วันจันทร์, สิงหาคม 09, 2553

ภาษาไทยดีเด่วันละคำประจำวันนี้ขอเสนอคำว่า..อภิสิทธัตถะ

ที่มา: เรื่องจากปก
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้ วันสุข
ปีที่ 6 ฉบับที่ 271 ประจำวัน จันทร์ ที่ 9 สิงหาคม 2010
โดย ทีมข่าวรายวัน


ภาษาไทยดีเด่วันละคำประจำวันนี้ขอเสนอคำว่า..อภิสิทธัตถะ


“ส่วนตัวแล้วชื่น ชมและให้ความเคารพนับถือนายอภิสิทธิ์ที่กำลังสร้างความปรองดอง มีปณิธานที่ถูกต้อง เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปประเทศให้ดีกว่า ถ้าทำได้ก็จะเป็นสัตอภิสิทธิ์คือเป็นคนดี และถ้าทำได้สำเร็จ คนเป็น “สัตบุรุษ” ซึ่งตรงตามภาษาบาลีก็จะเรียกว่า “สิทธัตถะ” ที่แปลว่าผู้สำเร็จความมุ่งหมาย ซึ่งไม่ได้ใช้เฉพาะกับพระพุทธเจ้าเท่า นั้นเรียกนายอภิสิทธิ์ว่าจาก “สัตอภิสิทธิ์” เป็น “อภิสิทธัตถะ” ขอเอาใจช่วยนายกฯด้วยความจริงใจ และมีคนไทยจำนวนมาก เอาใจช่วยนายกฯ แต่คนไม่ชอบ นายกฯก็มี ซึ่งเป็นธรรมชาติ เพราะแม้แต่พระพุทธเจ้ายังมีคนไม่ชอบได้ แต่เชื่อว่าคนส่วนใหญ่เอาใจช่วยนายกฯ”

นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ (คปร.) กล่าวยกย่องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในการบรรยายหัวข้อ “อนาคตประเทศไทยบนพื้นฐานความปรองดอง” เนื่องในการสัมมนากรรมการบริหารและ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม-1 สิงหาคม ที่จังหวัดภูเก็ต ทั้งยังระบุว่าวิกฤตของประเทศไทยไม่รุนแรงเช่นในแอฟริกาใต้ที่รบกันเป็นสิบ ปี ฆ่าฟันจนล้มตายเป็นจำนวนมาก แต่ในที่สุดก็เจรจาจนเกิดสันติภาพได้

ประณามย่ำยีพุทธศาสนา

การยกย่องดังกล่าวทำให้มีข้อความในสื่อออนไลน์ว่าการที่นายอภิสิทธ์ไม่ ได้ออกมาปฏิเสธคำยกย่องเชิดชูของนายไพบูลย์เท่ากับเห็นดีเห็นชอบด้วย อยู่ในข่ายที่จะเหยียบย่ำและตีเสมอพระพุทธองค์ เช่นเดียวกับตัวแทนศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ทั้งพระสงฆ์และฆราวาส นำโดย พล.อ.ธงชัย เกื้อสกุล กรรมการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาฯ เข้ายื่นหนังสือของพระเทพดิลก ประธานกรรมการบริหารศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาฯ และนายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ประธานคณะกรรมาธิการศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ให้ออกแถลงการณ์ประณามพฤติกรรมของนายไพบูลย์ที่เอาพระนามเดิมของพระพุทธเจ้า มาใช้ ถือเป็นการจาบจ้วง ลบหลู่ เหยียดหยามพระบรมศาสดาของพุทธศาสนิกชน ซึ่งควรถูกประณามจากชาวพุทธทั่วประเทศและทั่วโลก เพราะถือว่าไม่ยกย่องแล้วยังมาเหยียบย่ำซ้ำเติม ทั้งให้นายไพบูลย์ออกมายอมรับผิดและขอโทษต่อพุทธศาสนิกชนอย่างเป็นกิจจะ ลักษณะ และขอขมาต่อพระรัตนตรัยด้วย

ขณะที่พระพรหมโมลี กรรมการมหาเถรสมาคมและเจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการามวรวิหาร กรุงเทพฯ ให้ความเห็นว่า แม้ผู้พูดไม่มีเจตนาลบหลู่หรือจาบจ้วงพระพุทธศาสนา แต่การเอาพระนามเดิมของพระพุทธองค์มาใช้เป็นสิ่งที่ไม่สมควร เพราะคนไทยนับถือพระพุทธศาสนาและยกย่องพระพุทธเจ้า อีกทั้งศาสนาเป็น 1 ใน 3 สถาบันหลัก จึงถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน การพูดหรือกล่าวถึงจึงต้องระมัดระวัง อยู่ในกรอบความพอดี จะเปรียบเทียบกับบุคคลสำคัญของโลกก็ได้

อภิสิทธุลิมาร?

นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีต รักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย เขียนทวิตเตอร์แสดงความคิดเห็นที่ยกย่องนายอภิสิทธิ์เป็น “อภิสิทธัตถะ” ว่าคำนี้ไม่ใช่สนธิระหว่างอภิสิทธิ์กับอัตถะ เพราะ ถ้าอย่างนั้นจะต้องมี “ย” มาแทนสระ “อิ”

“คนใช้คำนี้คงนึกถึงว่าเป็นอัตถะ คือประโยชน์ของคุณอภิสิทธิ์ แต่รีบสนธิกันแบบลวกๆไปหน่อย ดูตามหลักสมาสสนธิแล้วกลายเป็นอภิ+สิทธัตถะไป...พอเป็นอภิ+สิทธัตถะ เรื่องก็เลยยุ่งกันใหญ่ กลายเป็นยิ่งใหญ่กว่า เหนือกว่าสิทธัตถะ คนก็เลยวิจารณ์กันใหญ่”

นายจาตุรนต์ระบุว่า ความจริงถ้าจะสมาสหรือสนธิกันแบบ ลวกๆควรใช้คำว่า “อภิสิทธุลิมาร” หรือ “อภิสิทธคุลิมาร” น่าจะได้ใจความมากกว่า ตรงกว่า เพียงแต่ไม่ถูกหลักภาษา แต่ถ้าจะเรียกอย่างนั้นได้นายอภิสิทธิ์ต้องยอมรับเสียก่อนว่าทำให้คนตายไป มาก และต้องการจะลบล้างหรือชดเชยความผิดที่ทำไป จึงจะเรียกอย่างนั้นได้

“เมื่อใช้คำไหนก็มีปัญหาว่ายังไม่จริงทั้งนั้น ผมจึงเสนอต่อคุณไพบูลย์และพวกว่าควรเน้นที่การเกลี้ยกล่อมคุณอภิสิทธิ์ให้ เห็นบาปบุญคุณโทษเสียก่อน...ถ้าคนบัญญัติศัพท์กล้าเอา คำ “อภิ+สิทธัตถะ” เพื่อให้พ้องกับเจ้าชายสิทธัตถะก็แสดงว่ามีปัญหาวิธีคิดอย่างมากแน่ๆ ผมพยายามอธิบายแง่ดีให้แล้ว”

ทำไม่สำเร็จยังเป็น “คนดี”

อย่างไรก็ตาม นายไพบูลย์ได้ออกมายืนยันว่าจงใจใช้คำว่า “สิทธัตถะ” แต่ได้อธิบายชัดเจนว่าหมายถึง “ผู้สำเร็จความมุ่งหมายแล้ว” ไม่ได้หมายถึงชื่อของพระพุทธเจ้า เป็นการเล่นคำว่านายอภิสิทธิ์น่ายกย่อง ฉลาด เหมือนสัตบุรุษ แต่ถ้ายังไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องการสร้างความปรองดอง การสร้างความสมานฉันท์ให้กับประเทศ ก็ไม่เรียกว่า “สิทธัตถะ” ที่เป็นภาษาบาลีแปลว่าผู้สำเร็จความมุ่งหมาย แต่หากทำสำเร็จจึงจะเรียกว่า “อภิสิทธัตถะ”

“เวลาที่ผมพูดก็อธิบายอย่างนี้ว่า “สิทธัตถะ” หมายถึงตามคำภาษาบาลี ให้นายกฯพยายามทำสิ่งที่มุ่งหมายเรื่องการปรองดอง ซึ่งเป็นชื่อของพระพุทธเจ้าด้วย แต่เวลาสื่อไปลงก็ลงไม่หมด ซึ่งชื่อคนก็มีความหมายต่างๆกันไป เป็นชื่อคนด้วย เป็นความหมายตามภาษาบาลีด้วย ผมบอกให้นายกฯทำให้สำเร็จ ถ้าไม่สำเร็จก็เป็นได้แค่ “สัต” แค่เป็นคนดี ความหมายที่ผมพูดไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาเลย แต่เป็นการใช้ความหมายในภาษาบาลี”

สังคมตอแหล-2 มาตรฐาน

ความจริงการยกย่องเชิดชูในสังคมไทยถือเป็นเรื่องปรกติที่ทำกันมากมาย แม้แต่นายอภิสิทธิ์ที่ถูกตั้งฉายาต่างๆหลังเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่มีคนตายถึง 91 ศพ และบาดเจ็บ พิการเกือบ 2,000 ราย ก็มีบรรดาพ่อยกแม่ยกออกมายกย่องเชิดชูต่างๆนานา และประณามคนเสื้อแดงและสนับสนุนให้คง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อไล่ล่าและกวาดล้างคนเสื้อแดง ต่อไป

แต่กลับไม่มีคำ “ขอโทษ” จากนายอภิสิทธิ์กับการใช้วาทกรรม “ขอคืนพื้นที่” และ “กระชับวงล้อม” ซึ่งประชาคมโลกต่างประณามว่าเป็นการสังหารโหดคนเสื้อแดงอย่างเลือดเย็น จนถึงวันนี้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์และศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ก็ยังพยายามสร้างความชอบธรรมด้วยการใช้วาทกรรมและสื่อต่างๆโฆษณาชวนเชื่อว่า คนเสื้อแดงเป็นผู้ก่อการร้ายเผาบ้านเผาเมือง และเป็นขบวนการล้มสถาบัน

แต่จนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีหลักฐานชัดเจน นอกจากการกล่าวหาและจับกุมแกนนำคนเสื้อแดง และคนบางคนที่ ศอฉ. และนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) อ้างว่ามีหลักฐานชัดเจนว่าเป็นผู้ยิงปืนเอ็ม 79 และวางระเบิดในสถานที่ต่างๆ แต่กลับมีข่าวเรื่องการข่มขู่และสร้างหลักฐานต่างๆเพื่อให้ผู้ที่ถูกจับได้ ยอมเป็นพยานตามที่ ศอฉ. และดีเอสไอแถลง

นอกจากนี้ดีเอสไอยังเร่งส่งฟ้องคดีแกนนำเสื้อแดง 26 คนที่ถูกจับกุมในขณะนี้ โดยยืนยันว่าการสอบสวนและการรวบรวมพยานหลักฐานของดีเอสไอมีความหนักแน่น เพียงพอในการส่งฟ้องได้ ขณะที่คนเสื้อแดงเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมและเลือกปฏิบัติ ทั้งที่ยังไม่มีการสอบสวนพยานหลักฐานอย่างครบถ้วนรอบด้าน ซึ่งก่อนหน้านี้ดีเอสไอระบุว่ายังจำเป็นต้องสอบปากคำพยานอีกหลายสิบปาก

แต่คดีของคนเสื้อเหลืองที่ถูกข้อหาก่อการร้าย ยึดสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิ กลับยังไม่มีการดำเนินคดีใดๆทั้งที่ผ่านมากว่า 1 ปี ขณะที่คดียึดทำเนียบรัฐบาลที่แกนนำเสื้อเหลืองถูกต้องข้อหามั่วสุมกัน ตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองและยุยงให้ประชาชนละเมิดกฎหมายแผ่นดิน อัยการฝ่ายคดีอาญาก็มีคำสั่งเลื่อนนัดคดี เนื่องจากพนักงานสอบสวนอ้างว่ายังสอบสวนพยานเพิ่มเติมตามที่ผู้ต้องหาได้ ยื่นร้องขอความเป็นธรรมไว้ไม่แล้วเสร็จ

โจรในเครื่องแบบ?

ขณะที่นายธาริตกลับออกมาแถลงข่าวใหญ่โต โดยเอาจดหมายมาโชว์ว่าถูกข่มขู่เอาชีวิตเนื่องจากการทำคดีคนเสื้อแดงกว่า 200 คดี แต่ก็ถูกตั้งคำถามจากสังคมเช่นกันว่าทำ ไมจึงเพิ่งมีจดหมายขู่ในขณะนี้ ซึ่งภรรยานายธาริตกำลังถูกกล่าว หาเรื่องการเรียกสินบนจำนวน 150,000 บาท จาก “เฮียเม้ง” นายธีระชัย ธำรงค์พงศธร เจ้าของบริษัทมังกรเหินฟ้า เพื่อช่วยคดีภาษีย้อนหลัง

แม้นายธาริตและภรรยาจะปฏิเสธว่าเป็นการชำระค่าทนายความ ค่าวางแผนภาษี และค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ไม่ใช่เงินสินบนตามที่กล่าวหาก็ตาม ขณะที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ย้อนข้อแก้ตัวของนายธาริต โดยทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้ตรวจสอบการเสียภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดาของนายธาริตกรณีคู่สมรสได้รับเงินได้พึงประเมินจาก “ค่าบริการบางอย่าง” นั้นนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในนามของนายธาริตหรือไม่

ประเด็นเงิน 150,000 บาท จึงไม่ใช่แค่เรื่องสินบนหรือการเสียภาษีของนายธาริตและภรรยาเท่านั้น แต่ยังเป็นการทำให้สังคมตั้งคำถามถึงคนระดับอธิบดีดีเอสไอซึ่งเกี่ยวข้องโดย ตรงกับกระบวนการยุติธรรมที่รับผิดชอบการสอบสวน กล่าวหาและจับกุมคนมากมายว่าเป็นผู้ก่อการร้ายและอาชญากรร้ายแรง จะเป็นคนดี คนบริสุทธิ์ที่เหมาะสมกับหน้าที่หรือไม่ เหมือนกับข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐมากมายที่กลายเป็น “โจรในเครื่องแบบ” หรือ “โจรใส่สูท”

แจกวีซีดีประณามเสื้อแดง

ขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการ ศอฉ. ยืนยันความจำเป็นในการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเพื่อขยายผลและจับกุมคนเสื้อแดงที่ต้องสงสัย ทั้งยังอ้างสำนักข่าวกรองแห่งชาติที่เตือนว่าจะเกิดเหตุคาร์บอมบ์และการก่อ วินาศกรรมในย่านธุรกิจสำคัญ เช่น ถนนสีลม และถนนเยาวราช ประมาณต้นเดือนสิงหาคม

ขณะเดียวกันนายสุเทพยืนยันว่าจะแจกวีซีดีภาพเหตุการณ์ ชุมนุมทางการเมืองช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคมที่ ศอฉ. ทำขึ้นประมาณ 20 นาทีให้กับประชาชน ซึ่งเป็นการเล่าเรื่องความเป็นมาของเหตุการณ์การชุมนุมของคนเสื้อแดง โดยกล่าวถึงการเจรจากับคนเสื้อแดง และการตัดต่อภาพชายชุดดำในคนเสื้อแดงถืออาวุธไปมา ภาพชายชุดดำยิงทหารจากช่วงต่างๆของการชุมนุมว่าจำเป็นที่ ศอฉ. ต้องดำเนินการใช้กำลังเข้าไปปฏิบัติการ ทั้งที่คณะกรรมการติดตามสถานการณ์บ้านเมือง วุฒิสภา เห็นว่าไม่สมควรแจกจ่าย เพราะมีเนื้อหาข้อมูลด้านเดียว และจะยิ่งสร้างความเกลียดชังให้กับประชาชนมากขึ้น โดยเฉพาะการจับชายชุดดำไม่กี่คน ซึ่ง ศอฉ. ก็ไม่สามารถให้ความชัดเจนได้ว่ามีผู้ก่อการร้ายเท่าไร ขณะที่ภาพของ ศอฉ. เองที่ประกอบไปด้วยทั้งนักการเมืองและกองทัพขณะนี้ก็มีประชาชนจำนวนมากที่ ไม่เชื่อรัฐบาลและ ศอฉ.

ดังนั้น การแจกวีซีดีจึงไม่ใช่การชี้แจงความจริงให้ประชาชน แต่ลึกๆแล้วนายอภิสิทธิ์ ศอฉ. และกองทัพกลัวว่าประชาชนจะเชื่อข้อมูลและความจริงอีกด้านหนึ่ง ความจริงที่ไม่มีการตัดต่อ ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ที่นี่มีคนตาย” และความจริง ว่า “ที่นี่ 2 มาตรฐาน” ซึ่งไม่ใช่แค่รัฐบาลและ ศอฉ. เท่านั้น แต่ยังรวมถึงองค์กรอิสระต่างๆที่จำเป็นต้องโละทิ้งทั้งหมด เพราะถูกครหาเรื่องความไม่โปร่งใสตั้งแตกระบวนการสรรหาผู้เข้ามาทำหน้าที่ แล้ว

อำนาจ “โจราธิปัตย์”!

โดยเฉพาะองค์กรอิสระที่แต่งตั้งโดยคณะรัฐประหารซึ่งใช้อำนาจล้มล้าง รัฐบาลจากประชาชนและฉีกรัฐธรรมนูญ แม้จะหมดอำนาจไปแล้วแต่กระบวนการยุติธรรมก็ยังยอมรับอำนาจนั้นว่าถูกต้องชอบ ธรรม จนมีปัญหามาถึงทุกวันนี้ เช่นกรณีคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ที่อ้างประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรง เป็นประมุข (คปค.) ฉบับที่ 29 เพื่อดำรงตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ต่อ ทั้งที่อายุครบ 65 ปี ซึ่งตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2542 มาตรา 34 (2) กำหนดว่าต้องพ้นจากตำแหน่ง

ขณะที่คุณหญิงจารุวรรณก็ถูกร้องเรียนไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ถึงพฤติการณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหลายประการ แต่ก็ไม่มีการดำเนินการใดๆทั้งที่บางเรื่องผ่านมาเป็นแรมปีแล้วก็ตาม

นักวิชาการและตุลาการบางคนที่ยืดหยัดข้างประชาชนจึงไม่ยอมรับอำนาจคณะรัฐ ประหาร โดยถือเป็น “โจราธิปัตย์” ไม่ใช่ “รัฏฐาธิปัตย์” ที่ทำให้การเมืองไทยกว่า 76 ปีอยู่ภายใต้อำนาจของกองทัพ ขณะที่กองทัพก็ถูกนำไปเป็นเครื่องมือของฝ่ายการเมือง อย่าง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ยอมรับว่ากองทัพเป็นเครื่องมือของรัฐบาล เพราะเป็นกลไกของรัฐ รัฐบาลไหนมาก็ต้องใช้กองทัพ กองทัพไม่ได้เลือกปฏิบัติหรือเลือกข้าง สิ่งใดที่ทำแล้วไม่เกิดผลเสียหายกับประเทศ อยู่บนกรอบกฎหมายกองทัพก็ทำ

เชื้อร้ายกองทัพ!

แต่กองทัพในสายตาประชาชนส่วนใหญ่กลับต้องการให้เป็นกองทัพของประชาชนที่ ทำหน้าที่ดูแลด้านความมั่นคงอย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นเครื่องมือของรัฐบาลที่สนับสนุนโดยกองทัพเองจนแยกไม่ออกระหว่างผล ประโยชน์ทางการเมือง กับผลประโยชน์ของคนในกองทัพ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากการแต่งตั้งโยกย้ายทุกปี

หากผลประโยชน์ระหว่างการเมืองกับกองทัพลงตัวก็ไม่เกิดวิกฤตการเมือง แต่หากผลประโยชน์ปีใดไม่ลงตัวหรือขัดแย้งกันก็มักจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทาง การเมืองหรือการปฏิวัติรัฐประหาร เหมือนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติอ้างว่ารัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทุจริตคอร์รัปชันและจาบจ้วงสถาบัน แต่กระแสข่าวอีกด้านหนึ่งกลับยืนยันว่าเหตุผลใหญ่อยู่ที่นายทหารกลุ่มนี้ไม่ พอใจการแต่งตั้งโยกย้าย จึงถือโอกาสร่วมมือกับกลุ่มการเมืองและผู้มีบารมีที่อยู่ตรงข้ามรัฐบาลทำการ รัฐประหาร และทำให้เกิดวิกฤตการเมืองที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์มาจนทุกวันนี้

ดังนั้น การที่กองทัพยังให้การสนับสนุนรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ก็เพราะผลประโยชน์ระหว่าง รัฐบาลกับกองทัพลงตัว เหมือนการแต่งตั้งโยกย้ายปีนี้ที่ไม่มีปัญหา แม้แต่เรื่องการทุจริตคอร์รัปชันของกองทัพหลาย เรื่องก็ค่อยๆเงียบหายไป ที่สำคัญคือรัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลที่ตั้งขึ้นในค่ายทหาร เป็นรัฐบาลตามระบบรัฐสภา แต่ได้ผู้ที่แพ้การเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี

บทบาทของกองทัพที่แท้จริงจึงไม่ได้เป็นกลไกของรัฐบาล แต่พร้อมจะอยู่ร่วมกับรัฐบาลที่ไม่ขัดผลประโยชน์กับกอง ทัพกองทัพจึงไม่ได้ฟังรัฐบาล ไม่ได้ฟังประชาชน แต่ฟังผู้มีอำนาจ ที่อยู่เหนือกองทัพ ซึ่งสังคมไทยรู้ดีแต่พูดและเขียนไม่ได้

ที่ผ่านมากว่า 76 ปี ไม่ว่านักวิชาการ นักการเมือง หรือองค์กรภาคประชาชน จึงเรียกร้องให้กองทัพอย่าเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง เพราะหากกองทัพยังมีบทบาทเหมือนที่ผ่านมาก็ยากที่จะไม่ให้กองทัพเข้ามามี อำนาจหรือยุ่งเกี่ยวกับการเมืองได้ เพราะถ้ากองทัพยอมให้การเมืองดำเนินไปตามครรลองระบอบประชาธิปไตยที่ให้ ประชาชนตัดสินตามรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะได้รัฐบาลอย่างไร การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองก็ไม่รุนแรงจนต้องเข่นฆ่าคนไทยด้วยกันเองเหมือน ที่ผ่านมา เพราะกองทัพต้องฟังคำสั่งรัฐบาล ส่วนรัฐบาลต้องฟังเสียงประชาชน ถ้ารัฐบาลไม่ฟังเสียงประชาชน ประชาชนก็จะไม่เลือก มาเป็นรัฐบาลในครั้งต่อไป ประชาชนจึงสำคัญที่สุดในแผ่นดิน

นายกฯ 100 ศพ?

วันนี้บ้านเมืองไม่ได้เป็นประชาธิปไตย แต่เป็นการรัฐประหารเงียบ เพราะนายอภิสิทธิ์ไม่มีอำนาจที่จะตัดสินใจอะไรได้ด้วยตนเอง ไม่ใช่ต้องฟังคนรอบข้างเท่านั้น แต่ยังต้องอยู่ภายใต้อำนาจของกองทัพและรับใช้กลุ่มผู้มีอำนาจพิเศษอีกด้วย

อย่างที่นายนิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการอิสระที่เป็นหนึ่งในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ (คปร.) วิเคราะห์ว่านายอภิสิทธิ์รู้ดีว่าถ้าทหารไม่สนับสนุนก็อยู่ไม่ได้

“การตัดสินใจของคุณอภิสิทธิ์ไม่ได้อยู่ที่ตัวแกคนเดียว อยู่ที่รอบข้างเต็มไปหมด ในที่สุดก็ตัดสินใจเลือกเส้นทางที่ผมคิดว่าเป็นทางตันทางการเมือง ไอ้นายกฯ 100 ศพเนี่ย คุณจะลบมันออกไปได้อย่างไร ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ฉลาดพอก็ต้องทิ้งคุณอภิสิทธิ์ในสมัยหน้า ต้องเลือกหัวหน้าพรรคคนอื่น”

นอกจากนี้นายนิธิยังชี้ว่าประเทศไทยขณะนี้เป็นรัฐประหารซ่อนรูปอยู่แล้ว แต่จะทำอะไรมากกว่านี้ก็ต้องระวังการเมืองระหว่างประเทศ ซึ่งชะตากรรมของนายอภิสิทธิ์ไม่มีความหมายเท่ากับบ้านเมืองที่คนส่วนใหญ่ รู้สึกว่าไม่สามารถเปิดพื้นที่การต่อรองในระดับใดๆโดยสงบได้เลย แม้นายอภิสิทธิ์จะตั้งคณะกรรมการต่างๆขึ้นมาก็ไม่สามารถสร้างความชอบธรรมได้ เมื่อยังมีภาพ “นายกฯ 100 ศพ”

อภิสิทธัตถะ!

การที่นายไพบูลย์ยกย่องให้นายอภิสิทธิ์เป็น “อภิสิทธัตถะ” เพราะเป็นคนดี ฉลาด และพยายามสร้างความปรองดองสมานฉันท์ จึงไม่เพียงถูกพุทธศาสนิกชนรุมประณามที่เอาไปเปรียบเทียบกับพระพุทธเจ้าว่า ไม่สมควรอย่างยิ่งเท่านั้น

แต่ในฐานะผู้นำประเทศ นายอภิสิทธิ์ก็ไม่อาจลบภาพ “นายกฯ 100 ศพ” ได้ หลังจากตัดสินใจให้ทหารเข้าปราบปรามคนเสื้อแดงจนทำให้เกิดการสังหารโหดอย่าง เลือดเย็นเกือบ 100 ศพ แต่นายอภิสิทธิ์กลับไม่มีแม้แต่คำ “ขอโทษ”

นายอภิสิทธิ์จึงไม่สมควรได้รับการยกย่องใดๆ ไม่ว่าจะเป็นเอกบุรุษ รัตนบุรุษ มหาบุรุษ หรือวีรบุรุษ ยกเว้นการได้รับรางวัลภาษาไทยดีเด่น ซึ่งไม่มีใครปฏิเสธว่านายอภิสิทธิ์มีวาทกรรมยอดเยี่ยม โดยเฉพาะคำว่า “ขอคืนพื้นที่” และ “กระชับวงล้อม” เช่นเดียวกับผู้มอบรางวัลคือ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ที่แม้จะพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วแต่กลับเป็นข่าวดังหลายเดือนเพราะเขา ยายเที่ยง

สำหรับประเทศไทยวันนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ เพราะสังคมไทยเพี้ยนไปหมดแล้ว แม้แต่ “ฆาตกร” ยังถูกยกย่องเป็น “พระอรหันต์” ทั้งที่ยังไล่ล่าและฆ่าคนได้อย่างเลือดเย็น

กลับตัวสำนึกผิดเป็นแค่ “องคุลิมาล” ก็ถือว่ายิ่งใหญ่แล้ว อย่าอาจเอื้อมถึงขั้นเป็น “พระพุทธเจ้า” เลย

หรือเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการชนะเลือกตั้งโดยประชาชนให้ได้เสียก่อนไม่ดีกว่าหรือ?



ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 271 วันที่ 7-13 สิงหาคม พ.ศ. 2553 หน้า 8 คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน
2010-08-09

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น