วันพุธ, กันยายน 22, 2553

ทุกหนแห่งกำลังจะกลายเป็นสนามรบ....รู้ทันนิรโทษกรรม

collected by Herogeneral on 2010-09-22 - 07:35 pm

รู้ทันนิรโทษกรรม ข้อมูลโดย : ชำนาญ จันทร์เรือง
ที่มาข้อมูล : bangkokbiznews.com

หากเรายังจำกันได้เมื่อครั้งจบเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 แล้ว ผู้นำนักศึกษาและประชาชนบางคนถูกตั้งข้อหาในคดีที่เรียกกันว่า “คดี 6 ตุลา” โดยนายสุธรรม แสงประทุม กับพวกรวมทั้งหมด 18 คน ถูกตั้งข้อหาว่าก่อกบฏ ก่อจลาจล ต่อสู้และพยายามฆ่าเจ้าหน้าที่รัฐ และร่วมกันกระทำการอันเป็นคอมมิวนิสต์ ฯลฯ คดีนี้เริ่มต้นที่ศาลทหารโดยมีการฟ้องคดีในวันที่ 25 สิงหาคม 2520

ในตอนแรกลักษณะของการพิจารณาคดีไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานความยุติธรรมแต่ อย่างใด เพราะผู้ต้องหาไม่มีสิทธิใช้ทนายความพลเรือนในการปกป้องตนเอง แต่หลังจากมีการรณรงค์เรียกร้องทั้งภายในและภายนอกประเทศในเรื่องนี้ และหลังจากที่รัฐบาลของนายธานินทร์ กรัยวิเชียร ถูกล้มไปโดยการรัฐประหารที่เกิดขึ้นภายหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาในอีกหนึ่งปีถัดมา ลักษณะของคดีในศาลก็เปลี่ยนไปและมีการยินยอมให้แต่งตั้งทนายความพลเรือน สำหรับฝ่ายจำเลยได้

แต่การณ์กลับปรากฏว่าแทนที่คดี 6 ตุลา จะเป็นการพิสูจน์ความผิดของฝ่ายจำเลยโดยฝ่ายรัฐ ตัวฝ่ายรัฐเองกลับกลายเป็นจำเลยที่แท้จริงต่อสังคม นอกจากรัฐจะไม่สามารถพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้แล้ว คดีนี้กลายเป็นเวทีในการนำข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ 6 ตุลา ออกมาประกาศต่อสาธารณะ นอกจากนั้นตั้งแต่วันแรกของการขึ้นศาล คดีนี้กลายเป็นเวทีของประชาชนในการประท้วงภายนอกศาลในเรื่องสิทธิเสรีภาพอีก ด้วย ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องรีบประกาศนิรโทษกรรมผู้ต้องหาทั้งหมดในวันที่ 15 กันยายน 2521 ก่อนที่ข้อมูลอื่นๆ จะออกมาสู่สาธารณะและจะวกกลับมาเล่นงานตนเองและเจ้าหน้าที่

เหตุผลในการประกาศกฎหมายนิรโทษกรรมในคราวนั้น คือ โดยที่รัฐบาลได้พิจารณาเห็นว่า การพิจารณาคดีเนื่องในการชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ระหว่างวันที่ 4 ถึงวันที่ 6 ตุลาคม 2519 นั้น ได้ล่วงเลยมานานพอสมควรแล้วและมีท่าทีว่าจะยืดเยื้อต่อไปอีกนาน ถ้าจะดำเนินคดีต่อไปจนเสร็จสิ้นก็จะทำให้จำเลยต้องเสียอนาคตในทางการศึกษา และการประกอบอาชีพยิ่งขึ้น และเมื่อคำนึงถึงว่าการชุมนุมดังกล่าวก็ดี การกระทำอันเป็นความผิดทั้งหลายทั้งปวงก็ดี เกิดขึ้นเนื่องจากความไม่เข้าใจในสถานการณ์ที่แท้จริงเพราะเหตุแห่งความ เยาว์วัยและการขาดประสบการณ์ของผู้กระทำความผิด

ประกอบกับรัฐบาลนี้มีความประสงค์อย่างแน่วแน่ที่จะให้เกิดความสามัคคีใน ระหว่างชนในชาติ จึงเป็นการสมควรให้อภัยการกระทำดังกล่าวนั้น เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้กระทำความผิดทั้งผู้ที่กำลังถูกดำเนินคดีอยู่และผู้ที่ หลบหนีไปได้ประพฤติปฏิบัติตนในทางที่ถูกที่ควรและกลับมาร่วมกันทำคุณ ประโยชน์และช่วยกันจรรโลงประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องในการ ชุมนุมในหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ระหว่างวันที่ 4 ถึงวันที่ 6 ตุลาคม 2519 พ.ศ. 2521 โดยมีพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ

จากเหตุการณ์ดังกล่าวเมื่อเกิดกรณีพฤษภาอำมหิตขึ้นในปี 2553 นี้ จึงได้มีความพยายามที่จะยกร่างกฎหมายนิรโทษกรรมขึ้นมาอีกด้วยเหตุผลในทางลึก ก็คือเมื่อคดีขึ้นสู่ศาลแล้วย่อมต้องมีการอ้างพยานหลักฐานต่างๆ นานาขึ้นมาต่อสู้กันในศาล ซึ่งย่อมที่จะหลีกเลี่ยงไม่พ้นที่ฝ่ายรัฐโดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่าย ศอฉ.จะต้องกลับกลายมาเป็นจำเลยของสังคมดังเช่นกรณี 6 ตุลาที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น

ร่างกฎหมายที่รอการบรรจุวาระนั้น เป็นร่าง พรบ.นิรโทษกรรมผู้ก่อเหตุความไม่สงบทางการเมืองตั้งแต่ปี 2551 จนถึงปี 2552 โดยนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ เป็นผู้เสนอตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 2552 และพรรคภูมิใจไทยจะเสนอเพิ่มเติมเข้าไปใหม่แทนร่าง พ.ร.บ.ฉบับเดิมให้ครอบคลุมการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในปี 2553 ไปด้วยโดยใช้ชื่อว่า “พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องในการชุมนุมทางการเมืองของ ประชาชนระหว่างวันที่ 19 กันยายน 2549 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2553 พ.ศ.....”

โดยให้เหตุผลว่าสืบเนื่องจากการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ประเทศไทยได้เกิดเหตุการณ์ไม่สงบทางการเมือง มีการแบ่งแยกทางแนวความคิด ทำให้เกิดการประท้วง มีการรวมกลุ่มและชุมนุมของประชาชน ซึ่งการชุมนุมดังกล่าวเกิดขึ้นภายใต้ความคิดและความขัดแย้งทางการเมืองอย่าง รุนแรง จึงเป็นผลให้มีการกระทำความผิดทางอาญาและขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ไทย

แต่เมื่อได้พิจารณาเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เห็นว่าประชาชนที่มาร่วมประท้วงเรียกร้องทางการเมืองล้วนแสดงออกทางความเห็น ทางการเมืองโดยสุจริต การเกิดเหตุการณ์วุ่นวายและนำมาซึ่งความร้ายแรงตามกฎหมายได้ยุติไปแล้ว เพื่อให้ประเทศชาติมีความรักความสามัคคีและรู้จักการให้อภัย จึงเห็นควรออกกฎหมายดังกล่าว โดยมีเนื้อหาที่สำคัญโดยย่อ ดังนี้

มาตรา 3 บรรดาการกระทำทั้งหลายทั้งสิ้นของบุคคลใดๆ ที่เกิดขึ้นในหรือเกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมประท้วงเรียกร้องทางการเมืองของ ประชาชน ระหว่างวันที่ 19 กันยายน 2549 ถึง วันที่ 31 พฤษภาคม 2553 และได้กระทำในระหว่างวันที่ 19 กันยายน 2549 ถึง วันที่ 31 พฤษภาคม 2553 ไม่ว่าจะได้กระทำในกรุงเทพมหานครหรือในต่างจังหวัดทั่วราชอาณาจักรแลไม่ว่า จะได้กระทำในฐานะที่เป็นตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำหรือผู้ถูกใช้ หากการกระทำนั้นผิดกฎหมายก็ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิดทั้งในทางอาญาและทาง แพ่งโดยสิ้นเชิง

มาตรา 4 บรรดาการกระทำของเจ้าพนักงานหรือผู้ช่วยเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการเกี่ยวกับ หรือกระทำต่อบุคคลที่ร่วมชุมนุม และได้กระทำขึ้นภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในมาตรา 3 ไม่ว่าจะได้กระทำในฐานะผู้ออกคำสั่งหรือผู้ปฏิบัติตามคำสั่ง หากการกระทำนั้นผิดกฎหมายก็ให้ผู้กระทำนั้นพ้นจากความผิดและความรับผิดในทาง อาญาและทางแพ่ง รวมทั้งความผิดทางวินัยโดยสิ้นเชิง

มาตรา 7 โดยผลของการนิรโทษกรรมตาม พ.ร.บ.นี้ ให้ศาลปล่อยตัวจำเลยทั้งหมดซึ่งถูกฟ้องหรือ คุมขังอยู่และให้พนักงานสอบสวนยุติการสอบสวนผู้ต้องหาทั้งหมดซึ่งถูกกล่าวหา

มาตรา 8 การนิรโทษกรรมตาม พ.ร.บ.นี้ไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่ผู้ได้รับนิรโทษกรรมในอันที่จะฟ้องร้องเรียกสิทธิประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น

โดยในมาตรา 5 ได้บัญญัติให้ไม่มีผลนิรโทษกรรมแก่ผู้ที่เป็นตัวการในการกระทำอันเป็นความ ผิดในลักษณะความผิดที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชน และความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกายไว้ด้วยซึ่งก็เป็นประเด็นปัญหาใหญ่อีก ล่ะครับว่าใครคือตัวการตามความหมายนี้

ผมเชื่อว่าไม่ช้าก็เร็วร่างกฎหมายฉบับนี้ก็คงต้องเข้าสู่สภาดังเหตุผลที่ ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นในกรณี 6 ตุลา 19 และเนื้อหาคงมีการปรับเปลี่ยนไปบ้างตามการแปรญัตติของ ส.ส.และ ส.ว. โดยถึงแม้ว่าขณะนี้พรรคประชาธิปัตย์จะแสดงละครลิงชิงหลักกับพรรคภูมิใจ ไทยอยู่ก็ตาม

นอกจากนั้นพรรคภูมิใจไทยยังระดมล่ารายชื่อเพื่อเสนอกฎหมายนี้อีกทางหนึ่ง ซึ่งตามรัฐธรรมนูญแล้วทำไม่ได้เพราะประชาชนไม่มีสิทธิเสนอกฎหมายในลักษณะนี้ เพราะไม่เกี่ยวข้องกับหมวด 3 ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพของชนชาวไทยและหมวด 5 ว่าด้วยแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐตามที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ให้ประชาชนเพียง 10,000 ชื่อเท่านั้นก็สามารถเสนอกฎหมายได้โดยไม่จำเป็นต้องล่าชื่อกันเป็นแสนตามที่ พรรคภูมิใจไทยกำลังพยายามทำอยู่นี้แต่อย่างใด อย่างไรก็ตามก่อนที่กฎหมายฉบับนี้จะผ่านสภาก็คงมีการปะทะกันในทางความคิดกัน อย่างหนักไม่ว่าจะจากฝ่ายไหนหรือสีไหนก็ตาม

จะอย่างไรก็แล้วแต่ถึงแม้ว่าจะมีกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับนี้ออกมาแล้วก็ตาม ผมก็ยังยืนยันอีกครั้งว่าผู้ที่รับผิดชอบทั้งหลายไม่สามารถรอดพ้นจากอำนาจ ของศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court) ไปได้ เพราะอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศสามารถดำเนินการเอาผิดต่อผู้ที่กระทำผิดต่อ มวลมนุษยชาติได้ ถึงแม้ว่าจะมีการออกกฎหมายมานิรโทษกรรมเขาเหล่านั้นแล้วก็ตาม ที่สำคัญก็คือคดีประเภทนี้ในศาลอาญาระหว่างประเทศไม่มีอายุความเสียด้วยสิ ครับ

more comment from FM
* * * การที่ รัฐบวย ให้แขนอีกข้างออกมาโยนหินถามทางกับประชาชนนั้นเป็นเรื่องที่อยู่ในแผนอยู่แล้ว เพราะว่าระบบการทำงานของรัฐชุดนี้

ได้ถูกวางไว้ในรูปแบบ ตีสองหน้าอยู่เสมอ ด้านหนึ่งจะย้อมให้ดูดีหมดจรดสดใสตลอดเวลา อีกด้านหนึ่งให้ดูเทา ๆ กระดำกระด่าง มันเป็นรูปแบบที่วางไว้จากผู้เชิดอยู่ข้างหลังม่านอยู่แล้ว อย่างที่เห็น ๆ เวลาตอบโต้อะไรนายมาร์กก้าจะพูดให้ดูดีเข้าไว้ให้ดูดีมีชาติกระกูลสมกับเป็นผู้นำของสยามประเทศ แต่ข้อเท็จจริงและความรู้สึกของมันจะให้ออกมาจากนายเทพทัยปากหมาแทน

และการดำเนินการทางการเมืองกับมวลชนประชาชนอีกด้าน ก็จะให้นายกห้อยเป็นตัวทำแทนที่เขาเรียกกันในนามเรียกขานว่า "เงา" นายกเงา นายกมืด ก็แล้วแต่จะคิด นี่คือข้อเท็จจริงของเมืองไทยในปัจจุบัน เรามีนายกอยู่สองระบบ นายกหน้าฉากหลังฉาก ในบทบาทแล้วสองตัวนี้จะดูขัดกันและสวนทางกันเสมอ แต่มันคือหมากตัวหนึ่งของคนเชิดเท่านั้นเอง

คณะทำงานที่แท้จริงของเมืองไทยตอนนี้ไม่ได้มาจากในสภาที่เห็นกันในทีวี นโยบายต่าง ๆ นั้นได้กลั่นกรองออกมาจาก ครม.เงา ทุกคนอาจจะลืมไปแล้วว่ามันมีตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็คณะอนันนท์+ประเวศ+ฯลฯ. นั่นแหละที่ ได้รับเงินเดือนประจำตำแหน่งกันไปนานแล้วอย่าคิดว่าเขาตั้งมาเฉย ๆ นะ คณะนี้นั่งทำงานทุกวันส่งงานมาตามตัวละครที่มีอยู่

ตอนนี้ระบบการบริหารประเทศไทยจะไม่มีสะดุดถึงแม้ว่า ปชป.จะยุบไม่ยุบ เลือกตั้งใหม่ก็แล้วแต่ ขอเพียงให้กลุ่มที่เขาวางไว้กลับมาให้มากที่สุดเท่านั้นเองและเขาก็เตรียมการวางตัวลงไว้ตามเขตเลือกตั้งไว้แล้วทั่วประเทศ (ทั่วประเทศ) อย่างที่เห็น ๆ กันอย่าง กรณีกรุง ศรีวิลัย ก็อยู่ในแผนการทำงานของคณะปฏิรูปประเทศไทย

ถามว่า ณ ตอนนี้เขากลัวอะไร สิ่งที่เขากลัวที่สุดคือการ นำสำนวนคดีเสนอต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ ทำไม ? ก็เห็นดูเงียบ ๆ ดูเย้ยเสียด้วยซ้ำว่าใครจะรับ และเป็นเพียงคดีที่ตกลงกันได้ในประเทศไทย พวกนี้เวลานี้เครียดกับเรื่องนี้ที่สุดครับ เขาไม่กลัวผลการตัดสินหรอกว่าจะผิดไม่ผิด เขากลัวการชำแหละประเทศไทยมากกว่า

ก็รู้ ๆ กันอยู่ว่าประเทศไทยเรามันได้เป็นกรณีศึกษาในหลักสูตรการเรียนการสอนของนานาประเทศไปแล้ว ในด้านกฎหมาย การเมืองการปกครอง ขอให้ดูกันไว้ครับสิ่งที่มันเงียบคือมันกลัวสิ่งไหนที่มันแก้เกมส์ได้มันจะเห่าดัง ๆ ตอนนี้ให้จับตาดูไว้
1. บทบาทนายกเงา
2. บทบาทของสนั่น


###########
ทุุกหนแห่งกำลังจะกลายเป็นสนามรบ
ข้อมูลโดย เสธดำ จำเป็น

รำลึก 4ปี รัฐประหาร 19 กย ที่ราชประสงค์ ท่านเห็นอะไรไหม?
ทำไมคนมาโดยไม่มีแกนนำ?
ทำไมคนหนุ่มสาวมากขึ้น?
ทำไมชนชั้นกลางมากขึ้น?
ทำไมคนหน้าใหม่มากขึ้น?
ทำไมคนเตรียมของมาเองจากบ้าน?

ผู้มาชุมนุมมีวัตถุประสงค์ทางการเมืองที่ชัดเจนว่าจะแสดงตนเพื่อให้คนคนหนึ่งที่สั่งฆ่าประชาชนได้รู้ว่า ประชาชนรู้ตัวคุณแล้ว และพร้อมสู้กับคุณด้วย ไม่พร้อมก็ไม่โผล่มาท่ามกลาง xxxฉุกเฉินหรอก พูดง่ายๆ ว่าท้าทายนั่นเอง

การชุมนุมอย่างเงียบเชียบคือสิ่งที่เอาจริง ไม่ใช่มาฟังคำปราศรัย
(ทหารที่มาฆ่าประชาชนมันมาเงียบทั้งวันทั้งคืน ไม่มีการปราศรัยในหมู่ทหารฆาตกรเลย)

คนเสื้อแดงที่ใช้วิธีการปราศรัยต้องแพ้พ่าย แก่ทหารที่มาเงียบๆ
(ไม่มีนายทหารตั้งเวทีปราศัยให้พลทหารฟังตามจุดที่มันซุ่มยิงเลย)

รำลึก 4ปี รัฐประหาร 19 กย ที่ราชประสงค์ที่ผ่านมา

แสดงให้เห็นว่า คนเสื้อแดงเรียนรู้ที่จะปฏิบัติการแล้ว ไม่ได้ยึดถือว่าแค่มาฟังคำปราศัยอีกแล้ว

แสดงว่า คนเสื้อแดงรู้การเมืองมาจากบ้านเรือนแล้ว

แสดงว่า คนเสื้อแดงเตรียมอุปกรณ์ต่อสู้มาจากบ้านเรือนได้เอง

แสดงว่า เวทีการเมืองของคนเสื้อแดงได้ย้ายเข้าไปในครัวเรือน ในชุมชนแล้ว

แสดงว่า การปฏิบัติการต่อสู้ย้ายฐานไปอยู่ในครอบครัวแต่ละครอบครัวแล้ว

แสดงว่า ครอบครัวและเพื่อนบ้านเป็นหน่วยปฏิบัติการการทางการเมืองแล้ว

และในอนาคต ครอบครัวจะแปรสภาพเป็นหน่วยรบ

หน้าบ้าน ลานบ้าน ถนนในหมู่บ้าน ร้านค้าร้านการกาแฟในชุมชน จะกลายเป็นจุดปะทะ

จุดปะทะมิใช่ที่ราชประสงค์ ราชดำเนิน สนามหลวง หรือเวทีใหญ่ที่มีการชุมนุมอีกต่อไป

สงครามการเมืองมันกำลังย้ายสนามรบไปอยู่ที่หน้าบ้าน

นี่คือจุดหายนะที่ใกล้มาถึงพวกxxxฆาตกรและสมุน และชัยชนะก็ใกล้เป็นของประชาชนที่ยกระระดับการต่อสู้ได้เองมากขึ้นแล้ว

ทุกวันนี้พวกxxxฆาตกรมันไล่ฆ่าแกนนำ การ์ดคนเสื้อแดงถึงในชุมชน เช่น น้องเจมส์เชียงใหม่ อ้วนบัวใหญ่ฯลฯ


มันตามฆ่าเสื้อแดงในชุมชน

ต่อไปประชาชนจะฆ่าพวกฆาตกรที่เข้าไปในชุมชน ณ หมู่บ้าน ชุมชนจะเป็นฐานที่มั่นตั้งรับ และชุมชนจะเป็นฐานผลิตกองกำลังที่จะเอาไปรุกไล่

อีกไม่นานนักหรอกพลังปฏิบัติการต่อสู้ทางการเมืองของคนเสื้อแดง จะแปรสภาพกลายไปเป็นหน่วยปฏิบัติการทางการทหารลับ ตามบ้านเรือนเสียเอง


ดุจดังชาวนา ชาวสวน กรรมกร พ่อค้าเร่ พนักงานชาวเวียดนาม ที่สังหารทหารอเมริกาได้ตามชุมชนของตนเอง

เพราะชัยชนะเด็ดขาดต่อxxx ไม่ใช่ได้มาเพียงแค่การชุมนุมปราศัย


นี่คือภาพการต่อสู้แบบเงียบอันแสนจะน่ากลัว
ที่กำลังจะเกิดขึ้นในสังคมไทย.

-----------------------------------------

เจรจาปรองดอง จับตาอย่าปาหี่ ภาค 2!

ข้อมูลโดย : ประชุม ประทีป

สมานฉันท์ ปรองดอง ของดีแน่ แต่อย่ากระทบระบบยุติธรรมนำสังคม ปัจจัยเงื่อนไขก่อนและหลัง 19พ.ค.ย่อมต่างกัน อีกทั้งต้องดูปาหี่เจรจาครั้งก่อนด้วย

เมื่อพรรคเพื่อไทย แสดงท่าทีอยากสมานฉันท์ ปรองดอง แง่หนึ่งทำให้สังคมงงสงสัย ทำไมไม่ทำผ่าน คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่ง ชาติ(คอป.) นายคณิต ณ นคร เป็นประธาน อีกแง่หนึ่งทำให้ชัดว่า พรรคเพื่อไทยคือคู่ขัดแย้งกับรัฐบาล ถึงกระนั้นก็ต้องพูดว่า "ยินดีด้วย ถ้าทำจริง จะเป็นประโยชน์แก่บ้านเมืองอย่างยิ่ง"

เป็นธรรมดา ธรรมชาติ พรรคฝ่ายค้านย่อมเป็นคู่ชิงคู่ขัดแย้งกับรัฐบาล ในเมื่อฝ่ายค้านเสนอแผนปรองดองก็ เท่ากับสะท้อนว่าที่ผ่านมาพรรคนี้เป็นเสมือนตัวแทน หรือแนวร่วมขบวนการทักษิน ขบวนการเสื้อแดง ดังที่แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ตั้งข้อสังเกตุ แสดงความกังขา

ลองตัดฉับไปดูการเจรจาตีรวนออกโทรทัศน์ ระหว่างทีมนายกฯอภิสิทธิ์ กับแกนนำ นปช. วีระ มุสิกพงศ์, เหวง โตจิราการ, จตุพร พรหมพันธุ์ 2 หนแล้วล้มเหลว ก่อนจะเกิดานองเลือด 10 เมษา ตามด้วย 19 พฤษภา อย่างที่รู้กันดี

มาบัดนี้ ปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ชูแถลงการณ์ 5 ข้อ และพรรคเพื่อไทยลงมติขานรับ คือ 1.พรรคขอสนับสนุนแนวทางการสร้างความปรองดองแห่ง ชาติเพื่อนำความสุขกลับมาสู่ประเทศไทย 2.พรรคขอเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนร่วมกันสร้างความเป็นประชาธิปไตย ความยุติธรรม ความเท่าเทียมกันให้เกิดขึ้นในประเทศ 3.พรรคไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรงและการสร้างสถานการณ์เพื่อประโยชน์ทางการ เมือง

4.พรรคขอเรียกร้องอย่างจริงจังให้ทุก ฝ่ายร่วมกันถวายความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เป็นที่ประจักษ์ และหยุดกระทำการใดๆ อันอาจเป็นการที่ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท 5.หัวหน้าพรรคและคณะผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจะเป็นผู้ดำเนินการเจรจาและ ติดต่อประสานงานเพื่อให้แนวทางการปรองดองเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมและเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย

ดูเหมือนเป็นการเขียนบทให้พรรคเพื่อไทยแสดงบทบาทมากขึ้น จากเดิมการสั่นคลอนรัฐบาลจะอยู่ในกลุ่มส.ส.ฮาร์ดคอร์ และแนวร่วมนปช.นอกพรรค เช่น สมบัติ บุญงามอนงค์, สมยศ พฤกษาเกษมสุข, จาตุรนต์ ฉายแสง ฯลฯ คราวนี้ให้บทแก่ นายยงยุทธ นายปลอดประสพ และกรรมการบริหารพรรคอีก 2-3 คน รวมโฆษกรายวัน พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์

เบื้องต้นพรรคเพื่อไทย กำหนดให้ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ กับนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรค เป็นตัวแทนเจรจา และยังอยากให้ จตุพร พรหมพันธุ์ ร่วมคณะด้วย แต่ยังออกตัวรอดูกระแสการยอมรับก่อน ซึ่งก็เป็นคนหน้าเดิม ๆ มีชนักคดีติดหลัง และเริ่มหมดราคา

เรื่องนี้ทำเป็นขบวน นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาโต้ตอบข่าวลือเรื่องทักษิณป่วยหนัก ตำหนิ นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ตามไปถึงมอนเตเนโกร ประเทศที่"ทักษิณ"ถือสัญชาติ ทั้งยังกระจายภาพ ทักษิณจับมือนายเนลสัน แมนเดลา อดีตประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ ส่วนไทยรัฐออนไลน์(2ก.ย.) ลงคลิปเสียงพ.ต.ท.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์ดับข่าวลือเรื่องป่วย และอยากเห็นบ้านเมืองเกิดความปรองดอง

นายนพดล แถลงว่า พ.ต.ท.ทักษิณยินดีจะเข้าสู่แนวทางปรองดอง และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายทุกกลุ่มทุกสีเข้าร่วมด้วย ภายในวันเดียวกัน(6 ก.ย.) หัวหน้าพรรคแถลงย้ำว่าพรรคเพื่อไทยจะนำแนวทางปรองดองหารือ ในที่ประชุม ส.ส.พรรควันที่ 7 ก.ย.ต่อไป แม้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี จะแสดงความไม่ไว้วางใจ และเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยยุติการใช้ความรุนแรง หยุดป่วน หยุดสนับสนุนขบวนการล้มเจ้า

ปัจจุบันแม้ไม่มีระเบิดพร้อมกับการ ชุมนุมกดดัน แต่ในรอบ 2 เดือนเกิดระเบิด 4 ครั้ง มีคนเสียชีวิตและบาดเจ็บไม่น้อย ย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ตูมแรก(25ก.ค.) ลงป้ายรถเมล์หน้าห้างบิ๊กซีราชดำริ ก่อนวันแซยิดทักษิณหนึ่งวัน ตูมลูกที่สอง(30 ก.ค.) ในซอยรางน้ำใกล้ห้างคิงส์พาวเวอร์คอมเพล็กซ์ เพิ่งข้ามวันศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ออกหมายจับ"ทักษิณ"หนีคดีแจ้งบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จ

ตูมลูกที่สาม(26 ส.ค.) M 79 ตกใส่ รปภ.ห้างคิงพาวเวอร์ ตรงวันครบรอบ 90 ปีพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ล่าสุด (31 ส.ค.) ยิง M79 ตกใส่ลานจอดรถสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศ กลางวันแสกๆ

นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ประเมินสถานการณ์จากข่าวกรองแล้ว คาดว่าในเดือนกันยายนถึงตุลาคมนี้ ซึ่งเป็นเดือนเหตุการณ์ประวัติศาสตร์อาจจะเกิดเหตุร้ายแรง ผสมโรงกับเสื้อแดงเคลื่อนไหว สรุป คือเริ่มจับทิศทาง เห็นสัญญะ สัญญาณเหตุร้ายแล้ว!

แม้จะอ้างเบื้องหลังแผนปรองดองเพื่อ ไทย เกิดจากการเจรจาลับๆ ระหว่างตัวแทนพรรคเพื่อไทยกับตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์ หลังเหตุการณ์ 10 เมษา 53 ผลักดันโดยนักวิชาการของสหประชาชาติ ทูตอีก 4-5 ชาติ เป็นคนกลางเชิญสถาบันสันติวิธีมาร่วมพูดคุย รวมถึงบุคคลระดับสูง และฝ่ายทหารอยู่ด้วย...แต่ต้องบอกว่า “ฟังไม่ขึ้น” เพราะเงื่อนไขครั้งโน้น จะมาใช้กับสถานการณ์ปัจจุบันไม่ได้ทั้งหมด โดยเฉพาะตั้งแต่เกิดจลาจลเผากรุง นองเลือด 19 พ.ค.53

ฤๅผู้เฒ่าจะเลี้ยงแกะ - มาร์ควิธีจะพลิ้ว
ระยะนี้ อุปสรรครัฐบาลดูลดลง ในประเทศ สภาผ่านร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 รอเพียงวุฒิสภาพิจารณา ด้านต่างประเทศ กัมพูชาก็หันมาญาติดีด้วย จะวุ่นๆ บ้างกับคดี"วิคเตอร์ บูท" และกรณีซาอุดิอารเบียไม่พอใจการแต่งตั้งนายตำรวจใหญ่ผู้ต้องหาคดีอุ้มสังหาร นักธุรกิจซาอุดิอารเบีย แต่ก็คงไม่ส่งผลอะไรมากนัก

เหตุที่เป็นเช่นนี้ ต้องประเมินเหตุปัจจัย ข้อจำกัดของขบวนการทักษิณ ดังนี้
1.การจัดม็อบคนจำนวนมากคงทำได้ยากอีกต่อไป ซ้ำคนส่วนใหญ่ผวา เอือมระอา
2.การใช้ดินแดนเพื่อนบ้านป่วนไทยอย่างโฉ่งฉ่างก็ทำไม่ได้ แต่ทำให้เนียนสอดรับทางกัมพูชาญาติดีไทย แต่หันไปโจมตี “เอเอสทีวี” ก้างชิ้นโต ของทั้งทักษิณและเขมร
3.เบรกการรุกทางการทูตของ นายกษิต ภิรมย์ ที่ทำให้“ทักษิณ”กับญาติสนิทอยู่ไม่เป็นสุข
4.เสมือนการตั้งหลัก หลังพ่ายเลือกตั้งซ่อมส.ส.กรุงเทพ เขต 6 พ่ายเลือกตั้งส.ก.และ ส.ข. อีกทั้ง ส.ส.เพื่อไทย ส่วนหนึ่งแปรพักตร์ไปพรรคอื่น ให้ดูเสมือนไม่มีอะไรแน่นอน ระเบิดที่ซอยรางน้ำก็ให้ตีความว่าหมายหัว “เนวิน ชิดชอบ”
5.เบรกการรุกคดีก่อการร้าย ผู้ต้องหามือปืน มือระเบิด คนสมรู้ร่วมคิด ถูกจับกุมสอบสวนจะโยงไปหาบัญชีดำ บัญชีเทา ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษคัดแยกไว้
6.เปิดช่องให้รัฐบาลกัมพูชาเจรจารัฐบาลไทย โน้มน้าวให้นำข้อตกลงเจบีซี 3 ฉบับเข้ารัฐสภาไทยลงมติเห็นชอบ เพื่อจะเดินขั้นต่อไปได้ ซึ่งกัมพูชาและทักษิณ ก็ย่อมได้เดินหน้าต่อเรื่องปราสาทพระวิหาร และธุรกิจพลังงาน
7.หากนั่งโต๊ะเจรจาหลายฝ่ายได้จริง แต่ในรายละเอียด ถ้าฝ่ายค้านเสนอออกกฎหมายนิรโทษกรรม ไม่ให้คนผิดถูกศาลตัดสิน ไม่ให้ข้อเท็จจริงถูกเปิดเผย...ก็ไม่สำเร็จ หรือจะเสนอจัดตั้ง“รัฐบาลแห่งชาติ” ก็จะถูกปัดตกไปได้
8.ถ้าไม่เกิด ไม่ทันจะตั้งโต๊ะเจรจา พรรคฝ่ายค้าน กับขบวนการทักษิณ ขบวนการเสื้อแดงก็คงดำเนินไปตามวิถีของตัวเอง

ประเมินฝ่ายรัฐบาล
1.แม้จะไม่มั่นใจกับพรรคเพื่อไทย แต่คงจะปัดทิ้งให้เสียหายภาพลักษณ์ไม่ได้ รัฐบาลคงจะเล่นบทถนัดซ้อนแผนสร้างภาพให้เห็นว่าอยากให้เกิดความปรองดองยิ่งกว่าพรรคเพื่อไทย
2.หากนั่งโต๊ะเจรจาหลายฝ่าย (ซึ่งพันธมิตรฯ คงไม่เข้าร่วม) รัฐบาลก็คงชอบที่จะเจรจาแบบให้ได้คะแนนมากกว่า
3.ถ้าไม่เกิด ไม่ทันจะตั้งโต๊ะเจรจา รัฐบาลก็คงดำเนินไปตาม “มาร์ควิถี” จนกว่าจะครบเทอม จนกว่าจะจัดเลือกตั้งได้ใหม่

การสมานฉันท์ สมานรอยร้าวด้วยความพอใจของคู่ขัดแย้ง ย่อมดีแน่นอน แต่อย่ากระทบระบบยุติธรรม การปรองดอง ประหนึ่งญาติ"ดอง" ร่วมชายคา ย่อมดีอีกหลายประการ

กลัวแต่ สมานฉันท์ ปรองดองไม่จริง...มันเป็นแค่เกมอำนาจ เป็นแค่ปาหี่การเมืองเท่านั้น!

-----------------------------------------------

คนคิดแผนปรองดอง ถาม(คุณพ่อ)หรือเปล่า

ข้อมูลโดย : รักษ์ มนตรี mo_tri@hotmail.com

ดูจะกลายเป็น "ฝันค้าง" ของใครบางคนในพรรคเพื่อไทย

"ความฝัน" ที่ลืมมองในโลกความเป็นจริงว่า ใครก็ตามที่จะเสนอแนวคิดอะไรก็ตามในพรรคการเมืองนี้ คุณได้ถาม "คุณพ่อ" ของคุณแล้วหรือยัง

ปลอดประสพ สุรัสวดี ที่อยู่ๆ ก็แถลงยื่นข้อเสนอ 5 ข้อ เพื่อขอ "สมานฉันท์" และขอ "ปรองดอง" กับรัฐบาลและสังคมไทย ดังนี้
1) ให้มีการพูดจา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างสันติวิธี
2) ทุกฝ่ายให้อภัยซึ่งกันและกัน โดยอาจจะพัฒนาจากคำพูดไปเป็นขั้นตอนทางกฎหมาย
3) หลีกเลี่ยงและละเว้นจากการใช้ความรุนแรง
4) น้อมถวายพระพรชัยมงคลกับล้นเกล้าฯ ทั้ง 2 พระองค์
5) เริ่มกระบวนการสมานฉันท์ได้ทันที โดยไม่ต้องรอการศึกษาใดๆ ให้เสียเวลา

ดูข้อเสนอ 5 ข้อก็ดูดี พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งต้องการ "โหนกระแสปรองดอง" ก็กระโดดงับไป เพราะคิดว่า รับข้อเสนอนี้แล้ว ข้อครหาเรื่องรัฐบาลมือเปื้อนเลือดคงจะลดกระแสลง

ประชาธิปัตย์ อาจจะคิดว่า ดูข้อเสนอของปลอดประสพ ก็ไม่ "ขี้เหร่" สักเท่าใดนักแม้บางข้อนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ชิงปฏิเสธไปก่อนหน้านี้คือไม่มีการต่อรองเรื่องคดี ไม่มีการต่อรองเรื่องร่วมรัฐบาล

เพื่อไทยเองก็อยากจะปรองดองเพราะดูจาก "กระแส" เวลานี้พรรคกำลังหัวปักลงหล่มโคลนตมที่แสนมืดมิด

ดูจากการเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพฯ (ส.ก.) และสมาชิกสภาเขตกรุงเทพฯ (ส.ข.) เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ที่ผ่านมา ปรากฏว่า พรรคเพื่อไทย พ่ายแพ้ราบคาบให้กับคู่แข่งการเมืองอย่างพรรคประชาธิปัตย์ โดยมี ส.ส.ได้รับเลือก เพียง 15 คน จาก 61 คน และถ้าพรรคการเมืองใหม่ ไม่ส่งผู้สมัครลงมาตัดคะแนนเสียงพรรคประชาธิปัตย์ คงจะสูญพันธุ์ได้ง่ายๆ

การเมืองระดับชาติ พรรคเพื่อไทย กำลังป่วยอย่างหนัก เลือดกำลังไหลออกโดยไม่มียาห้ามเลือดใดๆ ที่จะหยุดยั้งได้ ก็เลยต้องให้ "คุณพ่อ" ที่ซึ่งอยู่ต่างประเทศปรากฏตัว และอวดความร่ำรวยว่ากำลังทำเหมืองเพชร "ท่อน้ำเลี้ยง" ยังใหญ่อยู่

นอกจากนั้น ก่อนที่จะก่อเกิดแผนปรองดอง 5 ข้อนั้น ได้เกิดเหตุระเบิดที่หน้าห้างคิงเพาเวอร์ ซอยรางน้ำ และที่สถานีโทรทัศน์ ช่อง 11 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า หากรัฐบาลไม่รับข้อเสนอปรองดอง ความรุนแรงเช่นนี้ก็จะเกิดขึ้นอยู่ร่ำไป

ขณะที่แผนปรองดองกำลัง จะเข้าด้ายเข้าเข็ม ปรากฏว่า พรรคเพื่อไทยก็ชักด้ายออกจากรูเข็มเอาดื้อๆ ด้วยข้ออ้างว่าไม่พอใจที่รัฐบาล โดย สุเทพ เทือกสุบรรณ ยังกล่าวหาพรรคเพื่อไทย ยังป้ายสีเรื่อง "ล้มเจ้า"

ก็คงพอเข้าใจได้ไม่ยากเพราะก่อนที่จะได้ข้อสรุปวันนี้ "บิ๊กจิ๋ว" พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ผู้ซึ่งอยู่ในผังขบวนการล้มเจ้าเข้าร่วมประชุมกับพรรคเพื่อไทยด้วย คงจะแสลงใจ กับคำคำนี้ และที่อ้างว่ารอดูท่าทีของรัฐบาลก็ตลกสิ้นดี เพราะการยื่นข้อเสนอครั้งนี้เป็นฟากเพื่อไทย ไม่ใช่รัฐบาล

การที่เพื่อไทย เบรกแผนปรองดองครั้งนี้หากไม่เป็นเพราะเรื่อง "ล้มเจ้า" แทงใจดำจริงก็คงเป็นเพราะไม่อยากเติมคะแนนให้รัฐบาล หรือไม่ "คุณพ่อ" ก็สั่งให้ถอยเพราะ...

กางตำราการเมืองฉบับไหนก็ดูออกว่า หากรัฐบาลทำเรื่องปรองดองให้เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าข้อเสนอจะมาจากฝ่ายใดก็โกยแต้มไปเต็มๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น