จาก อัลบั้มคลังอาวุธ_Isnhotnews |
ที่มา:
(1) ข่าวสดรายวัน หน้า 6 วันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7202
(2) เรื่องเกี่ยวกับ "เขาพระวิหาร" จากเว็บ เสธ.แดง Jun 21 2008
Ref: FBบันทึก by Tp Phong on 18 สิงหาคม 2010 เวลา 12:27 น.
เรื่อง จริง "เขาพระวิหาร" จะเชื่อ เสธ.แดง หรือ จะเชื่อ เจ็กลิ้มกับควายพันธมิตร นักการเมืองส้นตีน หรือ นสพ.-ข้าราชการ -นักวิชาการปัญญอ่อน ไอ้พวกควายโง่ที่ตามเรื่อง เราเสียเขาพระวิหาร เสียพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรทับซ้อน เชื่อ เจ็กลิ้ม มหาจำรองพระไม่โกนคิ้มแต่โกนหมอย เชื่อพรรค ปชป.ที่อยากเป็นรัฐบาลจนลืมธรรมะคุณธรรมและอุดมการณ์พรรค เชื่อเปลว สีเงิน หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฯลฯ รับเงินต่างชาติ ทำลายประเทศไทย
แต่ทุกคนที่ออกมายืนยันว่าไทยไม่เสียดินแดน ขึ้นทะเบียนเฉพาะเขาพระ วิหาร คือชนชั้นปกครองและออกมาจากปากผู้นำประเทศ ผู้นำเหล่าทัพ คณะ รัฐมนตรี และที่สำคัญคือ กระทรวงการต่างประเทศ มึงไม่เชื่อ แต่เสือกไป เชื่อ เจ็กบ้า เอเอสทีวี ว่าเสียดินแดน แม่ง...ด่าซ้ำอีก 100 ครั้ง ไอ้ควาย!...โง่ คนไทยหรือเปล่าว่ะ... จะให้ดูรูปและเน้นอีกที
ว่าเขมรยุคนี้เขาน่ารักมาก แต่มึงอยากจะมีเรื่องเขมร อยากรบกับเขมร เราเคยรบกันแล้วเมื่อ ปี 2530 กูเคยจนศึกจบ ดีไม่ตายห่าไปอีกคน มึงรีบส่งชื่อสมัครกูเลย เวลารบ กันเดี๋ยวจะให้ดูรูป ว่าเหลือแค่ไหน วันนั้นรัสเซีย-เวียดนาม ช่วย มัน วันนี้จีนแดงช่วยมัน
ส่วนไทย แม่งปากหมาอย่างเดียว เมื่อวานตำรวจตั้งแนว 7 ชั้น ใส่หน้ากาก ป้องกันไอพิษ ห้ามพันธมิตรผ่านราชดำเนิน หงอยแดก เลี้ยวซ้ายนึกว่าจะ ลุย ตำรวจเขาเปิดให้ เพื่อล่อไปเข้าซองเมื่อ 2 ปีก่อน รอลุยทิ้ง ไชโยโห่ ร้องประกาศชัยชนะ แม่ง..ควายจริงๆ
ทบทวนเรื่อง "เขาพระวิหาร" อีกที 6 ตุ.ค.2502 ...สีหนุยื่นฟ้องศาลโลก ที่กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ ศาลตัดสินให้เขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา 15 มิ.ย.2505... จอมพลประภาสยกธงชาติไทยลงจากเขาพระวิหาร มาไว้ที่ฐาน ตชด. ไม่ชักธงลง 46 ปี
ผ่านไปไวเหมือนโกหก มาถึง 2551 เดือนกรกฎคม หน้านี้ เขมรจะเอา เขาพระวิหารเข้าเป็นมรดกโลกที่ เมือง ควิกเบก ประเทศแคนนาดา โดยเขาทั้งพื้นที่ที่เคยชนะไทยที่ศาลโลก เรา ต้องเสียดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตร
แต่จริงๆ พื้นที่นี้คนไทยอยู่ทั้ง นั้น ทั้งร้านค้าหน้าเขาพระวิหาร กระทั่งขอทาน คนไทยกระทืบเขมรหนีหมด เขมร ไม่เคยขึ้นมายุ่งบนที่ราบสูง เรายังเรียกมันว่าเขมรต่ำ เหมือนเดิม
22 พ.ค.2551 ... รัฐมนตรีต่างประเทศ นพดล รีบแจ้นไปหาพี่ใหญ่เขมร คือ ฝรั่งเศส เจอ ซกอาน รองนายกเขมร รับผิดชอบเรื่องเขาพระวิหาร ที่สำนักงาน ใหญ่ยูเนสโก อยู่ในกรุงปารีส รบกัน 3 เพลง เขมรยอม นพดล ไม่ขึ้นทั้งพื้นที่ ที่ใช้แผนที่ ฝรั่งเศสสมัยชนะไทยปี 2505 ขึ้นแค่ตัวปราสาท เหมือนแผนที่ไทยทำใหม่หลบ เขา พระวิหารให้ ให้เขมรส่งแผนที่มาใหม่ ห้ามไปแดกไทย
1 ก,พ,2553... มึงทั้ง 2 ประเทศ ต้องเอาแผนที่ทับซ้อน มาเสนอ แผนกมรดกโลก จะได้แบ่งเงินบริหารถูก เพราะเงินเยอะมาก ค่อยว่ากันอีกที คือ อีก 2 ปี มึงค่อยรบกัน เตรียมตัวพวกปากหมา สาวกเจ๊กบ้า เก่งแต่ปาก ด่า เขมร ด่ารัฐบาล ไม่รู้จริง ให้รีบสมัครเป็นทหาร
5 ม.ย.2551... กระทรวงต่างประเทศรับแผนที่ฉบับใหม่แค่ตัวปราสาท ส่งให้ พล.ท. แดน มีชูอรรถ นักเรียนเตรียมทหารรุ่น 12 เจ้ากรมแผนที่ทหาร ตรวจสอบด้วยดาวเทียม ยืนยัน ตรงแผนที่ไทยเปี๊ยะ แสดงว่าเขมรยอมไทย ใช้แผนที่ไทย ช่อง ละ 1 ตารางกิโลเมตร อัตราส่วน 1 ต่อ 5 หมื่น ไม่ใช้ แผนที่ฝรั่งเศส ช่อง ละ 2 ตารางกิโลเมตร 1 ต่อ 2 แสน ตั้งแต่โบราณ
16 มิ.ย.2551... สภาความมั่นคงแห่งชาติ พล.อ.สุรพล เผื่อยอัยกา ผอ.สมช.เตรียมทหารรุ่น 10 รับรอง
17 มิ.ย.2551 ผ่านความเห็นชอบ ครม.ไทย ไม่ใช่ ครม.เจ๊กลิ้ม รัฐบาลโจ๊ก กอง พล 93 มีมหาจำรองเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เจ็กลิ้ม เป็นนายกรัฐมนตรี โปรดเกล้า โดยไอ้สุริยไสย กับ ไอ้สมศักดิ์ เครา
18 มิ.ย.2551 รัฐมนตรีต่างประเทศ นพดล แถลงข่าวให้คนไทยฟังเรื่องจริง คนปกติเชื่อ แต่ควายที่ฟังเจ๊กลิ้ม กับนักการเมืองส้นตีน และนักวิชาการ ไฟธาตุแตก ด่าว่าไม่จริง ประเทศไทยทำไมคนปัญญาอ่อนแบบนี้
ลองเอาตีนคิดอีกครั้ง...คนพูดว่าเขาพระวิหารเข้ามรดกโลก แค่ตัวปราสาท เช่น ผบ.ทบ.-รัฐมนตรีต่างประเทศ-ครม.-สมช.-บิ๊กจิ๋ว-หน่วยงานกระทรวงต่าง ประเทศ-กรมแผนที่ทหาร พูด ...แม่งควายไม่เชื่อ แต่ไปเชื่อ เจ๊กบ้า ว่าเสียดินแดน ...ควายจริงๆ
ไทยได้อะไรบ้างหลัง "เขาพระวิหาร" เป็นมรดกโลก สนามบินอุบล แตกแน่ คนไหลมาจากทั่วโลก แบบ เสธ.แดง ไปเที่ยว เมืองเพ ตรา จอร์แดน จากสนามบินอุบลฯไปเขาพระวิหารแค่ 60 กิโลเมตร ถนนจะกลาย เป็น 4 เลน เงินไหล เข้าไทยเละ
เพราะเขมรไม่มีสนามบิน กว่าจะสร้างเสร็จที่ตีนเขา หาเงินไม่ต่ำกว่า 20 ปี และกว่าจะเดินทางมาถึงเขาถูกเขมรปล้นก่อน เขมรมีสนามบินใกล้สุดเมืองเสียมราฐ ต้องวิ่งมาจังหวัดเขาพระ วิหาร ทางลูกรัง แล้วจึงมาอ้อมขึ้นเขา ถูกปล้นไม่ก็ถูกข่มขืนตายห่าก่อน ดังนั้นคนทั่วโลก มาสนามบินอุบล อย่างเดียว (จบ)
-----------------------------------------------------
กรณี ไทย-กัมพูชา เอกภาพ ทาง "ความคิด" สำคัญยิ่ง สำคัญสุด
มี ความแตกต่างระหว่างการเคลื่อนไหวของกัมพูชาต่อการประชุมอาเซียนเมื่อปี 2552 ที่ชะอำ และการประชุมอาเซียนปี 2553 ที่ฮานอยอย่างแน่นอน
การประชุมอาเซียนที่ชะอำต่อปัญหาไทย-กัมพูชา ท่าทีของกัมพูชาได้แต่เปรยๆ
เป็นการเปรยระหว่างแถลงข่าวของ สมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรี เป็นการเปรยระหว่างการแถลงข่าวของ นายฮอร์ นัมฮง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
เปรยว่ากัมพูชาพร้อมยกระดับปัญหาจาก "ทวิภาคี" ไปสู่ "พหุภาคี"
นั่นก็คือ ความพร้อมที่จะให้นานาชาติเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา
แต่ในปี 2553 ดูเหมือนว่ากัมพูชาจะไม่ได้เปรยในทางวาจา
ตรง กันข้าม สมเด็จฮุนเซน ทำหนังสือถึงประธานที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ทำหนังสือถึงประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชน ทำหนังสือถึงประธานสมาคมอาเซียน
บังเอิญคนที่ทำหน้าที่ประธานอาเซียนเป็นรัฐมนตรีจากประเทศเวียดนามใต้
ต้อง ยอมรับว่าปี 2552 ประเทศไทยทำหน้าที่เป็นประธานอาเซียน ไม่ว่าจะมองจากมุมของนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะมองจากมุมของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
แต่มาปี 2553 ประเทศเวียดนามทำหน้าที่เป็นประธานอาเซียน
ไม่ว่าจะมองจากมุมของประธานาธิบดี ไม่ว่าจะมองจากมุมของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ขณะที่ นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ ทำหน้าที่เลขาธิการอาเซียนเช่นเดิม
การยกระดับจากที่เคยเปรยๆ ของ สมเด็จฮุนเซน และ นายฮอร์ นัมฮง เมื่อปี 2552 เป็นการทำหนังสือแจ้งต่อประธานอาเซียน จึงเป็นเรื่องที่ไม่ว่าประธานอาเซียน ไม่ว่าเลขาธิการอาเซียน มิอาจนิ่งเฉย
ทางหนึ่ง ประธานอาเซียนได้ส่งสำเนาหนังสือจากกัมพูชาไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ ต่างประเทศอาเซียน ทางหนึ่ง เลขาธิการอาเซียนเดินทางไปกัมพูชาอย่างรีบด่วน
นี่คือผลสะเทือนจากหนังสือที่กัมพูชาส่งให้ประธานอาเซียน
ถึงแม้สิงคโปร์จะออกคำแถลงแสดงความปรารถนาดีและแสดงความเชื่อมั่นว่า ไทยกับกัมพูชาจะสามารถหาทางออกร่วมกันได้
แต่ที่ไม่ควรลืมก็คือบทบาทของ "อินโดนีเซีย"
ก่อนและระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนในประเทศไทย ประธานาธิบดีอินโดนีเซียเคยแสดงความพยายามที่จะเป็น "คน กลาง" ในท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา
แต่ได้รับการปฏิเสธอย่างนุ่มนวลจากไทย เรื่องจึงมิอาจเดินหน้าต่อไปได้
เชื่อ ว่าแม้จะมีความพยายามจากประธานอาเซียน แม้จะมีความพยายามจากเลขาธิการอาเซียน แต่ในที่สุดเรื่องก็จะหยุดอยู่ที่การเปิดโอกาสให้ไทยและกัมพูชาทำความเข้าใจ
เป็นการทำความเข้าใจในลักษณะ "ทวิภาคี"
ประเด็นอยู่ที่ว่า ไทยเองจะต้องรักษาท่าทีที่อดทน อดกลั้นในฐานะประเทศใหญ่กว่าอย่างเต็มที่เพื่อมิให้ปัญหาความไม่เป็นเอกภาพ ทางความคิดภายในประเทศบานปลาย
บานปลายกลายเป็นเหยื่ออันโอชะให้กับกัมพูชา
ความไม่เป็นเอกภาพของแต่ละกลุ่มในประเทศไทยนั่นแหละที่กำลังร้อนแรงอยู่ในขณะนี้
ในเมื่อบางฝ่ายอยากให้ใช้กำลังทหารกระชับพื้นที่ ในเมื่อบางฝ่ายเรียกร้องถึงขนาดให้กระหน่ำปืนใหญ่เข้าไปในพื้นที่ที่เชื่อ ว่ากัมพูชารุกล้ำเข้ามาในดินแดนของไทย
จุดนี้แหละคือปัญหาที่รัฐบาลไทยจักต้องใช้ความอดทน อดกลั้นอย่างสูงเป็นพิเศษ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น