by: herogeneral.blogspot.com
Ref: ข่าวสดรายวัน (update วันที่ 02 ตุลาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7247 หน้า 3)
คอลัมน์ รายงานพิเศษ: เปิดปกขาว'สังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ'
สํานักกฎหมาย อัมสเตอร์ดัม แอนด์ เปรอฟ ซึ่งรับว่าจ้างเป็นทนายความให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ออกสมุดปกขาว การสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ : ข้อเรียกร้องต่อการแสดงความรับผิดชอบ ภายใต้พันธกรณีระหว่างประเทศ ที่ประเทศไทยมีภาระหน้าที่ในการนำตัวฆาตกรเข้าสู่กระบวน การยุติธรรม ความหนา 1,857 หน้า 9 หมวด
มีเนื้อหาโดยสรุป ดังนี้
บทนำ ระบุวัตถุประสงค์การทำหนังสือ
1.เพื่อเน้นถึงพันธกรณีของประเทศไทยตามกฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงพันธกรณีตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights- ICCPR) ที่ต้องสืบสวนการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นร้ายแรงทั้งหลายที่เกิดขึ้นระหว่าง การชุมนุมของคนเสื้อแดง
ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ทหารและพลเรือนที่อยู่ใต้การบังคับบัญชาในการก่ออาชญากรรมการสังหารพลเรือนกว่า 80 ราย ช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค.
ที่ ข้อเท็จจริงปรากฏชัดเจนมีการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ ด้วยการใช้กองกำลังทหารอย่างเกินความจำเป็น มีการกักขังอย่างพลการโดยต่อเนื่องเป็นเวลานาน การทำให้ประชาชนบางส่วนหายสาบสูญ และยังมีการไล่ล่าประหัตประหารทางการเมือง
มีหลักฐานว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง เพียงพอที่จะดำเนินการสืบสวนหาข้อเท็จจริงด้วยหน่วยงานที่เป็นกลาง และเป็นอิสระ เพื่อให้มีการรับผิดชอบตามกฎหมายระหว่างประเทศ
2.หลัง การรัฐประหารระหว่างที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐบาลที่มีทหารหนุนหลังพยายามผนึกอำนาจของตน โดย การกดขี่ ปราบปรามการคัดค้านทาง การเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดง
มาตรการประการ หนึ่งคือ การปราบปรามการเคลื่อนไหวโดยการประทุษร้ายประชาชนที่ไร้อาวุธอย่างเป็นระบบ และกว้างขวาง อาจเข้าข่ายอาชญากรรมต่อมนุษยชาติตามธรรม นูญกรุงโรม ซึ่งกำหนดให้จัดตั้งศาลอาญาระหว่างประเทศที่กรุงเฮก
การกระทำผิดต่อคนเสื้อแดงอย่างร้ายแรงอาจเป็นเหตุเพียงพอให้ได้รับการพิจารณาให้เข้าสู่การพิจารณาของศาลอาญาระหว่างประเทศได้
3.เพื่อยืนยันถึงสิทธิตามกฎหมายระหว่างประเทศของสมาชิกนปช. หลายร้อยคนที่กำลังเผชิญข้อกล่าวหาทางอาญา กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมือง และสิทธิทางการเมือง รับรองสิทธิในการต่อสู้อย่างยุติธรรม สิทธิที่จะเลือกทนาย สิทธิในการเตรียมการต่อสู้โดยมีเวลาและเครื่องไม้เครื่องมือ สิทธิในการเข้าถึงหลักฐานอย่างเท่าเทียม
หมวด ที่ 2-5 เป็นการเล่าถึงประวัติการปกครองของไทย การขึ้นสู่อำนาจของพรรคไทยรักไทย จนถึงการขึ้นดำรงตำ แหน่งของนายอภิสิทธิ์ ที่ระบุเป็นการผลักดันจากฝ่ายอำมาตย์และทหาร อันเป็นการฟื้นคืนชีพของระบอบอำมาตยาธิปไตย
หมวด 6 ฤดูร้อนอำมหิตของประเทศไทย : การสังหารหมู่คนเสื้อแดง
เป็นการเล่าถึงเหตุการณ์ชุมนุมของคนเสื้อแดงในเดือน มี.ค.2553 กระทั่งวันที่ 19 พ.ค. ที่มีการสลายการชุมนุม โดยระบุ หลังการลอบสังหารเสธ.แดง มีการสังหารหมู่เกิดขึ้นทางทิศเหนือและใต้ของพื้นที่การชุมนุมที่ราชประสงค์ ในพื้นที่ดินแดง และสวนลุมพินี
ทหารประกาศให้พื้นที่บางแห่ง เช่น ซอยรางน้ำ ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือ และถนนพระราม 4 ซึ่งอยู่ทิศใต้ เป็นเขตใช้กระสุนจริง และอนุญาตให้ยิงผู้ชุมนุมทุกคนที่พบ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีอาวุธ ตามที่มีการบันทึกปากคำผู้เห็นเหตุการณ์ไว้อย่างละเอียด
เช่น บันทึกของ นิก นอสติตซ์ ช่างภาพนักข่าว แห่งเว็บไซต์ New Mandala ระบุผู้สัญจรไปมาจำนวนมากได้รับบาดเจ็บหรือถูกทหารยิงเสียชีวิต หนึ่งในนั้นเป็นเด็กอายุ 10 ขวบ ถูกยิงที่ท้องใกล้สถานีแอร์พอร์ตลิงก์ มักกะสัน เสียชีวิตที่โรงพยาบาล ผู้สื่อข่าวก็ตกเป็นเป้าด้วย
พยานผู้เห็นเหตุการณ์คนหนึ่งที่อยู่หลังแนวทหารที่ถนนพระราม 4 ได้ยินทหารถามผู้บังคับบัญชาว่า "ยิงชาวต่างชาติกับนักข่าวได้ไหม"
ที่ น่าละอายที่สุดคือการปิด "พื้นที่สีแดง" ไม่ให้อาสาสมัครหน่วยแพทย์พยาบาลฉุกเฉินเข้าไปในพื้นที่ ระดมยิงหน่วยอาสาฯ ขณะช่วยเหลือผู้ชุมนุม และหลังการสลายการชุมนุมหลายชั่วโมง มีประชาชน 6 ราย เสียชีวิตจากการโจมตีที่วัดปทุมวนาราม ซึ่งเป็นเขตหลบภัย
ผู้สื่อข่าวต่างชาติคนหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บอยู่บริเวณวัด เห็นทหารสไนเปอร์ยิงลงมาจากบนรางรถไฟฟ้า เข้าใส่กลุ่มพลเรือนที่ถูกยิงเสียชีวิต ซึ่งมีพยาบาลอาสาในเครื่องแบบอยู่คนหนึ่งด้วย
ปกขาว ระบุการปฏิบัติการในเดือนเม.ย.-พ.ค. รัฐบาลอภิสิทธิ์ และกองทัพไทย ควบคุมฝูงชนโดยขัดหลักมาตรฐานสากล ในทุกกรณี
หมวด ที่ 7 ฤดูกาลใหม่ของการปกครองโดยทหาร ระบุ กองทัพกลับมามีอำนาจควบคุมประเทศอีกครั้ง ซึ่งต่างจากช่วงหลังรัฐประหารปี 2549 คราวนี้ทหารปกครองโดยอำพรางใต้กฎหมาย ใช้กฎหมายกดทับสิทธิเสรีภาพที่ทำให้เผด็จการทหารใหม่อยู่เหนือการตรวจสอบ
มี การใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งเป็นการละเมิด ICCPR มาตรา 4 การระงับสิทธิจะทำได้เท่าที่จำเป็นเร่งด่วนของสถานการณ์เท่านั้น รวมถึงการควบคุมข้อมูลข่าวสาร ที่ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ
ขณะที่ ศอฉ.เพิ่มมาตรการยับยั้งการเผยแพร่ข้อเท็จจริงและข้อมูลข่าวสารที่ไม่เป็น คุณต่อรัฐบาล ด้วยการออกข้อกำหนดภายใต้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ปิดกั้นเว็บไซต์มากมาย
เวลาเดียวกัน รัฐบาลปิดพีทีวี นิตยสารอีก 5 ฉบับ และสถานีวิทยุชุมชนจำนวนมากซึ่งดำเนินการโดยคนเสื้อแดง
ข้อ กล่าวหาเสื้อแดงว่ามีวัตถุประสงค์ในการสร้าง "รัฐไทยใหม่" และถูกขยับขยายให้หนักหน่วงขึ้นด้วยการปรากฏของผู้ที่เรียกว่า "ผู้ก่อการร้าย" ในหมู่คนเสื้อแดง แต่แทบไม่มีหลักฐานใดเชื่อมโยงนปช. และแกนนำหลักเข้าไปยุ่งกับเหตุการณ์ความรุนแรงที่ถูกกล่าวหา
ประการแรก รัฐบาลล้มเหลวในการแสดงข้อมูลที่น่าเชื่อถือที่จะโยงแกนนำคนเสื้อแดงเข้ากับเหตุระเบิดหลายสิบครั้ง
ประการ ที่สอง "ชายชุดดำ" ซึ่งดูเหมือนจะเป็นผู้สังหารเจ้าหน้าที่ทหารระหว่างการปะทะเมื่อ 10 เม.ย. ไม่เคยมีการระบุตัวตนว่าเป็นใคร นักรบกลุ่มนี้ถูกมองว่าเป็นเจ้าหน้าที่ทหารที่ถูกฝึกมาอย่างดี ไม่ว่าจะยังประจำการหรือปลดประจำการแล้วก็ตาม
ประการที่สาม รัฐบาลโทษว่าเป็นฝีมือนปช. โดยทันทีหลังมีการโจมตีด้วยระเบิดเอ็ม 79 ที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีศาลาแดง เมื่อ 22 เม.ย. ประจักษ์พยานซึ่งอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมฝั่งสนับสนุนรัฐบาลอ้างระเบิดมาจากตึก แห่งหนึ่ง ซึ่งขัดกับข้อสรุปของศอฉ. ที่ว่าถูกยิงมาจากพื้นที่ชุมนุมของคนเสื้อแดง
ประการที่สี่ รัฐบาลเตือนประชาชนหลายครั้งว่า กลุ่มคนเสื้อแดงมีอาวุธร้ายแรง มีคลังอาวุธขนาดใหญ่ ต่อมาศอฉ.จัดแสดงอาวุธอ้างถูกพบที่ราชประสงค์หลังเคลียร์พื้นที่ ซึ่งน้อยนิดกว่าที่คาดเมื่อเทียบตัวเลขความสูญเสียที่ไม่ได้ดุลกันเลย ระหว่าง 2 ฝ่าย
จะเห็นว่ากลุ่มติดอาวุธร้ายแรงในหมู่เสื้อแดงมีเล็ก น้อยมาก ขณะที่มีรายงานข่าวมากมายว่าคนเสื้อแดงตอบโต้ทหารด้วยอาวุธที่ทำขึ้นเอง หรืออาวุธโบราณ
รัฐบาลยืนยันเหตุเพลิงไหม้ทั่วกรุง 39 แห่ง วันที่ 19 พ.ค. มีการวางแผนและดำเนินการอย่างเป็นระบบ แต่ไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือว่ามีการสมรู้ร่วมคิดได้ เพราะแกนนำส่วนใหญ่ถูกควบคุมตัวแล้วในช่วงที่มีการวางพลิง
คำถาม สำคัญเป็นเรื่องเวลาที่เกิดเหตุเพลิงไหม้เซ็นทรัลเวิลด์ และความรวดเร็วในการเข้าไปยังพื้นที่เกิดเหตุของทหาร และการดับไฟของเจ้าหน้าที่ดับเพลิง
อย่างแย่ที่สุดคือมีหลักฐานบ่ง ชี้ว่าเพลิงนี้ถูกจุดด้วยความคับแค้นของผู้สนับสนุนฝ่ายเสื้อแดง แต่การทำลายอาคารพาณิชย์ที่มีประกันไว้แล้วก็ยังฟังไม่ขึ้น
8.ข้อเรียกร้องหาการรับผิดชอบ ระบุ ไทยมีพันธกรณีหลายระดับ ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศที่จะต้องนำผู้ละเมิดสิทธิมนุษยชนเข้าสู่กระบวน การยุติธรรม ต้องสืบสวนและดำเนินคดีในทุกกรณีที่มีเหตุเชื่อว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชน ร้ายแรงเกิดขึ้น
เช่น การสังหารพลเรือนอย่างรวบรัดตัดตอน หรือโดยพลการ โดยเฉพาะกรณีที่เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ
การสืบสวนต้องเป็นธรรม ครบถ้วน และดำเนินการโดยคณะกรรมการที่เป็นอิสระและเป็นกลางอย่างแท้จริง
การ ปกปิดของรัฐบาลเท่ากับเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ และความล้มเหลวของรัฐภาคีในการนำผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ก็เป็นการละเมิดสนธิสัญญาด้วย
นอกจากการละเมิด ICCPR และกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศแล้ว การสังหารอย่างกว้างขวางและเป็นระบบโดยกองกำลังฝ่ายความมั่นคงในกรุงเทพฯ ในช่วงเม.ย.-พ.ค.2553
และการไล่ล่าประหัตประหารทางการเมืองต่อคนเสื้อแดง ชัดเจนเพียงพอที่จะเรียกว่าเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ภายใต้ธรรมนูญกรุงโรมฯ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น