คอลัมน์ สดจากสนามข่าว
ยังคงค้นหาความจริงกันต่อไปสำหรับเหตุความไม่สงบของบ้านเมืองในช่วงเดือนพฤษภามหาโหด
สังคมต้องการตัวคนทำผิดมาลงโทษ ไม่ว่าจะเป็นผู้ก่อการร้ายหรือนักฆ่าในเครื่องแบบที่กำลังเป็นประเด็นร้อนอยู่ในขณะนี้
ไม่นานความจริงจะปรากฏ!!?
เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. ที่อาคารรัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมการติดตามสถานการณ์บ้านเมืองวุฒิสภา มี นายวิชาญ ศิริชัยเอกวัฒน์ ส.ว.สรรหา รองประธานคณะกรรมการ เป็นประธานการประชุม ได้เชิญ พล.ต.ต.ศักดา เตชะเกรียงไกร รองผบช.ภาค 4 รักษาการผบก.ภ.จว. ขอนแก่น พล.ต.ต.ปราโมทย์ เอี่ยมทัศน์ ผบก. ภ.จว.มุกดาหาร พล.ต.ต.เดชา ชายบุญชม ผบก. ภ.จว.อุดรธานี และ พล.ต.ต.สมพงษ์ ทองวีระประเสริฐ ผบก.ภ.จว.อุบลราชธานี มาร่วมชี้แจงเหตุการณ์ ซึ่งทั้งหมดโดนย้ายมาช่วยราชการที่สำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หลังจากที่ทั้ง 4 จังหวัด มีการเผาศาลากลางเมื่อวันที่ 19 พ.ค. ที่ผ่านมา
พล.ต.ต.ปราโมทย์ ชี้แจงว่า คนเสื้อแดงในจังหวัดมุกดาหาร ส่วนใหญ่เป็นอดีตผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย และเป็นกลุ่มแดงนิรนามซึ่งเป็นชาวญวนที่เพิ่งได้สัญชาติไทย ที่น่าสนใจคือ ไม่มี ส.ส. พรรคเพื่อไทยในจังหวัด สำหรับสถาน การณ์การเผาศาลากลาง ผู้ชุมนุมเริ่มรวมตัวตั้งแต่วันที่ 17 พ.ค. และขอใช้พื้นที่ข้างศาลากลางจังหวัดชุมนุม ซึ่งเช้าวันที่ 19 พ.ค. วิทยุชุมชนคนเสื้อแดงแห่งหนึ่งประกาศตั้งแต่เวลา 06.00 น. ถึงสถานการณ์ที่ราชประสงค์ ว่าทหารล้อมสลายชุมนุมแล้ว และมีคนบาดเจ็บ จึงให้มารวมตัวกันที่ข้างศาลากลางจังหวัด ซึ่งจำนวนก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นพันคน ส่วนตำรวจที่อุดรฯ ทั้งหวัดมี 700 กว่านาย
แต่ขณะนั้นก็เพิ่งส่ง 1 กองร้อยมาผลัดที่สน.ลุมพินี ทำให้เหลือกำลัง 3 กองร้อย ประมาณ 500 นาย จึงเอาไม่อยู่ ประกอบกับพื้นที่กว้าง เมื่อคนเฮเข้ามาจึงทำอะไรไม่ได้ และตอนนั้นยังไม่มีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่จังหวัด ทำให้ตำรวจทำอะไรรุนแรงไม่ได้ เครื่องมือสำหรับดำเนินการตามหลักสากล 7 ขั้นตอนในการสลายการชุมนุมก็ไม่มี มีแค่รถฉีดน้ำ และยังถูกสั่งห้ามใช้ปืนจน กว่าจะประกาศพ.ร.ก.จึงไม่สามารถระงับเหตุได้
พล.ต.ต.สมพงษ์ กล่าวว่า ที่อุบลราชธานี มีคนเสื้อแดงเคลื่อนไหวมาโดยตลอด แต่พอมีการประกาศภาวะฉุกเฉิน ก็ไม่มีการชุมนุมจนเมื่อวันที่ 16 พ.ค. เริ่มมีการเคลื่อนไหว เช่น ปิดสะพานเชื่อมเขตอำเภอ เผายางหลายจุด แต่ผู้ว่าฯ ก็ให้นโยบายว่าให้เจรจา ตอนนี้มีแค่เผายางยังรับได้ แต่เมื่อข่าวออกไปที่ส่วนกลาง ภาพคงกลายเป็นว่า สถานการณ์เริ่มหนัก ส่วนกลางจึงประกาศภาวะฉุกเฉินเมื่อคืนวันที่ 16 พ.ค. ซึ่งคืนวันที่ 18 พ.ค. มีหน่วยคุมฝูงชนอยู่ 2 กองร้อย ส่วนอีก 1 กองร้อย ส่งมากทม. แต่เมื่อเห็น ส.ว. เป็นคนกลางเจรจากับแกนนำนปช.และรัฐบาล ก็เห็นสัญญาณที่ดี และฝ่ายทหารยืนยันว่าถ้าจะสลายชุมนุมจะแจ้งล่วงหน้ามาที่อุบลราช ธานีก่อน 12 ชั่วโมง ซึ่งตนก็เห็นว่าพอเตรียมกำลังในพื้นที่ดูแลความเรียบร้อยได้ทัน
เพราะระดมกำลังตำรวจทุกอำเภอมาที่ส่วนกลางของจังหวัดได้ภายใน 4 ชั่วโมง แต่ปรากฏว่า เช้าวันที่ 19 พ.ค.ก็เกิดเหตุฝ่ายปกครองทุกคนตกใจ จึงเอาตำรวจไปเตรียมในศาลากลางจังหวัด 300 นาย แต่เมื่อตอนเที่ยง มีข่าวออกมาว่าแกนนำนปช.ที่กทม.จะมอบตัวที่อุบลฯ ก็หวังว่าสถานการณ์จะดีขึ้น และชะลอการไปปิดวิทยุชุมชนตามที่ส่วนกลางสั่งการมาเมื่อวันที่ 18 พ.ค. แต่เช้าวันที่ 19 พ.ค. จะได้หมายค้นแล้วก็ตาม เพราะผู้ว่าฯเห็นว่า ไม่ควรสร้างประเด็นให้ประชาชนโกรธเคืองเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม สุดท้ายในเวลาประมาณ 13.00 น. ก็มีการเผาศาลากลางเกิดขึ้น
พล.ต.ต.สมพงษ์ กล่าวว่า เมื่อมีการเผา ตำรวจมีเพียงโล่และหมวก และก็มีไม่ครบคน และแต่ละคนก็อายุ 40 ปีขึ้นไป ผู้ชุมนุมมีหนังสติ๊กยิงหิน หัวนอต ตำรวจจึงถูกผลักดันให้ล่าถอยไปข้างหลังศาลากลางแทน ส่วนพนักงานดับเพลิงก็ไม่กล้าปฏิบัติหน้าที่ เพราะเข้ามาฉีดน้ำก็เจอหนังสติ๊ก และรถดับเพลิงก็โดนกักและเผา การจะให้ทำตาม 7 ขั้นตอนสากลในการสลายการชุมนุม ความเป็นจริงคงทำยากมาก เพราะคนเฮโลเข้ามา ตำรวจที่นี่ไม่เคยใช้ความรุนแรงกับมวลชนเลย ด้านหนึ่งถามว่า ถ้าตำรวจใช้ความรุนแรงแล้วสุดท้ายมีความผิด คนสั่งการระดับที่สูงกว่าก็จะบอกว่า
ให้แนวทางชัดเจนในการใช้อาวุธไปแล้วว่าให้ยิงต่ำกว่าเข่า ระยะไม่เกิน 35 เมตร ถามว่าตอนเกิดเหตุจริงไม่มีใครทำได้แน่ และตำรวจที่นี่ก็ไม่เคยฝึกแบบนี้มา แต่พอตำรวจไม่ดำเนินการ ส่วนกลางก็มองว่าเราเป็นตำรวจมะเขือเทศ ซึ่งความเป็นจริงเราไม่มีสี แต่เราต้องทำงานกับประชาชนในพื้นที่ มันก็เลยรู้จักกันดีแล้วจะให้ทำอย่างไร และเขาก็ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย ไม่เหมือนทหารที่ส่งเข้ามา ทำเสร็จแล้วก็กลับกรมกอง ไม่ต้องสัมผัสประชาชนอีก
"ถามว่าวันนั้นถ้าผมสั่งยิงจริงๆ เพื่อป้องกันศาลากลางจังหวัด แล้วมีคนตาย ตำรวจก็กลายเป็นจำเลยอีก สรุปคือ เราลำบาก เพราะถูกคนที่มีอำนาจรังแกตลอด พอไม่ได้ดั่งใจเขาก็เล่นงานเรา ผมเสนอว่าเมื่อประชาชนมีสิทธิการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ ต่อไปก็ตั้งตำรวจปราบจลาจลมาเป็นหน่วยต่างหากไปเลย และไม่ต้องให้ทำงานแบบตำรวจปกติ ให้เขาฝึกรอเหตุการณ์ไป ไม่เช่นนั้น ใช้ตำรวจปกติจะทำอะไรก็ยาก" พล.ต.ต.สมพงษ์ กล่าว
เมื่อหมดประเด็นของพล.ต.ต.สมพงษ์ มีส.ว. หลายคน ลุกขึ้นถามถึงอนาคตของสถานการณ์ในแต่ละจังหวัดว่าจะเป็นอย่างไร จะเลิกพ.ร.ก. ฉุกเฉินได้หรือไม่ และคนในพื้นที่มั่นใจกรรมการอิสระ 4-5 ชุดที่รัฐบาลตั้งขึ้นหรือไม่
พล.ต.ต.เดชา ชี้แจงว่า การเลิกพ.ร.ก. หรือไม่คงแนะนำไม่ได้ เพราะตำรวจเป็นฟันเฟืองของการบริหาร แต่จะมีหรือไม่มีพ.ร.ก.ที่อุดรฯ ก็บังคับใช้กฎหมายไปตามปกติ แต่การมีพ.ร.ก.แล้วจะสนธิกำลังเร็วกว่าหรือไม่นั้น อยู่ที่การสนับสนุนของหน่วยที่เกี่ยวข้องมากกว่า ส่วนเรื่องการปรองดอง ตนเปรียบเทียบว่า เหมือนรถโดนชน แม้จะซ่อมแล้วแต่ความรู้สึกในใจก็ยังมีอยู่ จึงขึ้นกับระยะเวลาและการแสดงออกของภาครัฐที่ต้องจริงใจจริงจัง เสมอต้นเสมอปลาย แต่ถ้ารถไม่ชนเลยจะดีที่สุด
ด้านพล.ต.ต.สมพงษ์ กล่าวว่า แนวโน้มจากนี้ต่อไป คนเสื้อแดงน่าจะมีการเคลื่อนไหว ตนได้ลงพื้นที่ตั้งแต่แรก ตอนแรกๆ ผู้ชุมนุมอาจมาด้วยสินจ้างบ้าง แต่พอมากันเรื่อยๆ คนก็คล้อยตาม มากันด้วยใจ เพราะอยากฟังข้อมูลอีกด้านหนึ่ง ทั้งนี้ ต่างฝ่ายต่างเสนอข้อมูลด้านเดียว แต่รัฐบาลไม่สามารถเอาใจจูงใจคนในพื้นที่ได้ สรุปแล้วคือไม่มีใครดีกว่าใคร แต่จะไปโทษใครก็คงไม่ได้ ส่วนพ.ร.ก.จะให้ประกาศใช้อยู่หรือไม่นั้น ถึงจะมีหรือไม่มี การเคลื่อนไหวมีแน่ เพียงแต่ตอนนี้ที่นิ่งอยู่ เพราะผู้ชุมนุมเจอเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนชีวิตและจิตใจอย่างรุนแรง
ส่วนกรรมการอิสระชุดต่างๆ เท่าที่ตนได้ไปสอบถามคนเสื้อแดงที่อุบลฯ คนที่นี่ไม่มั่นใจ ซึ่งถ้าเป็นตนเป็นคนตั้ง ตนจะไม่เลือกบุคคลที่เป็นเป้าหมายของคนเสื้อแดงเลย มีคนพูดกันว่าคนเก่งกว่าอธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ก็มีเยอะทำไมไม่เอามา หรือบางคนก็ประชดว่า ถ้าตั้งอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็ครบชุดเลย ส่วนกรรมการชุดนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกฯ และ น.พ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส คนที่นี่ไม่ได้พูดถึง ทั้งนี้ ตนคิดว่า ฝ่ายรัฐปากบอกว่าปรองดอง แต่อีกด้านไล่ล่า ถ้าตอนนี้ฝ่ายรัฐหยุดและทอดเวลาออกไปให้คนที่เห็นตรงข้ามมีที่ยืนบ้าง น่าจะดีขึ้น เพราะตอนนี้คนรู้สึกว่าแทบไม่มีที่ยืนบนแผ่นดินแล้ว
พล.ต.ต.ปราโมทย์ เสริมว่า ที่จ.มุกดาหาร การเลิกพ.ร.ก.หรือไม่เลิกพ.ร.ก.ไม่มีผล เพราะคนที่นี่ตัดสินใจตามแกนนำที่กทม. ส่วนการสรุปบทเรียนของฝ่ายตำรวจ ทราบว่าฝ่ายอำนวยการที่มีพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว เป็นประธาน ได้สรุปบทเรียนของฝ่ายอำนวยการแล้ว แต่ฝ่ายปฏิบัติ แบบที่พวกตนในพื้นที่ทำงานยังไม่มีการสรุป
ขณะที่ พล.ต.ต. ศักดา ชี้แจงว่า ที่จ. ขอนแก่น จากการที่ตนไปสอบถาม ผู้ชุมนุมบอกว่า "ไม่มีใครคิดล้มสถาบัน" ซึ่งตนไปสังเกตการณ์การชุมนุม พบว่าการปราศรัยก็ไม่มีการพาดพิงสถาบัน และเมื่อชุมนุมกันเสร็จเขาก็ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี แต่เมื่อรัฐบาลโจมตีว่าผู้ชุมนุมคิดล้มล้างสถาบัน เขาจึงรู้สึกว่าถูกปรักปรำ ตอนนี้ตนกลัวว่าการปิดช่องทางทุกช่อง เช่น วิทยุชุมชนจะทำให้มีการไหลลงใต้ดินซึ่งน่ากลัว
ส่วนตอนนี้จะมีพ.ร.ก.หรือไม่มีพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ตนคิดว่าไม่แตกต่าง เพราะยังไงคนก็ชุมนุม ฉะนั้นถ้าให้คนเคลื่อนไหวทาง การเมือง โดยเปิดเผยน่าจะดีกว่าเพราะจะได้รู้เขารู้เรา ส่วนเรื่องการตั้งกรรมการอิสระเพื่อปรองดองและปฏิรูปประเทศ 4-5 ชุดนั้น คนเสื้อแดงที่นี่บอกว่า ไม่เชื่อมั่น และบอกว่ามีคนอื่นตั้งเยอะแยะทำไมไม่ตั้ง ทำไมตั้งคนที่ดูแล้วเป็นพวกของตนเอง ตนคิดว่าตอนนี้ฝ่ายรัฐไม่ควรทำอะไรที่เป็นการผลักให้คนที่ไม่เห็นด้วยเป็นฝ่ายตรงข้าม แต่ควรเปิดเผยให้ทุกคนแสดงความคิดเห็นอย่างเสมอภาค
สรุปภาพรวมของการชี้แจง ผู้บังคับการตำรวจทั้ง 4 นาย ระบุว่า ไม่คาดคิดว่าสถานการณ์จะบานปลายเพราะวันที่ 18 พ.ค. วุฒิสภาไปเจรจากับแกนนำนปช.และรัฐบาลมีสัญญาณที่ดี แต่เมื่อเช้าวันที่ 19 พ.ค. ฝ่ายรัฐเข้าปฏิบัติการจึงรู้สึกผิดหวัง ส่วนการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ ทั้งกำลังและอุปกรณ์ไม่พร้อม มีกำลังน้อยกว่าผู้ชุมนุม 10 เท่า เพราะต้องแบ่งกำลังมาที่ กทม. อย่างไรก็ดี ได้เน้นการเจรจาและไม่ใช้อาวุธกับประชาชน เพราะต้องทำงานร่วมกับประชาชนในพื้นที่ต่อไปอีกนาน และยังมีปัญหาการประสานกับส่วนกลาง
ทำให้ไม่มีใครทราบว่าเช้าวันที่ 19 พ.ค. ฝ่ายรัฐจะเข้าสลายการชุมนุม จึงเตรียมความพร้อมในพื้นที่ได้ไม่เต็มที่ แต่ได้บันทึกภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวของเหตุการณ์ และตามจับกุมผู้ก่อเหตุในภายหลัง เพราะช่วงเกิดเหตุไม่สามารถไปจับกุมได้ นอกจากนี้ ฝ่ายตำรวจยังระบุตรงกันว่า ได้ไปสอบถามชาวบ้านที่มาชุมนุมที่ศาลากลางจังหวัด ได้รับคำตอบว่า ชาวบ้านต้องการมาเรียกร้องประชาธิปไตยที่แท้จริง และรู้สึกโดนดูถูก ไม่พอใจกับปัญหาการบังคับใช้กฎหมายสองมาตรฐาน และไม่พอใจที่โดนกล่าวหาว่าเป็นพวกล้มสถาบัน
หลังเสร็จสิ้นการฟังคำชี้แจงของนายตำรวจทั้งหมด ที่ประชุมมีมตินัดประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 5 ก.ค. ซึ่งจะเชิญนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ กำกับดูแลฝ่ายความมั่นคง มาร่วมชี้แจงเพื่อหาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นต่อไป
เพื่อทำความจริงให้ปรากฏ!?!
การที่เรารักษาชีวิตและต่อลมหายใจเราไว้ เพื่อยืดอายุให้ยาวนานต่อไปได้นั้น
ไม่ได้หมายความว่า เราจะปล่อยให้เชื้อร้ายฝังตัวและทำลายร่างกายเราอยู่ร่ำไป
อีกไม่นานเกินรอ.....
เชื้อร้ายเหล่านั้น จะได้เรียนรู้และรับรู้ถึงความพิเศษและอัศจรรย์ที่ฝังรากลึกอยู่ในกรรมพันธุ์ของชนชาติไท
เมื่อวันนั้นมาถึง เชื้อร้ายเหล่านั้นก็จะรู้ซึ้งกับคำว่า "มีเมตตา แต่ไร้ซึ่งความปราณี" ของจริงแท้เป็นเช่นไร
อย่าได้ร้องขอ หรือเอื้อนเอ่ยคำกล่าวใดๆ
แม้แต่คำว่า "สำนึกกับสิ่งที่กระทำไป" ก็คงไร้ซึ่งความหมาย
ถึงตอนนั้น "แค่คิด" ก็สายไปเสียแล้ว
_________________
ขอบคุณข้อมูลจากน็อนลอว์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น