วันพฤหัสบดี, กรกฎาคม 21, 2554

ตีความ′คำสั่งศาลโลก "4 มาตรการชั่วคราว" ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเขตแดนไทย-กัมพูชาแต่อย่างใด


มติชนออนไลน์ - ตีความ′คำสั่งศาลโลก "4 มาตรการชั่วคราว" ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเขตแดนไทย-กัมพูชาแต่อย่างใด

ที่มา - ส่วนหนึ่งของบทวิเคราะห์ความคืบหน้าคดีปราสาทพระวิหารของนายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ อดีตนักกฎหมายในคดีศาลยุติธรรมระหว่างประเทศและนิติศาสตรมหาบัณฑิต (รางวัลทุนฟุลไบรท์และวิทยานิพนธ์เกียรตินิยม) มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์เฟซบุ๊ก ซึ่งมีเนื้อหาตอบข้อซักถามในประเด็นข้อสงสัยต่างๆ ไว้น่าสนใจ
...............................................

คําสั่งของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม คือ "คำสั่งมาตรการชั่วคราว" เท่านั้น และไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น เพราะไม่ได้มี "คำพิพากษา" และศาลโลกยังไม่ได้ "พิพากษา" หรือ "วินิจฉัย" คดีหรือข้อพิพาทระหว่างไทยและกัมพูชาแต่อย่างใด ทั้งนี้ "คำสั่งมาตรการชั่วคราว" (provisional measures order) เป็นเรื่องความจำเป็นเร่งด่วนเฉพาะหน้าและมีผลในเวลาจำกัด ศาลมีอำนาจยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงคำสั่งได้ตลอดเวลา ต่างกับ "คำพิพากษา" (judgment) ซึ่งมีผลผูกพันและ สิ้นสุดในการวินิจฉัยข้อกฎหมาย (adjudge) ซึ่งศาลไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ยกเว้นภายใต้เงื่อนไขที่จำกัดเท่านั้น


คำสั่งวันที่ 18 กรกฎาคม เป็นเพียงกระบวนพิจารณาส่วนหนึ่ง (incidental proceedings) ของคดีหลักซึ่งกัมพูชาขอให้ศาลตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ.2505 ซึ่งยังต้องรอศาลพิจารณาต่อไปและอาจใช้เวลาถึงปีหน้า ทั้งนี้ คำขอตีความของกัมพูชามีนัยทางเขตแดน เช่น ประเด็นบริเวณปราสาทพระวิหารที่เป็นของกัมพูชากว้างขวางเพียงใด เป็นต้น


การที่ศาลมีคำสั่งชั่วคราวเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคมที่ผ่านมา ไม่ได้หมายความว่าปีหน้าศาลจะต้องรับตีความคำพิพากษา กล่าวคือ ศาลยังคงมีอำนาจปฏิเสธคำขอของกัมพูชาในคดีหลัก (คือไม่รับตีความคดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ.2505) นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างคดีศาลโลกในอดีตที่แม้ในตอนแรกศาลมีคำสั่งมาตรการชั่วคราว แต่ในท้ายที่สุดศาลก็ปฏิเสธไม่รับตีความในคดีหลัก

ดังนั้น ศาลโลกจะรับตีความคำพิพากษาหรือไม่ และจะกระทบเขตแดนอย่างไร ต้องรอดูไปถึงช่วงปีหน้า
ทั้งนี้ ศาลระบุคำสั่งในบทปฏิบัติการมีทั้งสิ้น 7 ข้อ โดยเป็นคำสั่งมาตรการชั่วคราว 4 ข้อ และ คำสั่งทั่วไป 3 ข้อ
ซึ่งคำสั่งมาตรการชั่วคราว 4 ข้อ คือ


ข้อ (1) สั่งให้ไทยและกัมพูชา ถอนกำลังทหารออกจาก "เขตปลอดทหารชั่วคราว" ทันที ตามขอบเขตของพื้นที่ที่ศาลโลกได้กำหนด รวมทั้งห้ามวางกำลังทหารในเขตหรือดำเนินกิจกรรมทางอาวุธใดๆ ที่มุ่งไปยังเขตดังกล่าว
ศาลได้ระบุพิกัดเส้นรุ้งเส้นแวงเพื่อให้ "เขตปลอดทหารชั่วคราว" มีขอบเขตชัดเจน และศาลได้วาด "ร่างแผนที่" (sketch-map) ดังกล่าว เพื่อให้ไทยและกัมพูชาพอเห็นเป็นตัวอย่างเท่านั้น


ดังนั้นไทยและกัมพูชาจึงมีหน้าที่ต้องนำพิกัดเส้นรุ้งเส้นแวง ซึ่งศาลระบุไว้ในคำสั่งไปร่วมหารือเพื่อทำแผนที่หรือเส้นปฏิบัติการตามคำสั่งของศาลต่อไป ศาลมิได้สั่งให้นำ "ร่างแผนที่" ของศาลไปใช้เสมือนแผนที่สำเร็จรูปแต่อย่างใด จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ไทยและกัมพูชายังไม่อาจถอนกำลังทหารได้ทันที แต่ต้องหารือกันก่อนว่าจะนำพิกัดที่ศาลกำหนดไปปฏิบัติอย่างไร

สำหรับ "เขตปลอดทหารชั่วคราว" (provisional demilitarized zone) ย่อมไม่ได้ห้ามประชาชนหรือเจ้าหน้าที่ทั่วไปจากเขต ทั้งนี้ศาลอธิบายในคำสั่งย่อหน้าที่ 61 ว่าเขตดังกล่าวย่อมไม่กระทบต่อการดำเนินการทางปกครองตามปกติ เช่น การส่งเจ้าหน้าที่ที่มิใช่ทหารเข้าไปประจำในพื้นที่เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชนและทรัพย์สิน ย่อมทำได้


อย่างไรก็ดี มองได้ว่าศาลใช้อำนาจกำหนด "เขตปลอดทหารชั่วคราว" ในลักษณะค่อนข้างกว้าง และมีผู้พิพากษาเสียงข้างน้อยในศาลไม่เห็นด้วยถึง 5 ท่าน ซึ่งผู้พิพากษาเสียงข้างน้อยเหล่านี้แสดงความกังวลว่าศาลได้ก้าวล่วงเข้าไปกำหนดคำสั่งที่ครอบคลุมเขตที่มิได้เป็นพื้นที่พิพาท จึงเป็นการใช้อำนาจศาลที่เกินความจำเป็น


ข้อ (2) สั่งให้ไทยไม่ขัดขวางกัมพูชาในการเข้าถึงปราสาทพระวิหารอย่างอิสระ (free access) รวมทั้งการส่ง "เสบียง" (fresh supplies) ให้แก่เจ้าหน้าที่ที่ไม่ใช่ทหารของฝ่ายกัมพูชาในปราสาทพระวิหาร


ซึ่งศาลใช้คำว่า fresh supplies (ต้องแปลตามคำฝรั่งเศสที่ศาลใช้ว่า ravitailler) ซึ่งกินความถึงเสบียงทั่วไปที่ต้องเปลี่ยนเป็นระยะ เช่น อาหาร เชื้อเพลิง หรือวัสดุสิ้นเปลืองในการก่อสร้างหรือซ่อมแซมปราสาท และไม่ได้จำกัดแต่เพียงอาหารดังที่สื่อมวลชนหรือหน่วยงานได้รายงานไปเท่านั้น แต่ทั้งนี้ย่อมต้องตีความไปตามคำสั่งเรื่อง "เขตปลอดทหารชั่วคราว" หมายความว่า หากกัมพูชานำเสบียงดังกล่าวเข้าไปในบริเวณเพื่อดำเนินกิจกรรมทางทหาร ไทยย่อมขัดขวางได้


ที่ศาลสั่งว่าไทยต้อง "ไม่ขัดขวางกัมพูชา ในการเข้าถึงปราสาทพระวิหารอย่างอิสระ" (free access) มิได้หมายความว่า กัมพูชา สามารถล่วงเข้ามาใช้ดินแดนของไทยโดยอิสระเพื่อผ่านเข้าไปยังปราสาท แต่หมายความว่า หากกัมพูชามีความจำเป็นต้องขอผ่านดินแดนของไทยเพื่อเข้าไปยังปราสาทตามความมุ่งหมายของ คำสั่งศาล ไทยย่อมไม่สามารถปฏิเสธหรือขัดขวางอย่างไร้เหตุผล แต่ไทยย่อมมีดุลพินิจที่จะสอบถามหรือตรวจสอบให้ชัดก่อนการอนุญาต (เช่น เป็นไปตามพื้นฐานของความจำเป็นเร่งด่วนในการรักษาสิทธิของกัมพูชาตามคำสั่งศาล อาทิ การซ่อมแซมรักษาตัวปราสาท มิใช่เข้าไปเพื่อการทหาร) ส่วนที่ว่าอย่างอิสระ (free access) หมายความเพียงว่าไทยไม่สามารถตั้งเงื่อนไขการเดินทางเข้าไปที่ตัวปราสาท เช่นจะบังคับให้ต้องมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยตามเข้าไปที่ปราสาทด้วยไม่ได้



ข้อ (3) สั่งให้ไทยและกัมพูชาร่วมมือกันตามกรอบของอาเซียน และต้องอนุญาตให้คณะผู้สังเกตการณ์จากอาเซียนสามารถเข้าไปยังเขต ปลอดทหารชั่วคราวดังกล่าวได้


ทั้งนี้ ศาลไม่ได้สั่งว่าคณะผู้สังเกตการณ์จากอาเซียนต้องเข้าไปได้อย่างอิสระ (free access) ดังนั้นไทยและกัมพูชาย่อมสามารถประกบติดตามหรือดูแลการดำเนินการโดยคณะผู้สังเกตการณ์จากอาเซียนได้


ข้อ (4) สั่งให้ไทยและกัมพูชาละเว้นจากกิจกรรมใดๆ ที่จะทำให้สถานการณ์ข้อพิพาทเลวร้ายหรือรุนแรงมากขึ้น หรือทำให้ปัญหาข้อพิพาท มีความยากลำบากยิ่งขึ้นที่จะแก้ไข
ศาลไม่ได้ระบุไว้ชัดเจนว่ากิจกรรมต้องห้าม ดังกล่าวได้แก่สิ่งใด ซึ่งหากไทยและกัมพูชา มีปัญหาในประเด็นดังกล่าว ศาลย่อมมีคำสั่งเพิ่มเติมได้

สำหรับคำสั่งทั่วไปอีก 3 ข้อ คือ

ข้อ (1) สั่งไม่จำหน่ายคดี คือ ไม่ถอนคดีออกจากศาล
ศาลหมายความว่า คดีหลักซึ่งกัมพูชาขอให้ศาลตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ.2505 ยังต้องรอศาลพิจารณาต่อไปถึงปีหน้า ซึ่งสุดท้ายศาลอาจไม่รับตีความก็เป็นได้

ข้อ (2) สั่งให้ไทยและกัมพูชาต้องรายงานให้ศาลทราบถึงการปฏิบัติตามมาตรการชั่วคราวที่ศาลสั่งทั้ง 4 ข้อ
ในทางปฏิบัติ ผู้ที่จะมีบทบาทสำคัญในการให้ข้อมูลต่อศาลก็คือคณะผู้สังเกตการณ์จากอาเซียน แม้ผู้ที่มีหน้าที่รายงานคือไทยและกัมพูชา แต่ข้อมูลที่น่าเชื่อถือย่อมต้องอาศัยข้อมูลจากคณะผู้สังเกต การณ์จากอาเซียนประกอบด้วย

ข้อ (3) สั่งว่าศาลยังคงสามารถพิจารณาประเด็นใดๆ ที่มีสาระเกี่ยวข้องกับมาตรการชั่วคราวต่อไปได้ (remain seised of the matters) จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษากรณีที่กัมพูชาขอให้ศาลตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ.2505

หลังศาลมีคำสั่งวันที่ 18 กรกฎาคม หากมีเหตุการณ์หรือข้อเท็จจริงใหม่ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นมาตรการชั่วคราวที่ศาลสั่งไว้ ไทยหรือกัมพูชาย่อมสามารถนำเหตุการณ์หรือข้อเท็จจริงใหม่เหล่านั้นมาขอให้ศาลพิจารณา และศาลย่อมอาจเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขคำสั่งได้ (Rules of Court Article 76) เช่น หากไทยเห็นว่ามีความจำเป็นต้องขัดขวางกัมพูชาในการเข้าถึงปราสาทพระวิหารอย่างอิสระ ไทยย่อมสามารถยื่นคำร้องขอให้ศาลพิจารณาเปลี่ยนแปลงคำสั่งเรื่องดังกล่าวได้

ด้านสิ่งปลูกสร้าง เช่น วัด ตลาด หรือ ชุมชนที่ตั้งอยู่ในบริเวณพื้นที่พิพาทพื้นที่ 4.6 ตาราง กิโลเมตรนั้น ศาลมิได้มีคำสั่งโดยเจาะจง อีกทั้ง "เขตปลอดทหารชั่วคราว" นั้นศาลก็อธิบายว่าสามารถมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองที่ไม่ใช่ทหาร รวมถึงผู้คนหรือทรัพย์สินอยู่ในบริเวณดังกล่าวได้

อย่างไรก็ดี ต้องไม่ลืมว่าคำสั่งอีกข้อหนึ่งที่ศาลสั่งก็คือ สั่งให้ไทยและกัมพูชาร่วมมือกันตามกรอบของอาเซียน ไทยจึงย่อมสามารถเรียกร้องว่ากัมพูชาไม่ควรดื้อดึงเดินหน้าดำเนินกิจกรรมที่สร้างปัญหาต่อกระบวนการเจรจาดังกล่าว ยิ่งไปกว่านั้น ศาลสั่งว่าศาลยังคงสามารถพิจารณาประเด็นใดๆ ที่มีสาระเกี่ยวข้องกับมาตรการชั่วคราวต่อไปได้ (remain seised of the matters) ดังนั้นหากไทยเห็นว่ามีเหตุสมควรให้ศาลสั่งให้กัมพูชาหยุดการก่อสร้างชุมชนหรือสิ่งปลูกสร้าง ไทยย่อมสามารถยื่นคำร้องขอให้ศาลพิจารณาเปลี่ยนแปลงคำสั่งเรื่องดังกล่าวได้เช่นกัน (Rules of Court Article 76)


ทุกประเทศในโลกนี้อยู่ร่วมกันภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ประเทศไทยจึงย่อมมีทั้งสิทธิ และหน้าที่ตามสนธิสัญญาที่ไทยเคยตกลงผูกพันไว้ ซึ่งกรณีนี้ได้แก่สนธิสัญญาที่เรียกว่า "กฎบัตรสหประชาชาติ" และ "ธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ" ซึ่งกำหนดให้ไทยมีสิทธิต่างๆ เช่น สิทธิที่จะเรียกร้องให้ประเทศอื่นเคารพอธิปไตยและไม่แทรกแซงกิจการภายในของไทย แต่ในขณะเดียวกันสนธิสัญญาก็กำหนดให้ไทยมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งศาลโลกเช่นกัน นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของไทย ก็ได้กำหนดเจตจำนงให้ไทยต้องปฏิบัติตามพันธกรณีที่ได้ทำไว้กับนานาประเทศและองค์การระหว่างประเทศ (รัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ประกอบกับจารีตประเพณีการปกครองที่ไทยปฏิบัติมายาวนาน) ดังนั้น ไทยจึงย่อมมีหน้าที่ตามกฎหมายต้องปฏิบัติตามคำสั่งศาลโลก

หากผู้ใดยังคิดว่าไทยไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎบัตรสหประชาชาติ ไม่ต้องฟังคำสั่งศาลโลก ขอให้ลองถามตัวเองว่า หากวันหนึ่งประเทศอื่นใดละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติและละเมิดสิทธิหรือรุกรานไทย และศาลโลกสั่งมาตรการชั่วคราวให้ประเทศที่กระทำต่อไทยต้องหยุดการกระทำ ดังกล่าว (แม้ประเทศนั้นจะยืนยันความบริสุทธิ์ของตนก็ตาม) เราจะบอกว่าประเทศที่กระทำต่อไทยนั้นไม่ต้องทำตามกฎบัตรสหประชาชาติ ไม่ต้อง ฟังคำสั่งศาลกระนั้นหรือ?
หากพิจารณา "ร่างแผนที่" เขตปลอดทหารชั่วคราวที่ศาลสั่งด้วยสายตา มองได้ว่าเขตดังกล่าวครอบคลุมบริเวณดินแดนของไทยและกัมพูชามากยิ่งไปกว่าบริเวณพื้นที่พิพาท

เขตปลอดทหารชั่วคราวดังกล่าว เป็นเพียงเรื่องมาตรการชั่วคราวที่มุ่งป้องกันการปะทะกันด้วยอาวุธ แต่ไทยและกัมพูชามีสิทธิขอให้ศาลแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้หากมีเหตุผลจำเป็น ที่สำคัญ พิกัด และ "ร่างแผนที่" มิได้มีผลทางกฎหมายต่อเขตแดนแต่อย่างใด ดังที่ศาลได้ย้ำอย่างชัดเจนในคำสั่งหลายครั้งว่าการพิจารณาออกคำสั่งครั้งนี้ ศาลย่อมไม่ก้าวเข้าไปวินิจฉัยประเด็นที่กัมพูชาอ้างว่าดินแดนส่วนใดเป็นของใคร หรือเขตแดนจะต้องเป็นไปตามเส้นหรือแผนที่ใด (ซึ่งอาจต้องรอการพิจารณาของศาลในปีหน้า)

ดังนั้น คำสั่งของศาลโลกเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม จึงมิได้เปลี่ยนแปลงเขตแดนไทย-กัมพูชาแต่อย่างใด


ที่มา : มติชนออนไลน์ : วันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เวลา 12:15:43 น.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น