วันอังคาร, มีนาคม 01, 2554
9เดือนในเรือนจำ 'เหวง'รู้ผลต่อสู้กับระบบอำมาตย์-รัฐบาล
"นพ.เหวง โตจิราการ"หนึ่งใน7แกนนำนปช.9เดือนในเรือนจำ ไม่ได้ยากลำบากไม่ทุกข์ร้อน เพราะจิตสำนึกรู้ว่าเป็นผลจากการต่อสู้กับระบบอำมาตย์และรัฐบาล
# ชีวิตในเรือนจำ 9 เดือนเป็นอย่างไร
ถือว่าไม่ได้ยากลำบาก ไม่ทุกข์ร้อน เพราะจิตสำนึกรู้แล้วว่าเป็นผลสืบเนื่องจากการต่อสู้ รู้ว่าสู้กับระบบอำมาตย์และรัฐบาล พวกเราเตรียมใจไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะโดนจับเข้าคุกที่เป็นผลจากการเรียกร้องยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ มีความเป็นไปได้สองด้านคือ ได้รับชัยชนะแบบสมบูรณ์หรือพ่ายแพ้และเสียหาย รวมทั้งเป็นไปได้ที่พวกเราต้องติดคุกและบางคนจะเสียชีวิต ทั้งที่ไม่มีเหตุผลเพียงพอ เตรียมใจไว้แล้ว ฉะนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกและตื่นตระหนก และรู้ว่ามันเป็นผลต่อเนื่อง
การถูกจับครั้งนี้ไม่ยุติธรรมและไม่เป็นธรรมตามที่รัฐบาลยัดเยียดให้ เพราะเป็นน้ำมันราดเข้ากองเพลิง ความไม่พอใจของคนเสื้อแดงที่มีต่อรัฐบาลจะสูงขึ้นท่ามกลางความตายที่ปรากฏและยัดเยียดให้ประชาชนความเคียดแค้นจะยิ่งมากขึ้น เราอยู่ในนั้น(เรือนจำ)อยู่อย่างทนงองอาจ ผมขอตอบพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.แบบไม่ได้สยบยอมต่อชะตาที่ยัดเยียดให้
ปกติเจ้าหน้าที่จะปล่อยขังตอนหกโมงครึ่ง ผมออกกำลังกายหนึ่งชั่วโมง จากนั้นเคารพธงชาติ ต่อมาฟังเจ้าหน้าที่อบรม จากนั้นผมไปเล่นกีตาร์ถึงสิบโมงเช้า จากนั้นมาพบญาติและคนเสื้อแดงมาเยี่ยม ช่วงเที่ยงก็คุยกับแกนนำเรื่องการเมือง ช่วงบ่ายผมเล่นกีตาร์และเรียนภาษาจีนในแดนหก จากนั้นออกกำลังกาย บ่ายสามโมงอาบน้ำเตรียมตัวเข้าห้องขัง ช่วงนั้นผมอ่านหนังสือสี่ชั่วโมงก่อนนอน สองทุ่มผมสวดมนต์และร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี จากนั้นก็นอน ตีสี่ผมตื่นและฝึกสมาธิ
ห้องขังนั้นมีแกนนำ 3คนอยู่กับผมคือนายสมชาย ไพบูลย์และนายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย แต่แออัดนะนอนกัน 30-60 คน ห้อง 10x10 เมตร ห้องน้ำมีสองห้อง วันที่ออกจากเรือนจำก็ไปพบพลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี และขอบคุณพลตรีสนั่นที่เชื่อมั่นพวกเรา วันนั้นคนเสื้อแดงมารอตั้งแต่เช้าจนดึกนะเกือบหนึ่งหมื่นคนเลย กลับเข้าบ้านห้าทุ่ม
#ครอบครัวกังวลหรือไม่
คุณธิดา ถาวรเศรษฐ์ แข็งแกร่งให้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์กับผมเยอะมากว่า เวลาที่โดนคุมขังก็เป็นเรื่องต่อเนื่องของการต่อสู้ มันต้องนิ่ง จิตใจต้องเข้มแข็ง ขังเราได้เฉพาะร่างกาย อย่าให้ขังหัวใจ ฉะนั้นครอบครัวของผมแข็งแรง ลูกๆก็เข้าใจ และสนับสนุนแนวทางที่ผมกระทำและเข้าใจ
#ในชีวิตนี้ต่อสู้เรียกร้องมาหลายสิบปี การต่อสู้ครั้งนี้ถือว่ารุนแรงหรือไม่ เพราะภาพที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งมีการเสียชีวิตจำนวนมาก
รุนแรงที่สุดเท่าที่มีในประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชนตั้งแต่ประเทศไทยได้ประชาธิปไตย แสดงความเหี้ยมโหดอำมหิตของผู้กุมอำนาจรัฐในปัจจุบัน ไม่เคยปรากฏในโลกนี้และในประเทศ เพราะมีการติดคำสั่งอนุญาตให้ฆ่าได้แถวถนนพระรามสี่ ไม่ทราบว่ารัฐบาลใช้จิตวิญญาณความเป็นมนุษย์กระทำกับประชาชนหรือไม่ หากมีจิตวิญญาณต้องไม่มีคำสั่งนี้
# ตอนนั้นมีภาพข่าวคนชุดดำและพลตรีขัตติยะ สวัสดิผล ในพื้นที่ใกล้เคียงการชุมนุมและช่วงกระชับพื้นที่นั้น มีการค้นพบอาวุธและสิ่งเทียมคล้ายอาวุธจำนวนมากในพื้นที่การชุมนุม ทราบมาก่อนหรือไม่
ขออนุญาตเรียนว่า การปล่อยตัวพวกผม พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ มาร่วมไต่สวนด้วยและตอบอัยการที่ถามว่ามีความรุนแรงหรือไม่ พล.ต.ต.วิชัยตอบไปว่าความรุนแรงมีสองแบบคือรุนแรงด้วยคำพูดและรุนแรงด้วยการกระทำ รุนแรงด้านคำพูดนั้นมีบ้างบนเวทีในการชุมนุม แต่ไม่ปรากฏความรุนแรงในการกระทำและไม่มีอาวุธเลย หากผมพูดไปคงไม่เชื่อ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดูแลการชุมนุมนั้นตอบกับศาลเองเลยว่าไม่พบอาวุธ ผู้สื่อข่าวอยู่กับพวกเรา 69 วันนั้น พวกเราไม่เคยจำกัดพื้นที่ผู้สื่อข่าวว่าไม่ให้ไปไหนและไม่ให้คุยกับใครเลยเลย เว้นกรณีวันที่ 10 เม.ย. 2553 ที่ปรากฏภาพข่าวของสำนักข่าวอัลจาซีร่า พบชายฉกรรจ์ชุดดำสองคน ผมขอให้รัฐบาลจับชายสองคนนี้มาลงโทษ ผมดูท่วงท่าการเคลื่อนไหวแล้วฟันธงว่าเป็นทหารที่ผ่านการฝึกและสมรภูมิมาแล้ว แต่ไม่ทราบว่าเป็นทหารฝ่ายใด
และทราบว่าตอนนั้นทหารมีความขัดแย้งกันมากในการแย่งชิงตำแหน่ง โดยเฉพาะกองทัพบกเพราะทหารหลายฝ่ายไม่พอใจระดับการกุมอำนาจและบางฝ่ายดำเนินการเอง รวมทั้งการเสียชีวิตของพ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม เพราะบางคนให้ข้อสันนิษฐานที่มีน้ำหนักว่าเป็นการกระทำของทหาร และข้อสรุปของนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัมที่อ้างข้อสรุปของ”ไวลีย์ วิสติง” สังกัดหน่วยปฏิบัติการพิเศษสลายการชุมนุมลอสแองเจลลิส ระบุว่า การเสียชีวิตของพ.อ.ร่มเกล้าเป็นการกระทำของทหาร ไม่ใช่คนเสื้อแดง ผมปฏิเสธทั้งหมดว่าคนเสื้อแดงไม่มีความรุนแรงทั้งสิ้น
เรื่องพลตรีขัตติยะ สวัสดิผล รัฐบาลไม่ได้ความใส่ใจในเรื่องการเสียชีวิตทั้งๆที่ชัดเจนว่าลอบสังหารจากการยิงบนตึกสูง เพราะเล็งเป้าเข้าศรีษะท่ามกลางสื่อต่างประเทศ น่าสงสัยว่าปล่อยไว้ทำไม รัฐบาลปล่อยเฉยและมีส่วนรู้เห็นหรือไม่ ยืนยันแกนนำนปช.ชุดที่เเล้วปฏิเสธพลตรีขัตติยะอย่างน้อยสามครั้งบนเวที ผมเคยบอกกับสื่อไปว่าพลตรีขัตติยะเป็นคนไทยก็เข้าพื้นที่ได้ หากกระทำผิดก็จับได้ แสดงว่าผมไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรงและการทำผิดกฎหมายใดๆ
#ภาพและข่าวของสื่อในและต่างประเทศ ปรากฏในช่วงหลังกระชับพื้นที่จะพบอาวุธจำนวนมากในพื้นที่ชุมนุมและเวทีใหญ่จะชี้แจงอย่างไร เพราะปฏิเสธตั้งแต่ต้นว่าไม่มีความรุนแรง
ช่วงที่ชุมนุมจะคอยสอดส่องดูแล แต่เมื่อพวกผมมอบตัวแล้วไม่สามารถควบคุมพื้นที่ได้ต่อไป ทหารและตำรวจเข้าไป หลังจากที่ผมถูกควบคุมตัว ผมติดตามข่าวที่ปรากฏได้บ้าง และตั้งข้อสังเกตว่า ส่วนใหญ่เป็นอาวุธใหม่เอี่ยมและมหาศาล หากคนเสื้อแดงมีอาวุธมหาศาลอย่างนั้น ทำไมทหารไม่เสียชีวิตมาก ผมไม่ได้ต้องการให้ทหารเสียชีวิตนะ แต่ขอตั้งคำถาม อาวุธเหล่านี้รัฐบาลและทหารเผด็จการจัดฉากให้ปรากฏภาพทางสื่อ เพื่อให้มีน้ำหนักปราบปรามนปช.ว่าสะสมอาวุธและใช้ต่อสู้
#คนเสื้อแดงเผาศาลากลางจังหวัดและเซ็นทรัลเวิล์ด มันขัดกับสิ่งที่ระบุไว้ข้างต้น
ผมติดตามการสัมภาษณ์ของนายจตุพร พรหมพันธุ์แล้วว่า เจ้าของเครือข่ายยักษ์ใหญ่ที่รู้ดีว่า การเผาเซ็นทรัลนั้นไม่ได้เกิดจากคนเสื้อแดง เพราะเซ็นทรัลจ้างรปภ.สามร้อยคนและมีหน่วยดับเพลิงไว้รักษาความปลอดภัย และมีกล้องวงจรปิดจับตาคนเสื้อแดงละเอียด ฉะนั้นโดยสรุป การเผาเซ็นทรัลเวิล์ดไม่ได้มาจากคนเสื้อแดงและน่าเป็นฝีมือของทหาร ส่วนการปราศรัยของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อนั้น(นายณัฐวุฒิปราศรัยว่าหากนปช.ตกใจอาจจะเผาศาลากลางจังหวัดได้) ผมตอบแทนได้เพราะฟังการปราศรัยของนายณัฐวุฒิที่มีเงื่อนไขว่า หากมีการรัฐประหาร ไม่ได้เป็นการเชิญชวนประชาชน แต่เป็นการพูดที่ตั้งเงื่อนไขไว้ มันไม่น่าจะเป็นเหตุที่ทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ตรงนี้เป็นความเข้าใจของผมนะ และควรไปถามเจ้าตัวโดยตรงด้วย
# ช่วงที่อยู่ในเรือนจำได้แลกเปลี่ยนความเห็นกับแกนนำคนอื่นๆหรือไม่ว่า หากย้อนกลับไปได้สิ่งที่ดำเนินการไปนั้นถูกหรือผิด และพลาดหรือไม่ รวมทั้งอนาคต นปช.จะเป็นอย่างไรต่อไป
เราต้องเข้มงวดกวดขันที่สุดกับสันติวิธี ต้องไม่เปิดช่องให้รัฐบาลใช้เป็นข้ออ้างใส่ร้ายป้ายสี ทำให้เกิดความเกลียดชัง เพราะหากพวกเราไม่เข้มงวดและเปิดช่องแล้ว เช่นการปฏิบัติการที่โรงพยาบาลจุฬาฯนั้น ยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ผิด แต่มันไม่ใช่มติแกนนำ เพราะเป็นการตัดสินใจของแกนนำบางคน(นายพายัพ ปั้นเกตุ)และเป็นสิ่งไม่เหมาะสม พวกผมขอโทษบนเวทีไปแล้ว ตรงนี้ก่อให้เกิดความเสียหาย รวมทั้งการบุกรัฐสภาก็ได้ตำหนิแกนนำคนนั้น(นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง)ไปแล้ว เพราะไม่ใช่มติแกนนำ มันเป็นการตัดสินใจเฉพาะหน้าของแกนนำบนเวทีช่วงเผชิญปัญหา และแก้ไขสถานการณ์ด้วยการส่งแกนนำคนอื่นๆไปเชิญตัวกลับมา ตรงนี้ยอมรับเป็นจุดอ่อนและทำให้รัฐบาลขยายผล คือประกาศใช้พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ทั้งๆที่ไม่มีความเหมาะสมเลย เพราะนปช.ยี่สิบคนเดินผ่านรั้วเข้ารัฐสภาเท่านั้น โดยไม่เข้าไปในอาคารเลย จึงอาศัยเหตุนี้ประกาศ มันไม่สมควรแก่เหตุ ฉะนั้นการประกาศพ.ร.ก.นั้น เป็นเพราะพวกเรามีช่องโหว่ให้รัฐบาลสวมรอยเข้ามาได้ ตรงนี้ไม่ได้แปลว่ามีความชอบธรรมนะ
#สรุปว่าแกนนำนปช.ส่วนใหญ่สันติวิธี แต่แกนนำบางส่วนที่กระทำการพลการนั้น เป็นช่องโหว่
บางคนเท่านั้นและเป็นข้ออ้างใช้พ.ร.ก.ตั้งข้อหาขยายผล สิ่งนี้เป็นบทเรียนที่ต้องเข้มงวดในการปฏิบัติคือไม่เปิดช่องโหว่ให้รัฐรุกคืบเข้ามาด้วยความรุนแรง
# ช่วงที่ชุมนุมนั้นมีการปะทะและใช้ความรุนแรง แกนนำหารือกันบ้างหรือไม่
แกนนำประชุมกัน ใช้เหตุผลจูงใจว่า หากมีความเห็นตรงข้ามต้องใช้เหตุผลและในที่สุดมันยุติว่า ต้องใช้สันติวิธีและอย่าสร้างเงื่อนไขให้รัฐใช้ช่องโหว่รุกคืบ
#รัฐบาลและแกนนำนปช.เคยคุยกันสองครั้งและน่าจะจบได้ด้วยดี เพราะช่วงนั้นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พร้อมถอยแล้ว
ตอนนั้นอยากให้นายกฯ ตอบให้มั่นเหมาะว่าจะยุบสภาเมื่อใด นายกฯได้เสนอเงื่อนไขซึ่งผมจำรายละเอียดไม่ได้ แต่พวกเราก็ผ่อนปรน แต่เงื่อนไขที่นายกฯเสนอมานี้ เรารับไม่ได้ จึงได้มีการต่อรอง แต่ในเมื่อนายกฯยืนกรานกระต่ายขาเดียวการเจรจาจึงไม่มีความคืบหน้า
#ตอนนั้นมีข่าวลือกันว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯได้ติดต่อกับแกนนำนปช.บางคนว่าไม่ต้องไปยอมนายอภิสิทธิ์
ผมยืนยันว่าไม่มี ผมไม่อยากเอ่ยชื่อคน แต่คนๆนั้นไม่ได้รับโทรศัพท์จากคุณทักษิณ คุณทักษิณก็เป็นเพียงคนที่สนับสนุนการเคลื่นไหวของคนเสื้อแดงคนหนึ่ง เพราะเคยเป็นอดีตนายกฯ บางครั้งพวกเราจึงคิดว่าเป็นประโยชน์ที่จะให้คุณทักษิณวีดีโอลิงก์เข้ามา เราจึงเปิดวิดิโอลิงก์นั้นเข้ามาพูดกับประชาชน แต่สังเกตว่าใน 69 วันนั้นไม่มีเลย
#ทำไมช่วงนั้นนายวีระ มุสิกพงศ์ถึงลาออกจากประธาน นปช.
ก็ต้องเรียนกันตรงๆว่า ขอย้อนความกลับ แต่ผมจำวันที่ไม่ได้แต่ประมาณสิ้นดือนเม.ย. ช่วงที่มีคณะทูตเข้ามาดูการชุมนุมว่า พวกเรายินดีเจรจากับรัฐบาลอีกครั้งหนึ่ง พวกเรายินดีที่จะมีแผนปรองดองกับรัฐบาลใน 3-4 วันนั้นเอง รัฐบาลได้เสนอเรื่องเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ย. 2553 ขึ้นมา โดยวันที่ 3 พ.ค. พวกเราได้มีการประชุมและประกาศรับเลย เพียงแต่ว่าต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์มีข้อยุติเอกภาพ เพราะนายอภิสิทธิ์เสนอขึ้นมาคนเดียว มันจึงควรมีเอกภาพในพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลด้วย เพราะมันมีความเจ้าเล่ห์เพทุบายทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ สมมตินายกฯรับแล้ว แต่มติพรรคไม่รับ
สมัยนายชวน หลีกภัย เป็นนายกฯ ผมเคยเสนอเรื่องไป นายกฯรับแล้ว กรรมการบริหารพรรครับแล้ว แต่ที่ประชุมพรรคไม่รับ บทเรียนนี้มีมาแล้ว จึงอยากให้พรรคประชาธิปัตย์มีเอกภาพและอาจอ้างพรรคร่วมรัฐบาลด้วย พวกเรารับเงื่อนไขและขอให้รัฐบาลตอบรับใน 3 วันว่ารัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลเป็นเอกภาพ ก็รออยู่แต่รัฐบาลไม่ตอบมา พวกเราจึงเพิ่มเงื่อนไขการรับผิดชอบของความตายวันที่ 10 เม.ย. 2553 ว่า สิ่งที่รัฐบาลเสนอมานั้น พวกเราตอบรับวันที่ 4 พ.ค. พรรคประชาธิปัตย์ยังเล่นเกมถ่วงเวลา พวกเราคิดว่ารัฐบาลต้องรับผิดชอบความตายด้วย คือขอให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯเข้ากระบวนการทางกฎหมาย(ช่วงนั้นนายสุเทพไม่ได้เป็นส.ส.) โดยไม่รวมนายกฯ นายสุเทพไม่มีเอกสิทธิ์ส.ส.คุ้มครอง จึงเข้ามอบตัวได้
แต่นายสุเทพใช้เล่ห์ว่าไปที่กรมสอบสวนคดีพิเศษแล้วและเป็นการมอบตัวแล้ว แต่มันไม่ใช่ หากไปมอบตัวในฐานะผู้ถูกกล่าวหาต้องพิมพ์ลายนิ้วมือ ถ่ายรูป ลงบันทึกประจำวัน แต่วันนั้นนายสุเทพไปตรวจงาน จึงรับไม่ได้และเลื่อนเวลาออกไป พวกเรารอถึงวันที่ 7-8 พ.ค.แล้วและนายสุเทพต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว แต่นายสุเทพไปวันที่ 10 พ.ค.
และช่วงนั้นนายวีระมองว่าควรรับแค่นั้นพอ พอแค่นั้น และมีความเห็นไม่ตรงกัน นายวีระใช้ดุลพินิจส่วนตัวขอลดบทบาท ปลีกตัวไป แต่ไม่ได้ทิ้ง นายวีระยังรับหน้าที่ช่วยเจรจากับรัฐบาลอยู่ในส่วนที่ยังติดต่อได้ตลอด แต่รัฐบาลไม่ยอม หากก่อนหน้านั้นข้อเรียกร้องที่ขอให้รัฐบาลและนายสุเทพดำเนินการเรียบร้อย พวกเราก็เลิกชุมนุมเลย กลับบ้าน ต้องการแค่นั้น พวกเราไม่สามารถปล่อยพี่น้องตายโดยไม่มีความเป็นธรรมเกิดขึ้นในแผ่นดินได้ หากตายแบบนี้โดยทหารยิง แต่ปล่อยไว้แบบไม่รู้ร้อนรู้หนาวมันไม่ได้
รัฐบาลทำแบบนี้พวกเรารับไม่ได้จึงยืนยันใช้ข้อเรียกร้องนี้ นายวีระจึงปลีกตัวไปแต่ไม่ถือโทษโกรธเคือง ยังมีไมตรีต่อกันและยังเจรจากับรัฐบาลให้ แต่นายกฯไม่ยอม หลังจากนั้นช่องทางนี้ลำบากแล้วจึงคิดว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่องค์กรสากลเช่น สหประชาชาติส่งตัวแทนเข้ามาช่วยเปิดเจรจา พวกเราต้องการคนกลางที่มีศักยภาพทางการเมืองมาช่วยเป็นคนกลาง พวกเรารู้ว่าลำบากเพราะมันแสดงเจตนารมย์ของพวกเราที่ต้องการเจรจา
เมื่อทางสหประชาชาติทำได้ยากนั้น ถัดมานายประสพสุข บุญเดช ประธานส.ว.เสนอตัวเป็นคนกลางเจรจากับรัฐบาล พวกเรายินดีที่ให้ส.ว.เป็นคนกลางเจรจา เวลามันล่วงมาวันที่ 15-16 พ.ค.แล้ว นายประสพสุขเสนอพลเอกเลิศรัตน์ รัตนวานิช มาเจรจากับพวกเราและได้ข้อยุติชัดเจนว่าจะมีการเจรจากันที่รัฐสภา การกระชับพื้นที่นั้นยิงคนตายตามลำดับ เช่นถนนรางน้ำ สวนลุมพินี มีการตายทุกวัน พวกเราอยากให้ยุติเร็วที่สุด จึงให้ส.ว.เป็นคนกลางและได้ข้อยุติว่าหยุดทุกอย่างในเที่ยงคืนวันนั้น เช้าวันรุ่งขึ้นค่อยเจรจารายละเอียดโดยไปคุยที่รัฐสภา แต่เลยเที่ยงคืนแล้วรัฐบาลส่งกำลังเข้ามาเริ่มรื้อและยิง รัฐบาลไม่ต้องการสันติวิธี ทำไมรอยี่สิบสี่ชั่วโมงไม่ได้ พลเอกเลิสรัตน์ส่งข่าวไปยังนายกฯและประธานส.ว.โดยตรง ทำไมรอไม่ได้ สั่งกำลังทหารเลื่อนออกไปไม่ได้หรือ ชัดเจนเลยว่ารัฐบาลต้องการความรุนแรงและต้องการฆ่าคน
#แต่ช่วงนั้นคนเสื้อแดงก็ออกไปปะทะกับทหารโดยใช้อาวุธด้วย แกนนำมีการสั่งห้ามแนวร่วมไม่ให้ดำเนินการหรือไม่
รูปธรรมมันชัดเจนว่า เราให้ชุมนุมเพิ่มสองจุดคือ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิและคลองเตย พวกเราบอกไปว่าอย่าเข้ามา เพราะพี่น้องจะถูกยิงตายหากเข้ามา หากอยากชุมนุมก็ขอให้ไปสองจุดนั้น ตรงนี้แสดงความจริงใจและบริสุทธิ์ใจ อย่างไรก็ตามพี่น้องเป็นห่วงว่าพวกเราจะโดนปราบ ช่วงนั้นมีการตัดการส่งอาหารและน้ำ รวมทั้งสัญญาณโทรศัพท์มือถือ พวกเราเจรจาและติดต่อใครไม่ได้ พลเอกเลิศรัตน์จะติดต่อใครในช่วงนั้นเลยไม่ได้ หากโทรได้มันก็จบแล้ว ผมไม่โทษอะไรนะ เพียงแต่รัฐบาลทำไมไม่รอ เพราะคุยกับพลเอกเลิศรัตน์แล้วรู้เรื่องว่า ยุติหลังเที่ยงคืน ประชาชนจะไม่เข้ามา ใครที่จุดไฟเผายางรถยนต์ก็หยุด หนังสติ๊กด้วย หยุดหมด
เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเรามีมาตรการว่าทหารถอยออกกี่โมง พวกเราจะขนคนออกกี่โมง แต่ทางนั้นไม่อนุญาต แสดงว่ากระหายที่จะฆ่าประชาชน
#จากเหตุการณ์ปีที่แล้ว วันนี้คนเสื้อแดงรวมตัวมากขึ้นทุกครั้งในการชุมนุม ตรงนี้ถือว่าประสบความสำเร็จหรือไม่
ประชาชนที่โดนกดขี่มานานกระหายความยุติธรรมและรู้ว่าประชาธิปไตยที่แท้จริงอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขสามารถแก้ปัญหาบ้านเมืองได้โดยดูจากยุคของคุณทักษิณเป็นนายกฯ ไม่ได้หมายความว่าเชียร์นะ แต่ประชาชนเห็นการเลือกตั้งรัฐบาลพรรคเดียวที่ชนะและดำเนินนโยบายแก้ปัญหาบ้านเมืองได้จริง ความตื่นตัวนี้จึงมาร่วมชุมนุม ไม่ใช่เพราะรักแกนนำแบบส่วนตัว แม้บางคนอาจมีบ้าง แต่ลึกๆคือความอยุติธรรมที่ได้รับและความกระหายความยุติธรรม รวมทั้งประชาธิปไตยที่แท้จริง จึงมาร่วม หากดูการชุมนุมนั้นช่วงแรกมีคนต่างจังหวัด คนต่างจังหวัดอยู่นานไม่ได้ สามวันก็กลับแล้ว ช่วงนั้นสงกรานต์และใกล้ฤดูฝนด้วย แต่หลังๆมีแต่คนกทม.นะ คนเสื้อแดงมาร่วมกันมากเพราะเห็นด้วยกับการต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพที่เท่าเทียมกัน
#ข้อหาล้มเจ้า
ไม่มี ไม่จริง ตอนนั้นแผนผังล้มเจ้าที่ศอฉ.ร่างขึ้นมานั้น กลายเป็นเรื่องสัพเพเหระไปแล้ว ขำขันไปแล้ว วันนั้นที่ร่างขึ้นเพราะจุดหมายต้องการสร้างความชอบธรรมในการสังหารคนเสื้อแดง คล้ายกับเหตุการณ์ 6 ต.ค. 2519 ผังล้มเจ้ามันเป็นความตั้งใจของรัฐบาลนี้ที่จะสร้างเหตุขึ้นมาอีก
การเมืองที่คนเสื้อแดงต้องการคือประชาธิปไตยอันมีพระมากษัตริย์เป็นประมุข อำนาจการเมืองเป็นของประชาชนแท้จริง ที่ผ่านมานั้น รัฐบาลนี้ล็อบบี้กันในค่ายทหาร ไปเชิญพรรคร่วมรัฐบาลพลังประชาชนเข้ามาร่วมตั้งรัฐบาลชุดนี้ มันทำลายหลักการประชาธิปไตย
#นายกฯระบุว่าจะเลือกตั้งในปีนี้และบางฝ่ายบอกว่ากลางปีนี้จะเลือกตั้งแล้ว พรรคใดจะชนะเลือกตั้ง พรรคที่นปช.สนับสนุนจะชนะหรือไม่และแกนนำนปช.จะลงสมัครส.ส.หรือไม่เพื่อไปต่อสู้ในรัฐสภาตามข้อเรียกร้อง
ผมเชื่อมั่นว่าพรรคที่นปช.สนันสนุนจะชนะพรรคประชาธิปัตย์เพราะการติดตามข่าวสารใกล้ชิดของผม ผมเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยชนะถล่มทลายที่ภาคอีสานและเหนือ แต่ช่องโหว่จะมีที่กทม.ตะวันออก และใต้ ภาคกลางนั้นจะเป็นพื้นที่แย่งชิง พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าผมจะหนุนพรรคเพื่อไทย แต่ดูจากบรรยากาศทางการเมือง ประชาชนต้องการบางพรรคที่สนองตอบเจตจำนง ตรงนี้พรรคเพื่อไทยสนองตอบ
ส่วนแกนนำจะลงสมัครหรือไม่นั้น ต้องดูสถาการณ์ใกล้ๆอีกครั้ง แต่ภารกิจของผมคือทำเรื่องคนเสื้อแดง ส่วนคนอื่นที่เคยลงสมัครแล้วก็คงสมัครส.ส.
#มองการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในช่วงนี้เป็นอย่างไรและพรรคการเมืองใหม่ซึ่งพันธมิตรฯสนับสนุนจะมีโอกาสในการเลือกตั้งครั้งนี้หรือไม่
วันนี้อุดมการณ์ของพันธมิตรฯไม่ได้รับการตอบรับจากประชาชน สามข้อเรียกร้องกับรัฐบาลนั้นมันเป็นเรื่องผิดวิสัยความจริงที่ทำไม่ได้ เป็นแบบนี้ประชาชนจึงปฏิเสธ ผมก็ปฏิเสธ คนที่ไปร่วมชุมนุมมีแต่สันติอโศกและมีบางส่วนไปร่วมไม่มากนัก แสดงว่าประชาชนไม่สนับสนุนแล้ว โดยสรุปแล้วคนเสื้อเหลืองสนับสนุนอำมาตย์ สนับสนุนรัฐประหาร สนับสนุนสงคราม คลั่งชาติ ศัพท์วิชาการคืออนุรักษ์นิยม จารีตนิยมคลั่งชาติ นับวันยิ่งเหี่ยวเฉาและขอให้ประชาชนเป็นผู้พิสูจน์ และพรรคการเมืองใหม่นั้นไม่นานน่าจะสูญหาญ เพราะตั้งขึ้นมาเฉพาะต่ออุปทานทางการเมือง สะท้อนออกถึงอุดมการณ์ทางการเมืองของพวกเขา แท้จริงประชาชนไม่สนับสนุน
ที่มา: bangkokbiznews.com
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น