ไอ้โม่งชุดดำเผาเซ็นทรัลเวิลด์
สถานการณ์ทางการเมืองขณะนี้ไม่ใช่แค่นับถอยหลังเข้าสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งสุดท้ายในสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้เท่านั้น แต่ยังเชื่อกันว่าจะเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งสุดท้ายของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ใช่เพราะรัฐบาลแพ้คะแนนโหวตในสภา แต่เป็นเพราะกระแสการเมืองและความล้มเหลวในการบริหารบ้านเมืองที่กำลังปิดล้อมรัฐบาลและพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงปัญหาเทคนิคทางกฎหมายที่จะมีผลต่อการประชุมรัฐสภา ซึ่งรัฐบาลจำเป็นต้องยุบสภาปลายเดือนมีนาคม หรืออย่างช้าในเดือนเมษายนนี้
อย่างไรก็ตาม โอกาสที่จะมีสถานการณ์แทรกซ้อนเพื่อไม่ให้มีการเลือกตั้งยังมีอยู่เช่นกัน อย่างที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มมัชฌิมา พรรคภูมิใจไทย เปรยในที่ประชุมพรรคว่า ให้สมาชิกในกลุ่มระวังตัวและติดตามสถานการณ์ให้ดี เพราะขณะนี้บรรยากาศบ้านเมืองแปลกๆ ดูร้อนๆอย่างบอกไม่ถูก รัฐบาลเองไม่รู้จะรับมือได้หรือไม่ เพราะมีม็อบนั้นม็อบนี้เป็นจำนวนมาก บ้านเมืองเริ่มกลับมาวุ่นวาย อีกทั้งยังมีเรื่องปืนหาย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้บรรยากาศดูคล้ายๆกับก่อนการรัฐประหารปี 2549 ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวล เพราะยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และไม่รู้ว่าทหารคิดอย่างไร?
สำนึกทางการเมือง
การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายอภิสิทธิ์กับ 9 รัฐมนตรี ซึ่งมีแค่ 2 พรรคคือ พรรคประชาธิปัตย์กับพรรคภูมิใจไทยนั้น พรรคเพื่อไทยได้วางกรอบการอภิปรายใน 3 ประเด็นหลักคือ 1.การสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง 2.มีการทุจริตคอร์รัปชัน และ 3.บริหารราชการแผ่นดินล้มเหลว
แม้ประเด็นการทุจริตคอร์รัปชัน ปัญหาข้าวของมีราคาแพง และการทำงานที่ล้มเหลวจะเป็นปัญหาที่เห็นชัดเจนของรัฐบาลนี้ แต่คนส่วนใหญ่ยังพุ่งเป้าไปที่การสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง เพราะรู้กันดีว่าการอภิปรายทำได้แค่ทำให้นายอภิสิทธิ์และรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายมีความน่าเชื่อถือลดลงเท่านั้น แม้การอภิปรายจะมีความน่าเชื่อถือแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ไม่เคยมีผู้นำรัฐบาลหรือรัฐมนตรีคนใดมี “สำนึกทางการเมือง” จนลาออก เพราะนักการเมืองไทยไม่ว่ายุคใดสมัยใด หากไม่มี “หลักฐาน” หรือ “ใบเสร็จ” มามัดตัวชัดเจนก็ไม่มีใครหน้าบาง
นายอภิสิทธิ์ในฐานะผู้นำรัฐบาลยังถูกประณามว่าไม่ใช่เพียงไม่มีสำนึกและแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองกรณีสั่งให้ใช้กำลังทหารนับหมื่นนายพร้อมอาวุธสงครามปราบปรามประชาชนผู้บริสุทธิ์จนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมากในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษ-ภาอำมหิต” แล้วเท่านั้น แม้แต่คำ “ขอโทษ” ก็ไม่เคยมี ทั้งที่ตัวเองเคยอภิปรายตำหนิและเรียกร้องผู้นำรัฐบาลก่อนหน้านี้ให้มีสำนึกทางการเมืองแม้จะมีผู้เสียชีวิตเพียงคนเดียวก็ตาม อย่างคำอภิปรายของนายอภิสิทธิ์ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2551 ตอนหนึ่งว่า
“ผมสนใจว่าต้องมีคนรับผิดชอบต่อการสูญเสียที่เกิดขึ้นกับประชาชนครับ การเมืองในวิถีทางประชาธิปไตยไม่มีที่ไหนในโลกที่ประชาชนถูกทำร้ายจากภาครัฐแล้วรัฐบาลที่มาจากประชาชนไม่แสดงความรับผิดชอบ”
กลัวคลิปจนตัวสั่น
การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้จึงถูกจับตาไปที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ที่ประกาศจะอภิปรายปมปริศนาว่าใครเป็นคนเผาเซ็นทรัลเวิลด์ หรือเผาบ้านเผาเมือง ซึ่งไม่ใช่ “ไอ้โม่งชุดดำ” รวมถึงกรณีสังหารโหด 6 ศพที่วัดปทุมวนาราม โดยจะนำผลการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มาเปิดโปงและยืนยันว่ากระสุนมากมายที่ฝังอยู่ใน 6 ศพนั้นมาจากอาวุธทางฝั่งทหาร
นายจตุพรเปิดเผยว่า การอภิปรายครั้งนี้มีการรวบรวมข้อมูลได้เต็มที่ ส่วนใหญ่เป็นเอกสารทางราชการ โดยจะเริ่มด้วยการจับโกหกนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ขณะนั้นว่ามีทหารปฏิบัติการอยู่บนรางรถไฟฟ้าจริง รวมทั้งหลักฐานที่เป็นวิทยาศาสตร์ทั้งหมดว่าการตาย 91 ศพ จาก 21 จุดเป็นอย่างไร โดยเฉพาะเหตุการณ์ไฟไหม้ห้างเซ็นทรัลเวิลด์จะมีภาพทุกจุดทั้งข้างในและข้างนอกจากกล้องวงจรปิด เพื่อให้เห็นทุกวินาทีและเห็นคนลงมือทั้งหมด รวมถึงความสงสัยที่ว่าทำไมหน่วยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจึงไม่สามารถเข้าไปดับไฟได้
“อธิบายให้เห็นว่าช่วงสลายการชุมนุมเป็นอย่างไร ใครสั่งใช้กำลัง ใครรับผิดชอบจุดไหน แล้วจะอธิบายให้ประชาชนได้รับรู้ หากเห็นข้อมูลทั้งหมดแล้วทั้งนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพจะเดินถนนได้ยาก ที่นายสุเทพบอกว่ามีคลิปว่าใครเผาขอให้เตรียมไว้ให้ดีแล้วเอามาเปิดกัน แต่อยากจะเรียกร้องให้ประกาศเป็นสัตยาบันออกมาว่าจะเปิดโอกาสให้แต่ละฝ่ายได้ทำหน้าที่เต็มที่ ไม่มีการประท้วงก่อกวน ต่างฝ่ายต่างนำเสนอ แล้วประชาชนจะตัดสินเองว่าใครพูดเท็จ”
2 บิ๊กกองทัพตอบโต้
ขณะที่ พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) ออกมาตอบโต้นายจตุพรที่จะอภิปรายการเผาเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งจะส่งผลกระทบถึงกองทัพว่า ไม่กังวล เพราะความจริงก็คือความจริง สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 มีการพยายามขอให้ทหารเข้าไปช่วยเหลือเมื่อมีการเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์และในพื้นที่ต่างๆ เพราะเจ้าหน้าที่ดับเพลิงไม่สามารถเข้าไปได้ เพราะมีคนที่แต่งชุดสีดำแล้วมีอาวุธนั้นเป็นใคร และใครเป็นคนเผากันแน่
พล.อ.อ.อิทธพรกล่าวว่า ให้ระวังข้อมูลและภาพที่ปัจจุบันสามารถตัดแต่งได้ง่าย การพูดบางทีก็โกหกหน้าตาเฉย จึงต้องใช้วิจารณญาณ ใช้สติในการรับฟัง คนที่พูดในสภาบางอย่างต้องวิเคราะห์ว่ามีความจริงแค่ไหน ถ้ามีทหารเข้าไปจริงคงพิสูจน์ได้ เรื่องต่างๆต้องให้กระบวนการยุติธรรมเป็นผู้ตัดสิน ไม่ใช่คนใดคนหนึ่งออกมาพูดแล้วอ้างโน่นอ้างนี่ และโยนว่าทหารเป็นคนทำ ซึ่งไม่ยุติธรรม ทหารเป็นทหารอาชีพ ไม่ใช่ไปตั้งโต๊ะคอยปลุกระดมต่างๆ เราพยายามอยู่ในกรมกอง ทหารไม่อยากไปยุ่งกับการเมือง อยากให้การเมืองแก้ด้วยการเมือง
ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) แสดงความไม่พอใจอย่างยิ่งที่นายจตุพรจะชี้ให้เห็นว่าการเผาเซ็นทรัลเวิลด์เป็นฝีมือทหารว่า
“มันบ้าไง มันเป็นบ้าหรือเปล่า ใครจะไปเผา ทหารจะไปเผาได้ไง มีแต่ไปช่วยเขาดับ แต่มันไม่ให้เข้าไปดับ และจะให้ทำอะไร จะมาบอกว่าทหารเข้าไปเผา มันจะเผาทำบ้าอะไร มันไม่เกิดประโยชน์”
ส่วนการอภิปรายในสภานั้น พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เตรียมข้อมูลให้รัฐบาลและขอความร่วมมือจากศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ที่ผ่านมา ศอฉ. ได้เตรียมข้อมูลมาตลอด มีข้อมูลทุกอย่างที่อธิบายได้ ปัญหาอยู่ที่ว่าจะเชื่อหรือไม่
“ผมถูกกล่าวหาว่าเป็นคนค่อนข้างรุนแรงและชอบตอบโต้ ผมเป็น ผบ.ทบ. เป็นคนดูแลศักดิ์ศรีของกองทัพบก ผมต้องรักษา หากใครมาแตะต้องและต่อว่าหรือพูดในสิ่งที่ไม่ถูกผมต้องออกมาโต้ตอบ ถ้าท่านชมทหารหรือพูดว่าผิดเป็นรายบุคคลผมก็รับ เพราะเป็นกฎหมายและกติกา ถ้าทำผิดต้องลงโทษ แต่จะมาเหมาว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้ ผมรับไม่ได้ จะมาบอกให้ไม่พูดและเงียบๆ จะมาบอกว่าท่าทีผมไม่ปรองดอง ขอยืนยันว่าผมไม่ปรองดองกับคนที่ทำผิดกฎหมาย จะให้ผมไปเจรจากับคนทำผิดกฎหมายผมไม่ทำ เพราะผมเป็นเจ้าหน้าที่ ดังนั้น ขอให้เก็บทหารเป็นหมากสุดท้ายในการเดิน”
ข้อมูลไม่ 100% แต่ครบถ้วน
ด้านนายจตุพรกล่าวถึงการออกมาตอบโต้ของ ผบ.ทบ. และ ผบ.ทอ. ว่า ผบ.เหล่าทัพไม่ควรมาแสดงความโกรธใส่คนเสื้อแดง เพราะข้อมูลที่มาถึงตนและคนเสื้อแดงวันนี้เกิดจากการหักหลังกันเองของรัฐบาลกับกองทัพ เหมือนที่รัฐบาลหักหลังกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ดังนั้น หาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.อ.อิทธพรเป็นนักเลงจริงต้องโกรธรัฐบาลแล้วไปจัดการกับรัฐบาล
“การที่ พล.อ.ประยุทธ์บอกว่าทหารช่วยดับไฟนั้น ขอให้รอดูการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่าทหารช่วยดับไฟหรือช่วยจุดไฟกันแน่ เพราะรายละเอียดต่างๆที่ผมถืออยู่แม้จะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เชื่อว่า 90 เปอร์เซ็นต์นั้นครบถ้วน และสามารถหาข้อมูลอีก 10 เปอร์เซ็นต์ได้ โดยเป็นภาพที่มาจากทุกมุมกล้อง ไม่ว่าจะเป็นเกษรพลาซ่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมถึงภาพจากกล้องวงจรปิดทั้งในและนอกห้างเซ็นทรัลเวิลด์ครบทุกมิติ แบบมีรายละเอียดเป็นวินาที ฟังอภิปรายแล้วจะสามารถตอบได้เลยว่าใครเผาบ้านเผาเมือง และผมจะไม่ขอปรองดองกับฆาตกรเหมือนกัน”
แพะ “ไอ้โม่งชุดดำ”
การออกมาแสดงความรู้สึกไม่พอใจของ ผบ.ทบ. และ ผบ.ทอ. ไม่ว่าจะเป็นการเผาเซ็นทรัลเวิลด์ หรือใครยิงประชาชน รวมทั้งสิ่งที่นายสุเทพออกมาเตือนนายจตุพรถึงคลิปที่จะนำมาใช้ประกอบการอภิปรายว่าอย่าตัดต่อเพื่อบิดเบือนความจริงนั้น ผู้นำกองทัพและนายสุเทพน่าจะกลับไปดู ศอฉ. ในช่วงก่อนหน้านี้ว่าได้ใช้วิธีการโฆษณาชวนเชื่อและบิดเบือนเหตุการณ์ผ่านสื่อต่างๆ ที่ต้องเสนอแต่ข่าวและข้อมูลที่ ศอฉ. ทำขึ้นมาอย่างไร
มีการนำเหตุการณ์ในอดีตมาตัดต่อกับคลิปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อกล่าวหาและใส่ร้ายคนเสื้อแดงว่าเป็นผู้ใช้ความรุนแรงต่างๆนานา
โดยเฉพาะกรณี “ไอ้โม่งชุดดำ” หลังจากเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน 2553 ที่ ศอฉ. “ขอคืนพื้นที่” โดยส่งกำลังทหารพร้อมอาวุธสงครามและใช้แก๊ส น้ำตาสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก จนนายอภิสิทธิ์ต้องหลบไปอยู่ในค่ายทหารหลายวันกว่าจะออกมาแถลงผ่านสื่อต่างๆ หลังจาก ศอฉ. นำภาพ “ไอ้โม่งชุดดำ” มาเผยแพร่และระบุว่าเป็นผู้ก่อให้เกิดความรุนแรง และโยงถึงคนเสื้อแดงว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย” ที่ทำร้ายทหารและประชาชน
นายสุเทพครั้งเป็นผู้อำนวยการ ศอฉ. ให้สัมภาษณ์ว่า ตนเองติดตามสถานการณ์ตลอดเวลาและรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้น แต่กลับไม่สามารถบอกได้ว่า “ไอ้โม่งชุดดำ” เป็นใครหรือคนของฝ่ายใด แต่เมื่อมีหลักฐานว่าแต่งกายอย่างชุดทหาร ศอฉ. ก็ออกมาระบุทันทีว่าเป็น “ไอ้โม่ง” ที่แต่งกายคล้ายทหาร แต่ถ้าไม่รู้ว่าเป็นใครที่ฆ่าและทำร้ายคนเสื้อแดงก็ยัดเยียดให้เป็น “ไอ้โม่งชุดดำ”
“ไอ้โม่งชุดดำ” จึงกลายเป็น “แพะ” ตัวสำคัญที่รัฐบาล กองทัพ ศอฉ. และดีเอสไอยังใช้ในการไล่ล่าคนเสื้อแดงและฝ่ายตรงข้ามในข้อหาเป็น “ผู้ก่อการร้าย” ทั้งที่ผ่านมาเกือบปีแล้วก็ยังไม่มีหลักฐานหรือจับตัว “ไอ้โม่งชุดดำ” ได้แม้แต่คนเดียว
ใครเผาเซ็นทรัลเวิลด์?
เช่นเดียวกับปริศนาว่าใครเผาเซ็นทรัลเวิลด์ที่วันนี้ยังไม่มีผลการสอบสวนออกมาเลย แต่ ผบ.ทอ. กลับออกมายืนยันว่าเป็นฝีมือของ “ไอ้โม่งชุดดำ” ขณะที่ ผบ.ทบ. ออกมาประณามคนที่พยายามกล่าวหาว่าทหารอาจเกี่ยวข้องหรือเป็นคนเผาเซ็นทรัลเวิลด์ว่า “บ้า” แทนที่จะฟังข้อมูลการอภิปรายในสภาก่อน รวมทั้งให้ดีเอสไอและเจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งสอบสวนเพื่อให้ความจริงปรากฏ
เพื่อยุติการกล่าวหาและใส่ร้ายกันไปมา เพราะหลังจากแกนนำ นปช. มอบตัวทั้งหมดแล้วทหารก็สามารถคุมพื้นที่ทั้งภายในและภายนอกเซ็นทรัลเวิลด์ได้ แต่เซ็นทรัลเวิลด์ถูกเผาในช่วงเย็น จึงเป็นธรรมดาที่จะมีการพุ่งเป้าไปที่ทหารด้วย รวมทั้งคำถามว่าแล้วทำไมจึงปล่อยให้เพลิงไหม้เซ็นทรัลเวิลด์จนวอดวายเช่นนี้
ขณะเดียวกันมีหลักฐานทั้งภาพถ่าย คลิปวิดีโอ และพยานบุคคลต่างให้ข้อมูลสอดคล้องกันว่าก่อนเกิดไฟไหม้ในช่วงเย็นนั้น ทหารได้เข้าไปเคลียร์พื้นที่ให้ รปภ. และคนที่อยู่ภายในออกมาข้างนอกทั้งหมด และควบคุมพื้นที่ภายนอกไม่ให้คนเข้าไปภายในบริเวณดังกล่าวอีกด้วย
แต่เผาเซ็นทรัลเวิลด์ในช่วงเย็นเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือผู้นำกองทัพขณะนั้นกลับบอกว่าเข้าไปดับไฟไม่ได้ เพราะมีคนยิงออกมา จึงมีคำถามว่าใครยิง ถ้าเป็น “ไอ้โม่งชุดดำ” ไม่ว่าจะมีนับสิบนับร้อย แต่ทหารมีนับหมื่นทำไมจึงไม่เข้าไปจับหรือปราบปราม
ขณะที่ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด อดีตโฆษก ศอฉ. ออกมาปฏิเสธและชี้แจงว่า ภาพทหารที่อยู่ในเหตุการณ์ก่อนเกิดเหตุเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์ไม่ใช่รูปใหม่ แต่อาจนำเสนอภาพถ่ายจากอีกมุมหนึ่งมาเผยแพร่ ซึ่งที่ผ่านมามีการนำเสนอหลายครั้งแล้ว และ ศอฉ. ได้ชี้แจงการทำงานของเจ้าหน้าที่ไปแล้วว่าทำอะไร อยู่ที่ไหน ใช้อาวุธลักษณะอย่างไร จึงไม่ต้องตรวจสอบอะไรอีก
ภาพและหลักฐานต่างๆทั้งหมดจึงเป็นปริศนาจนทุกวันนี้ แต่คนเสื้อแดงกลับถูกยัดเยียดเป็น “ไอ้โม่งชุดดำ” เป็นคนเผาบ้านเผาเมืองไปแล้ว ทั้งที่จนถึงวันนี้ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนอะไรเลย หรือจับ “ไอ้โม่งชุดดำ” ได้แม้แต่คนเดียว มีแต่คนเสื้อแดงที่ถูกจับขังคุกทันทีนานกว่า 9 เดือน และยังไม่ได้รับการประกันตัวอีกจำนวนกว่าร้อยคน
ปริศนากระสุน 7.62 มม.
เช่นเดียวกับเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน 2553 ที่วันนี้ก็มีแต่ “ไอ้โม่งชุดดำ” ที่ถูกยัดเยียดเป็น “แพะ”
ขณะที่ “คนสั่ง” ให้ปราบปรามประชาชนจนมีการเสียชีวิตกลับยังเดินลอยหน้าและเดินสายสร้างภาพเป็น “คนดี” และต้องการสร้างความปรองดอง ส่วน “คนฆ่าประชาชน” ก็ลอยนวล เพราะไม่มีใครกล้าแตะต้อง
แม้แต่การตายของนายฮิโรกิ มูราโมโต ช่างภาพสำนักข่าวรอยเตอร์ชาวญี่ปุ่น ที่ถูกแช่แข็งมาเกือบปีเหมือนอีก 90 ศพ วันนี้ดีเอสไอกลับมีการอ้างว่ามีวัตถุพยานใหม่คือ กระสุนจากศพมีรูกระสุนใหญ่กว่าขนาด 5.56 มิลลิเมตร ที่เคยระบุไว้ว่าเป็นรูกระสุนขนาด 7.62 มิลลิเมตร (โดยประมาณ) ดีเอสไอจึงออกมาแถลงทันทีว่าการเสียชีวิตของนายฮิโรยูกิไม่ใช่เกิดจากอาวุธปืนของทหาร เพราะเป็นกระสุนแบบปืนอาก้าซึ่งกองทัพไม่มีใช้
แต่หลักฐานใหม่ของดีเอสไอนั้นวันนี้กลับทำให้ดีเอสไอต้องเร่งสอบสวนเพื่อหาความจริงมากขึ้น เพราะกระสุนขนาด 7.62 มิลลิเมตรนั้นไม่ใช่แค่ปืนอาก้า แต่ยังมีขนาดเท่ากับกระสุนไรเฟิลขนาด .306 นิ้ว ซึ่งหลายประเทศใช้กับปืนซุ่มยิงหรือสไนเปอร์ของทหารที่ปรากฏในภาพที่ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในคอลัมน์ “ทหารใหม่วันนี้” หน้า 10)
ดี...ดีแต่พูด
อย่างไรก็ตาม การออกมาแสดงความเห็นหรือตอบโต้ต่างๆทั้งของผู้นำกองทัพ รัฐบาล และคนเสื้อแดง หากทุกฝ่ายมีความจริงใจที่จะทำให้ “ความจริง” ปรากฏ และก้าวไปสู่ความปรองดองก็ถือเป็นสัญญาณที่ดี เพราะประชาชนต้องการรู้ความจริง หรือได้รับข้อมูลหลายด้าน ไม่ใช่รับข้อมูลด้านเดียว อย่างที่รัฐบาลและ ศอฉ. พยายามใช้สื่อยัดเยียดให้กับประชาชนตลอดระยะเวลาที่ปกครองด้วย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ขณะเดียวกันยิ่งมีข้อมูลหลากหลายก็ยิ่งจะเป็น การผลักดันให้รัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐต้องเร่งสอบสวนหาความจริงว่าทั้ง 91 ศพนั้นตายเพราะอะไร และใครเป็นคนยิง ไม่ใช่ยังวนเวียนอยู่กับการกล่าวหาหรือข่มขู่อีกฝ่ายหนึ่งว่าสร้างความปั่นป่วนหรือเป็นคนบ้า โดยไม่มองตัวเองว่าออกอาการตัวสั่นกลัวคลิปและกลัวความจริงจะปรากฏหรือไม่
พล.อ.ประยุทธ์บอกว่าถ้าบอกว่าทหารผิดเป็นรายบุคคลก็รับได้ เพราะเป็นไปตามกฎหมายและกติกา ถ้าใครทำผิดก็ต้องลงโทษ แต่จะมาเหมากล่าวอย่างนั้นอย่างนี้รับไม่ได้นั้น ในความรู้สึกของคนเสื้อแดงนับล้านๆคนก็ไม่แตกต่างกันที่ไม่พอใจ ศอฉ. ดีเอสไอ กองทัพ หรือนักการเมืองพรรคใดจะยัดเยียดว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย” หรือ “ไอ้โม่งชุดดำ”
ยัดเยียดว่าคนเสื้อแดงที่ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยและความยุติธรรมกลายเป็นคนฆ่าคนเสื้อแดงด้วยกันเอง แถมยังอุปโลกน์เป็น “ขบวนการล้มเจ้า” ทั้งที่คนทั้งแผ่นดินและคนทั้งโลกก็รู้ว่า ศอฉ. ใช้อำนาจ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินสั่งให้ทหารนับหมื่นนายที่มีอาวุธสงครามปิดล้อมเพื่อ “ขอคืนพื้นที่” และ “กระชับพื้นที่” เพื่อสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง
ประเทศไทยนับว่ายังโชคดีที่บ้านเมืองไม่เกิดกลียุคและสงครามกลางเมืองจนลุกเป็นไฟ ทั้งที่เกิดความแตกแยกอย่างรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ เกิดจากการรัฐประหาร “หน่อมแน้ม” ที่สร้างรัฐธรรมนูญฉบับอัปยศ และทำให้คนทั้งแผ่นดินต้องแตกแยก แบ่งฝ่าย แบ่งพวก จนเกิดการสังหารโหดประชาชนที่รุนแรงมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
มาถึงบรรทัดนี้อดนึกถึงคำพูดจากปากรัฐบุรุษของประเทศท่านหนึ่งไม่ได้...
“คนไทยโชคดีที่ได้อภิสิทธิ์เป็นนายกฯ”
เพราะอภิสิทธิ์เป็นคนดีที่ถูกเลือก สรรมาอย่างดีในค่ายทหารให้มาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศ
วันนี้คนไทยเชื่อแล้วว่า “ดี”...ดีแต่พูดจริงๆ
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 302 วันที่ 12 – 18 มีนาคม พ.ศ. 2554 หน้า 16-17 คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน
2011-03-14
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น