วันเสาร์, กันยายน 25, 2553

ชูมือขอชีวิตกลับได้กระสุนปืน

ชูมือขอชีวิตกลับได้กระสุนปืน

images by uppicweb.com
Thanks: ฝากรูป ประกันภัยรถยนต์ชั้น2

นายภัสพล ไชยพงษ์ วัย 41 ปีจากสิงห์บุรี พ่อค้าขนมเปี๊ยะผู้มีรอยจารึกเป็นกระสุนความเร็วสูงฝังอยู่ที่ลำคอ ไม่สามารถที่จะเอาออกมาได้ เพื่อให้รำลึกถึงเหตุการณ์ที่เขามาแสดงความไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารล้มล้างรัฐบาลที่มาจากประชาชนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ทำให้ครอบครัวของเขาที่มีฐานะยากจนอยู่แล้วได้ลืมตาอ้าปากได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องกู้หนี้ยืมสินอีก แต่เมื่อความไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นเขาจึงเข้าร่วมกับกลุ่ม นปช.แดงทั้งแผ่นดิน

ผมเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดินหลังจากที่คณะนายทหารก่อการรัฐประหารรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 มีการกล่าวหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณและรัฐบาลของท่านไม่ดีสารพัด ซึ่งก็ไม่ได้เป็นความจริง เพราะถ้าเป็นความจริงทำไมจนถึงป่านนี้จึงไม่สามารถเอาผิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณได้

ผมคิดว่าการทำกับอดีตนายกฯทักษิณไม่เป็นธรรม โครงการต่างๆของท่านสามารถจับต้องได้ ไม่ว่าจะเป็นโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการกองทุนหมู่บ้านที่ทำให้ครอบครัวของผมที่มีฐานะยากจนได้ลืมตาอ้าปากจนมีโรงงานทำขนมเปี๊ยะในปัจจุบัน จากการที่พ่อตาแม่ยายไปกู้เงินกองทุนมา 20,000 บาท มาซื้อเครื่องมือทำขนมเปี๊ยะสูตรของตนเอง จนได้รับการส่งเสริมให้เป็นสินค้า 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์ในระดับ 5 ดาว

เหตุผลที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้เข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดงก็คือ ปัญหาระบบ 2 มาตรฐานที่นับวันจะมีความเลวร้ายมากยิ่งขึ้นในรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็นกรณี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรีและองคมนตรี ครอบครองที่ดินเขายายเที่ยง การไล่ล่าอดีตนายกฯทักษิณ การตัดสินคดีการเมืองอย่างมีอคติและไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะการรับใช้ระบอบอำมาตย์ หรือการดำเนินคดีกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือเสื้อเหลืองที่เป็นไปอย่างล่าช้า ซึ่งแตกต่างกับการชุมนุมของคนเสื้อแดง

“รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์มาไม่ถูกต้องตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย ถ้าบอกว่าเรา 1 สิทธิ 1 เสียงก็คือให้เราก่อนสิ ถ้าคุณมาอีกทีอย่างสมบูรณ์แบบเชื่อว่าไม่มีใครว่าอะไรถ้าคนส่วนใหญ่เขารับอย่างนั้น แต่ถ้าได้รัฐบาลที่เราต้องการมาคุณก็ต้องยอมรับเหมือนกันถ้าคนส่วนใหญ่เลือกเข้ามา ไม่ใช่เป็นรัฐทหารแบบนี้ มันไม่ถูกต้อง แล้วชีวิตจะอยู่กันอย่างไร เขาบอกว่า 1 สิทธิ์ 1 เสียง มีสิทธิเท่ากัน แต่ดูแล้วยังไงก็ไม่ใช่ แล้วยิ่งรัฐบาลกับทหารปฏิบัติตัวกับเรา กับกลุ่มพันธมิตรฯ มันคนละเรื่องกัน กลายเป็นประชาชนคนเสื้อแดงหรือคนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งถูกมองว่าไม่ใช่คนไทย ขอถามว่าเรามีสิทธิในประชาธิปไตยจริงหรือเปล่า ถ้าจริงทำไมถึงมาไล่ยิงไล่ฆ่าเราขนาดนี้”

สำหรับรอยจารึกที่ลำคอนั้นเกิดจากเมื่อวันที่ 19 พ.ค. เวลาประมาณ 09.00 น. ขณะกำลังเดินทางกลับบ้าน เมื่อมาถึงบริเวณทางเท้าเยื้องกับสถานีรถไฟฟ้าราชดำริ ข้างบนรางรถไฟฟ้าเหนือหัวผมมองเห็นทหารกลุ่มหนึ่งเล็งปืนมาที่กลุ่มผู้ชุมนุมบริเวณที่ผมยืนอยู่ จากนั้นทหารก็ยิงปืนลงมาโดนหน้าผากผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมพอดี แต่ลูกกระสุนผ่านกะโหลกของผู้ชายคนนั้นทะลุมาที่ลำคอผม ฝังในอยู่ที่ท้ายทอย ช่วงแรกรู้สึกชาแล้วมีเลือดไหลออกจากบาดแผลที่ลำคอ ผมได้ช่วยประคองผู้ชายที่ถูกยิงตรงหน้าที่กำลังพะงาบๆ และได้ยินคำพูดประโยคสุดท้ายจากผู้ชายคนนั้นคือ “อย่ากลัวพวกมัน” หลังจากนั้นเขาก็เสียชีวิตลง

ผมถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลกลาง หมอบอกว่าโดนกระสุนความเร็วสูงผ่านเส้นเลือดดำ เส้นเลือดแดงไปฝังในที่ท้ายทอย หมอบอกว่ามีแค่หนึ่งในล้านที่รอดชีวิตได้ และถ้าเอากระสุนออกจะอันตราย ให้รอดูอาการก่อน ถ้ามีอาการชาให้ปรึกษาหมออีกที แต่ถ้าไม่มีอาการชาหรือไม่เป็นอะไรก็ให้เอาไว้อย่างนี้ก่อน ผมต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนาน 13 วัน จากนั้นกลับมาพักรักษาตัวต่อที่บ้าน ระหว่างที่พักรักษาตัวอยู่ 2 เดือนทำให้กิจการทำขนมเปี๊ยะต้องหยุดชะงักลง และผลกระทบที่ได้รับในขณะนี้คือเรื่องสุขภาพ เพราะเวลาจะขับรถหรือคิดอะไรจะช้าลงไปกว่าแต่ก่อน และบริเวณคอรู้สึกตึง เงยไม่ได้ และยังชาอยู่ บางส่วนหยิกก็ไม่เจ็บ ไม่รู้สึก เหมือนเนื้อมันตาย

ในส่วนความรู้สึกนั้นนายภัสพลบอกว่า รู้สึกเสียใจที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์และกองทัพใช้ความรุนแรงกับประชาชนได้ขนาดนี้ อย่างผมถือว่าตายแล้วเกิดใหม่ แต่สิ่งที่เห็นมากับตาไม่ว่าจะเป็นการที่ผู้ชุมนุมถูกทหารยิงหรือถูกทหารกระชากลากถู เป็นภาพที่เจ็บปวดและยังตามหลอกหลอนอยู่ตลอดเวลา เพราะประชาชนคนเสื้อแดงมีแค่สองมือเปล่าที่ชูแขนขึ้นเพื่อขอชีวิตจากทหาร แต่กลับได้รับกระสุนจากฝ่ายทหาร ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเห็นแล้วไม่น่าจะเป็นประเทศเรา เคยดูแต่ประเทศอื่นและว่าเมืองไทยคงไม่มีหรอกแบบนั้น แต่ที่ไหนได้กลับมีทุกรูปแบบ เหลือเชื่อเลย

“รัฐบาลและกองทัพทำตัวเหมือนลิงหลอกเจ้า ไม่มีความน่าเชื่อถือใดๆ เขาอยู่ได้ด้วยการใช้อำนาจจากกระบอกปืน แต่ทางด้านคุณธรรมและเรื่องจิตใจที่ประชาชนจะยอมรับกลับไม่มี ถามว่าผมได้รับการเยียวยาหรือช่วยเหลืออะไรจากรัฐบาลหรือไม่ ขอบอกว่าไม่มี ความจริงคนที่เจ็บขนาดนี้ถ้าจะมาปรองดองอะไรเขาน่าจะมาเยี่ยม มาถามว่าจะทำกันอย่างไร ก็ไม่เห็นเขามาถาม เห็นแต่ในข่าวทีวี.จะพูดอะไรก็จบด้วยการปรองดองเหมือนเป็นสูตร แต่จริงๆแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรหรือสัมผัสสิ่งที่พูดได้ ขณะนี้ผมต้องพึ่งตัวเองและพยายามฟื้นฟูพละกำลังเรี่ยวแรงให้กลับคืนมาให้เร็วที่สุด แม้จะต้องใช้เวลาในการรักษาบาดแผล รวมทั้งยังเดินหน้าทำกิจการผลิตขนมเปี๊ยะออกสู่ท้องตลาดต่อไป”

ถ้ากลุ่มคนเสื้อแดงมีการเคลื่อนไหวชุมนุมใหญ่ทางการเมืองอีกผมก็จะไปร่วมต่อสู้กับคนเสื้อแดงอีก เพื่อไปทวงถามความยุติธรรมในสิ่งที่ผ่านมา และต้องต่อสู้เรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนต่อไป ถ้าเงียบไปอีกหน่อยก็เป็นรัฐทหาร ใครมีอำนาจก็มายิง มาคุมอำนาจแล้วก็จบๆกันไป มันไม่ได้ เพราะประเทศไทยก้าวมาไกลแล้ว ถึงแม้ต้องตายยังไงก็ต้องต่อสู้อีก ส่วนจะมีความรุนแรงเกิดขึ้นอีกหรือไม่ขึ้นอยู่กับรัฐบาล ถ้ารัฐบาลยังเป็นแบบนี้อยู่ขอฟันธงว่าจะต้องเกิดความรุนแรงขึ้นอีกแน่นอน เพราะไม่มีใครมาให้ยืนฆ่าแล้ว และความรุนแรงจะลุกลามไปทั่วประเทศ ไม่ใช่แค่ใน กทม. เพราะเป็นแผลที่ฝังลึกในจิตใจ ขอย้ำว่าคนเสื้อแดงที่ถูกทหารยิงตายจะไม่สูญเปล่าอย่างแน่นอน

ผมขอเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน จากนั้นให้มีการตั้งคณะกรรมการอิสระจริงๆเพื่อสอบสวนข้อเท็จจริงเหตุการณ์ครั้งนี้ โดยแต่งตั้งหลายฝ่ายจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาล ทหาร กลุ่มพันธมิตรฯ และกลุ่มคนเสื้อแดง รวมทั้งการให้สิทธิแก่คนเจ็บคนตายด้วยการสอบสวนให้กระจ่าง ใครถูกใครผิดให้ดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยเฉพาะผู้สั่งการฆ่าประชาชน เพื่อให้เป็นบทเรียนและบรรทัดฐาน ไม่ใช่มาเงียบงุบงิบกันอยู่แบบนี้ และทหารก็ควรอยู่อย่างทหาร ไม่ใช่มายุ่งเกี่ยวกับการเมือง นั่งหน้าสลอนอยู่อย่างนี้ก็ไม่ไหว และที่น่าเสียใจคือเหตุการณ์ผ่านมาหลายเดือนแล้วแต่ยังไม่มีใครในรัฐบาลออกมาแสดงความรับผิดชอบหรือกล่าวคำว่าขอโทษเลย ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้

ส่วนผลกระทบเรื่อง พ.ร.ก.ฉุกเฉินนั้นโดยส่วนตัวไม่ได้รับผลกระทบอะไรจาก พ.ร.ก.ดังกล่าวหรือถูกคุกคามอะไร แต่ในส่วนรวมได้รับผลกระทบจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉินอย่างแน่นอน โดยเฉพาะในเรื่องการแสดงความคิดเห็นหรือการเรียกร้องสิทธิต่างๆทำให้เราระแวง เพราะไม่รู้ว่าเราพูดแสดงความคิดเห็นออกไปแล้วจะเป็นผู้ก่อการร้ายหรือเปล่า ทั้งๆการแสดงความเห็นเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย ทำให้เราระแวดระวังว่าจะโดนเก็บตอนไหนก็ไม่รู้ แต่ผมยืนยันว่าไม่กลัว ความกลัวไม่มีแล้ว ความกลัวตายไปแล้ว ตายไปแล้วตั้งแต่โดนกระสุน ทำให้ไม่มีอะไรจะกลัวอีกต่อไป

ส่วนสถานการณ์การเมืองในอนาคตนั้น ตราบใดที่ความเป็นธรรมและความยุติธรรมยังไม่เกิดขึ้นในบ้านเมือง สถานการณ์จะต้องเกิดความรุนแรงอย่างแน่นอน และบ้านเมืองจะลุกเป็นไฟ เพราะอีกฝั่งหนึ่งดีไปหมดและอีกฝ่ายหนึ่งไม่ดี ทำอะไรก็ไม่ดี เป็นอะไรก็ไม่ดี แย่ไปหมด อย่างนี้มันไม่ได้ พูดง่ายๆว่าบ้านเมืองนี้ก็ของเราเหมือนกัน ไม่ใช่แค่ของพวกคุณ เขียนกฎหมายหรือตราอะไรกันก็ให้เป็นประชาธิปไตย ผมถามว่าประชาธิปไตยคืออะไร ต้องฟังเสียงส่วนใหญ่ ประเทศจะลงคลองก็ต้องลงถ้าประชาชนเสียงส่วนใหญ่เอาอย่างนั้น แต่นี่ส่วนใหญ่มาอีกอย่าง ยังไม่ได้ทำอะไรกลับถูกยึดอีกแล้ว เพราะไม่ได้ตามใจ กลัวเสียอำนาจหรือกลัวเสียผลประโยชน์อะไรก็แล้วแต่ ไม่ยอมเขาอีก มันไม่ได้

“การต่อสู้ของคนเสื้อแดงในอนาคตจะชนะหรือไม่อยู่ที่ประชาชน ถ้าประชาชนพร้อมใจกันรักษาในสิ่งที่ถูกต้องบ้านเมืองก็จะดีกว่านี้ แต่ถ้าทุกคนต่างเงียบ ธุระไม่ใช่ ไม่ยอมรับสภาพก็อยู่ๆกันไปไม่ต้องมาบ่น แต่ถ้าดูแล้วไม่ถูกต้องก็ต้องออกมาต่อสู้พัฒนาประเทศกันไป ไม่ใช่ให้คนมีเงิน มีอำนาจมาปกครอง ชี้ทางเราซ้ายหันขวาหัน โดยจะรับอะไรก็ไม่ได้ แสดงความคิดเห็นอะไรก็ไม่ได้ หรือกำหนดนโยบายจะทำอะไรก็ไม่ได้ ดังนั้น ขอเรียกร้องให้ประชาชนคนเสื้อแดงออกมาร่วมกันต่อสู้ให้มากที่สุด เพื่อปกป้องระบอบประชาธิปไตยและต่อต้านเผด็จการ เพื่อปลดแอกจากระบอบอำมาตย์”

ที่มา : หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน ปีที่ 11 ฉบับที่ 2888 ประจำวันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ.2553 คอลัมน์ เล่าจากกระสุนปืน โดย กิตติพิชญ์ ยิ่งวรการสุข
................
ขอบคุณที่มาข่าวจาก หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น