบ้านพี่ประสารนี่แหละครับ ถ้าอย่างนั้นเนี่ย เดี๋ยวมันก็ไปพูดอีกว่าผมเนี่ยมีบ้านที่ L.A. หลังละตั้ง 1 ล้าน 7 แสนดอลลาร์ คือถ้าผมไปพักบ้านใครแล้วบ้านนั้นจะเป็นบ้านผมทันที นะครับ

อย่างนี้เป็นธรรมกับผมไหมครับ โดยที่ไม่มีการพิสูจน์เลย และบ้านผมที่นวธานีก็บอกนะครับว่าเป็นบ้านมรดก นะครับ คุณพ่อผมก็ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต สร้างตัวมาก็สามารถที่จะซื้อบ้านในนวธานีได้ นะครับ คุณพ่อผมก็ทำงานด้วยความขยันขันแข็ง พ่อผมไม่ได้ไปโกงใครนะครับ พ่อผมทำธุรกิจ ไม่ใช่นักการเมือง ไม่ใช่ข้าราชการ ได้แต่สอนลูกว่าอย่าไปเอาเปรียบใครนะครับ ผมก็ไม่เคยไปคดโกงใคร บ้านนั้นน่ะอยู่มาตั้งแต่ 2519 ครับ ทุกวันนี้จะพังเต็มแก่แล้ว ท่อน้ำก็ตันหมดแล้ว ไฟฟ้าสายไฟก็เก่าจนชอบช็อตเป็นประจำ

ก็กำลังคุยกันในระหว่างพี่น้องว่าจะเอาอย่างไรดี จะรื้อบ้าน หรือจะต้องซ่อมบ้านใหญ่กันสักทีดีไหม เพราะเราอยู่กันมานานตั้ง 30 กว่าปี รถ 5 คัน ผมมีพี่น้อง 5 คน มีรถคนละคันไม่ได้หรือครับ มันผิดอะไรนักหนาหรือครับ ทำไมถึงมากล่าวหาผมอย่างนี้

แล้วบอกว่า ผมรับเงินบริจาคไม่โปร่งใสเนี่ย ผมก็อยากจะย้อนถามครับว่าผมเคยไปเอ่ยปากขอเงินใคร เคยได้ยินผมขอบริจาคสักครั้งหนึ่งไหมครับ ผมเคยไหมครับ ที่บอกว่าพ่อแม่พี่น้องช่วยมาบริจาคเงินให้ผมหน่อย ผมเคยพูดไหมครับ ผมไม่เคยเอ่ยปากขอเงินใครนะครับ คนที่เขาศรัทธางานผม เขาเห็นผมทำงานอย่างมุ่งมั่น และเขาเห็นว่าผมต้องเสียสละความก้าวหน้าในชีวิตทั้งหมด

ผมตั้งกลุ่มพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของผมตั้งแต่ปี 2531 กับกลุ่มเพื่อนข้าราชการ และเราก็ทำงานมาเนี่ย ผมใช้ทุนของผมเป็นส่วนใหญ่ เขาจึงมอบความไว้วางใจและความรับผิดชอบให้ผมเป็นประธานกลุ่ม มาตั้งแต่ปี 2531 ผมทำงานไปด้วยและก็เอาเงินที่ผมทำงานเนี่ย ที่ทำธุรกิจร่วมกับครอบครัวเนี่ยะ เอามาจุนเจือกลุ่มในการทำประโยชน์ให้ประเทศชาติ ไม่เคยไปขอเงินใครแม้แต่บาทเดียว (ปรบมือ)

เดี๋ยวครับ อีกนิดหนึ่งครับ ยังไม่จบ ถ้าไม่พูด เดี๋ยวจะไม่เข้าใจ นะครับ ผมขอพูด ผมไม่มีโอกาสพูด ผมอยากพูดให้หมด ไม่ต้องให้คาใจ ผมเนี่ยเอาเงินของผมที่ได้จากการทำงานมาทำประโยชน์ให้ส่วนรวม โดยไม่ใช่แบบ NGO... NGO เนี่ยะต้องมีเงินทุนก่อน ถึงจะทำเป็นโครงการเป็นโปรเจ็กต์

แต่ผมเป็นประชาชนที่มีความสำนึกอยากจะตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน และก็ไม่ใช่ผมคนเดียว ผมร่วมกับกลุ่มของผม ตอนแรกมีประมาณ 7 คน เราก็ทำงานกันมา โดยที่ผมเป็นคนที่ลงทุนลงแรงมากที่สุด เพราะผมเป็นคนเดียวของกลุ่มที่ไม่ใช่ข้าราชการ และก็ทำมาโดยตลอด นะครับ จนถึงปี 2543 ที่ต้องมีคดีความกับพลตรีสนั่น นะครับ ปรากฏว่า ครอบครัว และธุรกิจที่ผมทำร่วมกับพี่สาว ถูกบีบจากอำนาจการเมือง พี่สาวผมก็ยื่นคำขาดว่าจะเอาอย่างไง ถ้าผมยังทำงานนี้ต่อไป จะกระทบกับธุรกิจ ผมต้องวางมือเลยครับ หยุดทำงาน มาทำงานให้กับสังคมอย่างเดียว มีเงินที่ผมสะสมไว้เนี่ย ประมาณล้านบาท

ผมต้องใช้เงินของผมโดยที่ไม่ต้องไปขอใครเนี่ยนะครับ ตั้งแต่ปี 2543 มา แล้วก็สู้คดีกับพลตรีสนั่นที่เขาฟ้องผม หมิ่นประมาท เขาเรียกค่าเสียหาย 150 ล้าน ผมสู้ อยู่ 11 ปี ด้วยเงินของผมเนี่ยละครับ ไม่เคยไปขอเงินใครเลย (ปรบมือ) นะครับ ผมทำประโยชน์ให้ส่วนรวม แต่เวลาที่ผมถูกไอ้พวกนักการเมืองฟ้องผมเนี่ย ผมต้องใช้เงินของตัวเอง และก็บางครั้งไม่พอก็ต้องขอพี่สาวผม ขอแม่ผม จนเงินผมหมด

ภรรยาผมเนี่ยต้องขอหย่าจากผมในปี 2546 เขาทนไม่ได้ ที่ผมไม่ทำงานแล้วมาทุ่มเทให้กับการทำประโยชน์ โดยไม่มีผลประโยชน์ตอบแทนอะไรเลย

เขาแต่งงานกับผมตั้งแต่ปี 2535 ปี 2546 ปลายปีเขาบอกว่า เขาทนไม่ได้แล้ว ผมต้องเลือกแล้วระหว่างเขากับงาน ผมบอกว่าผมรักทั้งคู่ ผมรักเขาและงาน ผมไม่ต้องการเลือก ผมอยากให้ทั้งคู่อยู่กับผม แต่เขาบอกไม่ได้ ในที่สุดเขาก็ต้องตัดสินใจหย่ากับผม ผมก็ต้องเสียภรรยาที่ผมรักไป นะครับ

ผมถึงอยากจะบอกไงครับว่าผมมุ่งมั่นขนาดนี้ แล้วมากล่าวหาว่าผมคดโกงเงินที่เขาบริจาคให้ผม ผมทำงานถ้าผมจะโกงเนี่ย ผมจะมาโกงเงินที่ท่านบริจาคทำไม มันไม่ได้มากมายหรอกครับ ทำแบบคนอื่นสิครับ คนที่ขายอุดมการณ์

ที่ผ่านมามีคนติดต่อผมตลอดนะครับ ด้วยเงินระดับ 100 ล้านขึ้นทั้งหมด แทบจะทุกคดี ผมเอาเงิน 100 ล้านไม่ดีหรือครับ ถ้าผมจะเอา โอกาส นะครับ หรือเครดิตที่สังคมให้ผมเนี่ย ซึ่งก็เป็นสิทธิของผมด้วย ใครจะมาตรวจสอบผม เพราะผมไม่ใช่ข้าราชการ กฏหมายทำอะไรผมไม่ได้เลยนะครับ

เพราะไอ้คนให้เงินผมมันเป็นคนโกง ทำอะไรผมไม่ได้เลย ถ้าผมจะรับเงินพวกนี้ก็เป็นสิทธิของผม แม้แต่คิดผมยังไม่คิดเลย ทุกคนที่มาเสนอให้ผมนี่นะครับ (ปรบมือ) ผมก็จะบอกกับเขาทุกคนว่า ไม่ต้องเอาเงินมาให้ผม และก็ไม่ต้องฆ่าผม ผมขอแค่ 2 อย่าง แล้วคุณมาทางไหน คุณก็กลับไปทางนั้น นะครับ

ผมไม่จำเป็นเลยนะครับที่จะต้องมาทุจริตเงินที่พี่น้องประชาชนมาบริจาคให้กับผม เพราะคนที่บริจาคเงินมาให้ผมเขาเอาเงินที่บริสุทธิ์ เขาไม่ได้โกงใคร ผมไม่ได้รับเงินคนโกงครับ (ปรบมือ) และผมก็บริสุทธิ์ใจ ในการทำงานผมไม่เคยสร้างภาพหลอกใคร

ผมไม่เคยไปเสแสร้ง สิ่งที่ผมทำผมเล่าให้ท่านฟังในเบรกแรก ผมทำด้วยความตั้งใจผมทำอย่างดีที่สุด อย่างมีคุณภาพ ไม่ได้ทำเพื่อต้องการอะไร นะครับ ดังนั้นผมไม่จำเป็นเลยครับ ในเมื่อท่านบริสุทธิ์ใจให้ผม และก็ไม่เคยมีใครนะที่ให้เงินผม และก็มีข้อต่อรองกับผมว่า คุณวีระ คุณเอาเงินไปคุณต้องไปทำอย่างนี้นะ ต้องอย่างนี้ อย่างนี้นะ คุณต้องมารายงานฉันนะ ไม่มีเลยสักรายหนึ่ง และถ้ามีอย่างนั้น ผมก็ไม่รับ ผมก็จะบอก พี่เอาเงินคืนไปเถิดครับ เพราะผมไม่รับจ้างทำงานครับ ผมทำเพราะผมอยากทำ (ปรบมือ) นะครับ

อันนี้ก็คือสิ่งที่ผมอยากบอกให้ทุกท่านเข้าใจ นะครับ ว่าผมไม่จำเป็นต้องมาโกงตัวผมเองหรอกครับ ถ้าอยากจะโกง ผมก็ควรจะรับเงินจากไอ้คนโกง ซึ่งมันจะได้เป็นร้อยล้าน แล้วกฏหมายทำอะไรผมไม่ได้ด้วย นะครับ

อันนี้ก็อยากจะบอกให้ทุกท่านเข้าใจว่า คนอย่างผมไม่เลวหรอกครับ นะครับ ผมไม่เลวอย่างนั้นหรอกครับ ถ้าผมเลว ผมไม่อยู่มาถึง 20 กว่าปีหรอกครับ โดยที่คนที่ผมตรวจสอบนี่ ที่ควรจะแฉผมเนี่ย ไม่เคยมีแม้แต่คนเดียวมาแฉผมได้เลย นะครับ (ปรบมือ)

แล้วก็เรื่องเขาพระวิหารเนี่ย ต้องบอกกับทุกท่านเลยครับว่า ยูเนสโกเนี่ยแอบไปขึ้นทะเบียนตัวปราสาทเป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี 2551 แล้วครับ เราไม่เคยรู้เลยครับ หลักฐานนี้ผมเพิ่งรู้มาเมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมา ก่อนมานี่ เพิ่งรู้มาเมื่อสองอาทิตย์นี้เองครับ ตัวปราสาทนี่ยูเนสโกขึ้นทะเบียนไปเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่พื้นที่โดยรอบที่เรากำลังต่อสู้กันอยู่ แล้วยูเนสโกก็ทำผิดระเบียบของตัวเอง เพราะว่าการไปขึ้นทะเบียน แอบไปขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารนี่ มันก็ผิดกับกฏบัตรของตัวเองที่บอกว่า ถ้ามรดกโลกชิ้นใดนั้นมันอยู่ในอีกประเทศหนึ่ง ต้องได้รับการยินยอมจากประเทศนั้นก่อน

ผมก็ไม่รู้ว่าใครไปยินยอมให้กัมพูชา ถามรัฐบาล ๆ บอกไม่ได้ยินยอม ถามกระทรวงการต่างประเทศ ๆ บอกไม่รู้เรื่อง แล้วใครมันไปยินยอมยกให้ ผมถามหน่อยเถอะ แล้วการที่จะไปยินยอมนี่มันต้องผ่านรัฐสภา เห็นไหมครับ ยูเนสโกก็เป็นองค์กรที่หาประโยชน์ แล้วก็เอาเปรียบประเทศเล็กๆ นี่ก็คือสิ่งที่ผมต้องต่อสู้ต่อไป นะครับ ไม่ได้หยุดครับ หลังจากที่ผมพยายามเปิดโปงมาโดยตลอดเนี่ย ผมกลับประเทศไทยไป ผมต้องรีบกลับไปทำวีซ่า เพื่อที่จะเดินทางไปประเทศฝรั่งเศส เพราะเขาจะประชุมครั้งสุดท้ายวันที่ 25-4 มิถุนายน นะครับ ที่ประเทศบราซิล แต่เราจะไม่ไปประเทศบราซิล เราจะไปที่สำนักงานใหญ่ของยูเนสโกที่ประเทศฝรั่งเศส

ทำทุกอย่างครับ และการไปนี่ ผมก็ไม่ได้ไปขอเงินใครด้วย ผมก็เอาเงินที่พ่อแม่พี่น้องบริจาคให้ผมไว้แล้วเนี่ย เอาเป็นทุนในการทำงานครับ แล้วทุกครั้งก็เป็นเงินของพ่อแม่พี่น้องทั้งสิ้นนี่แหละครับ (ปรบมือ) แล้วถ้าใครบอกว่าผมนี่ร่ำรวยอะไรเนี่ย ผมจะบอกหน่อยเถอะนะ เวลาจัดขบวนรักษาผลประโยชน์ของชาติ ไปทำเรื่องเขาพระวิหารนี่ ผมต้องหมดเงินไปเจ็ดแสนบ้าง สามแสนบ้าง เพราะผมต้องรับผิดชอบ

อย่าไปคิดว่าทุกคนไปแล้วนี่นะ ต่างคนต่างดูแลตัวเอง อันนั้นส่วนหนึ่ง แต่เรื่องเครื่องเสียงละครับ เรื่องความปลอดภัยที่ผมต้องจ้างการ์ด การ์ดที่ต้องเป็นพวกมืออาชีพ ไม่ใช่พวกท่านนะครับ ที่จะไปสู้กับไอ้พวกทหารเขมรหรือพวกตำรวจที่ท่านต้องฝ่าด่าน หรืออันธพาลที่เขาจัดมาทำลายเรา เราต้องใช้มืออาชีพ แล้วพวกนี้เราต้องตอบแทนเขา ไหนจะค่าน้ำมันรถ ไหนจะค่าอาหารส่วนกลาง ที่พักส่วนกลาง

เราก็ต้องสนับสนุนให้กับสีสรรค์อโศกที่เราไปใช้สถานที่พัก ผมต้องใช้เงินทั้งนั้นครับ แต่ก็เป็นเงินที่พ่อแม่พี่น้องบริจาคมาให้ นะครับ ผมก็ไม่เคยที่จะได้เงินมาแล้วก็เก็บมาหาความสุขใส่ตัว เพราะผมไม่มีโอกาส

อยู่เมืองไทยผมไม่มีโอกาสไปหาความสุขส่วนตัวที่ไหนครับ ออกจากบ้านไปทำงาน ไปยังจุดต่างๆ แล้วกลับบ้าน ผมไม่มีโอกาสไปเดินถนน ไม่มีโอกาสไปไหนหรอกครับ เพราะว่าผมอันตรายครับอยู่เมืองไทย ผมมีโอกาสเดินไปไหนมาไหนอย่างสบายใจก็เฉพาะที่นี่แหละครับ (ปรบมือ)

แต่ที่ประเทศไทย ผมหมดโอกาสแล้ว ดังนั้นผมจะไปเสพสุขที่ไหนเนี่ย มันไม่มีที่ให้ผมไปเสพสุขหรือแอบไปหาความสุขอะไรเลยครับ ไม่มีหรอกครับ นะฮะ

เอาเรื่องรายการค้นคนโกง ก่อน คือคุณสนธิเนี่ยเรียกผมไปคุยก่อน เรื่องที่มีคนกล่าวหาผม แล้วแกก็หาทางออกให้โดยที่บอกว่าผมนี่ควรจะออกจากองค์กรของผม แล้วมาอยู่กับมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน

เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2552 นะครับ ผมก็บอกว่า “พี่ธิ ผมตัดสินใจเดี๋ยวนี้ไม่ได้หรอก ผมต้องกลับไปคุยกับกลุ่มของผมก่อน ว่าเขาจะมีความเห็นอย่างไร นะ แล้วผมค่อยให้คำตอบ เพราะเรื่องนี้ ผมเหมือนคนที่ร่วมกันทำมาตั้ง 20 กว่าปี เสร็จแล้วผมจะออกจากองค์กรของผม เพียงแค่ผมหวั่นไหวกับคำกล่าวหาที่เลื่อนลอย แล้วมาอยู่ภายใต้ร่มมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินนี่ ผมว่ามัน มันต้องคิด คิดให้ดี”

แต่ผมยังไม่ทันกลับมาพูดคุยเลย คุณสนธิ ก็สั่งให้ผู้อำนวยการสถานี ASTV บอกโปรดิวเซอร์รายการค้นคนโกงว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ในรายการค้นคนโกง ห้ามประกาศเบอร์บัญชีรายการค้นคนโกง ผมก็รู้สึกว่าเอ๊ะผมถูกบีบแล้วเหรอ ทั้งๆ ที่มันเป็นเงื่อนไขในการทำรายการ

ผมได้เวลาจาก ASTV นี่ โดยคุณสนธิไม่คิดค่าเวลา นะครับ แต่มีเงื่อนไขว่าผมต้องผลิตให้ นะครับ และผมก็ต้องรับผิดชอบค่าผลิตเองทั้งหมด จะแลกเปลี่ยนให้โดยทางสถานีจะประกาศเบอร์บัญชีสนับสนุนรายการเพียงครั้งเดียวตอนจบ โดยให้กาญจน์ จอมอินทา เป็นคนพูด

ผมได้เงินจากการผลิตรายการก็จากคนที่บริจาค เพราะอยากเห็นรายการนี้อยู่ต่อไป นะครับ นี่คือเงื่อนไขที่ตกลงกัน แต่ปรากฏว่าผมถูกคุณสนธิบอกให้หยุดประกาศ มันก็เหมือนกับการตัดแขนขาผม ผมก็ทนทำมาตั้งแต่เดือนตุลา แล้วผมมาหยุดโดยทุกอย่างหมด หมดทั้งเงินที่รับบริจาคมาไม่เพียงพอ และผู้ที่ร่วมงานในการผลิตรายการค้นคนโกง เขาก็ถอนตัวหมด เพราะเขาไม่พอใจที่ผมถูกทำอย่างนี้

ผมทนทำมาอีกตั้งหลายเดือนจนถึงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ นะครับ ที่ไปออกรายการเป็นครั้งสุดท้าย ไม่มีใครถอดรายการ แต่มันต้องหยุด หยุดโดยความจำเป็น นะครับ เพราะมันไม่สามารถทำต่อไปได้ ท่ามกลางการที่ผมถูกกดดัน จากทางสถานีและจากกลุ่มที่ร่วมทำงานกับผม ผมถูกกดดันทั้งสองด้าน นะครับ และรายการอื่นๆ เนี่ย ไม่มีใครเชิญผมออกครับ จะมาบอกว่า ผมเนี่ยประท้วงหรือผมไม่มาออก ไม่ใช่

เมื่อก่อนเขาเชิญผมทั้งวันทั้งคืน ผมไม่เคยขัดเลย และผมไม่เคยได้ค่าตัวจากการออกรายการ ASTV แม้แต่รายการเดียว บาทหนึ่งไม่เคยได้เลย ค่าน้ำมันรถทุกอย่างผมก็ต้องอุทิศให้หมด ไม่เคยเรียกร้องด้วย แต่ที่ผมไม่ได้ออกก็เพราะเขาไม่เชิญให้ออก แล้วผมจะมาออกได้อย่างไร การที่ผมไม่ได้มาออก ASTV เนี่ย ท่านก็เข้าใจด้วยครับว่า เขาไม่เชิญผมออก

และการที่ผมต้องหยุดรายการค้นคนโกงก็ไม่ได้ถูกถอด มันออกโดยสภาพที่ผมเรียนให้ท่านทราบนะครับ นะครับว่าผมก็ไม่สามารถที่จะทำรายการไปท่ามกลางที่ไม่มีการสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้กับรายการ และก็โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องเงินไม่ใช่เรื่องสำคัญ ที่สำคัญคือเพื่อนร่วมงานผมไม่ยอมทำกับผมแล้ว ครับ

ผมก็ต้องเปลี่ยนไปอยู่ช่องอื่น นะครับ ก็ไปทำอยู่ช่อง 13 สยามไท แล้วทางสันติอโศกเขาก็ให้ผมไปทำรายการเพิ่มอีกหลายรายการ แต่การไปทำรายการให้กับสันติอโศกมันเป็นรายการธรรมะ เอ๊ยไม่ใช่ มันเป็นช่องธรรมะ ที่พ่อท่านโพธิรักษ์เนี่ยห้ามเรี่ยไร ห้ามบอกอะไรทั้งสิ้น ทุกคนที่มาทำต้องทำแบบ อะไรล่ะ ทำแบบเหมือนทำบุญน่ะ นะ มาทำฟรีหมด นะครับ แต่เขามีเวลาให้ ซึ่งตอนนี้ทั้งหมดนี่ผมมีรายการใหม่เพิ่มขึ้นอีก 3 รายการ

นอกจากรายการค้นคนโกง นะครับที่เราต้องยังทำอยู่ทุกวันนี้ แล้วเงินที่มา ก็มาจากพวกท่านนี่แหละครับ ที่ยังบริจาคให้ผมอยู่ ผมมีแรงทำเท่าไหร่ มีแรงสนับสนุนให้การบริจาคเท่าไหร่ ผมก็ทำเท่าที่ผมทำได้เต็มที่นะครับ นะครับ อันนี้ก็เป็นคำตอบที่อยากจะบอกให้ท่านทราบครับว่ารายการค้นคนโกงไม่ได้ถูกถอด ********************************************************************************************
หมายเหตุ คุณอรรคเดช ศรีพิพัฒน์ / บก.นสพ.สยามมีเดีย ลอสแองเจอลิส สหรัฐอเมริกา


บทความ: มติชนออนไลน์
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553 เวลา 06:42:36 น.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น