วันอาทิตย์, มกราคม 16, 2554

Dailyworldtoday: เสร็จนา..ฆ่าโคถึก

Dailyworldtoday

“ผมต้องพูดแรงนิดหนึ่ง ผมว่ากระทรวงการต่างประเทศคือกระทรวงข..า..ยชาติ ทุกวันนี้คุณกษิต ภิรมย์ นี่ผมผิดหวังในตัวคุณกษิตมาก คุณกษิต ภิรมย์ กับคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ รู้เห็นเป็นใจกันทุกเรื่อง คุณกษิต ภิรมย์ ฉกฉวยโอกาสในช่วงของการชุมนุมพันธมิตรฯไปสร้างชื่อตัวเอง สมัยคุณกษิต ภิรมย์ อยู่ก็ขึ้นเวทีด่าเขมร อย่างโน้นด่าเขมรอย่างนี้ วันนี้คุณกษิต ภิรมย์ ออกมาพูดในเรื่องนี้เป็นการปกป้องเขมรหมด”

นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แสดงความไม่พอใจอย่างมากกับท่าทีของรัฐบาลและกองทัพในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ทางเอเอสทีวีเมื่อวันศุกร์ที่ 7 มกราคมที่ผ่านมา กรณีกัมพูชาจับ 7 คนไทยที่มีนายวีระ สมความคิด กับนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ รวมอยู่ด้วย แต่ท่าทีของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยเฉพาะนายวีระ สมความคิด กับนางราตรี ไพรพัฒนไพบูลย์ ถูกตั้งข้อหาเพิ่มว่าพยายามประมวลข่าวสารซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อการป้องกันประเทศตามมาตรา 27 และมาตรา 446 ของกฎหมายกัมพูชา

“เป็นเรื่องที่เจ็บช้ำน้ำใจที่สุดในชีวิตตั้งแต่เกิดมา เจ็บช้ำน้ำใจตรงไหนรู้ไหม ตรงที่ว่าพอมีเรื่องแล้วรัฐบาลไทย ทหารไทย ข้าราชการไทย นักการเมืองไทยไม่มีศักดิ์ศรี ไม่มีศักดิ์ศรี เหมือนกับว่าเรายอมเขมรมันหมดทุกเรื่อง แล้วเขมรคือใคร ไอ้ประเทศซึ่งฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มัน จนทุกวันนี้มันยังไม่สามารถจะหาธรรมาภิบาลในประเทศชาติของมันได้เลย”

นายสนธิยังถามว่า นายอภิสิทธิ์และ พล.อ.ประวิตรมีหัวใจเป็นคนไทยหรือเปล่า

“การที่เขมรจะเอาคนทีมคุณวีระ คุณพนิชไปขึ้นศาล ถ้านายกรัฐมนตรีมีความเป็นลูกผู้ชายแล้วกล้าปกป้องประเทศไทย ถ้า พล.อ.ประวิตรเป็นอดีตทหารเสือราชินี เป็นทหารจริงๆ มีจิตใจเป็นทหาร ถ้านายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง เป็นคนไทยจริงๆ ต้องประกาศให้ชัดเจนว่าคุณเอา 7 คนไปขึ้นศาลไม่ได้ เพราะนี่ดินแดนไทย ต้องปล่อยออกมาเดี๋ยวนี้ ถ้าคุณไม่ปล่อยมีเรื่องกับเราทันที เพราะนี่พื้นที่เรา บ้านเราเขาทำตรงกันข้าม เขาไปเป็นพยานให้กับเขมรว่าคนไทยรุกดินแดนไทย นี่คุณหัวใจคนไทยหรือเปล่า”

ย้อนคดียิง “สนธิ”

คำพูดของนายสนธิยิ่งทำให้หลายคนต้องย้อนไปถึงการลอบสังหารนายสนธิเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2552 จนถึงวันนี้ยังไม่สามารถจับคนยิงหรือคนบงการได้ อีกทั้งเรื่องยังเงียบหายไปอย่างน่าประหลาด ทั้งที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ยืนยันว่าคดีนี้จะไม่เป็นมวยล้ม หลังจากมีการออกหมายจับนายทหารชั้นประทวน สังกัดศูนย์สงครามพิเศษ จังหวัดลพบุรี ซึ่งมีการพยายามพาดพิงไปถึง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบกขณะนั้น

ขณะที่นายสนธิได้ออกมาแถลงถึงขบวนการสังหารตนเองหลังจากรักษาตัวและเก็บตัวเงียบมาระยะหนึ่ง โดยยืนยันว่ามีผู้พยายามส่งเจ้าหน้าที่มาพูดคุยว่าผิดเป้าหรือไม่ แต่เชื่อว่าเป็นกฐินสามัคคี ทั้งยังฝากถึงนายอภิสิทธิ์ว่าอย่าปกครองบ้านเมืองด้วยคำพูด แต่ต้องจับคนยิงให้ได้ ไม่อย่างนั้นประเทศไทยก็ไม่ต่างอะไรกับบ้านป่าเมืองเถื่อนที่ใครมีอำนาจ มีปืนก็ยิงใครก็ได้

“ขบวนการที่ยิงผมเท่าที่ทราบมี 14 คน เป็นทหาร 13 คน เป็นตำรวจ 1 คน และทหารมีพื้นเพมาจากป่าหวายทั้งหมด บางคนบอกว่าคนบางคนในดีเอสไอเป็นคนวางแผนฆ่าผม แต่ผมบอกว่าคนในดีเอสไอคงจะไปสั่งทหารป่าหวายไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นน่าจะเป็นกฐินสามัคคี ผมไม่ติดใจอะไร จับได้ก็ได้ จับไม่ได้ต้องถือเป็นโชคร้ายของบ้านเมือง คนอย่างผมถูกลอบสังหารได้ อย่างนายอภิสิทธิ์หรือสูงกว่านายกฯก็ต้องถูกสังหารได้โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

เกือบตายเพราะ “สี”

การลอบสังหารนายสนธิครั้งนั้นเชื่อว่ามาจากการปราศรัยที่อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2552 โดยนายสนธิได้พูดเป็นปริศนาเรื่องของ “สี” ซึ่งเกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์ว่า

“ทำไมต้องจับมือกับเนวิน (ชิดชอบ) และใครไปบังคับให้พรรคร่วมรัฐบาลมาร่วมกับประชาธิปัตย์ ทำ ไมถึงมี “สีน้ำเงิน” มาฆ่า “สีแดง” และ “สีฟ้า” ขอยืม “สีกากี” มาฆ่า “สีเหลือง” และพี่น้องจะเข้าใจอย่างลึกซึ้ง อย่างลึกซึ้ง เพราะว่าเรื่องพวกนี้ถ้าไม่อธิบายกันแบบป่าทั้งป่าจะไม่เข้าใจ และผมอยากให้คนใต้ที่ไม่ชอบผมตอนนี้ให้ตั้งใจฟังดีๆ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ไม่ได้ยืนบนเวทีหรือยืนบนพระแม่ธรณีเพื่อให้คนชอบหรือไม่ชอบ แต่นายสนธิจะยืนอยู่บนความถูกต้อง”

นับตั้งแต่นั้นมานายสนธิก็ประกาศแตกหักกับพรรคประชาธิปัตย์อย่างชัดเจน เพราะแม้แต่ “เปลวสีเงิน” คอลัมนิสต์ชื่อดังใน “ไทยโพสต์” ยังตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับวันที่ 18 เมษายน 2552 ว่าเป็นวิกฤตการเมืองที่ต้องเตือนสติทั้งคนเสื้อเหลืองและเสื้อแดง โดยใช้หัวข้อเรื่องว่า “ลับแลอำนาจ “ฆ่าสนธิ” ปั่นเหลือง-แดงฆ่ากัน” โดยระบุว่า คนเสื้อเหลืองและคนเสื้อแดงต่างตกเป็นเครื่องมือของคนบางคนที่จ้องฉกฉวยโอกาสหลอกล่อให้ฆ่ากันเอง ซึ่งเกิดจาก “มือที่มองไม่เห็น” ที่สร้างสถานการณ์เพื่อรักษาอำนาจและผลประโยชน์ของตนและพวกพ้อง

พันธมิตรฯศัตรู ปชป.

ดังนั้น กว่า 2 ปีที่ผ่านมากลุ่มพันธมิตรฯ โดยเฉพาะนายสนธิได้ออกมาโจมตีนายอภิสิทธิ์และรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งนายสนธิประณามว่า ระบบการเมืองขณะนี้เป็นลักษณะการสืบทอดอำนาจต่อเนื่องจากตนเองไปที่เมีย ลูก เพื่อน แล้วยังจับมือกันกินรถเมล์ 69,000 ล้านบาท สนามบินรันเวย์ที่ 3 อีก 75,000 ล้านบาท ถนนไร้ฝุ่นอีกกี่หมื่นล้านบาท เบ็ดเสร็จงบประมาณแผ่นดิน 180,000 ล้านบาท ถูกชัก 10 เปอร์เซ็นต์คือ 180,000 ล้านบาท หรือ 15 เปอร์เซ็นต์ 270,000 ล้านบาท เอามาจัดสรรเข้ากระเป๋าพวกนักการเมืองเพื่อเอาเงินก้อนนี้กลับไปซื้อเสียงอีกครั้งหนึ่ง แล้วกลับมาเพื่อกินงบประมาณกันอีก

นายสนธิยังประณามว่า พรรคร่วมรัฐบาลขณะนี้เหมือนปล้นกลางแดด มือถือดาบ คาดผ้าประเจียด ไอ้เสือเอาวา ปล้น ไม่เหมือนยุคทักษิณที่มีธุรกิจเป็นของตัวเอง ใช้กฎหมายบีโอไอ หรือแก้กฎหมายสรรพสามิตให้ไม่ต้องจ่ายค่าสัมปทานเพื่อเอื้อธุรกิจของตนเอง แต่ยุคนี้เปลี่ยนเป็นการทำโครงการที่ใช้งบประมาณมากๆ เช่น ถนนไร้ฝุ่น จำนำข้าว มือใครยาวสาวได้สาวเอา นายอภิสิทธิ์จึงได้แต่นั่งทำตาปริบๆ เพราะกลัวพรรคร่วมรัฐบาลจะถอนตัว

แต่วันนี้นายสนธิคงไม่ปฏิเสธว่านายอภิสิทธิ์ไม่ใช่เป็น “ผู้นำฟันน้ำนม” หรือ “หุ่นเชิด” ที่ไร้เดียงสาอีกต่อไปแล้ว เพราะแม้แต่นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย และนายบรรหาร ศิลปอาชา แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา ยังออกปากอย่างเกรงขามและถากถางว่าใหญ่โตจนไม่เห็นหัวคนแก่แล้ว

ดังนั้น ใครจะเย้ยหยันว่า “รักนะ...เด็กโง่” แต่สำหรับพันธมิตรฯและนายสนธิที่ประกาศชุมนุมใหญ่ทั้งเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และกรณีชายแดนไทย-กัมพูชานั้นกลายเป็นเรื่องของการใช้หนี้แผ่นดิน ซึ่งนายสนธิยืนยันว่าจะชุมนุมแม้จะมีไม่กี่คนก็ตาม เพราะวันนี้บรรดาแม่ยกนายอภิสิทธิ์ต่างหลงใหลในกิเลส ซึ่งน่าสงสารที่สุดในโลก

“ในวันข้างหน้าถ้ามีคนหล่อกว่านายอภิสิทธิ์ พูดเพราะกว่า ก็จะเปลี่ยนไปชอบอีกคน คนที่หนาด้วยกิเลสพูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ คนพวกนั้นมุ่งที่ความสวยงาม ความหล่อเหลา มองคนที่ภายนอกจริงๆ คนพวกนี้ผมรังเกียจมาก รู้ว่าไม่ควรพูดแต่ต้องพูด เพราะรู้สึกว่าไม่อยากเสียเวลากับคนไร้สาระแบบนี้”

“อภิสิทธิ์โมฆะบุรุษ”


แต่สำหรับคนเสื้อแดงแล้วนายอภิสิทธิ์คือผู้ต้องหาในการสั่งฆ่าประชาชน แม้วันนี้หลายฝ่ายจะเชื่อว่ายากจะเอาผิดได้ตามกระบวนการยุติธรรม แต่ก็ดีกว่า “ตายฟรี” และถูก “ขังฟรี” อย่างที่อาจารย์กฤตยา อาชวนิชกุล ศูนย์สิทธิมนุษยชน มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” 91 ศพ และบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 คน สาเหตุส่วนใหญ่มาจากการถูกยิงบริเวณศีรษะโดยใช้อาวุธสงคราม และแพทย์ยังให้ความเห็นว่าถูกกระสุนความเร็วสูง ซึ่งตรงกับผลการชันสูตรศพที่ถูกเปิดเผยออกมา โดยเฉพาะกรณี 6 ศพในวัดปทุมวนาราม

ยิ่งหลังวันที่ 10 เมษายน รัฐบาลอภิสิทธิ์ได้ใช้วาทกรรม “ก่อการร้าย” กล่าวหาและไล่ล่าคนเสื้อแดง ขณะที่เหตุการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ใช้คำว่า “ผู้ก่อความไม่สงบ” เท่านั้น การที่รัฐบาลคิดคำนี้ขึ้นมาเพื่อสร้างความสกปรกให้สะอาด สร้างความชอบธรรมให้รัฐบาล แล้วสร้างความอัปลักษณ์ให้กับคนเสื้อแดง ทั้งที่สิ่งที่รัฐบาลใช้อำนาจอำมหิตจัดการกับประชาชนนั้นเป็นสิ่งที่สกปรกและน่าผิดหวัง ซึ่งประชาชนสามารถเกลียดรัฐบาลได้ แต่รัฐบาลไม่มีสิทธิเกลียดประชาชน และไม่มีอำนาจสั่งฆ่าประชาชน

“นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เคยพูดกับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ต่อเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 ว่านายสมชายเป็นคนหรือไม่ แต่ดิฉันจะไม่ถามว่านายอภิสิทธิ์เป็นคนหรือไม่ เพราะรู้ว่าเป็นคนอยู่แล้ว นอกจากนี้ในสมัยนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ได้อภิปรายโจมตีนายบรรหาร ตอนหนึ่งนายอภิสิทธิ์กล่าวหานายบรรหารว่าเป็นโมฆะบุรุษ แต่กับเหตุการณ์นี้มีการสั่งสลายการชุมนุมทำให้คนเสียชีวิตจำนวนมาก แต่นายอภิสิทธิ์ยังอยู่ในอำนาจ นายอภิสิทธิ์จึงเป็นโมฆะบุรุษ และรัฐบาลชุดนี้ก็เป็นโมฆะรัฐบาล”

เสร็จศึกฆ่าพันธมิตรฯ

กรณีกัมพูชาจับ 7 คนไทยจนถึงบทบาทของพันธมิตรฯวันนี้จึงถูกเปรียบเปรยเหมือนคำพังเพย “เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าพันธมิตรฯ” อย่างที่พันธมิตรฯออกมาประณามพรรคประชาธิปัตย์และนายอภิสิทธิ์ว่า “เนรคุณ” ทั้งที่พันธมิตรฯเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จนสามารถล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

ขณะเดียวกันการชุมนุมยืดเยื้อนานเกือบ 200 วันจนสามารถล้มรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายอภิสิทธิ์จึงได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีนั้นเป็นเพราะพันธมิตรฯเช่นกัน แม้จะตั้งรัฐบาลโดยมีกองทัพจับมือกับกลุ่มนายเนวินก็ตาม

ชะตากรรมของกลุ่มพันธมิตรฯและนายสนธิก็ไม่ต่างกับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ที่เคยยิ่งใหญ่และกุมอำนาจเด็ดขาด แต่ปัจจุบันเป็นได้แค่หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อมีการเลือกตั้งจะเป็นพรรคต่ำสิบหรือต่ำห้า ทั้งที่ก่อนหน้านี้ถูกคาดการณ์ว่าจะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีก่อนนายอภิสิทธิ์เสียอีก

จึงไม่แปลกที่นายสนธิจะแสดงความไม่พอใจและโจมตีนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ว่าเนรคุณต่างๆนานา ทั้งยังโกหก ตระบัดสัตย์เป็นเนืองนิจ โดยเฉพาะนายกษิตที่เป็นเหมือนคนของพันธมิตรฯแต่กลับออกมาตอบโต้และกล่าวหากลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งกำลังสร้างความเสียหายให้กับบ้านเมือง เพราะไม่รู้ข้อเท็จจริงแล้วยังปลุกระดมให้เกิดความโกรธแค้น และไม่สมควรจะเอากองทัพมากดดัน

มาร์คปุกคุ้ง

นายสนธิสรุปว่า นายกษิตกับนายอภิสิทธิ์เป็น “ของเก๊” ทั้งหมด ทั้งตั้งฉายานายอภิสิทธิ์ว่า “มาร์คปุกคุ้ง” หมายถึงกระบี่วิญญูชนจอมปลอม คือนักการเมืองหรือผู้มีอำนาจฆ่าคู่ต่อสู้ทางการเมือง ฆ่าญาติมิตร ฆ่าเพื่อนฝูงผู้หวังดี แม้แต่คนที่ต่อสู้ให้ตนเองขึ้นมาใหญ่ก็ฆ่า ในช่วงที่ตัวเองเป็นใหญ่ก็ต้องการโชว์ว่าซื่อสัตย์ แต่พอลับหลังก็แอบไปจับมือกับโจรเพื่อจะปล้นชาติ ปล้นแผ่นดิน

แกนนำพันธมิตรฯและกลุ่มประชาชนไทยหัวใจรักชาติจึงไม่เชื่อความจริงใจของนายอภิสิทธิ์ ทั้งยังมีบางคนมองว่านายอภิสิทธิ์และคนในกองทัพบางคนถือโอกาสยืมมือสมเด็จฮุน เซน ทำลายพันธมิตรฯ เพราะหากปล่อยให้พันธมิตรฯกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้งอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจใหม่ ซึ่งไม่ใช่พรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มอีลิตอย่างปัจจุบัน โดยกลุ่มพันธมิตรฯยืนยันจะชุมนุมใหญ่ยืดเยื้อในวันที่ 25 มกราคมนี้แน่นอน เพื่อคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมทั้งเรียกร้องให้ยกเลิกบันทึกเอ็มโอยู 2543 แต่นายสนธิอาจลืมไปว่าความยิ่งใหญ่ของพันธมิตรฯก่อนหน้านี้ส่วนหนึ่งมาจากบรรดาแม่ยกของนายอภิสิทธิ์ คนของพรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่มอีลิตที่มีพลังมหาศาลจาก “สีพิเศษ”

“มันทุเรศไง เมืองไทยเป็นเมืองซึ่งด้อยปัญญา รัฐบาลทำไมเราถึงมีนักการเมืองชั่วๆ ทหารเลวๆบางคนเกิดขึ้นมาได้ เหตุผลเพราะว่าคนไทยไร้ปัญญา เมื่อคนไทยไร้ปัญญาแล้วมันหลอกเรื่องอะไรก็หลอกได้ แต่มันหลอกเรื่องกฎแห่งกรรมไม่ได้ ผมเชื่อเหลือเกินในเรื่องกฎแห่งกรรม ผมคิดว่ามันใกล้มาแล้ว”

นายสนธิกล่าวอย่างเจ็บปวด ซึ่งคงไม่ปฏิเสธว่าสภาพของคนเสื้อเหลืองวันนี้ไม่ได้แตกต่างจากคนเสื้อแดงมากนักที่โดนต้ม โดนหลอกจากนักการเมืองเลวๆ กลุ่มอีลิต และกองทัพที่วันนี้ปูอำนาจไว้อย่างมั่นคงแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องใช้บริการจากบรรดา “โคถึก” อีกต่อไป

พรรคประชาธิปัตย์จึงกล้าออกมาประกาศว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส.ส.เขตต้องมี 375 คน และ ส.ส. บัญชีรายชื่อ 125 คน รวมทั้ง ส.ว.สรรหาก็ยังมีอยู่ต่อไป เพราะนั่นคือฐานอำนาจของกลุ่มอีลิตในรัฐสภา อีกทั้งยังเป็นการลดอำนาจพรรคเพื่อไทยและกลุ่มที่ยังจงรักภักดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณอีกด้วย

เสียงขู่ของนายสนธิและกลุ่มพันธมิตรฯจึงมีแต่ลดลงเรื่อยๆ เพราะกลุ่มที่เคยสนับสนุนค่อยๆถอยห่างออกไป การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯและเครือข่ายจึงไม่มีพลังเหมือนในอดีต ขณะที่พรรคการเมืองใหม่เองก็เหมือนแท้งตั้งแต่เกิด จนถูกสบประมาทว่าอาจไม่ได้ ส.ส. แม้แต่ที่นั่งเดียวหากมีการเลือกตั้ง

“เหลือง-แดง” ปลดวิกฤต

จึงไม่สายเกินไปที่นายสนธิจะกลับไปทบทวนที่เคยพูดถึงคนเสื้อเหลืองและคนเสื้อแดงว่ามีอยู่อย่างหนึ่งที่เหมือนกันคืออุดมการณ์ที่ต้องการ “ปฏิวัติสังคม” แม้ไม่ง่ายที่จะเปลี่ยนแปลงในชั่วข้ามคืน

แต่ไม่ได้ปิดประตูตาย เพราะไม่ว่าเสื้อเหลืองหรือเสื้อแดงก็คือประชาชนที่ต้องการความยุติธรรมและประชาธิปไตยที่แท้จริงที่เป็นของประชาชน ไม่ใช่ให้พวกเหลือบการเมืองมาแสวงหาผลประโยชน์

ที่สำคัญคนเสื้อเหลืองและคนเสื้อแดงไม่เคยคิดจะเข่นฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่งเลย ขณะที่นายอภิสิทธิ์และคนในกองทัพกลับไม่สะทกสะท้านกับการใช้กำลังปราบปรามประชาชนจนตายไปเกือบร้อย

การเดินหน้าปฏิวัติสังคมโดยประชาชนจึงเป็นวิธีเดียวที่จะสามารถปลดแอกการเมืองน้ำเน่าภายใต้เงาอุบาทว์ของกลุ่มอีลิตและ “มือที่มองไม่เห็น” ได้

เพราะไม่เช่นนั้นนายสนธิและพันธมิตรฯก็ยากจะต้องรับชะตากรรมเช่นเดียวกับคนเสื้อแดงขณะนี้ที่ถูกยัดเยียดเป็น “ผู้ก่อการร้าย” และติดคุกยาวเพื่อไม่ให้เป็น “หอกข้างแคร่”

แม้แต่นายอภิสิทธิ์เองก็ตาม แม้วันนี้จะเป็น “คนโปรด” ของกลุ่มอีลิตและคนในกองทัพ แต่เมื่อ “เสร็จศึก” ก็หนีไม่พ้น “กฎแห่งกรรม” และเป็น “โคถึก” ที่มิแคล้วต้องถูกฆ่าเช่นเดียวกับนายสนธิในวันนี้


ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 294 วันที่ 15-21 มกราคม พ.ศ. 2554 หน้า 16 คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน
2011-01-17

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น