วันอังคาร, มิถุนายน 08, 2553

พคท.ยุคใหม่ วิพากษ์ การชิงอำนาจของ"ทุนผูกขาดสามานย์"กับ "ทุนผูกขาดศักดินา"ประชาชนเป็นเบี้ยล่าง

หมายเหตุ"มติชนออนไลน์"- ภายหลังนโยบาย 66/23 แม้ว่าพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.)ได้ยุติการต่อสู้ด้วยอาวุธและออกจากป่าหมดแล้วก็ตาม

แต่บรรดาอดีตกรรมการกลางพรรคและสมาชิกพรรคบางส่วนยังคงติดต่อพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นถึงสถานการณ์ทางการเมืองกันอยู่เสมอ เพียงแต่ไม่มีการจัดตั้งองค์กรขึ้นมาอย่างเป็นระบบเหมือนในอดีต

อย่างไรก็ตาม ในบรรดาสมาชิกพรรคเหล่านั้น มีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน แบ่งออกเป็น 2 ขั้ว 2 ฝ่ายเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นอยู่ในสังคมไทยปัจจุบัน

จาก seh daeng news

ต่อไปนี้เป็นแถลงการณ์ที่อ้างว่า เป็นของโฆษกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยและบทวิพากษ์ของ"ธงไทย เทอดอิศรา"เกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น จนนำไปสู่ความรุนแรงซึ่งอดีตสมาชิก พคท.มองว่า เป็นการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจระหว่าง"ทุนผูกขาดสามานย์"กับ"ทุนผูกขาดศักดินา"
----------------------
สถานการณ์ที่ซับซ้อนอันตรายและหนทางในการแก้ปัญหา

สถานการณ์ในระยะ 2 เดือนผ่านมานี้ ถ้ามองเพียงปรากฏการณ์ จะเห็นว่าเป็นการต่อสู้เพื่อแย่งชิงผลประโยชน์ของนายทุนใหญ่ผูกขาดกลุ่มหนึ่งที่เสียอำนาจรัฐโดยมีพรรคเพื่อไทย ม็อบเสื้อแดง และกองกำลังติดอาวุธสงครามที่เรียกกันว่า “นักรบไร้สังกัด” เป็นตัวแทน กับกลุ่มทุนใหญ่ผูกขาดหลายกลุ่มที่เป็นพันธมิตรกันซึ่งกุมอำนาจรัฐอยู่ในขณะนี้ โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นตัวแทน

ทั้งสองฝ่ายขัดแย้งต่อสู้กัน ฝ่ายหนึ่งเพื่อชิงอำนาจรัฐและผลประโยชน์ของตนที่เสียไปกลับคืน อีกฝ่ายหนึ่งก็เพื่อรักษาอำนาจรัฐรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มพวกตน

อย่างไรก็ตามทั้งสองกลุ่มล้วนเป็นกลุ่มทุนใหญ่ผูกขาดที่กดขี่ขูดรีดประชาชน เป็นต้นตอความทุกข์ยากของประชาชน

มองดูเผินๆแล้วคล้ายกับว่า ความขัดแย้งและการต่อสู้ของพวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับประชาชน แต่ความเป็นจริงไม่ใช่เช่นนั้น การต่อสู้แย่งชิงอำนาจของพวกเขาเป็นการซ้ำเติมความทุกข์ยากเดือดร้อนของประชาชนให้มากยิ่งขึ้นทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง และส่งผลกระทบถึงผลประโยชน์โดยรวมของประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง.

หลังจากที่นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เสนอแผนปรองดอง 5 ข้อ เมื่อวันที่ 3 พค. 2553 สถานการณ์ทางการเมืองที่ตึงเครียดได้ผ่อนคลายลงระดับหนึ่ง การนองเลือดหรือสงครามกลางเมืองที่หวาดวิตกกันตลอดการชุมนุมของม็อบเสื้อแดงดูคล้ายจะผ่านพ้นไป

แต่ความเป็นจริงแล้วยังมีปัญหาสำคัญอีกหลายปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข ซึ่งอาจจะระเบิดขึ้นได้ทุกขณะ เช่นแกนนำม็อบเสื้อแดงยังไม่บรรลุจุดมุ่งหมายสำคัญของการชุมนุมครั้งนี้ที่จะให้ “นายใหญ่” ที่พวกเขารับใช้กลับมามีอำนาจในเร็ววัน ; แกนนำสำคัญเกือบทั้งหมดถูกข้อหาคดีอาญาร้ายแรงและอาจถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง;

ภายในแกนนำนปช.ยังมีความขัดแย้ง, ระหว่างแกนนำม็อบเสื้อแดงกับแกนนำกองกำลังอาวุธ “นักรบไร้สังกัด” และแกนนำพรรคเพื่อไทย ยังมีความขัดแย้ง ซึ่งแต่ละส่วนก็ขึ้นตรงต่อนายใหญ่ที่อยู่ต่างประเทศ

อีกด้านหนึ่ง นักการเมือง นักวิชาการ นิสิตนักศึกษาและมวลชนจำนวนมากไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอแผนปรองดอง 5 ข้อ ของนายอภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะเรื่องระยะเวลาในการประชุมสภาและกำหนดเวลาในการเลือกตั้งซึ่งเร็วเกินไป และที่สำคัญก็คือมวลชนที่เข้าร่วมในม็อบเสื้อแดงครั้งนี้มีไม่น้อยเข้าร่วมด้วยความบริสุทธิ์ใจ

มวลชนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นชาวนาชาวไร่จากชนบทโดยเฉพาะจังหวัดทางภาคอิสานและภาคเหนือ พวกเขามีความทุกข์ยากเดือดร้อนทางเศรษฐกิจอย่างสาหัส ไม่มีที่ดินทำกิน ผู้ที่ทำงานรับจ้างก็ถูกกดค่าแรงและต้องเผชิญกับการว่างงาน ที่พอมีที่ดินทำกินบ้างผลผลิตก็ถูกกดราคา หนี้สินเพิ่มทวีมากขึ้น ด้านการเมืองก็ไม่ได้รับความเสมอภาค ไม่ได้รับความเป็นธรรมในด้านต่างๆ ถูกเอารัดเอาเปรียบตลอดเวลา ซึ่งปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่เป็นปัญหาของประชาชนที่มาชุมนุมเท่านั้น

แต่เป็นปัญหาของประชาชนส่วนใหญ่ที่สุดทั่วประเทศและเป็นมายาวนานแล้วและยังไม่ได้รับการเหลียวแลแก้ไขอย่างจริงจัง แม้บนเวทีชุมนุมของม็อบเสื้อแดงปัญหาของพวกเขาก็ไม่ได้รับการกล่าวถึงมากนัก.

ณ. สถานการณ์ที่ความขัดแย้งด้านต่างๆทวีความแหลมคมและสลับซับซ้อนมากขึ้น อันอาจนำไปสู่ความรุนแรงได้ทุกขณะ หรืออาจมีการประนีประนอมกันในระดับใดระดับหนึ่งก็เป็นไปได้

หลังจากที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีได้เสนอแผนปรองดอง 5 ข้อ กำหนดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ย. 2553 และระยะเวลายุบสภาระหว่างวันที่ 15-30 ก.ย. 2553

ฝ่ายแกนนำเสื้อแดงซึ่งอยู่ในภาวะที่เพลี่ยงพล้ำเพราะเสียงคัดค้านของสังคมที่ดังกระหึ่มมากขึ้นทุกวัน สืบเนื่องจากการกระทำที่เหิมเกริมและไร้เหตุผลของแกนนำที่นำผู้ชุมนุมบางส่วนทำการคุกคามต่อชีวิตที่สงบสุขและความสะดวกปลอดภัยในการเดินทางไปมาของประชาชนผู้บริสุทธิ์หลายครั้งหลายหน

และที่เลวร้ายที่สุดคือการปิดล้อมและการบุกเข้าตรวจค้นในโรงพยาบาลจุฬาฯ ก็มีท่าทีอ่อนลงและยอมรับกำหนดวันเวลาการเลือกตั้งและยุบสภาของรัฐบาลในที่สุด แต่ก็ยังมีข้อต่อรองที่ทั้งสองฝ่ายต้องตกลงกันอีกต่อไป

อย่างไรก็ตามไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร เราเห็นด้วยกับผู้รักชาติรักประชาธิปไตยจำนวนมากที่รวมพลังเรียกร้องให้ต้องนำความสงบสันติมาสู่ประเทศชาติอย่างมีหลักการโดยยึดถือผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นที่ตั้ง

จาก seh daeng news

ในขณะเดียวกันก็ขอประณามกลุ่มผู้ใช้ความรุนแรงข่มขู่คุกคามความสงบสุขของสังคม กระทั่งทำร้ายชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และสนับสนุนความเห็นของบุคคลและองค์กรภาคประชาชนต่างๆที่ว่ารากฐานของปัญหาคือความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม ซึ่งดำรงอยู่มาเป็นเวลายาวนาน และในเฉพาะหน้านี้ต้องเร่งปฏิรูปโครงสร้างทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ เร่งแก้ปัญหาที่สำคัญก็คือ ปัญหาที่ดินทำกิน การมีงานทำ ราคาพืชผล ค่าจ้างแรงงาน ปัญหาหนี้สิน ปัญหาระบบภาษี และการที่ให้ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วมทางการเมืองการปกครองอย่างแท้จริง ไม่ถูกข่มเหงรังแกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจแสะการเมืองที่เหนือกว่า ปัญหาต่างๆเหล่านี้จะต้องได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรมเป็นจริงและยั่งยืน

ต้นตอของความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมที่ประชาชนไทยเราเผชิญอยู่ทุกวันนี้ คือระบบการผูกขาดทางเศรษฐกิจและการผูกขาดทางการเมืองโดยกลุ่มนายทุนใหญ่ผูกขาดไม่กี่กลุ่ม รวมทั้งทุนผูกขาดต่างชาติ ทำให้เกิดปัญหาการกระจายรายได้ไม่เป็นธรรม ประชาชนถูกปิดกั้นการมีส่วนร่วมทางการเมือง

ปัจจุบัน สังคมไทยมีความแตกต่างประมาณ 15 เท่าของรายได้ระหว่างกลุ่มคนจนสุดกับกลุ่มคนรวยสุด คือกลุ่มคนจนสุดประมาณ 20 %ของประชากร มีส่วนแบ่งปันรายได้เพียง 3.8 % ขณะที่กลุ่มคนรวยสุดประมาณ 20 % ของประชากรมีส่วนแบ่งรายได้มากถึง 58.5 % ( ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) สังคมมีความเหลื่อมล้ำกันอย่างมากเช่นนี้ ก็ดังคำกล่าวที่ว่า “รวยกระจุก จนกระจาย”

ด้วยเหตุนี้ การที่จะหวังให้รัฐบาลเป็นผู้ทำการปฏิรูปโครงสร้างของสังคมอย่างได้ผลเป็นเรื่องที่ยากจะเป็นไปได้ เพราะตราบใดที่ประชาชนยังไม่ได้มีพลังอำนาจที่เข้มแข็ง ผู้ที่เข้ามากุมอำนาจรัฐก็ยังคงผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนอยู่กับกลุ่มทุนใหญ่ไม่กี่กลุ่ม

ดังนั้น การแก้ปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ำทางสังคม ที่สำคัญที่สุดคือต้องอาศัยพลังของประชาชนทุกวงการ ทุกชนชั้นและชั้นชน รวมทั้งนักการเมือง นักวิชาการที่รักชาติรักประชาธิปไตย จัดตั้งกันขึ้นมา เข้าร่วมและผลักดันการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรมต่างๆอย่างจริงจังและต่อเนื่อง และจะต้องขจัดความคิดที่หวังพึ่งให้นายทุนใหญ่ผูกขาดคนใดคนหนึ่งมาประสิทธิ์ประสาทชีวิตที่ดีกว่าให้แก่เรา มีแต่ต้องอาศัยสติปัญญาและพลังสามัคคีของประชาชนเราเท่านั้น ปัญหาต่างๆจึงจะได้รับการแก้ไขอย่างเป็นจริง.

โฆษกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย

10 พฤษภาคม 2553
------------------------
ความคิดเห็นบางประการ ต่อเอกสาร คำแถลงโฆษกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ( 10 พฤษภาคม 2553 ) เรื่อง สถานการณ์ที่ซับซ้อนอันตรายและหนทางในการแก้ปัญหา

การเปลี่ยนแปลงที่ต้องจับตา

นับแต่มีข่าวคราวความเคลื่อนไหว การเปลี่ยนแปลงภายใน พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.) ในช่วงต้นปี 2553 ที่ผ่านมา อันมีเหตุขัดแย้งทางความคิดที่สะสมยาวนานในส่วนขององค์กรนำ และองคาพยพของพรรคที่แวดล้อมการนำ มาตั้งแต่ภายหลังการประชุม สมัชชา 4 ของพรรคเมื่อ กว่า 28 ปีที่ผ่านมา

จนกระทั่งอดีตเลขาธิการพรรค(ธง แจ่มศรี)ได้เปิดผยตัวตน ความคิด จุดยืน ทัศนะทางการเมืองของพรรค ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง ในวาระครบรอบ 66 ปีของพรรค ซึ่งสะท้อนความคิด จุดยืน ทัศนะในนามพรรค ไปสอดคล้อง สนับสนุน แนวทางการเมืองของกลุ่มผลประโยชน์ทุนผูกขาดสามานย์ทักษิณ ชินวัตร อย่างเปิดเผย ล่อนจ้อน ถึงขั้นเสนอแนวทางการเมืองในนามพรรค ให้สามัคคีทุนก้าวหน้า(หมายถึงกลุ่มผลประโยชน์ทุนผูกขาดสามานย์ ทักษิณ ชินวัตร) ต่อสู้กับทุนผูกขาดศักดินาอย่างตรงไปตรงมา

จากรอยปริแยกทางความคิดดังกล่าว อันเป็นผลมาจาก กรอบวิธีคิด การประยุกต์ใช้ทฤษฎีลัทธิมาร์กซ์-เลนิน ความคิดเหมา เจ๋อ ตง ในการวิเคราะห์สภาพสังคมไทย เพื่อกำหนดมิตรและศัตรู เป็นไปอย่างไม่สอดคล้องกับสภาพที่เป็นจริง ทั้งยังนำไปสู่ข้อเสนอแนวทางการเมืองของพรรคที่คลาดเคลื่อน นำไปสู่ความขัดแย้งอย่างหนักหน่วงในองค์กรนำและองคาพยพที่แวดล้อมการนำของพรรค

ด้วยปฏิบัติการที่เป็นจริงของทั้งสองฝ่ายที่มีความคิดเห็น และแนวทางการเมืองที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงและทั้งสองฝ่ายที่มีความคิดและแนวทางการเมืองที่ต่างกันก็ล้วนโจนเข้าสู่ห้วงเหวของความขัดแย้งและต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายของกลุ่มทุนผูกขาดทั้งสองฝ่าย

การเข้าร่วมส่วนในสงครามการเมืองของกลุ่มทุนผูกขาดสองกลุ่ม ในช่วงระยะ 4-5 ปีที่ผ่านมา ได้บ่มความคิด และแนวทางการเมืองที่ต่างกัน ของแกนนำและผู้สนับสนุนทั้งสองฝ่ายภายในพรรค จนพัฒนาไปสู่สภาพความขัดแย้งที่แหลมคมยิ่งขึ้น จนยกระดับสู่สภาพความขัดแย้งทางการจัดตั้ง ซึ่งมีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการจัดตั้งในส่วนองค์กรนำของพรรค

อันมีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตัวบุคคลในองค์กรนำอย่างมีนัยสำคัญ คือ การเปลี่ยนแปลงเลขาธิการพรรคจาก ธง แจ่มศรี เป็น วิชัย ชูธรรม ดังเป็นข่าวคราวที่ปรากฏ อันสะท้อนถึงความแตกแยกครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย

เหล่านี้ ด้านหนึ่งให้บทเรียนในความผิดพลาด ล้มเหลวของขบวนการปฏิวัติในระยะที่ผ่านมา แต่ในอีกด้านหนึ่ง ให้ความหวังถึงการเปลี่ยนแปลงในระดับ การนำใหม่ ของขบวนการปฏิวัติไทย ในความขัดแย้งตามหลักวิภาษวิธี ที่ต้องจ่ายต้นทุนการแตกแทงยอดใหม่ ในราคาที่ประเมินมิได้สำหรับความขัดแย้งทางความคิดจนถึงขึ้นแตกตัวอย่างถดถอยของขบวนการปฏิวัติไทย นับแต่การประชุมสมัชชา 4 เป็นต้นมา

จาก seh daeng news

ข้อสังเกตุจากปรากฏการณ์การเผยแพร่เอกสาร คำแถลงโฆษกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ( 10 พฤษภาคม 2553 ) เรื่อง สถานการณ์ที่ซับซ้อนอันตรายและหนทางในการแก้ปัญหา กลุ่มอิสระไท มีข้อสังเกตุที่เป็นข้อคิดเห็น ดังนี้

1..สาระสำคัญที่สุดของคำแถลงดังกล่าว คือ การแสดงจุดยืน ท่าทีทางการเมือง ของ พคท.ต่อสถานการณ์ที่มีความสลับซับซ้อน และ อันตรายยิ่ง นั้น มีความแม่นยำและสอดคล้องกับสภาพตามความเป็นจริงมากที่สุด คือ ข้อเสนอ

“...การแก้ปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ำทางสังคม ที่สำคัญที่สุดคือต้องอาศัยพลังของประชาชนทุกวงการ ทุกชนชั้นและชั้นชน รวมทั้งนักการเมือง นักวิชาการที่รักชาติรักประชาธิปไตย จัดตั้งกันขึ้นมา เข้าร่วมและผลักดันการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรมต่างๆอย่างจริงจังและต่อเนื่อง และจะต้องขจัดความคิดที่หวังพึ่งให้นายทุนใหญ่ผูกขาดคนใดคนหนึ่งมาประสิทธิ์ประสาทชีวิตที่ดีกว่าให้แก่เรา มีแต่ต้องอาศัยสติปัญญาและพลังสามัคคีของประชาชนเราเท่านั้น ปัญหาต่างๆจึงจะได้รับการแก้ไขอย่างเป็นจริง.” โดยส่วนที่มีสาระสำคัญที่สุดนี้ สามารถวิเคราะห์แยกแยะเป็นประเด็นต่างๆ ได้ คือ ;

ประการแรก การกำหนดประเด็นปัญหาหลัก ที่ระบุถึง คือ ปัญหาความยากจน และ ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม ซึ่งมีข้อพิจารณา คือ การระบุปัญหาทั้งสองประการนี้ มีความเกี่ยวโยง สัมพันธ์ถึง เหตุ และ ปัจจัยที่มีนัยสำคัญ ที่ควรกล่าวถึงส่วนที่สำคัญที่สุด เพื่อไม่ให้การสื่อสารเนื้อหาผิดเพี้ยนไปจากสาระสำคัญ เช่น ควรระบุลงไปว่า “ การแก้ปัญหาความยากจน ที่มีเหตุสำคัญจากการขูดรีดทางชนชั้น และ ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม อันเป็นผลมาจากโครงสร้างของรัฐที่ไม่เป็นธรรม...” ซึ่งจะทำให้การนำเสนอสาระสำคัญนี้ ไม่ถูกตีความพลาดไปจากหลักการสำคัญที่ต้องการสื่อสาร

ประการที่สอง การกำหนดแนวทางการเมือง ที่ระบุว่า “....ต้องอาศัยพลังประชาชนทุกวงการ ทุกชนชั้นและชั้นชน...จัดตั้งกันขึ้นมา เข้าร่วมและผลักดันการเปลี่ยนแปลง...” นั้น แม้ว่าเป็นแถลงการณ์ที่ดูมุ่งหวังสื่อสารถึงสังคมใหญ่ และต้องการความเห็นร่วมด้วยของคนส่วนใหญ่ ในลักษณะแนวร่วม ก็ตาม แต่ข้อพิจารณา คือ นี่เป็นแถลงการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ที่มีความชัดเจนในแนวทางการเมืองที่เป็นการจัดตั้งของชนชั้นกรรมาชีพ ที่พร้อมสามัคคีกับมวลชนส่วนอื่นๆ ที่เห็นปัญหาร่วมกัน ในกรณีนี้จึงควรระบุจำแนกสถานะของผู้เข้าร่วมจัดตั้งการต่อสู้นี้เพื่อบ่งชี้บทบาท ความสำคัญที่แตกต่างกัน เช่น “...ต้องอาศัยพลังของประชาชนทุกวงการ ทุกชนชั้นและชั้นชน โดยเฉพาะพลังสำคัญที่นำการเปลี่ยนแปลง คือชนชั้นกรรมาชีพ กรรมกร-ขาวนา รวมทั้งนักการเมือง นักวิชาการที่รักชาติรักประชาธิปไตย นักธุรกิจภาคเอกชน จัดตั้งกันขึ้นมา เข้าร่วมและผลักดันการเปลี่ยนแปลง...” เพื่อแสดงตัวตนที่ชัดเจน ของ พคท.

ประการที่สาม การกำหนดจุดยืนและท่าทีทางการเมือง ที่กล่าวถึง ความคิด และท่าทีทางการเมืองของ พคท. ที่สะท้อนมุมอง ความคิดในการวิเคราะห์สถานการณ์เบื้องต้นว่าเป็นการต่อสู้ของกลุ่มทุนใหญ่ผูกขาดสองกลุ่มที่แย่งชิงอำนาจรัฐและผลประโยชน์เฉพาะเพื่อกลุ่มตน ที่ล้วนส่งผลต่อประชาชนโดยตรง และเอกสารของ พคท.ระบุว่า “......ทั้งสองกลุ่มล้วนเป็นกลุ่มทุนใหญ่ผูกขาดที่กดขี่ขูดรีดประชาชน เป็นต้นตอความทุกข์ยากของประชาชน ...” ซึ่งเป็นจุดยืนที่ชัดเจนที่สุดของ พคท. ในรอบสี่ห้าปีที่ผ่านมา หลังจากผ่านช่วงระยะ วิวาทะ วาทกรรม รับใช้ทุนก้าวหน้า( แต่ สามานย์ ? ) เพื่อสู้กับศักดินาล้าหลัง...หรือ สามัคคีทุนชาติ ขจัด ทุนสามานย์โกงชาติ....มาสู่ข้อเสนอที่ตกตะกอนแล้ว คือ “....จะต้องขจัดความคิดที่หวังพึ่งให้นายทุนใหญ่ผูกขาดคนใดคนหนึ่งมาประสิทธิ์ประสาทชีวิตที่ดีกว่าให้แก่....” ซึ่งเป็นจุดยืนทางการเมืองที่ชัดเจน ภายหลังผ่านยุควิวาทะ การโจมตี ให้ร้ายในทางการเมืองระหว่างกัน ทั้ง รับใช้อำมาตย์ หรือ ลูกหาบทุนสามานย์ ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้เกิดความแยกแยกในขบวนฯ ในระยะถัดมา

2.นอกจากสาระสำคัญที่นำเสนอข้อพิจารณาข้างต้นแล้วนั้น ข้อคิดเห็นที่สำคัญต่อแถลงการณ์อีกประการหนึ่ง ก็คือการพิจารณา สถานะทางการเมือง ของ พคท.ที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ในความไว ในการตอบสนองต่อสถานการณ์ทางการเมืองที่ผันแปรอยู่ตลอดเวลา ซึ่งไม่เห็นได้ใน พคท. ในระยะที่ผ่านมาที่มักกบดาน ไม่แสดงท่าที ความคิด ทัศนะทางการเมืองต่อสาธารณะ แม้ในบางช่วงระยะที่ผ่านมา

ช่วงที่มีความสับสนทางการเมือง และแกนนำการเคลื่อนไหวภาคประชาชน รวมทั้งแนวร่วม ต่างๆล้วนสนใจใน ความคิด ทัศนะ ท่าทีทางการเมืองของ พคท. ในฐานะพรรคการเมืองที่มีความคิดการเมืองก้าวหน้าที่สุด แต่ พคท.ก็มักเน้นการสื่อสารภายในองค์กรตนเอง เท่านั้น

3.การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดอีกประการหนึ่ง คือ ความพยายามในการสื่อสาร กับ สังคม สาธารณะ ซึ่งสะท้อนท่าทีทางการเมืองที่เปิดกว้างขึ้น ยืดหยุ่น และกระฉับกระเฉง ขึ้น และท่วงทำนองการนำเสนอก็ใช้ภาษาที่เรียบง่าย ตรงไปตรงมายิ่งขึ้น ไม่พพยายามกล่าวถึง หรืออ้างอิงตัวแบบทฤษฎี เหมือนช่วงที่ผ่านมา ไม่มีการกล่าวถึงลัทธิมาร์กซ์-เลนิน ความคิดเหมา เจ๋อ ตง แม้แต่คำเดียว ซึ่งทำให้การสื่อสารยังกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขวางขึ้น

ปรากฏการณ์ที่สะท้อนผ่านแถลงการณ์ โฆษก พคท. ฉบับนี้ คือการเปลี่ยนแปลงที่น่าจับตามอง อันเป็นผลมาจากข่าวคราวความเปลี่ยนแปลงทางการจัดตั้งภายในพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยยุคใหม่ ที่เป็นทั้งความหวังของผู้คนส่วนหนึ่งที่เคยร่วมต่อสู้กับ พคท. แล้วมีเหตุให้ต้องแยกตัวออกไป หรือ เป็นการส่งสัญญาณสื่อถึงความสิ้นหวังของคนที่มีความเห็นต่างในขบวนปฏิวัติไทย ครั้งล่าสุด

อย่างไรก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงเท่านั้น นิรันดร กลุ่มอิสระไท จะทำหน้าที่เฝ้าระวังทางความคิด การเมือง และในทางการจัดตั้ง เพื่อเสริมสร้างคุณภาพใหม่ให้กับขบวนการเปลี่ยนแปลงสังคมไทย อย่างเข้มแข็ง จริงจัง อย่างต่อเนื่อง ต่อไป.

ธงไท เทอดอิศรา
กลุ่มอิสระไท
25 พฤษภาคม 2553

วันที่ 08 มิถุนายน พ.ศ. 2553 เวลา 21:40:38 น. มติชนออนไลน์


ยุทธศาสตร์สำคัญ
แนวรบ 8 ข้อ ของเสื้อแดงหลังราชประสงค์

การฆ่าประชาชนมือเปล่าอย่างเลือดเย็นโดยอำมาตย์ และการล่าจับแกนนำเสื้อแดง เป็นสิ่งที่ท้าทายเราอย่างถึงที่สุด ห้าครั้งแล้วในรอบสี่สิบปีที่อำมาตย์ฆ่าประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตย เราไม่สามารถยอมจำนนอีกต่อไปได้ ถ้าไม่สู้ก็เป็นทาส ถ้าไม่สู้เราไม่มีวันสร้างรัฐไทยใหม่ที่ประชาชนเป็นใหญ่ เราไม่สามารถสร้างความเป็นธรรมทางสังคม เราไม่สามารถสร้างความเป็นพลเมืองแทนการเป็นไพร่ และสังคมไทยจะจมอยู่ในยุคมืดและความด้อยพัฒนาต่อไป

เราต้องสู้... แต่เราต้องสู้ด้วยปัญญา ไม่ใช่หลงใหลในนิยายของการจับอาวุธ การจับอาวุธจะเป็นแค่ยุงกัดสำหรับอำมาตย์ สิ่งที่อำมาตย์กลัวคือมวลชน เราควรหลงใหลคิดว่าจะมีพระเอกที่ไหนมาปลดแอกเราหรือทำแทนเราอีกด้วย เราต้องพัฒนาการต่อสู้ของมวลชน และพัฒนาระดับการเมืองของฝ่ายเรา

1. รื้อฟื้นองค์กร และเครือข่ายเสื้อแดง จากระกับรากหญ้า ระดับชุมชน พวกเราเริ่มอยู่แล้ว แต่เราต้องทำอย่างเป็นระบบทั่วประเทศ ทุกโอกาส ไม่ว่าจะเป็นงานศพ การทำบุญ การร่วมกันกินข้าว การดื่มกาแฟ การแข่งกีฬา ฯลฯ ต้องกลายเป็นกิจกรรมทางการเมืองของฝ่ายเรา ต้องเป็นโอกาสที่จะคุยกัน และที่จะเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างจังหวัด ต่างๆ อย่าไปคิดว่าแกนนำระดับชาติจะทำให้ เขาทำไม่ได้เพราะแกนนำสำคัญติดคุกอยู่ ในกรณีที่ไม่ติดคุกก็ทำไม่ได้เพราะ ทำไม่เป็น พวกเราในระดับรากหญ้าทำได้ และเราเริ่มทำกันแล้ว ถ้าไพร่จะกบฏจริง ไพร่ต้องเลิกประเมินตัวเองต่ำเกินไป เราต้องก้าวเข้ามาเป็นแกนนำรุ่นใหม่ที่ผูกพันอย่างใกล้ชิดกับเสื้อ แดงรากหญ้า แกนนำใหม่นี้ต้องเน้นการปรึกษาหารือกับมวลชนตลอด ไม่มีพระเอก ไม่มีผู้ใหญ่ มีแต่ไพร่นักสู้มืออาชีพที่จะปลดแอกตนเอง รายละเอียดของการปฏิบัติการต้องประเมินเองตามความเหมาะสมและความ สามารถ เงินทุนในการเคลื่อนไหวต้องร่วมกันลงขัน เงินทุกบาทที่เราลงขัน เป็นการแก้แค้นเอาคืนจากสิ่งชั่วร้ายที่อำมาตย์ กระทำกับเรา เป็นการทำบุญให้วีรชนที่เสียชีวิต การทำงานของเราจะปิด ลับแค่ไหนขึ้นอยู่กับสถานการณ์ แต่อย่าลืมว่าการปิดลับเป็นอุปสรรค์ ต่อการสร้างประชาธิปไตยภายในของขบวนการ

2. ถ้าเราจะสู้เรา ต้องมีระบบข้อมูลข่าวสารที่น่าเชื่อถือ ไม่ต้องพึ่งสื่อรัฐ A..TV หรือข่าวลือ เราทำตรงนี้ได้ผ่านเอกสาร ซีดี วิทยุชุมชน อินเตอร์เน็ท การคุยกันทางโทรศัพท์ และการพบกันเป็นประจำ

3. เราต้องรวบรวมราย ชื่อผู้ติดคุก เพื่อรณรงค์ช่วยเหลือนักต่อสู้และผู้นำของเรา ขบวนการไหนไม่สามารถปกป้องคนของตนเองหรือไม่สามารถ รณรงค์ให้ปล่อยนักโทษการเมือง จะไม่มีวันชนะ เราต้องทำเอง ไม่มีใครจะมาทำให้เรา ไพร่ต้องพึ่งตนเอง แต่ไพร่คือคนส่วนใหญ่ของสังคม

4. เราต้องเรี่ยราย เงินเพื่อช่วยเหลือคนบาดเจ็บและครอบครัวของผู้เสียชีวิต หลายแห่งเริ่มทำแล้วกิจกรรมแบบนี้ และกิจกรรมการรณรงค์สนับสนุนคนติดคุก จะเป็นการ “ออกกำลังกายฝึกฝน” ที่สำคัญและมีประโยชน์สำหรับการพัฒนาเครือข่ายเสื้อแดงทั่วประเทศ

5. เมื่อเราพร้อม เราควรจะเปลี่ยนจากการสู้เพื่อปกป้องช่วยเหลือพวกเรา ไปเป็นการรุกสู้กับอำมาตย์ คราวนี้ต้องหาทาง “ปิดเมือง” เช่นนัดอยู่บ้านไม่ไปทำงาน ปิดร้านค้า ปิดธุรกิจ และนัดหยุดงานในโรงงานและสถานที่ทำงานต่างๆ อย่างที่เขาทำกันในประเทศอื่นๆ ของเอเชียหรือที่อัฟริกาใต้และลาตินอเม ริกา มันแปลว่าเราต้องมีการพูดคุย วางแผน และขยายเครือข่ายเข้าสู่ขบวน การสหภาพแรงงาน และชุมชนต่างๆ พื้นที่เหล่านี้ต้องเป็นของเราให้ได้ เราจะต้องหาทางไม่ร่วมมือกับรัฐอำมาตย์ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แล้วค่อยๆ ขยายเป็นเรื่องใหญ่อีกด้วย

6. พัฒนาความคิดทาง การเมืองแบบ “ตาสว่าง” การที่เราจะ “ตาสว่าง” ไม่ได้แปลว่าเราจะมองว่าใครคนใดคนหนึ่ง เช่นนาย..ล นางส... หรือนาย..ม เป็นผู้บงการทุกอย่าง พวกนั้นมันเลวจริง แต่เราต้องเข้าใจว่าทหาร ข้าราชการ นักการเมือง และนายทุนใหญ่ของอำมาตย์ ร่วมกันใช้ “ลัทธิก..” (ช... ศ... ก...) ในการสร้างความชอบธรรมกับการ กดขี่ขูดรีดที่พวกมันทั้งแก๊งทำกับเรา อำมาตย์มันเป็นคณะ มันใช้ลัทธิก...ปิดหูปิดตาเราและในการสร้างความกลัวตั้งแต่ เราเข้าโรงเรียน เราจึงต้องสลัดมันทิ้งไป เลิกจง.. เริ่มหันมาเคารพประชาชนแทน เราต้องเกลียดกองทัพฆาตกรพอๆกับที่เรา เกลียดอำมาตย์อื่นๆ เราต้องศึกษาประวัติศาสตร์ตั้งแต่ ๒๔๗๕ ผ่านเหตุการณ์เดือนตุลา ไปสู่ปัจจุบัน และต้องศึกษาประวัติศาสตร์ประเทศ อื่นๆ อีกด้วย

7. พัฒนาข้อเรียก ร้องทางการเมือง ไม่ใช่แค่เรื่องยุบสภา ไม่ใช่แค่ประชาธิปไตย แต่ต้องให้ประชาชนเป็นใหญ่จริงๆแล้วมีศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์ มีงานทำ มีฐานะเศรษฐกิจดี มีรัฐสวัสดิการ มีการเก็บภาษีสูงๆจากอภิสิทธิ์ชนของอำมาตย์ มีการปฏิรูประบบศาลอย่างถอน รากถอนโคน มีการล้มกองทัพและสร้างกองกำลังใหม่เพื่อความปกป้องปลอดภัยของ ประชาชนแทนการฆ่าประชาชน ต้องมีการสร้างแนวร่วมกับพี่น้องชาวมุสลิมมา เลย์ในภาคใต้ที่ถูกอำมาตย์และกองทัพเข่นฆ่ากดขี่มานานเหมือนเรา ต้องยกเลิกกฎหมายหมิ่นกษัตริย์ และต้องมีเวทีปฏิรูปเพื่อให้ประชาชน ร่วมกันพิจารณาว่าจะทำยังไงกับสถาบันกษัตริย์และรัฐไทย จะยกเลิกไป หรือปฏิรูป ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เราต้องคุยกันให้ชัดเจน

8. จะทำอย่างไรกับ พรรคเพื่อไทย? ตลอดเวลาที่เสื้อแดงต่อสู้บนท้องถนน ส.ส.พรรคเพื่อไทยจำนวนมาก ไม่ทำอะไรเลย พอเราถูกปราบเขาก็ไม่ทำอะไร ที่พูดอย่างนี้ผมไม่นับคนที่เป็นแกนนำบนเวทีราชประสงค์อย่างจตุพร ซึ่งทำหน้าที่อย่างดีที่สุด แต่เราคงต้องยอมรับว่าพรรคเพื่อไทยมี ปัญหามากมาย เราสามารแก้ปัญหานี้ด้วยสองวิธีคือ

· ใช้ขบวนการคนเสื้อแดงกดดันพรรค เพื่อให้พรรคเปลี่ยนแปลง ปฏิวัติพรรคจากภายในให้เริ่มเสนอนโยบายใหม่ๆ และมีส่วนในการนำการต่อสู้ โดยการเปลี่ยน ส.ส. แกนนำ และความคิดในพรรค

· หรือ เราอาจตัดสินใจสร้างพรรคเสื้อแดง ขึ้นมาเป็นพรรคใหม่แทนพรรคเพื่อไทย เพื่อให้เป็นพรรคตัวแทนของเราจริงๆ เป็นพรรคตัวแทนของคนที่พร้อม จะสู้ พร้อมจะเห็นรัฐไทยใหม่

การ เลือกแนวทางใดแนวทางหนึ่ง ต้องอาศัยการพูดคุยแลกเปลี่ยนภายในวงกว้าง ของคนเสื้อแดงเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เราต้องรักษาขบวนการเสื้อแดงที่เข้ม แข็งและอิสระ เป็นขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมนอกรัฐสภา เพื่อให้เป็นเจ้านายของพรรคเพื่อไทย ไม่ให้พรรคใช้เสื้อแดงเป็นฐาน เสียงโดยไม่ให้อะไรกับเรา

ข้อเสนอจากอาจารย์จ
8 มิ.ย. 2553

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น