วันพุธ, มกราคม 05, 2554

บ้านเมืองปี 2554รัฐบาลอภิสิทธิ์มั่นคง ประชาชนล่มสลาย

เมื่อวันที่ 24 ธันวาคมที่ผ่านมาเป็นวันครบรอบ 2 ปีแห่งการบริหารประเทศของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รัฐบาลจัดงานแถลงข่าวแสดงผลงานเสียใหญ่โต คุยฟุ้งถึงความสำเร็จในด้านต่างๆ โดยอ้างว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวและสังคมไทยเป็นสุข ผลผลิตมวลรวมประชาชาติ (จีดีพี) เพิ่มถึง 7.9 เปอร์เซ็นต์ อัตราการว่างงานลดลง และรัฐบาลแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ใช้นโยบายเรียนฟรี เป็นที่ชื่นชอบของประชาชน นายอภิสิทธิ์ย้ำว่า

“ผมทำงานมา 2 ปี แม้หลายเรื่องที่เล่าให้ฟังจะผลักดันให้สำเร็จ แต่ยังมีอีกหลายเรื่องที่พี่น้องยังไม่พอใจ ยกตัวอย่างยาเสพติด อบายมุข ทุจริตคอร์รัปชัน และความขัดแย้งในสังคม”

นายอภิสิทธิ์อธิบายต่อไปว่า จะพยายามลดปัญหาความขัดแย้ง ให้คนไทยอยู่ร่วมกันได้ และสรุปว่า “ของขวัญปีใหม่ที่รัฐบาลจะให้คือเราจะสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืนและคืน ความสงบสุขให้คนไทย”

ถ้าฟังจากที่นายกรัฐมนตรีแถลงดูเหมือนว่าสังคมไทยจะก้าวหน้าไปด้วยดี รัฐบาลบริหารประเทศเป็นที่ยอมรับ ปัญหาตกค้างก็มีไม่มากนัก นายอภิสิทธิ์น่าจะเป็นผู้นำที่เป็นที่ชื่นชอบของประชาชน แต่ความเป็นจริงโฉมหน้าของรัฐบาลอภิสิทธิ์เป็นอย่างไร คงต้องเริ่มจากเรื่องที่ศูนย์วิจัยของมหาวิทยาลัยกรุงเทพได้เผยผลสำรวจ ทัศนคติของประชาชนเมื่อวันที่ 20 ธันวาคมที่ผ่านมาว่าจากการเก็บข้อมูลประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปจากทุกภาคของประเทศจำนวนทั้งสิ้น 1,448 คน พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจผลงานของรัฐบาลเพียง 3.82 คะแนนเท่านั้น จาก 10 คะแนน ขณะที่ปีก่อนนี้ได้ 3.87 คะแนน เท่ากับลดลง 0.05 คะแนน ส่วนตัวนายกรัฐมนตรีได้คะแนนนิยม 4.44 คะแนน เทียบกับปีก่อนได้ 4.70 คะแนน เท่ากับลดลง 0.26 คะแนน

ถ้าดูจากคะแนนเหล่านี้เป็นตัวตั้งจะเห็นได้ชัดว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ซึ่งมิ ได้มาจากการชนะการเลือกตั้งมีคะแนนนิยมในหมู่ประชาชนค่อนข้างน้อยตั้งแต่ปี แรกที่บริหารประเทศ และยังน้อยลงอีกในปีนี้ ข้อเท็จจริงนี้ยังได้รับการยืนยันจากโพลของสถาบันพระปกเกล้าและสำนักงาน สถิติแห่งชาติที่เก็บข้อมูลจากประชาชน 33,800 คน พบว่าความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อนายอภิสิทธิ์ยังน้อยกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อีกด้วย

อะไรคือปัญหาหลักที่ทำให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ได้รับความนิยมในระดับต่ำเช่น นี้ คงต้องอธิบายว่าปัญหาหลักของรัฐบาลอภิสิทธิ์ตั้งแต่แรกที่ขึ้นบริหารประเทศ ก็คือเรื่องความชอบธรรมทางการเมือง เพราะวิธีการได้มาซึ่งอำนาจนั้นเป็นวิธีการที่นายเสนาะ เทียนทอง เรียกว่า “ไฮแจ็ค” คือใช้วิธีการอันฉ้อฉลทางการเมือง โดยอาศัยอำนาจตุลาการยุบพรรคพลังประชาชนที่เป็นพรรครัฐบาล ตัดสิทธิทางการเมืองนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี จากนั้นใช้อำนาจของกองทัพและกลโกงทางรัฐสภา รวบรวมเสียงที่แตกออกจากพรรคพลังประชาชนแล้วเอาพรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคอื่นๆมาสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ที่พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งให้กลาย เป็นแกนกลางตั้งรัฐบาล และให้นายอภิสิทธิ์มารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ดังนั้น ตลอดเวลาที่บริหารประเทศความชอบธรรมทางการเมืองจึงถูกท้าทายอยู่เสมอ จนเมื่อประชาชนคนเสื้อแดงมาชุมนุมเรียกร้องให้ยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน เมื่อเดือนมีนาคม-พฤษภาคมที่ผ่านมา รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็แก้ปัญหาโดยการใช้กองทหารเข้ามาเข่นฆ่าสังหารจนมีผู้เสีย ชีวิตไป 91 คน และบาดเจ็บนับพันคน ทำให้นายอภิสิทธิ์กลายเป็นนายกรัฐมนตรีมือเปื้อนเลือดที่น่าเกลียดที่สุดใน ประวัติศาสตร์ไทย

แต่ปัญหาสำคัญของรัฐบาลไม่เพียงแต่เรื่องปัญหาทางการเมืองเท่านั้น ในทางเศรษฐกิจก็เป็นที่ยอมรับกันตั้งแต่แรกว่านายอภิสิทธิ์ไม่มีแนวทาง นโยบายเศรษฐกิจอันชัดเจน วิธีการหาเงินของรัฐบาลคือการหาทางเก็บภาษีเพิ่ม ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน และการกู้เงินต่างประเทศ ซึ่งตัวเลขที่เป็นทางการระบุว่ารัฐบาลชุดนี้กู้เงินต่างประเทศมาแล้วราว 8 แสนล้านบาท โดยไม่มีการดำเนินการทางเศรษฐกิจที่เป็นชิ้นเป็นอัน การส่งออกก็ลดลงในปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ตกต่ำอย่างหนักยังไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นตัว

ความล่าช้าของรัฐบาลในการดำเนินการแก้ไขปัญหาเชิงนโยบายทางเศรษฐกิจเห็น ได้ชัดจากกรณีมาบตาพุดที่ศาลปกครองกลางสั่งระงับชั่วคราวโครงการถึง 76 โครงการตั้งแต่เดือนธันวาคม 2552 ด้วยเหตุผลว่าโครงการเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม ทั้งที่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่และส่งผลต่อการดำเนินการทางเศรษฐกิจระยะยาว รัฐบาลก็ไม่มีมาตรการแก้ไขจัดการจนเวลาล่วงมานับปี และต่อมากรณีเงินบาทแข็งค่าที่เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่กระทบต่อการส่งออกอย่างมาก รัฐบาลก็ไม่มีมาตรการที่จะแก้ปัญหาได้ทันท่วงที จนขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนเชิงนโยบาย

ที่เห็นได้ชัดถึงความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลอภิสิทธิ์คือปัญหาเรื่อง อุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา รัฐบาลก็แก้ปัญหาอย่างล่าช้า ไม่ทันการณ์เท่ากับภาคเอกชน เช่น ครอบครัวข่าวช่อง 3 ที่ลงมือช่วยคลี่คลายปัญหาไปก่อนและไปได้ไกลมาก ทั้งที่รัฐบาลมีกลไกพร้อมเพรียงกว่ามากมาย

นอกจากปัญหาการเมืองและเศรษฐกิจ เรื่องใหญ่ที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือเรื่องการฉ้อราษฎร์บังหลวง ซึ่งพรรคเพื่อไทยเปิดเผยว่าในระยะ 2 ปีมีข่าวการทุจริตเกิดขึ้นแล้วถึง 120 กรณี ซึ่งการทุจริตภายใต้รัฐบาลชุดนี้ยังได้รับการยืนยันจากสื่อต่างประเทศอีก ด้วยว่าตัวเลขการทุจริตของประเทศไทยภายใต้รัฐบาลอภิสิทธิ์เพิ่มขึ้นยิ่งกว่า รัฐบาลชุดอื่นในอดีต การแถลงของนายกรัฐมนตรีว่าจะแก้ปัญหาคอร์รัปชันนั้นเป็นเพียงลมปากที่ไม่เคย มีการดำเนินการที่เป็นจริงเลย

ด้วยเงื่อนไขแห่งความไร้ประสิทธิภาพในการบริหาร ความล้มเหลวในการดำเนินการทางเศรษฐกิจ การทุจริตคอร์รัปชัน ตลอดจนปัญหาความแตกแยกในบ้านเมือง จึงทำให้คะแนนนิยมของนายอภิสิทธิ์มีระดับที่ต่ำมากดังกล่าว และยังคาดได้ด้วยซ้ำว่าในปี 2554 นี้คะแนนนิยมในตัวนายกรัฐมนตรีและพรรคประชาธิปัตย์จะยิ่งต่ำลงอีก แต่กระนั้นผมจะขอคาดการณ์ว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์จะมีความมั่นคงต่อไป และจะบริหารประเทศไปได้อีก 1 ปีข้างหน้า

ส่วนสัญญาที่ว่าจะมีการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ในปีหน้านั้นให้ถือว่าเป็น ลมปากของนายกรัฐมนตรีเช่นกรณีอื่น เพราะมีความเป็นไปได้ว่านายอภิสิทธิ์จะถ่วงเวลา ไม่มีการยุบสภาจนกระทั่งใกล้ถึงเวลาท้ายที่สุด และถ้าจะมีการเลือกตั้งใหม่ก็จะเป็นการเลือกตั้งที่นำนายอภิสิทธิ์กลับมา เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ทำไมนายกรัฐมนตรีที่บริหารงานอย่างไร้ประสิทธิภาพและไม่มีคะแนนนิยมในหมู่ ประชาชนจึงสามารถบริหารประเทศได้อย่างมั่นคง คำตอบคือนายอภิสิทธิ์ยังได้รับการสนับสนุนอย่างมั่นคงจากเครือข่ายของอำมา ตยาธิปไตยนั่นเอง หรือกล่าวได้ว่าทั้งชนชั้นนำ ทั้งคณะตุลาการและผู้นำในกองทัพล้วนโอบอุ้มนายอภิสิทธิ์ต่อไป

ดังนั้น ต่อให้นายอภิสิทธิ์ล้มเหลวในการบริหารยิ่งกว่านี้ จะเข่นฆ่าสังหารประชาชนมากกว่านี้ นายอภิสิทธิ์ก็ยังเป็นหุ่นเชิดอันเหมาะสมของเหล่าอำมาตย์อยู่นั่นเอง พรรคฝ่ายค้านเช่นพรรคเพื่อไทยต่างหากที่อยู่ในภาวะเสี่ยงอันตรายกว่าที่จะ ถูกยุบหรือทุบทำลาย โดยเฉพาะถ้าหากว่ามีการเลือกตั้งแล้วพรรคเพื่อไทยชนะคาดการณ์ได้ว่าพรรคจะ ต้องถูกยุบอีก เพื่อเปิดทางให้ประชาธิปัตย์มาบริหารประเทศเช่นเดิม ระบบสองมาตรฐานได้ฝังรากลึกในหมู่ชนชั้นนำไทยเสียแล้ว

ในภาวะเช่นนี้ประชาชนจะทำอย่างไรเมื่อต้องเผชิญกับฆาตกรอำมหิตและเครือ ข่ายโจรไล่ไม่ไปเหล่านี้ คำตอบคือจะต้องแปรยุทธศาสตร์การต่อสู้ให้เป็นแบบระยะยาว เคลื่อนไหวจัดตั้งทางความคิดเป็นสำคัญ เพื่อให้เกิดการตื่นตัวของประชาชน และเกิดปรากฏการณ์ตาสว่างให้มากที่สุดเพื่อจะสะสมกำลังของฝ่ายประชาชน รอคอยโอกาสต่อไป

ขอให้มั่นใจว่าในระยะยาวแล้วเหล่าอำมาตย์ไม่มีอนาคตแต่อย่างใด โดยกระแสการเมืองของโลกและกระแสในหมู่ประชาชนไทยที่เป็นกระแสประชาธิปไตย ในท้ายที่สุดพลังประชาธิปไตยจะต้องได้รับชัยชนะ และขณะนี้ขบวนการคนเสื้อแดงก็ถือว่าอยู่แนวหน้าสุดของขบวนการต่อสู้เพื่อ ประชาธิปไตย ความสามัคคีและใจกว้างจะทำให้ฝ่ายเสื้อแดงสะสมความได้เปรียบและนำไปสู่ชัย ชนะของประชาชนได้ในที่สุด

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 292 วันที่ 1 – 7 มกราคม พ.ศ. 2553 หน้า 8 คอลัมน์ ถนนประชาธิปไตย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น