วันอาทิตย์, ธันวาคม 26, 2553

พะเยาว์ อัคฮาดคนไทยแห่งปี

จาก Dailyworldtoday

“ขนาดแค่ลูกเดินหายไปพ้นจากสาย ตาไม่กี่ก้าว นายอภิสิทธิ์ยังตกใจ แต่ ดิฉันต้องสูญเสียลูกสาวไปไม่มีวันได้คืน มันต่างกันหรือไม่ จึงอยากฝากไปถึงนายอภิสิทธิ์ให้คิดถึงหัว อกคนเป็นแม่ที่ต้องสูญเสียลูกไป คิดถึงญาติพี่น้องของ 91 ศพที่ตายไป เขาจะรู้สึกอย่างไร คิดบ้างไหม”

ความรู้สึกของนางพะเยาว์ อัคฮาด แม่ของ น.ส.กมนเกด อัคฮาด “น้องเกด” อายุแค่ 25 ปี 1 ในเหยื่อ 6 ศพวัดปทุมวนาราม หลัง จากมีรายงานข่าวว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พร้อมนางพิมพ์เพ็ญ ภริยา และ น.ส.ปราง เวชชาชีวะ “น้องปราง” บุตรสาว ไปใช้สิทธิเลือกตั้งซ่อมเขต 2 กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา แต่ “น้องปราง” หลบหนีกล้องผู้สื่อข่าวหลังจากใช้สิทธิเลือกตั้งแล้ว ขณะที่นายอภิสิทธิ์อยู่ในวงล้อม ผู้สื่อข่าวแต่สีหน้าตื่นตระหนกเมื่อไม่เห็นบุตรสาวและหันไปถามนางพิมพ์เพ็ญว่า “ลูกล่ะ” ซึ่งตอบว่า “ลูกหายไปไหนไม่รู้”

นายอภิสิทธิ์จึงหันมาพูดเสียงดังลั่นว่า “ลูกสาวผมหาย” ก่อนแหวกวงล้อมออกไปตามหาและพบหน้าบุตรสาวที่ยืนรออยู่ด้านหน้า ก่อนจะถอนหายใจและเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มร่าเดินเข้าไปโอบไหล่บุตรสาวขึ้นรถออกไปทันที ซึ่งสะท้อนให้เห็นชัดเจนถึงหัวอกคนเป็นพ่อแม่ที่มีความรักต่อลูก แต่กรณีนางพะเยาว์ไม่ใช่ลูกหาย แต่ถูกยิงอย่างโหดเหี้ยม ทั้งที่ทำหน้าที่เป็นพยาบาลอาสาช่วยเหลือชีวิตเพื่อนมนุษย์

7 เดือนยังเงียบเชียบ

แต่กว่า 7 เดือนที่ผ่านมากลับไม่มีความคืบหน้าของคดีเลย นางพะเยาว์จึงต้องต่อสู้ร่วมกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และญาติของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” รวมทั้งสิ้น 91 ศพ เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม ซึ่งนายอภิสิทธิ์และผู้เกี่ยวข้องในศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้

แม้การต่อสู้จะถูกอิทธิพลต่างๆขัดขวางและข่มขู่ แต่นางพะเยาว์และคนเสื้อแดงก็ไม่เคยหมดหวังกับการเรียกร้องความยุติธรรมให้กับ 91 ศพ โดยเฉพาะนางพะเยาว์ที่ออกมาเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมทุกวันอาทิตย์ หรือการจัดงานรำลึกวาระต่างๆในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” รวมทั้งการต่อสู้ทางคดีทั้งในประเทศและศาลอาญาระหว่างประเทศ การให้ข้อมูลกับประชาคมโลกทั้งองค์กรสิทธิมนุษยชนและสื่อต่างๆ

ต่อสู้จนกว่าได้ความยุติธรรม

“ยกเลิกหรือไม่ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องคดี เรื่องการฆ่าคนอย่างโหดเหี้ยม เพราะยังมี พ.ร.บ.ความมั่นคงมาครอบไว้อยู่ดี เราได้คุยในกลุ่มญาติผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ทุกคนเห็นด้วยที่จะตั้งองค์กรเพื่อเคลื่อนไหวเรียกร้องความยุติธรรมและต่อสู้ทางคดีต่อไป เราไม่เคยเชื่อรัฐบาล เพราะวันนี้เขามีอำนาจมากเหลือเกิน เรามองไม่เห็นกลไกอะไรไปต่อสู้เขาได้ แม้แต่กระบวนการยุติธรรมในประเทศ เราจึงจะยื่นหนังสือกับทุกสถานทูตและศาลระหว่างประเทศ”

นางพะเยาว์ให้ความเห็นหลังรัฐบาลยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ไม่เชื่อว่าการสอบสวนและชันสูตร 91 ศพจะคืบหน้า เพราะกว่า 7 เดือนที่ผ่านมารัฐบาลพยายามปกปิดหรือบิดเบือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ทั้งยังใช้อำนาจขัดขวางและข่มขู่ผู้ที่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องความยุติธรรม แม้แต่นางพะเยาว์เองก็ถูกโทร.มาขู่ให้หยุดความเคลื่อนไหว ไม่เช่นนั้นอาจจะเสี่ยงกับชีวิต

แต่นายณัทพัช อัคฮาด น้องชายของ “น้องเกด” ได้ตอบกลับผู้โทรศัพท์มาขู่ว่า ถ้าเป็นลูกหรือญาติพี่น้องของคนโทรศัพท์เข้ามาจะอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยหรือไม่ แต่ไม่มีเสียงตอบ จึงยืนยันไปว่าจะไม่หยุดและไม่กลัว แต่จะเคลื่อนไหวหนักและมากกว่าเดิมอีก

สภาพศพ “น้องเกด”

ที่ผ่านมาการเคลื่อนไหวของนางพะเยาว์จึงมีความสำคัญยิ่งกับการเรียกร้องความยุติธรรม เพราะการสังหารโหด 6 ศพในวัดปทุมวนารามเป็นข่าวที่สร้างความ สะเทือนใจคนไทยอย่างยิ่ง เพราะอยู่ในเขตวัดและประกาศเป็นเขตอภัยทานแล้ว โดยเฉพาะการชันสูตรพลิกศพ “น้องเกด” ของสถาบันนิติเวชวิทยา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อต้นเดือนมิถุนายน พบว่ามีบาดแผลยิงทะลุผิวหนังมากถึง 10 แห่ง โดยบาดแผลที่ 1 กระสุนยิงที่หลังผ่านขึ้นด้านบน ผ่านแนวลำคอหลังทะลุผ่านกะโหลกศีรษะซีกซ้าย ทะลุสมองน้อยและสมองใหญ่ พบชิ้นส่วนโลหะคล้ายหัวกระสุนหุ้มทองแดง 1 ชิ้นค้างที่กะโหลกด้านขวา ทิศทางจากล่างขึ้นบน หลังไปหน้า ขวาไปซ้ายเล็กน้อย ลักษณะหมอบลงกับพื้น หน้าหันลงพื้นดิน บาดแผลที่ 2-4 ถูกยิงเข้าบริเวณอก บาดแผลที่ 5-10 ถูกยิงบริเวณแขนและขา ลักษณะถูกระดมยิง

สาเหตุการตาย กระสุนทะลุหลังเข้าไปทำลายสมอง แม้แพทย์ผู้ตรวจไม่สามารถระบุได้ว่าถูกยิงจากบนลงล่างหรือไม่ แต่จากการสันนิษฐานเชื่อว่า “น้องเกด” หลบหน้าแนบพื้นก่อนถูกระดมยิงจากด้านหลัง ซึ่งการตรวจสอบที่แน่ชัดต้องมีพยานที่อยู่ในที่เกิดเหตุมาประกอบด้วย เพราะการจำลองใช้เลเซอร์มาวางแนว วิถีกระสุนทำไม่ได้ เนื่องจากหัวกระสุนไปถูกกระดูกและกระดอนไปมา ทำให้ร่างกายเสียหายมากจนไม่สามารถจำลองแนวการยิงได้อย่างแน่ชัด

ส่วนรายละเอียดผลการชันสูตรอีก 5 ศพก็โหดเหี้ยมไม่แตกต่างกันนักคือ นายรพ สุขสถิตย์ อายุ 66 ปี นายอัฐชัย ชุมจันทร์ อายุ 28 ปี นายมงคล เข็มทอง อายุ 36 ปี นายสุวัน ศรีรักษา อายุ 31 ปี และนายอัครเดช ขันแก้ว อายุ 22 ปี (ผู้ช่วยพยาบาลอาสา) ทั้งหมดถูกยิงด้วยกระสุนความเร็วสูงและมีบาดแผลทำลายจุดสำคัญของร่างกายจนเสียชีวิต

หลักฐานทหารยิง?

ยิ่งล่าสุดที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แกนนำ นปช. อ้างบันทึกการสอบสวนและการชันสูตรศพของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ใน 4 เหตุการณ์คือ 1.การตายของประชาชนในวัดปทุมวนาราม 2.การตายของนายฮิโรยูกิ มูราโมโต ช่างภาพชาวญี่ปุ่นประจำสำนักข่าวรอยเตอร์ 3.การตายของเจ้าหน้าที่สวนสัตว์ดุสิต 4.การตายของพลทหารณรงค์ฤทธิ์ สาละ ว่าเจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติการเกี่ยวข้อง ซึ่ง รายงานการตรวจพิสูจน์ของกองพิสูจน์หลักฐานกลางพบกระสุนปืนขนาด .223 (5.56 มม.) หัวกระสุนสีเขียวเช่นเดียวกันเกือบทุกศพ โดยเฉพาะ 6 ศพในวัดปทุมวนาราม มีทั้งหลักฐานภาพถ่าย พยานบุคคลหลาย สิบปาก และคำสารภาพของเจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติการเองว่าได้ใช้อาวุธปืนยิงเข้ามาในบริเวณวัด รวมทั้งยิงเข้าไปในเต็นท์พยาบาลขณะที่ยุติการชุมนุมแล้ว

ข้อมูลดังกล่าวตรงข้ามกับที่นายนายอภิสิทธิ์และดีเอสไอเคยชี้แจงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่าผลการชันสูตรศพผู้เสียชีวิต 4 ใน 6 รายในวัดปทุมวนารามเกิดจากวิถีกระสุนแนวราบ ทั้งยังยืนยันคำพูดของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการ ศอฉ. ในขณะนั้นว่าไม่มีกำลังทหารอยู่บริเวณรางรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสยามสแควร์ ซึ่งขัดแย้งกับหลักฐานที่ดีเอสไอตรวจพบปลอกกระสุนปืน

“น้องเกด” ไม่ตายฟรี

นางพะเยาว์จึงยืนยันว่าจะเดินหน้าค้นหาความจริงให้ปรากฏ ไม่ว่าหน่วยงานไหนจะเกรงกลัวอิทธิพลของรัฐบาลก็จะเสนอความจริงให้ปรากฏให้จงได้ ไม่ว่ารัฐบาลนี้หรือรัฐบาลไหน ต้องมีสักรัฐบาลที่ค้นหาความจริงให้ปรากฏ น้องเกดจะไม่ตายฟรีหรือเปล่าประโยชน์ เพราะยังมีแม่และเพื่อนร่วมงานที่พร้อมจะต่อสู้จนกว่าจะได้ตัวผู้กระทำความผิดยิงประชาชนและคนสั่งการมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม

ขณะเดียวกันครอบครัว “น้องเกด” ยังเตรียมสร้างหุ่นขี้ผึ้งรูป “น้องเกด” สูงเท่าตัวจริง เพื่อนำไปตั้งบริเวณที่น้องเกดเสียชีวิตในวัดปทุมวนาราม ซึ่งยังไม่ทราบว่าต้องใช้ค่าใช้จ่ายเท่าใด แต่หากใครต้องการร่วมทำบุญบริจาคก็ยินดี เมื่อสร้างหุ่นขี้ผึ้งเสร็จแล้วจะไปพบนายอภิสิทธิ์เพื่อขออนุญาตตั้งหุ่นขี้ผึ้งน้องเกดภายในวัด สาเหตุที่ไปพบนายกฯเนื่องจากเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด

ตั้งองค์กรญาติผู้เสียชีวิตกดดัน

นอกจากนางพะเยาว์จะประกาศรวบรวม 5,000-10,000 รายชื่อ เพื่อยื่นให้สำนักนายกรัฐมนตรีปลดนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ออกจากตำแหน่งแล้ว ยังจะจัดตั้งองค์กรญาติผู้เสียชีวิตเป็นองค์กรที่อิสระ เคลื่อนไหวเรียกร้องความยุติธรรมให้กับผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บอย่างเป็นทางการประมาณต้นเดือนมกราคม 2554 ซึ่งได้ติดต่อญาติของนายฮิโรยูกิและญาติของนายฟาบิโอ โปเลนกี ช่างภาพอิสระชาวอิตาลีที่ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม มาร่วมกันเคลื่อนไหวด้วย จากนั้นจะเดินสายชี้แจงข้อเท็จจริงไปตามสถานทูตต่างๆ และเคลื่อนไหวกดดันให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ออกมารับผิดชอบต่อการใช้ความรุนแรงกับประชาชน

“คดี 91 ศพนี้นายธาริตก็เป็นหนึ่งในคณะกรรมการ ศอฉ. และร่วมเซ็นลงนามในการสั่งฆ่าประชาชนเช่นกัน เมื่อโอนคดีเข้ามาอยู่ในดีเอสไอ การสืบสวนสอบสวนต่างๆ ผลประโยชน์ก็ตกอยู่กับฝ่ายรัฐบาลอย่างเดียว ไม่ใช่ตกอยู่ที่ประชาชน เท่ากับว่าทั้ง 91 ศพตายฟรี และ คนที่ร่วมกระทำผิดแต่กลับมาสืบสวนคดีเป็นเรื่องตลก”

แม้แต่นิตยสารไทม์ยังจัดให้การสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงติดอันดับ 10 ข่าวใหญ่ของโลก ส่วนนายเดวิด เชลสซิงเกอร์ หัวหน้ากองบรรณาธิการสำนักข่าวรอยเตอร์ ได้เรียกร้องให้รัฐบาลแถลงผลการสอบสวน ฉบับเต็มในกรณีของนายฮิโรยูกิว่าโศกนาฏกรรมครั้งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และใครเป็นผู้รับผิดชอบที่แท้จริง เพราะทางการไทยตกเป็นหนี้ครอบครัวของนายฮิโรยูกิ

ฆาตกรรมโหดแห่งปี

เหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” จึงตอกย้ำว่าเป็น “การฆาตกรรมโหดแห่งปี” และยังประจานการใช้อำนาจรัฐไทยและกลุ่มอำนาจนอกระบบว่าไม่ต่างกับ “รัฐทหาร” อย่างที่องค์การสิทธิมนุษยชนเอเชียระบุ การละเมิดสิทธิมนุษยชนจึงเกิดขึ้นอย่างหน้าตาเฉยโดยผู้มีอำนาจและกองทัพไม่รู้สึกผิดแปลกอะไร ทั้งที่ประเทศไทยเป็นประธานคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ แต่กลับถูกประชาคมโลกประณามว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง

ทำให้ประชาคมตั้งคำถามกับสหประชาชาติว่าทำไมจึงไม่มีการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย และในปี 2554 ประเทศไทยจะส่งรายงานเรื่องสิทธิมนุษยชนอย่างไร ขณะที่องค์กรสิทธิมนุษยชนต่างๆและกลุ่มภาคประชาชนได้ทำรายงานว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทยอย่างชัดเจน รวมทั้งการฟ้องศาลอาญาระหว่างประเทศการสังหารโหด 91 ศพ

แม้รัฐบาลและกองทัพจะพยายามบิดเบือนและโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ แต่ในที่สุด “ความจริง” ก็ต้องปรากฏมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะไม่ใช่แค่นางพะเยาว์และคนเสื้อแดงที่ประกาศเอาชีวิตเข้าแลกเท่านั้น องค์กรสิทธิมนุษยชนทั่วโลกย่อมไม่ปล่อยให้เรื่องนี้หายไปโดยไม่มีผู้กระทำผิดมารับผิดชอบ โดยเฉพาะการฆ่าโหดในเขตอภัยทานกลางกรุงเทพฯ

คนไทยแห่งปีของ “โลกวันนี้”

นางพะเยาว์ อัคฮาด จึงเปรียบเสมือน “แกนนำภาคประชาชนผู้บริสุทธิ์” หรือสัญลักษณ์ของผู้เสียชีวิต ไปโดยปริยาย ทีมข่าว “โลกวันนี้” จึงมีมติยกย่องให้ “นางพะเยาว์ อัคฮาด” มารดาของ “น้องเกด” เป็น “คนไทยแห่งปี” ของประเทศไทยในพุทธศักราชนี้

ในวาระเดียวกัน ทีมข่าว “โลกวันนี้” ยังมีมติยก ย่อง “จูเลียน พอล แอสแซงจ์” ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ “วิกิลีกส์” เป็น “บุคคลแห่งปี” ของโลก ที่ทำให้รัฐบาลและ องค์กรต่างๆทั่วโลกต้องหวาดผวากับเอกสารและข้อมูลลับที่จะถูกแฉพฤติกรรมและนโยบายฉาวต่างๆที่คนทั่วโลกแทบไม่มีใครเชื่อว่าจะเกิดขึ้น

ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย “วิกิลีกส์” ก็ทำให้ผู้มีอำนาจและผู้อาวุโสหลายคนต้องหัวหดและปิดปากสนิท ไม่ว่าจะเป็นกรณี “วิคเตอร์ บูท” หรือรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่สื่อและคนไทยทั้งแผ่นดินมีสภาพเหมือน “น้ำท่วมปาก” พูดอะไรไม่ได้ ขณะที่รัฐบาลไทยก็ใช้อำนาจ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ปิดกั้นเว็บไซต์ www.wikileaks.org ในประเทศไทย โดยอ้างความมั่นคง แต่ทั่วโลกกลับประณามว่าใช้อำนาจเยี่ยงรัฐบาลเผด็จการหรือ “รัฐทหาร” (อ่านบทความประกอบ “จับกระแสการเมือง” หน้า 8)

ด้วยเลือดและน้ำตา...หัวอกของคนเป็น “แม่”... “พะเยาว์ อัคฮาด”...มารดาของ “น้องเกด”

เธอคือ “คนไทยแห่งปี” โดยทีมข่าว “โลกวันนี้” และเชื่อว่าเธอคือ “บุคคลแห่งปี” ที่กำลังสะท้อนสะเทือน อารมณ์ของหัวอกคน เป็น “พ่อ-แม่” ที่ผู้ที่ มีจิตใจปรกติ... หาใช่ “ผีห่าซาตาน” ที่ไหน ก็มิอาจปฏิเสธได้!

*********************

ลูกฉันตาย ในครอบครัวฉัน..

เหลืออยู่ 4 ชีวิต คุณจะฆ่าฉันก็เอา!


“รู้สึกช็อกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะส่วนหนึ่งเวลาที่น้องเกดเข้ามาช่วยเหลือกลุ่มผู้ชุมนุมเพราะเห็นว่ามีเด็กและคนแก่จำนวนมาก เขาจึงอยากเข้าไปช่วยเหลือ โดยขอแม่ไป ซึ่งฉันก็อนุญาต เราก็เข้าใจ ไม่ห้ามอะไร เพราะคิดว่าเขาโตแล้วและมีความคิดในสิ่งที่ดี และเขาก็เอาเงินเดือนของตัวเองไปอยู่ตรงนั้นหมด เขาพูดเสมอว่าเขาจะไม่เป็นอะไร เพราะเชื่อว่าทหารจะยกเว้นตรงนี้ เขาจะต้องปลอดภัย เราก็เชื่อในคำพูดตรงนั้น จนมารู้ในวันที่น้องเกดเสีย เรามีความรู้สึกว่าตอนนั้นเรายังตั้งตัวไม่ได้ คิดอยู่ตลอดเวลาว่าทำไมลูกเราต้องมาตาย ตอนนั้นใครๆก็ไม่กล้าพูดว่าใครเป็นคนยิง โดยเฉพาะไม่มีใครกล้าพูดว่าทหารยิง แต่เราก็มั่นใจว่าคนที่ยิงไม่มีใครนอกจากทหาร”

นางพะเยาว์ อัคฮาด แม่ของ น.ส.กมนเกด อัคฮาด หรือน้องเกด พยาบาลอาสาที่ถูกยิงเสียชีวิตในวัดปทุมวนารามในเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 กล่าวถึงความรู้สึกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนจะถามนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ว่าขนาด 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีความรุนแรงอย่างมากรัฐบาลยังไม่กล้าเรียกเป็น “ผู้ก่อการร้าย” แต่กลับกล่าวหาคนเสื้อแดงว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย” แล้วยังบอกว่าโจรยิงหรือผู้ก่อการร้ายยิงอีก

“บอกตรงๆว่า ณ เวลานั้นหมดศรัทธานายอภิสิทธิ์ ฉันไม่ได้เรียกนายกรัฐมนตรี ไม่เคยเรียก เพราะถือว่าฉันไม่ได้เลือกมาเป็นนายกรัฐมนตรี ฉันก็เรียกนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ เวลานี้ฉันมองว่าพวกเขาไม่สมควรอยู่ในตำแหน่งในรัฐบาลนี้แล้ว เพราะคุณสั่งฆ่าประชาชนได้โดยไม่นึกถึงว่านี่คือคนไทยเหมือนกัน และทหารที่ลั่นไกส่วนหนึ่งเขาทำตามคำสั่ง นายสั่งมา เขาต้องยิง”

นางพะเยาว์ยืนยันว่าออกมาต่อสู้เพื่อหาคนผิดและเรียกร้องความยุติธรรม

“เราลุกขึ้นมาสู้โดยไม่เกรงกลัวว่าคุณจะเป็นใคร คุณกับฉันก็มนุษย์เดินดิน แม้กระทั่งนายอภิสิทธิ์ ฉันก็บอกไปว่าคุณไปเลือกตั้ง คุณไปพร้อมครอบครัว ลูกคุณหายละไปจากสายตาคุณยังกระวนกระวาย แต่ลูกฉันตายไปจากชีวิตฉัน ทำไมไม่ถามว่าฉันรู้สึกอย่างไร”


นางพะเยาว์ย้ำว่า ไม่คาดหวังกับกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทย เพราะกลไกในประเทศตอนนี้มันนิ่ง ต่อให้ทำถูกกฎหมายทุกอย่างก็ผิดอยู่ดี วันนี้จึงต้องเดินหน้าอย่างเดียวคือการจัดตั้งองค์กรของญาติผู้เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุม ไปขอความช่วยเหลือและชี้แจงต่อนานาประเทศ

“เขาฆ่าคน เขายังอยู่ได้ หน้าตายิ้มแย้ม มีความสุข จึงต้องเรียกร้องตรงนี้ เพราะสิทธิมนุษยชนของไทยเราเรียกร้องไม่ได้ เขานิ่งเงียบเป็นเป่าสาก แต่พอจิ๊บ ไผ่เขียว โดนวิสามัญฆาตกรรม ออกมาใหญ่เลย ขอถามว่า 91 ศพมันต่างกันอย่างไร แสดงว่ากลไกภายในประเทศใช้ไม่ได้...ขณะนี้พวกเราต้องช่วยกันเอง เราจะนิ่งไม่ได้ ถ้าเรานิ่ง รัฐบาลยิ่งชอบเลย ตายฟรี ฉันคิดว่าประเทศไทยอยู่ในรัฐเผด็จการทหาร แต่ฉันไม่ได้ เกรงกลัวอำนาจของเขาถึงต้องลุกขึ้นมาสู้ ลูกฉันตาย ในครอบครัวฉันเหลืออยู่ 4 ชีวิต คุณจะฆ่าฉันก็เอา”


ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 291 วันที่ 25-31 ธันวาคม พ.ศ. 2553 หน้า 16-17 คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน
2010-12-24

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น