วันเสาร์, พฤศจิกายน 26, 2554
ข้อ.. สรุปประเด็นคำถามสำคัญเรื่อง "เทคโนโลยีโทรคมนาคม" ในกระบวนการสอบสวน-ฟ้องร้องคดี "SMS อากง"
สรุปประเด็นคำถามสำคัญเรื่อง "เทคโนโลยีโทรคมนาคม" ในกระบวนการสอบสวน-ฟ้องร้องคดี "SMS อากง"
วันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 เวลา 21:00:00 น.
(ที่มา เว็บไซต์ประชาไท)
คดีของนายอำพล (ขอสงวนนามสกุล) หรือที่รู้จักกันในชื่อ "คดีอากง" ดูจะได้รับความสนใจจากสาธารณชนมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องกระบวนการสอบสวนอันเกี่ยวเนื่องกับเทคโนโลยีโทรคมนาคมที่ซับซ้อน
เว็บไซต์สำนักข่าวประชาไท ได้ทำรายงานสรุปประเด็นข้อโต้แย้งสำคัญในคดีดังกล่าว ซึ่งมีที่มาจากคำแถลงของทนายฝ่ายจำเลย มาเผยแพร่ มติชนออนไลน์เห็นว่ารายงานข่าวชิ้นนั้นจะช่วยทำให้สังคมไทยสามารถพิจารณาถึงแง่มุมเรื่องเทคโนโลยีการสื่อสารใน "คดีอากง" ได้อย่างรอบด้านมากขึ้น จึงขออนุญาตนำเนื้อหาบางส่วนมาเสนอ ณ ที่นี้
สรุปประเด็นสำคัญ
1.หมายเลขโทรศัพท์ซึ่งส่งข้อความ คือ xxxxx15 (ระบบเติมเงินของDTAC) และหมายเลขโทรศัพท์ของจำเลย คือ xxxxx27 (ระบบเติมเงินของ TRUE) เป็นคนละหมายเลขกัน แต่โจทก์กล่าวอ้างว่ามีหมายเลขอีมี่ตรงกัน
2.หมายเลขอีมี่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้เป็นเลขหมายใดก็ได้ และเมื่อแก้ไขเแล้วก็จะไปปรากฏยังระบบของผู้ให้บริการ การตรวจสอบและเชื่อมโยงการกระทำความผิดจากหมายเลขอีมี่จึงไม่มีความน่าเชื่อถือในการนำมาใช้ลงโทษบุคคลใดบุคคลหนึ่งว่ามีการกระทำความผิดได้ เพราะหมายเลขอีมี่ไม่เหมือนดีเอ็นเอที่สามารถระบุความเป็นตัวตนของเครื่องโทรศัพท์ได้
>พยานโจทก์ เจ้าหน้าที่ TRUE ได้ให้การว่า "ข้าฯเคยได้ยินมาว่ามีการเปลี่ยนหมายเลขอีมี่กลางโดยการจ้างช่างโทรศัพท์เป็นเลขอีมี่อย่างอื่นได้" และ "อีมี่กลางนั้นสามารถใช้กับโทรศัพท์หลายๆ เครื่องได้"
>พยานโจทก์ เจ้าหน้าที่ ปอท. (กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี) ได้ให้การว่า "หมายเลขอีมี่สามารถให้ช่างเครื่องซ่อมโทรศัพท์มือถือที่เชี่ยวชาญเปลี่ยนได้ ซึ่งจะทำให้หมายเลขอีมี่ที่ถูกเปลี่ยนนั้นไปปรากฏยังฐานข้อมูลของบริษัทผู้ให้บริการเปลี่ยนแปลงด้วย"
>เอกสารที่ทนายจำเลยนำส่งศาลระบุว่า มีความแพร่หลายในวิธีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขหมายเลขอีมี่ทั้งจากข้อมูลในอินเทอร์เน็ตและมีเปิดสอนหลักสูตรในโรงเรียนสอนซ่อมมือถือดังกล่าว "เลขหมายอีมี่สามารถเปลี่ยนใหม่สำหรับเครื่องที่ถูกขโมยมาได้ และ 10% ของหมายเลขอีมี่ก็ไม่ได้มีเอกลักษณ์เฉพาะ"
3. โจทก์ก็ไม่ได้แสดงพยานหลักฐานในการตรวจสอบอีมี่จากทั้ง 3 บริษัทของผู้ให้บริการโทรศัพท์ในประเทศไทย (ไม่ได้ตรวจของเอไอเอส) จึงไม่อาจอ้างได้ว่าอีมี่นี้มีผู้ใช้เพียงเบอร์เดียว
4. กระบวนการสืบสวนตามพยานเอกสารไม่น่าเชื่อถือ เนื่องจากเริ่มต้นขอความร่วมมือจาก TRUE โดยนำเบอร์ xxxxx27 ของจำเลยมาตรวจสอบข้อมูลการโทร ทั้งที่ยังไม่ทันได้เลขอีมี่จากเบอร์ xxxxx15 ซึ่งเป็นเบอร์ใช้ก่อเหตุ แสดงให้เห็นว่าเป็นการเจาะจงขอข้อมูลจากหมายเลขโทรศัพท์ของจำเลยมาตั้งแต่ต้น โดยที่ยังไม่มีความเชื่อมโยงจากหมายเลขอีมี่เป้าหมายแต่อย่างใด และหมายเลขโทรศัพท์ของจำเลยก็ไม่ใช่หมายเลขที่ใช้ในการกระทำความผิด
5. คดีนี้มีความผิดพลาดในการสอบสวนสืบสวน มีที่มาของพยานหลักฐานโดยมิชอบ เนื่องจากพยานหลักฐานส่วนใหญ่ในคดีเป็นพยานเอกสาร นอกจากนั้น พยานหลักฐานของโจทก์กลับขัดแย้งกับคำเบิกความของพยานโจทก์อย่างชัดแจ้ง ไม่เป็นไปตามขั้นตอนที่เบิกความ ซึ่งทำให้ไม่มีความสมเหตุสมผลในการเชื่อมโยง ติดตามหาตัวจำเลยว่าเป็นผู้กระทำผิด เนื่องจากเจ้าหน้าที่ทราบหมายเลขอีมี่ของหมายเลขที่กระทำความผิดเป็นลำดับท้ายสุด
ในการสืบจำเป็นต้องทราบหมายเลขอีมี่ก่อนจึงจะทำการตรวจสอบได้ แต่เอกสารดังกล่าวชี้ให้เห็นว่ามีการตรวจสอบจากหมายเลขของจำเลย (xxxx27) ซึ่งไม่ใช่หมายเลขในการส่งข้อความโดยตรง พยานหลักฐานดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าการสืบสวนสอบสวนมุ่งโดยตรงมาที่จำเลยตั้งแต่ต้นโดยไม่ได้ตรวจสอบมาจากอีมี่ตั้งแต่แรกตามที่โจทก์กล่าวอ้าง
6. บันทึกคำให้การผู้ให้ถ้อยคำของบุตรสาวจำเลย ก่อนจะมีการจับกุมตัวจำเลยก็ไม่ปรากฏหมายเลขอีมี่
7. หนังสือแจ้งผลการตรวจข้อมูลโทรศัพท์จากดีแทคระบุวันที่ไม่ตรงกับวันเกิดเหตุ "ทางบริษัทได้แจ้งข้อมูลการโทรให้ทราบแล้ว แต่ยังมีประเด็นเรื่องรหัสประจำเครื่อง(IMEI)ที่ขณะนั้นยังไม่สามารถตรวจสอบได้ บริษัทได้ทำการตรวจสอบแล้วพบว่าในช่วงวันที่ 10-15 มิถุนายน 2553 โทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลข xxxxx15 ใช้คู่กับโทรศัพท์(IMEI)หมายเลข xxxxxxxxxxxxxx 0" เจ้าหน้าที่บริษัทให้การว่าใส่วันที่ผิด แต่พบข้อพิรุธว่า มีการระบุว่า "ยังตรวจสอบไม่ได้", ไม่มีการแนบข้อมูลการโทรมีเพียงการระบุอีมี่ อีกทั้งในการส่งเอกสารมาครั้งแรกไม่มีการเซ็นรับรองเอกสาร แต่เพิ่งมาเซ็นรับรองเอกสารในครั้งที่สอง จึงไม่มีความน่าเชื่อถือ
8. โจทก์ยังไม่มีพยานหลักฐานใดที่จะแสดงได้ว่าจำเลยเป็นคนกดข้อความ หรือส่งข้อความดังกล่าวไม่มีพยานเอกสารหรือพยานบุคคลใดยืนยันได้ว่าจำเลยซึ่งอายุหกสิบเอ็ดปีแล้ว สามารถส่งข้อความได้ มีเพียงพยานเอกสารซึ่งพยายามเชื่อมโยงว่าเครื่องโทรศัพท์ที่ใช้ส่งข้อความและเครื่องโทรศัพท์ของจำเลยเป็นเครื่องเดียวกัน
9. คำให้การพยานโจทก์จากทรู ยังให้การต่อศาลว่า "จากข้อมูลการใช้โทรศัพท์ [หมายเลข xxxxx27 ซึ่งเป็นของนายอำพล-ประชาไท] ไม่ปรากฏว่ามีการส่งข้อความ sms จากเครื่องโทรศัพท์ดังกล่าว"
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1322312127&grpid=01&catid=&subcatid=
คณะกรรมการสิทธิฯเอเชียจี้ปล่อยตัว 'อากง' และนักโทษคดีหมิ่นฯ -พ.ร.บ. คอมพ์ฯ
Fri, 2011-11-25 02:44
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย (AHRC) ออกแถลงการณ์จี้ปล่อยตัวอำพล หรือ 'อากง' ที่ถูกตัดสิน 20 ปีจากการถูกกล่าวหาว่าส่งเอสเอ็มเอสหมิ่นหาเลขาฯ อภิสิทธิ์ ระบุศาลไทย "เป็นที่ที่ไม่อาจหาความยุติธรรม"
สืบเนื่องจากกรณีการตัดสินคดีจำคุก 20 ปี กรณีอำพล (ขอสงวนนามสกุล) หรือ 'อากง' ด้วยข้อหาละเมิดกฎหมายอาญามาตรา IIZ และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากการถูกกล่าวหาว่าส่งข้อความหมิ่นเบื้องสูงหาเลขาอดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ เมื่อวันที่ 24 พ.ย. 54 ทางคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย (Asian Human Rights Commission) จึงได้ออกแถลงการณ์ต่อกรณีดังกล่าว โดยเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวอำพล รวมถึงนักโทษที่ถูกตัดสินในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และ พ .ร.บ. คอมพิวเตอร์ เนื่องจากมองว่ากฎหมายดังกล่าวถูกใช้เป็นเครื่องมือที่ละเมิดเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนที่คิดเห็นต่าง ในนามของ 'ความมั่นคงของชาติ' ที่มีการนิยามอย่างคลุมเครือ
นอกจากนี้ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชียชี้ว่า กรณีนี้ ได้แสดงให้เห็นถึงวิกฤติด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยอย่างชัดเจน และระบุว่า จะคอยจับตาคดีที่เกี่ยวข้องกับการใช้กฎหมายอาญามาตรา IIZ และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งเรียกร้องให้ประชาชนที่ห่วงใยความยุติธรรมทำเช่นเดียวกัน
0000
แถลงการณ์โดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย
ประเทศไทย: โทษจำคุก 20 ปี สำหรับเอสเอ็มเอส 4 ข้อความ
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย ประสงค์แสดงความกังวลต่อกรณีล่าสุดที่ตัดสินลงโทษบุคคลด้วยอาชญากรรมด้านเสรีภาพในการแสดงออกในประเทศไทย เนื่องด้วยในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2554 คดีดำหมายเลข XXX/2554 อำพล (สงวนนามสกุล) (หรือรู้จักกันในชื่อ ‘อากง’) ชายอายุ 61 ปี ถูกตัดสินจำคุก 20 ปีสำหรับข้อความ 4 ข้อความที่ถูกตัดสินว่าละเมิดกฎหมายอาญามาตราIIZ และพ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2551
การกระทำที่อำพลถูกกล่าวหาคือการส่งข้อความทางโทรศัพท์ (SMS) 4 ข้อความไปยังสมเกียรติ เลขานุการส่วนตัวของอดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ โดยโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์) องค์กรพัฒนาเอกชนไทยที่ทำงานด้านกฎหมายสิทธิรายงานว่า 4 ข้อความดังกล่าวถูกอ้างโดยเจ้าหน้าที่รัฐว่ามีข้อความที่หยาบคาย หมิ่นประมาทXXXและดูหมิ่นเหยียดหยามXXX
ข้อความตรงตัวของข้อความทางโทรศัพท์ดังกล่าวยังไม่ถูกเปิดเผยจากทางการ เนื่องจากการผลิตซ้ำของข้อความที่ถูกอ้างว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอาจเป็นการละเมิดกฎหมายอาญามาตรา IIZ ได้ ผู้สื่อข่าวจึงไม่สามารถรายงานข้อความดังกล่าวได้ตรงตัว เนื่องจากอาจเสียงต่อการถูกดำเนินคดี
นอกจากความอยุติธรรมที่เขาได้รับจากการถูกตัดสินดังกล่าวแล้ว อำพล (สงวนนามสกุล) ยังทรมานจากโรคมะเร็งที่ลิ้นและไม่สามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลในระหว่างการคุมขังก่อนและหลังการไต่สวน ไม่มีเหตุผลที่เชื่อได้ว่าจะการตัดสินดังกล่าวจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงอีก และที่จริง อาจมีข้อกังวลด้านสุขภาพและความปลอดภัยของเขามากกว่าเดิมด้วย ขึ้นอยู่กับเรือนจำที่เขาจะถูกส่งไปจำคุก
และที่ชัดเจนเช่นเดียวกับในกรณีของดารณี ที่ในขณะนี้อยู่ในเรือนจำเนื่องจากถูกตัดสินจำคุก 18 ปี ด้วยข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และทุกข์ทรมานจากโรคกระดูกขากรรไกร เจ้าหน้าที่รัฐไม่มีข้ออ้างปฏิเสธการให้ความช่วยเหลือด้านการรักษาพยาบาลและละเมิดสิทธิของนักโทษการเมือง
ในวันที่ 3 สิงหาคม 2553 กลุ่มตำรวจจำนวน 15 นายเข้าบุกค้นบ้านพักของอำพล และจับกุมเขา จากนั้นเขาถูกควบคุมตัวในคุกเป็นเวลา 63 วันในชั้นสอบสวน ก่อนที่จะได้รับการประกันตัวในวันที่ 4 ตุลาคม 2553 และเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2554 เขาถูกสั่งฟ้องโดยอัยการด้วยข้อหาละเมิดกฎหมายอาญามาตรา IIZ และพ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ และถูกจำคุกตั้งแต่นั้นมา ศาลได้ปฏิเสธการให้ประกันตัวเนื่องด้วยความร้ายแรงของข้อหาและความเสี่ยงในการหลบหนี
การไต่สวนเขาเริ่มขึ้นในวันที่ 23 และระหว่างวันที่ 27-30 กันยายน 2554 ตั้งแต่เริ่ม อำพลยืนยันในความบริสุทธิ์ของตนเอง โดยกล่าวว่าเขาไม่ทราบวิธีส่งข้อความทางมือถือ และเบอร์โทรศัพท์ที่ส่งหาสมเกียรติไม่ใช่เบอร์ของเขา แต่ท่าทีของอัยการคือไม่ยอมรับคำให้การดังกล่าว และระบุว่า หมายเลขประจำเครื่องโทรศัพท์ (อีมี่) ของมือถือที่ส่งข้อความดังกล่าวไปหาสมเกียรติ เป็นของอำพล ดังนั้นเขาจึงต้องรับผิดชอบ
ตั้งแต่มีการรัฐประหาร 19 กันยา โดยเฉพาะรอบ 2 ปีที่ผ่านมา ได้มีการใช้กฎหมายอาญามาตรา IIZ และพ.ร.บ. คอมพิวเตอร์สูงขึ้นกว่าเดิมมาก โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์) ชี้ว่า ในขณะที่อำพลถูกตัดสินจำคุกในข้อหาละเมิดมาตรา IIZ และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ แต่เขาถูกลงโทษภายใต้กฎหมายอาญา IIZ ซึ่งมีโทษที่หนักกว่า นอกจากนี้ มาตราในพ.ร.บ คอมพิวเตอร์ ยังถูกใช้ร่วมกับกฎหมายหมิ่นฯ เพื่อปิดปากผู้ที่เห็นต่างในสังคม และใช้ข่มขู่นักเคลื่อนไหวทางสังคมและพลเมืองอีกด้วย
กฎหมายอาญามาตรา IIZ ระบุว่า “บุคคลใดที่หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย.... ต้องระวางโทษจำคุกสามปีถึงสิบห้า ปี” ส่วนมาตราใน พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับในกรณีนี้คือ มาตรา 14 วรรค 2 และ 3 ซึ่งระบุว่า “ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไปเกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ: (2) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน; (3) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา”
คำจำกัดความของ “ระบบคอมพิวเตอร์” ระบุไว้ในมาตรา 3 ซึ่งระบุว่า “อุปกรณ์หรือชุดอุปกรณ์ของคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมการทำงานเข้าด้วยกัน โดยได้มีการกำหนดคำสั่ง ชุดคำสั่ง หรือสิ่งอื่นใด และแนวทางปฏิบัติงานให้อุปกรณ์หรือชุดอุปกรณ์ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลโดยอัตโนมัติ” วิธีเขียนกฎหมายดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ อาจถูกใช้เพื่อโจมตีการสื่อสารและคำพูดที่ผ่านการส่งต่อผ่านทางเทคโนโลยีหลายรูปแบบ ไม่เพียงแต่ทางคอมพิวเตอร์เท่านั้น
การตัดสินคดีนี้ ส่งข้อความที่ชัดเจนไปยังประชาชนในประเทศ... ว่า ให้ระวังตัวไว้ เพราะว่าข้อความทางโทรศัพท์มือถืออาจทำให้ถูกมองว่าเป็นอาชญากรรม และคุณอาจจะเสี่ยงต่อการจำคุกเป็นเวลานานได้ การขาดการนิยามคำว่า "ความมั่นคง” ที่ชัดเจนในกฎหมาย หมายความว่ามันเปิดโอกาสให้มีการกระทำที่ละเมิดสิทธิได้เนื่องจากเจ้าหน้าที่รัฐอาจชี้ที่ใครก็ได้ที่เห็นต่าง หรือข้อความที่ตีความเช่นใดก็ได้ ว่าเป็นการละเมิดความมั่นคงของชาติ
ในแถลงการณ์ที่เผยแพร่วานนี้โดยเครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนและสถาบันกฎหมายราษฎรประสงค์ก่อนการตัดสินคดี มีข้อความในจดหมายจากลูกสาวของอำพลที่ส่งหานักโทษอีกคนในเรือนจำที่ดูแลพ่อของเธอว่า
"สิ่งที่เราเป็นห่วงเตี่ยมากที่สุดคือ จิตใจที่อ่อนล้าและท้อแท้ของเตี่ย ความเข็มแข็งคงแทบจะหมดไปแล้ว ครั้งนี้ขอประกันตัวอีกกี่ครั้งก็ถูกปฏิเสธตลอด... แต่ความทุกข์ของครอบครัวเราก็ยังเบาบางลงเพราะมีพี่หนุ่มคอยดูแล คอยให้กำลังใจ คอยกระตุ้นจิตใจของเตี่ย...เพราะรู้ว่าไม่ได้สู้เพียงลำพังยังมีคนอื่นอีกมากมายที่โดนแบบเรา พวกเขาก็สู้เพื่อขอความยุติธรรมและอิสระภาพให้กับคนที่ต้องโดนแบบเตี่ยพวก เราพี่น้องทุกคนก็ไม่ท้อแท้แล้วยังมีหนทางสู้เพื่อเตี่ยของเรา พวกเราอยู่ข้างนอกต้องมีกำลังใจที่เข้มแข็งเพื่อคนข้างใน ครอบครัวของเราไม่เคยคิดว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดกับพวกเราเพราะดูแล้วเป็น เรื่องที่ห่างไกลเหลือเกิน ในความเป็นคนไทยของเราครอบครัวเราทุกคน ให้รักความเทิดทูนเคารพบูชาสถาบันมากที่สุด และเสียใจมากที่สถาบันลูกนำมาใช้อ้างโดยที่สถาบันไม่รู้ไม่เห็น มันเป็นความสะเทือนใจสำหรับประชาชนชาวไทยทุกคนเพราะคนไทยรักและเคารพสถาบัน มากกว่าสิ่งใด พวกเราต้องสู้กับความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองนี้ เพราะคดีนี้ถูกนำมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง โดยที่มีมดปลวกอย่างพวกเราเป็นแพะคอยรับบาป"
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชียประสงค์จะแสดงความกังวลต่อการตัดสินคดีและการจำคุกของบุคคลต่ออาชญากรรมของเสรีภาพในการแสดงออก อำพล (สงวนนามสกุล) ถูกตัดสินจำคุกเป็นระยะเวลาที่นานที่สุดที่เคยปรากฎสำหรับข้อหาการละเมิดกฎหมายอาญามาตรา IIZ และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์
จากหลักฐานที่อ่อนที่ใช้ตัดสินต่อจำเลย และสภาพขัดข้องของจำเลยเนื่องด้วยสุขภาพและอายุ กรณีนี้ได้แสดงให้เห็นชัดถึงศาลไทยที่เป็นที่ที่ไม่อาจหาความยุติธรรมหากแต่ความอยุติธรรมกลับงอกเงย เมื่อฆาตกรสามารถเดินจากไปอย่างเสรี เช่นเดียวกับกรณีการหายตัวของสมชาย นีละไพจิตร กรณีการตัดสินจำคุกชายอายุ 61 ปีจำนวน 20 ปี สำหรับการกระทำที่อ้างว่าส่งข้อความทางโทรศัพท์มือถือ 4 ข้อความที่มีข้อความหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ก็เป็นที่ชัดแจ้งแล้วว่าประเทศไทยมีวิกฤติการณ์ทางสิทธิมนุษยชน
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย เรียกร้องให้ทำการปล่อยตัวอำพลโดยทันที รวมถึงนักโทษคนอื่นๆ ที่ถูกจำคุกด้วยกฎหมายอาญามาตรา IIZ และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ด้วย คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชียจะคอยจับตาคดีที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายหมิ่นฯ และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์อย่างใกล้ชิด และขอเรียกร้องให้ประชาชนที่ห่วงใยสิทธิมนุษยชนและความยุติธรรมในประเทศไทยให้ทำเช่นนั้นด้วยเช่นกัน
ที่มา: แปลจาก THAILAND: Twenty years in prison for four SMS messages
ขอบคุณป้าลัค ผู้พาบทความนี้มาให้เราทราบข้อมูล... ที่แท้จริง
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น