วันพุธ, มีนาคม 30, 2554

สัมภาษณ์ ประเวศ ประภานุกูล



Thailandmirror Talk
"ทนายดา ตอปิโด" สัมภาษณ์ ประเวศ ประภานุกูล

เลือกตั้ง99.99% ใครขวาง...ฆ่าตัวตาย

ทั้งที่นับถอยหลังเข้าสู่การยุบสภาอีกเพียงเดือนเดียว แต่ก็ยังมีคำถามดังอื้ออึงไปทั่วว่า “จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นจริงหรือ”
ตัวเร่งที่ปั่นกระแส “ไม่เอาการเลือกตั้ง-ล้มการเลือกตั้ง” เกิดจากแกนนำม็อบเหลืองที่อ้างว่า

การเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้น ไม่สามารถแก้วิกฤตความขัดแย้งภายในชาติได้ และหยุดนักการเมืองโกงไม่ได้


พร้อมกับละครสำคัญอย่างกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ต้องบริหารจัดการเลือกตั้งก็ส่อทิ้งองค์กรไปดื้อๆ เมื่อ “สดศรี สัตยธรรม”ขอลาออกไปสมัครเป็นกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ตามด้วย “สุทธิพล ทวีชัยการ” เลขาธิการ กกต. แว่บไปยื่นใบสมัครเป็นกรรมการกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.)

ทั้งสองเรื่องจึงถูกเชื่อมโยงว่า เป็นแผนล้มกระดานการเลือกตั้ง!

อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขที่จะหยุดการเลือกตั้งมีเพียง 1.กองทัพออกมาปฏิวัติใช้อำนาจล้มล้างประชาธิปไตย 2.มีการใช้กลไกพิเศษ อาศัยช่วงยุบสภา ที่ กกต.ต้องจัดการเลือกตั้งภายใน 45-60 วัน โดยบีบให้ กกต.ลาออก 3 คน จาก 5 คน ซึ่งจะทำให้ กกต.จัดการเลือกตั้งไม่ทันภายในระยะเวลาที่กำหนดตามกฎหมายนำไปสู่การเรียกร้องให้ใช้มาตรา 7 ตามรัฐธรรมนูญ เปิดทางให้ตีความเพื่อขอ “นายกฯ พระราชทาน”


เพราะหาก กกต.เหลือเพียง 2 คน การเลือกตั้งก็จะสะดุดกลางคัน โดยกฎหมายให้เวลาสรรหา กกต.ใหม่ภายใน 60 วัน ซึ่งก็อาจล่วงเลยวันเลือกตั้งไปแล้ว

แต่ปัจจัยเหล่านี้เป็นความต้องการของคนส่วนน้อยที่คิดว่า การปิดประเทศและใช้อำนาจเผด็จการเบ็ดเสร็จทุกอย่างจะเป็นทางออกและแก้ปัญหาความวุ่นวาย ด้วยการจัดระเบียบประเทศใหม่ โดยไม่เชื่อว่ากระบวนการทางประชาธิปไตยจะสามารถเรียนรู้และพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนสามารถสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบได้ในอนาคต

อย่างไรก็ตาม เมื่อประเมินปัจจัยบวกลบทั้งหมด ทุกฝ่ายต่างมั่นใจว่า จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นแน่นอน

ฝ่ายการเมืองทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านก็ต้องการให้มีการเลือกตั้งเพราะจะมีกระดานให้เล่น


โดยเฉพาะอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำรัฐบาล ที่แน่วแน่ประกาศให้มีการเลือกตั้งตามคำสัญญา โดยกำหนดช่วงเวลายุบสภาไว้ชัดเจน ไม่เกินสัปดาห์แรกของเดือน พ.ค. ซึ่งประชาธิปัตย์เองก็มั่นใจลึกๆ ว่า จะได้กลับมาเป็นรัฐบาลต่อ จาก “พรรคร่วมฯ” ที่พร้อมรวมขั้วปั้นเป็นนายกฯ อีกสมัย

ส่วนพรรคเพื่อไทยและขบวนการเสี้อแดงก็เรียกร้องให้มีการยุบสภา เพราะมั่นใจในพลังของเสื้อแดงที่จะชนะการเลือกตั้งและได้เป็นรัฐบาล

ขณะที่การแก้ไขร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ 3 ฉบับ รองรับการแก้ไขรัฐธรรรมนูญเปลี่ยนระบบการเลือกตั้งเป็นเขตเดียว คนเดียว 375 คน และระบบปาร์ตี้ลิสต์ 125 คน รวม 500 คน และให้อำนาจ กกต.จัดการเลือกตั้งตามระบบใหม่ ก็เดินตามกำหนดเวลา
โดยวันนี้ กมธ.สภาจะพิจารณาแก้ไขเสร็จทั้ง 3 ฉบับ และจะเสนอให้สภาลงมติในวาระ 2-3 ได้สัปดาห์หน้า คาดว่ากระบวนการแก้ไขกฎหมายลูกซึ่งจะสิ้นสุดที่วุฒิสภา จะไม่เกินกลางเดือน เม.ย. ก่อนจะส่งต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาในขั้นตอนสุดท้าย

ทุกอย่างเป็นไปตามปฏิทินที่นายกฯ กำหนด และถ้าเร็วสุดก็อาจยุบสภาได้ในวันที่ 27 เม.ย.

สำหรับ กกต. หลังจาก สดศรี กวนน้ำให้ขุ่น “ประพันธ์ นัยโกวิท” ต้องออกมาดับกระแสข่าวลือต่างๆ ว่า จะไม่มีใครลาออก และถึงแม้สดศรีจะขอบาย แต่ กกต.ก็ยังจัดการเลือกตั้งได้ และถ้าเกิดอุบัติเหตุอีก การสรรหา กกต. คนใหม่ไม่น่าใช้เวลานาน เชื่อว่าจะทันต่อการจัดการเลือกตั้ง

ล่าสุด กกต. ได้เดินหน้าเต็มสูบอบรมเจ้าหน้าที่ร่วมกับฝ่ายปกครองและประชาชน แบ่งเขตเลือกตั้งตามระบบใหม่

ส่วนสดศรีหลังถูกสวดยับ เมื่อกระแสล้มการเลือกตั้งปลุกไม่ขึ้น เจ้าตัวเริ่มเสียงอ่อนว่า แม้ได้ไปสมัครเป็น “กรรมการปฏิรูปกฎหมาย” แต่โอกาสได้ก็ยากเต็มทน เพราะมีผู้สมัครมากถึง 234 คน และเมื่อเกิดประเด็นนี้ขึ้น กรรมการก็คงไม่เลือกเธอแน่ คงกลัวว่าจะไม่มีคนจัดการการเลือกตั้ง

ปัจจัยจาก กกต.จึงหมดห่วง ส่วนกองทัพ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ได้ให้หลักประกันว่า กองทัพพร้อมสนับสนุนการเลือกตั้ง ไม่ขัดขวางและไม่มีปฏิวัติแน่

เพราะได้บทเรียนจากการรัฐประหาร 2549 ครั้งนั้น “บิ๊กตู่” เข้าร่วมในฐานะรองแม่ทัพภาคที่ 1 คุมกำลังหลักช่วย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา แม่ทัพภาคที่ 1 ล้มรัฐบาลทักษิณ แต่หลังยึดอำนาจมาได้ปีเศษก็ได้ข้อสรุปว่า ไม่สามารถใช้อำนาจเบ็ดเสร็จได้อย่างที่หวัง เพราะการต่อต้านจากคนเสื้อแดงจนพรรคพลังประชาชน “นอมินีทักษิณ” สามารถกลับมาชนะการเลือกตั้งเป็นรัฐบาลหักหน้า “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธาน คมช. ราบคาบ

กองทัพจึงไม่กล้าใช้ “อำนาจนอกระบบ” อีก เพราะได้เสียต้นทุนไปมาก โดยเฉพาะกับเหตุการณ์พฤษภาเลือด วิธีที่ดีและปลอดภัยกับกองทัพมากที่สุดคือ “การปฏิวัติเงียบ” ผ่านกลไกในระบบ

ฝ่ายเพื่อไทยวิเคราะห์ว่า เหตุที่กองทัพไม่ออกหน้ามายุ่งกับการเมืองมากเกินไป เพราะมั่นใจว่าจะใช้อำนาจแฝงที่มีอยู่ช่วยให้พรรคประชาธิปัตย์กลับมาเป็นรัฐบาลอีก โดยล็อกพรรคร่วมไม่ให้อยู่กับเพื่อไทย เหมือนที่กองทัพใช้ค่ายทหารตั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์

“สมบัติ ธำรงธัญวงศ์” อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) มองว่า กระแสการเมืองโลกปัจจุบันไม่สนับสนุนให้ใช้อำนาจนอกระบบมาเป็นทางออกวิกฤต นอกจากต้องใช้กลไกการเลือกตั้ง เห็นได้ชัดจากการต่อสู้ในตะวันออกกลาง ถ้ายังปกครองประเทศคนเดียว 30 ปีประเทศก็ล้าหลังไปไม่รอด แม้ว่าการเลือกตั้งในไทยยังมีปัญหา แต่ก็ต้องเดินต่อไปและให้เวลาสำหรับการปรับตัว

“เราไม่ควรไว้ใจใครให้ใช้อำนาจเด็ดขาด ที่ผ่านมาเราเคยปิดเทอมมาแล้วแต่ประเทศก็ไม่ดีขึ้น วันนี้เราต้องหนักแน่นเดินในกลไกของระบอบประชาธิปไตยเพื่อสร้างประชาธิปไตยให้มั่นคง ถ้ามีการปฏิวัติขึ้นอีก ก็อยู่ไม่ได้เพราะจะเกิดการต่อต้านอย่างรุนแรง”


บรรยากาศความขัดแย้งของประเทศกำลังคลายตัวตามวิถีทางประชาธิปไตยและทุกฝ่ายก็ลุ้นผลการเลือกตั้ง โดยหวังว่าปมปัญหาต่างๆ ที่ขมวดซ้อนมาตั้งแต่การรัฐประหาร คดียุบพรรค เหตุการณ์พฤษภา 53 น่าจะคลายไปอีกเปลาะกับการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่ใครที่ขัดขวางก็จะถูกตราหน้าว่าเป็นผู้สร้างปัญหาซ้ำเติมชาติ และเป็นศัตรูต่อระบอบประชาธิปไตย

มีใครอยากฆ่าตัวตายทางการเมืองบ้างยกมือขึ้น...


ที่มา:โพสต์ทูเดย์วิเคราะห์ โดย ทีมข่าวการเมือง(update:30 มีนาคม 2554 เวลา11:04น.)

วันจันทร์, มีนาคม 28, 2554

รายงานพิเศษ ฮิโรยูกิตายฟรี

ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง”ปรากฏการณ์ชั่วครู่ชั่วยาม สะท้านใน”เฟซบุ้ค”



ราว 2-3 สัปดาห์ก่อน มีปรากฏการณ์เล็กๆ เกิดขึ้นในแวดวงผู้ใช้เฟซบุ๊กชาวไทยกลุ่มหนึ่งเป็นการเฉพาะ

ก่อนหน้านั้นไม่นาน ทางเว็บไซต์เฟซบุ๊กมีการปรับปรุงระบบการใช้งาน ส่งผลให้มีการเปลี่ยนตำแหน่งแห่งที่และฟังก์ชั่นต่างๆ ในหน้าเพจของผู้ใช้บริการอยู่พอสมควร

ที่สำคัญ คือ มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นที่หน้าเพจของ "กลุ่ม" ต่างๆ ซึ่งเคยมีฟังก์ชั่นการใช้งานในลักษณะ "ผู้ถูกกระทำ" เพียงอย่างเดียว เนื่องจากมันถูกสร้างขึ้นเพื่อให้คนอื่นๆ เข้ามาคลิกชอบ หรือแสดงความคิดเห็นบนเพจดังกล่าวเท่านั้น

อย่างมากที่สุด ผู้ใช้บริการเฟซบุ๊กซึ่งเป็นผู้ดูแล "เพจกลุ่ม" ต่างๆ ก็ทำได้เพียงแค่การตั้งประเด็นสนทนาชวนคุยบนหน้าเพจที่ตนดูแลอยู่

หากเปรียบเทียบกับหน้าเพจส่วนตัวของผู้ใช้บริการเฟซบุ๊กทั่วไป "เพจกลุ่ม" แบบเก่าจึงปราศจากชีวิตจิตใจ เพราะตัวมันเองไม่สามารถไปคลิกไลค์หรือแสดงความเห็นบนหน้าเพจอื่นๆ ได้

แต่เมื่อเฟซบุ๊กปรับปรุงระบบการใช้งาน "เพจกลุ่ม" ก็กลับกลายสถานะเป็น "ผู้กระทำการ" ขึ้นมาทันที เพราะเครือข่ายสังคมออนไลน์ชื่อดังได้เปิดโอกาสให้ผู้ดูแล "เพจกลุ่ม" ซึ่งมีหน้าเพจส่วนบุคคลในฐานะผู้ใช้บริการเฟซบุ๊กอยู่แล้ว สามารถแปรสภาพตนเองให้กลายเป็น "เพจกลุ่ม" ที่มีชีวิตจิตใจ

และสามารถเข้าไปคลิกไลค์หรือแสดงความเห็นบนหน้าเพจอื่นๆ ในเฟซบุ๊ก ในฐานะของ "เพจกลุ่ม" ได้

ถ้า "เพจกลุ่ม" เหล่านั้นเป็นเพจของบริษัทหรือองค์กร อะไรๆ ที่น่าสนุกก็คงไม่เกิดขึ้นตามมามากนัก

แต่ในกรณี "เพจกลุ่ม" ที่มีสถานะเป็นศูนย์รวมของเหล่าแฟนคลับหรือผู้ชื่นชอบดารา นักร้อง เซเล็บ บุคคลสำคัญทางการเมืองทั้งในอดีตและปัจจุบัน ตลอดจนตัวละครในการ์ตูน วรรณกรรม และภาพยนตร์ชื่อดังแล้ว

ผู้ใช้บริการชาวไทยสามารถประยุกต์ใช้ฟังก์ชั่นที่เปลี่ยนแปลงไปของเฟซบุ๊กได้อย่างน่าทึ่งและชวนหัวเป็นอย่างยิ่ง

เริ่มจากการสร้าง "เพจกลุ่ม" ให้ตัวการ์ตูนชื่อดัง พร้อมคำพูด "วรรคทอง" ประจำตัวของตัวการ์ตูนดังกล่าว "เพจกลุ่ม" อันมีชีวิตชีวาแบบไทยๆ ค่อยๆ ขยายตัวไปสู่ตัวละครดัง

จากตัวละครดังไปสู่หน้าเพจที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อล้อเลียนเสียดสีเซเล็บของสังคมไทย อาทิ เพจกลุ่มของ "แม่ชีระลึกชาติ ประธานกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติที่แล้ว" ที่มาพร้อมกับคำอธิบายเรื่องอดีตชาติแบบฮาๆ มากมาย

ล้วลามไปสู่การเกิดขึ้นของหน้าเพจนักคิดนักเขียนนักวิชาการชื่อดังของสังคม เช่น "นิธิ" ที่มาพร้อมกับวรรคทอง "มันเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง" "ชัยวัด" ที่มาพร้อมวรรคทอง "ความรุนแรงมีหลายเฉด" เรื่อยไปจนถึง "คลำ ผกา" และ "สมศักดิ์ เจียม" ที่มาพร้อมวลีเด็ด "ผมโกรธมาก"

กระทั่งมีทั้ง "ตัวจริง" และ "ตัวปลอม" ของ "สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล" ปะทะกันในเฟซบุ๊กในท้ายที่สุด

สำหรับจุดสุดยอดสำหรับคอการเมืองน่าจะอยู่ที่การถือกำเนิดขึ้นของหน้าเพจ "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" (แต่มีการดัดแปลงชื่อ) และ "จอมพล ป. พิบูลสงคราม" พร้อมด้วยบุคคลสำคัญอีกหลายคนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ซึ่งลุกขึ้นมาสนทนากันจนชุลมุนวุ่นวายชวนหวาดเสียวในโลกเฟซบุ๊กปี พ.ศ.2554 อย่างน่ามหัศจรรย์และตลกร้ายเหลือคณา

กล่าวได้ว่านี่คือ "ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง" บนหน้าเพจเฟซบุ๊กเลยทีเดียว

น่าเสียดายที่กระแสซึ่งเกิดขึ้นแบบจำกัดกลุ่ม (เพราะทั้งคนที่ต้องมารับบทเป็นบุคคลสำคัญทางการเมือง นักวิชาการ และเซเล็บรายอื่นๆ ได้เนียนและฮา และคนเข้ามาคลิกไลค์ที่ต้องเข้าใจมุขเหล่านั้น ย่อมต้องเป็นผู้มีความรู้เฉพาะด้านอยู่พอสมควร) และการใช้เฟซบุ๊กแบบ "เล่นๆ" ที่สุ่มเสี่ยงจะละเมิดกฎหมายมากขึ้นเรื่อยๆ

กระทั่งมีการขู่จะดำเนินคดีกับ "เพจกลุ่ม" หน้าหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อล้อเลียนบุคคลผู้มีสถานะเป็นดังรูปเคารพของวัดดังแห่งหนึ่ง

ได้ส่งผลให้หน้าเพจบุคคลสำคัญในเฟซบุ๊กที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาจนน่ากลัว (สำหรับใครบางคนบางกลุ่ม) เสื่อมคลายมนต์ขลังไปในชั่วระยะเวลาไม่นานนัก

อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์เล็กๆ เช่นนี้ ได้แสดงให้เห็นถึงคุณลักษณะบางประการของเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ถูกนำมาช่วงชิงประยุกต์ใช้ในบริบทเฉพาะของสังคมการเมืองแบบไทยๆ ได้อย่างน่าสนใจ ดังที่มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งวิเคราะห์เอาไว้ว่า

"การได้เห็นวรรคทองข้ามเวลามาตอบโต้กัน โดยเฉพาะจากบรรดาตัวละครของประวัติศาสตร์การเมืองไทย เป็นอาการผิดฝาผิดตัว ข้ามที่ข้ามเวลา ที่หมดจดงดงามชนิดจินตนาการไปไม่ถึง การลักลั่นย้อนแย้งของข้อความสั้นๆ ที่ตอบโต้กันอย่างชวนหัวนี้ได้สลายพื้นที่ทางเวลาแนวดิ่ง และขยายพื้นที่ความสัมพันธ์ทางการเมืองแนวระนาบ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม นี่คือการเสียดสีอันลึกซึ้งที่นักเขียนและผู้เรียนประวัติศาสตร์ควรเชื่อมโยงมัน

เราขอเรียกปรากฏการณ์นี้แหละว่า "สนามวาทกรรม" หอจดหมายเหตุแห่งวรรคทองที่ถ้าฟูโกต์ยังอยู่คงรี่เข้าใส่ (ถ้าเขาอ่านภาษาไทยออก) กลเกมแห่งภาษาและถ้อยคำสั้นๆ ที่เลือนความหมายออกไปจากตัวมันได้อย่างง่ายดาย ได้สร้างโครงข่ายบางอย่างขึ้น การตอบโต้ของศัตรูหรือคู่รักทางการเมือง คู่แฝดในประวัติศาสตร์... มันได้นำพาการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์เพื่อบ่อนเซาะฐานที่มั่นของประวัติศาสตร์เชิงเดี่ยวลงทีละน้อย

ไม่ว่าใครจะตั้งใจอะไรอย่างไรเอาไว้ เป็นแค่เรื่องสนุกของเด็กติดเน็ตมือบอน หรือคนผู้แค้นเคืองทางการเมืองไทยก็ตาม สงครามวาทกรรมข้ามเวลานี้ ไม่ได้ผุดบังเกิดขึ้นมาเอง มันเชื่อมโยงกันอยู่โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

ว่ากันว่าสิ่งที่เผด็จการกลัวที่สุดคือเรื่องตลก เพราะการทำให้ตลกเป็นการทำลายอำนาจของเผด็จการเอง การทำประวัติศาสตร์ให้เป็นเรื่องตลก บางทีอาจเป็นการต่อต้านประวัติศาสตร์ ที่ประวัติศาสตร์เองจะต้องกลัว

ไม่เช่นนั้น คำว่า "ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว" คงไม่ได้มีความหมายฮาๆ อย่างที่มันเป็นอยู่ในตอนนี้"

ที่มา: มติชนออนไลน์

วันศุกร์, มีนาคม 25, 2554

เกมลึกนายใหญ่ลับลวงพรางสกัด เหลิมบอมบ์


ปัญหาความขัดแย้งในพรรคเพื่อไทยยังเป็นฝุ่นตลบ ไม่ได้ข้อยุติง่ายๆ ว่าใครจะเป็นผู้นำเบอร์หนึ่ง ชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีกับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

การลาออกจาก สส.พรรคเพื่อไทยของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง แม้ว่าจะไม่มีผลต่อการทำหน้าที่ฝ่ายค้าน หรือการเป็นขุนพลของพรรคในสภา

เพราะเพียงเดือนกว่า หรือต้นเดือน พ.ค. ก็จะมีการยุบสภาเลือกตั้งใหม่ สส.ในสภาทั้งหมด 474 คน ก็จะพ้นจากเก้าอี้

การไขก๊อกออกจาก สส.ก่อนโค้งสุดท้ายที่จะมาถึง จึงเป็นการต่อรองอำนาจผลประโยชน์ในพรรค เพราะที่สุดแล้ว “บิ๊กเหลิม” ยืนยันว่าจะไม่ลาออกจากสมาชิกพรรคเพื่อไทย และจะช่วยพรรคเดินสายหาเสียงต่อไป

ปฏิเสธไม่ได้ว่าท่าทีที่แข็งกร้าวของ “บิ๊กเหลิม” ครั้งนี้ เพราะไม่พอใจที่ ทักษิณ ชินวัตร เอาใจไปให้ มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ให้ขึ้นเป็นคู่ชิงนายกฯ จนได้เป็นผู้นำการอภิปรายไม่ไว้วางใจ และถูกบรรจุเป็นนายกฯ แนบท้ายในญัตติ

ทั้งที่ก่อนหน้านี้ บิ๊กเหลิม ประกาศตัวมานานไม่ว่าจะเดินสายไปหาเสียงที่ไหน จะขอเป็นนายกฯ เพียง 6 เดือน เพื่อนำทักษิณกลับประเทศ และเห็นว่าพรรคเพื่อไทยต้องเดินแนวดุ ซึ่งก็เข้ากับบุคลิกของขุนพลฝั่งธนฯ ที่จะได้ประโยชน์จากการเมืองแนวขัดแย้งมากกว่าเล่นเกมประนีประนอมในสไตล์ของมิ่งขวัญ

อาการน้อยใจของ “บิ๊กเหลิม” ทำให้ สส.กลุ่มบ้านริมคลองร่วม 30 คน บุกไปเป็นกำลังใจให้เขา ก่อนจะหูผึ่งเมื่อนายใหญ่ได้โทร.ต่อสายขอเคลียร์ใจกับ “บิ๊กเหลิม” พอดี ด้วยวาทะดุเด็ดเผ็ดร้อน นัยว่า “บิ๊กเหลิม” ช่วยพรรคมานาน เงินก็ไม่เคยขอ แต่ทักษิณไม่เคยจริงใจ กระทั่งเฉลิมจะขอลูกลง สส.กทม. ก็ไม่มีคำตอบให้

แต่บทสรุปของ “บิ๊กเหลิม” คือ จะช่วยพรรคเพื่อไทยต่อไป เพียงแต่ยื่นเงื่อนไขขู่ว่า ถ้าทักษิณตัดสินใจเลือกมิ่งขวัญเป็นผู้นำพรรค ก็จะไม่มีคนชื่อเฉลิมอยู่ในถ้ำเพื่อไทย และหากไม่รับเงื่อนไขการต่อรองลึกๆ รวมทั้งการวางตัวผู้สมัคร สส. หรือการวางตำแหน่งแห่งหนของบิ๊กเหลิม หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล ก็จะไม่มาช่วยพรรค

กระนั้น เหตุที่ “บิ๊กเหลิม” ไม่มีทางออกจากเพื่อไทย เหมือนที่ขู่ว่าจะออกไปตั้งพรรคใหม่ร่วมกับ ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ และนิติภูมิ นวรัตน์ เพราะการตั้งพรรคใหม่มีความเสี่ยงมาก ต้องใช้ทุนสูง และไม่รู้ว่าจะได้กี่เสียง แต่หากอยู่เพื่อไทยที่มีเครือข่ายพร้อม อย่างไรก็ได้เป็น สส.แน่ และถ้าเป็นรัฐบาลก็ต้องได้ตำแหน่งรัฐมนตรีเกรดเอชัวร์

เกมต่อรองของสองสิงห์ในพรรค “นายใหญ่” กับ “บิ๊กเหลิม” ถือว่าต่างฝ่ายต่างเก๋าเกม รู้ทันกันทั้งคู่ และเป็นเสือที่พร้อมขย้ำศัตรูได้ทุกโอกาส หากผลประโยชน์ที่ได้รับไม่คุ้มค่ากับการลงทุนในช่วงที่ผ่านมา

ทักษิณเองวันนี้ก็ยังไม่กล้าประกาศว่าจะเลือกมิ่งขวัญ หรือยิ่งลักษณ์ แม้เชื่อว่าบรรทัดสุดท้ายน่าจะจบที่น้องสาวตัวเอง เหตุเพราะปัจจัยชี้ขาดหลังการเลือกตั้งว่าใครจะได้เป็นรัฐบาลหรือไม่ นอกจากเสียงของประชาชนแล้ว ยังมีองค์ประกอบสำคัญอีกหลายประการจากอำนาจทุกฝ่ายในประเทศ เพราะผลการเลือกตั้งครั้งนี้มีเดิมพันสูงยิ่ง และอาจเป็นจุดเปลี่ยนของระบอบการเมืองและการจัดสมดุลครั้งใหม่ในประเทศ หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล

ท่ามกลางการแข่งขันที่เข้มข้น กองทัพก็ถูกจับตาว่าจะใช้อำนาจสกัดทักษิณและขบวนการเสื้อแดงไม่ให้เข้ามามีอำนาจ เพื่อป้องกันไม่ให้สถาบันหลักได้รับผลกระทบ

ดังนั้น ทักษิณจึงต้องมีไพ่ไว้เล่นหลายใบ เพื่อใช้ตามสถานการณ์การต่อสู้ทั้งก่อนเลือกตั้ง หลังเลือกตั้ง และช่วงโหวตเลือกนายกฯ ในสภา เขาจึงขอดูสถานการณ์ให้ถึงที่สุดก่อน เพราะยังมีเวลาเหลืออีกเดือนกว่า ก่อนที่นกหวีดเลือกตั้งจะถูกเป่าขึ้น

ทว่า ท่าทีทักษิณยังคงแข็งกร้าว ไม่สนเกมกดดันของบิ๊กเหลิม โดยบอกผ่าน นพดล ปัมทะ คนใกล้ชิดว่า นี่เป็นปัญหาเล็กน้อย เมื่อพรรคเป็นองค์กรต้องผ่านเรื่องเหล่านี้ให้ได้ เพราะหากบิ๊กเหลิมสร้างความแตกแยกในพรรคอย่างนี้มาเป็นเกมต่อรองเพื่อตัวเอง ปัญหาก็จะไม่จบสิ้น

แต่ลึกๆ แล้วทักษิณเชื่อว่าปัญหาน่าจะจบ เพราะตัวเลือกสุดท้ายของทักษิณกับบิ๊กเหลิมตรงกัน คือ ยิ่งลักษณ์

กลุ่ม สส.ที่เชียร์ยิ่งลักษณ์ ซึ่งก็คือกลุ่มสายตรงทักษิณ มีมากกว่าครึ่งของพรรค เชื่อว่าที่สุดทักษิณจะจัดการมิ่งขวัญ โดยรอให้ยุบสภาก่อน ทักษิณถึงจะชูยิ่งลักษณ์ขึ้นเป็นผู้นำอย่างเป็นทางการ เพราะบุคลิกของมิ่งขวัญอ่อนปวกเปียกเกินกว่าที่จะมาเป็นผู้นำในบรรยากาศที่ยังขัดแย้งกันแรง และไม่ทันกลเกมของฝ่ายตรงข้าม แต่ที่ถูกเชิดขึ้นมาเป็นผู้นำการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็เพียงเพราะต้องการเอามาเชือด “บิ๊กเหลิม”

แต่เมื่อเวทีซักฟอกจบ จ๊อบของมิ่งขวัญก็ถือว่าจบตาม เหมือนอย่างที่กลุ่มทักษิณบอกไว้ว่า คนที่จะถูกชูเป็นนายกฯ อาจไม่ใช่คนที่ถูกชูเป็นผู้นำอภิปรายไม่ไว้วางใจ

นี่เป็นแผนย้อนเกล็ดมิ่งขวัญ เหมือนที่ “บิ๊กจิ๋ว” “บิ๊กเหลิม” ถูกนายใหญ่ปิดบัญชีไปทีละคนสองคน นั่นเพราะประสบการณ์ที่ทักษิณถูกเนวินฆ่าสมัยอยู่พรรคพลังประชาชน ทักษิณจึงไม่อยากให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีก จึงรีบชิงลงมือเชือดบิ๊กเหลิมแต่เนิ่นๆ ไม่ให้ไต่ระดับขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่ง ส่วนมิ่งขวัญเหมือนลูกไก่ในกำมือ จะบีบก็ตาย จะคลายก็รอด

ทว่า กลุ่มมิ่งขวัญเองก็มีพลพรรคไม่น้อย และเชื่อในข้อเด่นของมิ่งขวัญที่พยายามถอดเสื้อแดงออกจากพรรคเพื่อไทย เพื่อทำให้คนชั้นกลางในเมืองที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกฝ่ายใด เลิกหวาดกลัว และหันมาเลือกพรรคเพื่อไทยในยุคที่มิ่งขวัญเป็นผู้นำพรรค เพราะถ้าเป็นยิ่งลักษณ์ขึ้นมาเป็นผู้นำ ก็อาจไม่ได้เสียงจากคนกรุงที่ยังปฏิเสธทักษิณ

อย่างไรก็ตาม วันนี้แกนนำเพื่อไทยก็ให้คำตอบไม่ได้ว่า บรรทัดสุดท้ายจะขีดเส้นที่ยิ่งลักษณ์ในตำแหน่งนายกฯ หรือไม่ โดยเฉพาะหากการต่อสู้รุนแรงกว่าที่คาด ก็อาจเปลี่ยน “ม้ากลางศึก” ได้อีก เพื่อต่อรองกับอำนาจนำให้ลงตัวมากที่สุด

ที่สุดแล้ว ศึกในเพื่อไทยคงต้องบอกว่าตัวละครอย่างบิ๊กเหลิมและมิ่งขวัญ ยังเป็นไม้กระดกแห่งอำนาจ รอเป็นระเบิดเวลาในพรรคเพื่อไทยอีกหลายยก

ที่มา: โพสต์ทูเดย์วิเคราะห์ โดย...ทีมข่าวการเมือง(update 25 มีนาคม 2554 เวลา 08:22 น.)

วันอังคาร, มีนาคม 22, 2554

ความจริง..บนโลกไซเบอร์

“ยุทธศาสตร์ 2 ขา 5 เขต เราเพิ่มเขตที่ 5 คือเขตที่อยู่ในโลกไซเบอร์...พี่น้องต้องเข้าไปต่อสู้ในเขตนี้ด้วย”

นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ รักษาการประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ปราศรัยกับคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2554 ที่ครบรอบ 1 ปีของการชุมนุมใหญ่ “นปช. แดงทั้งแผ่นดิน” ที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของประชาชนตามยุทธศาสตร์ 2 ขา 5 เขต คือขาหนึ่งต่อสู้ในสภา อีกขาอยู่ในถนนต่อสู้กับคนเสื้อแดง ส่วน 5 เขตคือ 1.ในชนบท 2.ในเมือง 3.ในกรุงเทพฯ 4.ในต่างประเทศ และ 5.ในโลกไซเบอร์

แต่อุปสรรคสำคัญคือระบอบที่ล้าหลังอย่าง “ระบอบอำมาตย์” ทั้งๆที่เศรษฐกิจไทยเป็นทุนนิยมแล้ว แต่เมื่อศูนย์อำนาจการเมืองการปกครองและศูนย์อำนาจทางเศรษฐกิจอยู่ในกรุงเทพฯ ดังนั้น สนามการต่อสู้ที่จริงจังและแตกหักจึงอยู่ในกรุงเทพฯ คนเสื้อแดงจึงต้องปักหลักต่อสู้ในเขตกรุงเทพฯ

“ตาสว่าง” ไม่ต้อง “ปากสว่าง”

ขณะที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. แดงทั้งแผ่นดิน กล่าวถึงยุทธวิธีเคลื่อนไหวของ นปช. แดงทั้งแผ่นดิน โดยขึ้นกล่าวปราศรัยเป็นครั้งแรกหลังจากถูกจองจำกว่า 9 เดือนว่า ต้องสอดรับกับสถานการณ์ โดยเฉพาะการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น นปช. แดงทั้งแผ่นดิน ทุกคนต้องทำตัวเป็นผู้ปฏิบัติงานในสนามเลือกตั้งของฝ่ายประชาธิปไตย ไม่ใช่หัวคะแนนเหมือนในอดีต โดยคนเสื้อแดงจะปูพรมทั่วทุกอณูพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อไปอธิบายหลักการ แนวคิดเรื่องประชาธิปไตย ไปติดอาวุธทางความคิด ติดอาวุธทางปัญญาให้ประชาชน จนประชาชนเกิดความเข้าใจว่าทำไมต้องต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย

“สิ่งที่ผมได้ยินตอนอยู่ในเรือนจำคือคำว่าตาสว่าง ไม่รู้ใครเขาพูดกัน แต่ผมได้ยินพี่น้องบอกว่าตาสว่างๆๆ ถามว่าพี่น้องตาสว่างแล้วผมสว่างไหม ผมก็สว่าง เมื่อประชาชนตาสว่างก็จะไม่มีใครสามารถซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดได้อีกต่อไป ประเด็นคือเมื่อตาสว่างแล้วเราจะทำอย่างไรต่อ พี่น้องที่เคารพครับ สำหรับผมที่จะพูดคุยกับพี่น้องในฐานะที่เราเดินต่อสู้ในเวทีกลางแจ้ง เราต่อสู้อย่างเปิดเผย เราต่อสู้อย่างตรงไปตรงมาตลอดแบบนี้ ผมอยากจะบอกกับพี่น้องว่า ตาสว่างแต่บางทีปากไม่ต้อง สว่างก็ได้ครับ ตาสว่างไม่จำเป็นว่าปากต้องสว่าง ในบางสถานการณ์เสียงกระซิบมันได้ผลกว่าเสียงตะโกนครับ”

สงครามข่าวสาร

นายณัฐวุฒิยอมรับว่าเจ็บปวดที่ถูกขัง 9 เดือน แต่เทียบไม่ได้กับการบาดเจ็บล้มตายของพี่น้องเสื้อแดงที่วันนี้ยังถูกกล่าวหาเป็นผู้ก่อการร้ายและล้มสถาบัน กรณีโลกอาหรับก็ทำให้วันนี้สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงโบกพัดให้คนเสื้อแดงที่เจ็บปวดจากการต่อสู้มีความรู้สึกสดชื่นตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง เฉกเช่นคนทั่วโลกที่กำลังต่อสู้กับอำนาจเผด็จการเพื่อให้ได้ประชาธิปไตย แม้ในลิเบียยังลูกผีลูกคน

“ท่านเห็นไหมว่าสถานการณ์การต่อสู้ของเราอยู่ในระนาบใกล้เคียงกับสถานการณ์ของเขาเหมือนกัน แล้วเดาไม่ถูกว่าประชาชนประเทศไหนจะถึงเส้นชัยแห่งประชาธิปไตยก่อนกัน แต่สิ่งที่ผมมั่นใจได้ก็คือ ไม่มีประชาชนในประเทศใดๆจะยอมศิโรราบต่ออำนาจของผู้เผด็จการอีกแล้ว นี่คือสิ่งที่ผมมั่นใจ”

อย่างไรก็ตาม นายณัฐวุฒิยืนยันว่าการต่อสู้ของคนเสื้อแดงจะเป็นไปอย่างสันติวิธี แม้จะต้องต่อสู้ทั้ง “มือที่มองไม่เห็น” อำนาจพิเศษ และอำนาจมืดต่างๆที่พูดไม่ได้ แต่คนเสื้อแดงต้อง “ตาสว่าง” รู้แจ้งเห็นจริงเพื่อต่อสู้ให้ได้ชัยชนะ

โดยเฉพาะในโลกไซเบอร์ที่นางธิดาให้พี่น้องคนเสื้อแดงเข้าไปต่อสู้ในเขตนี้ด้วย เพราะวันนี้โลกไซเบอร์กลายเป็นสนามต่อสู้สำคัญของคนทั้งโลกที่ใช้ทวงอำนาจจากคนส่วนน้อยคืน อย่างกระแสประชาธิปไตยในโลกอาหรับที่เกิดจากโลกไซเบอร์ ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊คหรือทวิตเตอร์

เช่นเดียวกับขบวนการเสื้อแดงจะต้องสู้ต่อไปเรื่อยๆ มีการชุมนุมเดือนละ 2 ครั้งจนกว่าจะได้รับความยุติธรรมและมีผู้รับผิดชอบ 91 ศพที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” การรณรงค์ของกลุ่ม “ไม่เอา 112” เพื่อไม่ให้นำกฎหมายหมิ่นเบื้องสูงมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง หรือกรณี “วิกิลีกส์” ที่นำข้อเท็จจริงและเบื้องหลังสถานการณ์ต่างๆในโลกและประเทศไทยออกมาเปิดเผย

ความจริงเผาบ้านเผาเมือง

โดยเฉพาะเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่วันนี้ยังไม่มีคำตอบว่าใครเป็น “ฆาตกร” หรือ “ใครสั่งฆ่าประชาชน” รวมทั้งใครที่เผาบ้านเผาเมือง แต่ในโลกไซเบอร์นั้นกลับสามารถค้นหาทั้งภาพถ่าย คลิปวิดีโอ ข่าว และความคิดเห็นทุกแง่ทุกมุมได้ แม้จะถูกปิดกั้นจากอำนาจรัฐหรือผู้นำเผด็จการก็ตาม

โลกไซเบอร์จึงเป็นประชาธิปไตยมากที่สุด โดยเฉพาะการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและประชาธิปไตยซึ่งไม่มีใครปิดกั้นได้ ประชาธิปไตยจึงถูกส่งผ่านทางโลกไซเบอร์ ซึ่งมีพลานุภาพน่ากลัวไม่น้อยไปกว่าสึนามิถล่มประเทศญี่ปุ่น

อย่างกรณีเผาเซ็นทรัลเวิลด์ที่อภิปรายอย่างดุเดือดในสภานั้น หลักฐานมากมายก็นำมาจากโลกไซ-เบอร์ที่มีการนำไปเผยแพร่ ซึ่งสื่อกระแสหลักหรือสื่อทั่วไปไม่นำเสนอหรือไม่กล้านำเสนอ อย่างการชี้แจงของตัวแทนผู้บริหารของเซ็นทรัลเวิลด์ต่อคณะกรรม-การติดตามสถานการณ์บ้านเมือง วุฒิสภา ที่มีนายจิตติพจน์ วิริยะโรจน์ ส.ว.ศรีสะเกษ เป็นประธานว่า มีคนกลุ่มหนึ่งพยายามลอบเผาห้างหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ เนื่องจากมีหน่วยรักษาความปลอดภัยคอยป้องกันเหตุจำนวนหลายร้อยคน หลังจากคนเสื้อแดงมอบตัวแล้วกลุ่มคนดังกล่าวพร้อมอาวุธครบมือได้เข้ามาภายในเซ็นทรัลเวิลด์จนสามารถบีบให้หน่วยรักษาความปลอด ภัยยอมจำนนและสามารถเผาได้สำเร็จ โดยมีวิดีโอบันทึกภาพกลุ่มคนที่วางเพลิงไว้ด้วย

สอดคล้องกับนายสุทธิธรรม จิราธิวัฒน์ ประ-ธานกรรมการบริหารบริษัทกลุ่มเซ็นทรัล ที่ให้สัมภาษณ์หลังเกิดการเผาห้างไม่ถึง 2 เดือนว่า ห้างมีวอร์รูมตั้งแต่เดินขบวนที่มีเจ้าหน้าที่ประจำตลอด 24 ชั่วโมง มีผู้บริหารระดับหนึ่งประจำอยู่เพื่อประเมินสถานการณ์ก่อนรายงานตรงถึงผู้บริหารระดับสูงได้ตลอดเวลา วอร์รูมจึงมีข้อความถึงผู้บริหารตลอดทุก 10 นาที หรือทุกครึ่งชั่วโมงแล้วแต่ความเคลื่อนไหว

ซักฟอกผ่านโลกไซเบอร์

แม้แต่การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ 9 รัฐมนตรี ก็ยังมีการตอบโต้ผ่านโลกไซเบอร์ โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ตอบโต้นายอภิสิทธิ์ที่ชี้แจงนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ในฐานะหัวหน้าทีมอภิปราย ฝ่ายค้าน เรื่องหนี้สาธารณะว่ารัฐบาลต้องกู้เงินมาฟื้นฟูเศรษฐกิจที่พรรคเพื่อไทยก่อเอาไว้ และยืนยันว่ามีหนี้น้อยกว่ายุค พ.ต.ท.ทักษิณ โดย พ.ต.ท.ทักษิณทวิตว่า

“ได้ฟังคุณอภิสิทธิ์ตอบคุณมิ่งขวัญในสภาแล้วรู้สึกว่าน้องยังเด็กเหลือเกิน นักการเมืองที่ดีต้องพูดความจริงต่อประชาชนครับ ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน”

พ.ต.ท.ทักษิณยังทวิตต่อว่า สมัยตนรับหนี้มาจากรัฐบาลประชาธิปัตย์ 2 ก้อนใหญ่ๆคือ 1.หนี้กองทุนฟื้นฟูที่เกิดจากการขายทรัพย์ที่เอามาจากสถาบันการเงินล้มแบบโง่ๆให้กับโกลด์แมน ซาคส์, เลห์แมน บราเธอร์ส และจีอี แคปปิตอล ที่ได้ราคาไม่ถึง 20% ของต้นทุนทรัพย์สิน แถมยังช่วยไม่ให้ฝรั่งเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอีก หนี้ก้อนนี้ประมาณ 700,000 ล้านบาท หนี้ก้อนที่ 2 กู้มาจากโครงการมิยาซาวา, ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี), ธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ประมาณ 600,000 กว่าล้านบาท ซึ่งหนี้ไอเอ็มเอฟประมาณ 400,000 ล้านบาท ใช้ไปหมดแล้ว รัฐบาลนายอภิสิทธิ์เข้ามาจึงถือโอกาสกู้เงินเพื่อหวังผลทางการเมืองและมีการคอร์รัปชัน ทำให้หนี้สูงขึ้นเป็นลำดับ

“ขอแนะนำว่าให้ยอมรับและบอกว่าจะให้ความสนใจเศรษฐกิจในประเทศมากขึ้น จะใช้เงินที่กู้มาให้เกิดประโยชน์กว่านี้ จะปล่อยให้โกงน้อยลง จะไม่ให้เกิดการกักตุนสินค้าและตามมาด้วยการขึ้นราคาแบบนี้อีก ผมว่าดูจะเป็นผู้ใหญ่กว่า ได้รับความเห็นใจกว่า บอกประชาชนไปเลยครับว่าผมกำลังเรียนรู้งานอยู่ อีกหน่อยผมก็เก่งเองครับ”

“จาตุรนต์” ทวิตถล่มซ้ำ

เช่นเดียวกับนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย ในฐานะทีมวอร์รูมติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งมีแกนนำพรรคและสมาชิกบ้านเลขที่ 111 คอยประเมินผลการอภิปราย ก็ทวิตข้อความตอบ โต้นายอภิสิทธิ์เรื่องหนี้ว่า พรรคไทยรักไทยทำให้หนี้ที่พรรคประชาธิปัตย์สร้างไว้ลดลงอย่างมากและรวดเร็ว

“คุณอภิสิทธิ์ไปเอาตัวเลขหนี้สาธารณะมาจากไหน และยังตัดตอนประวัติศาสตร์มาพูด ลักไก่เอาแบบไม่น่าเชื่อ เรื่องตัวเลขหนี้สาธารณะเป็นอย่างไรก็เรื่องหนึ่ง แต่หนี้ตอนไหนมากกว่าตอนไหนไม่ใช่ประเด็น จะจับให้มั่นคั้นให้ตายต้องรวบรวมเรื่องใหญ่ๆที่คุณอภิสิทธิ์ไม่ตอบหรือตอบไม่ได้มาแสดงให้เห็น แล้วจะพบว่าคุณอภิสิทธิ์สอบตกแน่ แต่ผมขอไม่ทำเองนะครับ เรื่องหนี้สาธารณะคุณอภิสิทธิ์คิดผิดถนัดที่มาคุยว่าหนี้สมัยตัวเองน้อยกว่าสมัยคุณทักษิณ ทั้งๆที่เรื่องนี้เป็นจุดแข็งที่สุดของคุณทักษิณ และเป็นจุดอ่อนที่สุดของคุณอภิสิทธิ์”

ปชป. รัวทวิตแจงประชาชน

ในวันเดียวกันทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ได้เขียน ข้อความลงทวิตเตอร์ โดยใช้ชื่อว่า “@democratTH” สรุปประเด็นการชี้แจงของนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นข้อความสั้นๆอย่างต่อเนื่อง ทวิตเตอร์ไทยคู่ฟ้า “Thaikhufa” ของรัฐบาลก็โพสต์ข้อความรวมถึงรายงานความเคลื่อนไหวต่างๆของนายอภิสิทธิ์และรัฐมนตรีที่ชี้แจงในการอภิปรายทันทีในแต่ละประเด็นแบบนาทีต่อนาทีทีเดียว

วอร์รูมกองทัพ

แม้แต่กองทัพบกก็ตั้งวอร์รูม โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เปิดเผยว่า วอร์รูมเป็นแค่การติดตามสถานการณ์ทางทหาร ซึ่งกองทัพบกมีงานทุกวันอยู่แล้ว มีเจ้าหน้าที่รับผิดชอบติดตามสถานการณ์รอบประเทศ 24 ชั่วโมง มี 7 กองกำลังทำงาน แต่หากมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับทหารถามเข้ามาก็ตอบไปเท่านั้น เพราะการทำงานของทหารเป็นผู้ปฏิบัติเท่านั้น


อย่างเหตุการณ์เดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ที่กองทัพเข้าไปรับผิดชอบก็ทำตามคนที่สั่งการโดยชอบตามกฎหมายคือรัฐบาล ส่วนการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายอภิสิทธิ์ที่ระบุว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญและกฎหมายสั่งการทหารเข่นฆ่าประชาชนนั้น เรื่องการใช้กำลังทหารไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรง ประชาชนต้องแยกให้ออก เพราะเจ้าหน้าที่ทหารเลี่ยงคำสั่งไม่ได้ กฎหมายคือกฎหมาย ความรับผิดชอบมีอยู่แล้ว ถ้าสั่งการมาแล้วชอบด้วยกฎหมายก็ต้องปฏิบัติ จะปฏิบัติอย่างไรให้เกิดความปลอดภัยต้องใช้ความระมัดระวัง โดยยืนยันว่าช่วงกระชับพื้นที่ทหารทำตามคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายของรัฐบาล ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ กลุ่มเสื้อแดงมีสิทธิเลี่ยงพื้นที่อันตรายได้แต่กลับหันมาสู้กับกฎหมาย

การเมืองบนโลกไซเบอร์

โลกไซเบอร์จึงกลายเป็นพื้นที่การตอบโต้การอภิปรายไม่ไว้วางใจระหว่างฝ่ายค้านกับรัฐบาลที่ดุเดือดไม่น้อยกว่าในสภา และยังอาจได้ข้อเท็จจริงหรือข้อมูลที่ชัดเจนกว่าการอภิปรายในสภา เพราะไม่ถูกขัดจังหวะจากบรรดาองครักษ์พิทักษ์นาย หรือเป็นข้อมูลจากผู้รู้จริง ซึ่งทั้งพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทยก็มีการตั้งวอร์รูมขึ้นมาต่อสู้กัน


วันนี้โลกไซเบอร์จึงมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆในเวทีการเมืองและการเคลื่อนไหวต่างๆของภาคประชาชน แม้แต่การก่ออาชญากรรมและก่อการร้ายต่างๆ เหมือนทีวี.ออนไลน์ที่ขณะนี้คนไทยหลายสิบล้านคนเลือกดูแทนทีวี.เสรีหรือสื่อหลักที่มีการนำเสนอที่อยู่ในกรอบและมอมเมา

อาชญากรรมหรือการเมือง

นิตยสาร The Economist ฉบับวันที่ 2 กรก-ฎาคม 2552 ได้เคยวิเคราะห์การเมืองบนโลกไซเบอร์ของไทยว่าเหมือนกับจีน เพราะทั้ง 2 ประเทศคอยอ้างว่าเป็นประชาธิปไตย แต่โลกไซเบอร์ในจีนกลับเป็นสมรภูมิระหว่างเสรีภาพในการพูดและการเซ็นเซอร์ เช่นเดียวกับไทยที่แม้จะมีเสรีมากกว่าสื่อกระแสหลักที่ขาดความกล้า แต่การตรวจสอบก็ทำมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 โดยกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ได้สกัดกั้นเว็บไซต์มากกว่า 8,300 เว็บ โดยอ้างว่าผิดกฎหมายหมิ่นเบื้องสูง สำนักงานตำรวจแห่งชาติปิดเว็บเพจมากกว่า 32,000 หน้า ด้วยข้อหาต่างๆกันเมื่อปี 2550 แม้แต่ยูทูบยังโดนปิดกั้นเป็นเวลานานหลายเดือนหากเปิดเผยข้อมูลที่ไม่ถูกใจผู้มีอำนาจ


The Economist ยังกล่าวถึงขบวนการ “ไล่ล่าแม่มด” บนโลกไซเบอร์ว่า เบื้องหลังคือการเมืองที่เป็น กลุ่มต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณจนกระทั่งเกิดการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ซึ่งเหมือนการปล้นอำนาจโดยฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่มีกองทัพ ตุลาการ และชนชั้นสูงอยู่เบื้องหลัง โดยใช้กลุ่มเสื้อเหลืองออกหน้าการขับไล่ โดยอ้างว่า พ.ต.ท.ทักษิณและพวกพยายามทำลายสถาบันเบื้องสูง จนในที่สุดนายอภิสิทธิ์ก็ได้เป็นรัฐบาล พร้อมตั้งคำถามว่าเรื่องนี้เป็นการเมืองหรืออาชญากรรม

“ทักษิณ” ใช้โลกไซเบอร์สู้

อย่างไรก็ตาม หลังจากต้องพ่ายแพ้ด้วยโลกไซเบอร์จากการส่งต่อข่าวอย่างเป็นระบบจากกลุ่มต่อต้าน โดยไม่สนว่าข่าวนั้นจะจริงหรือเท็จอย่างไร พ.ต.ท.ทักษิณ ก็พลิกกลับมาใช้โลกไซเบอร์เป็นจุดแข็งมาโดยตลอดในการต่อสู้เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตนเองเช่นกันนับตั้งแต่ต้องออกไปอยู่นอกประเทศ ซึ่งต้องยอมรับว่าการวิดีโอลิ้งค์หรือโฟนอินหรือทวิตข้อความของ พ.ต.ท.ทักษิณเข้ามายังคนเสื้อแดงหรือในเหตุการณ์สำคัญๆหลายครั้งนั้นมีผลต่อสังคมไทยไม่น้อย


ไม่ว่าจะเป็นการกล่าวหาและโจมตีของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์หรือกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พ.ต.ท.ทักษิณก็จะใช้โลกไซเบอร์คอยตอบโต้ ทำให้ยังอยู่ในกระแสข่าวทั้งในประเทศไทยและการเมืองโลก

ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ก็วางยุทธศาสตร์ในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งใหม่ผ่านโลกไซเบอร์มานานแล้ว รวมทั้งเว็บไซต์ของนายอภิสิทธิ์และนายกรณ์ที่ถือเป็นฐานเสียงสำคัญที่สร้างภาพและคะแนนนิยมของนายอภิสิทธิ์และนายกรณ์ให้กับคนรุ่นใหม่จำนวนมากที่ไม่เคยรู้ข่าวจากแหล่งอื่นเพราะรับข่าวสารจากโลกไซเบอร์อย่างเดียวเท่านั้น

โลกไซเบอร์กับประชาธิปไตย

นายยุกติ มุกดาวิจิตร อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวในการเสวนาเปิดตัวหนังสือ “สื่อออนไลน์ BORN TO BE DEMOCRACY” ว่าแม้ไม่แน่ ใจว่าสื่อออนไลน์จะเป็นประชาธิปไตยโดยตัวเอง แต่ก็น่าจะเป็นเครื่องมือนำไปสู่ประชาธิปไตยมากกว่า หรือเรียกว่า born to become democracy


นอกจากนี้ยังมีคำถามเกี่ยวกับสื่อออนไลน์ ซึ่งผู้คนมักมองเห็นพลังและแง่บวกในการสร้าง “พื้นที่สาธารณะ” อย่างไร้พรมแดน ถึงที่สุดก็ไม่ได้ต่างอะไรกับโลกออฟไลน์ พรมแดนทางออนไลน์ที่ยังมีเรื่องของภาษาหรือกฎกติกาในเว็บต่างๆที่คนจะมีส่วนร่วมกำหนดกฎเกณฑ์ในสังคมออนไลน์ได้อย่างไร และไม่ให้รัฐก้าวล่วงมาได้มากน้อยแค่ไหน

สื่อออนไลน์หรือโลกไซเบอร์จึงต้องมีความเท่าเทียม เป็นของกระฎุมพีที่ขยายพื้นที่เพื่อสื่อสารทาง การเมือง ช่วยให้คนฉุกคิด เข้าใจถึงการสื่อสารอื่นๆในโลกความจริง ซึ่งต้องสร้างสังคมประชาธิปไตยในโลกออฟไลน์ให้เป็นจริงขึ้นมาเพื่อจะได้ประชาธิปไตยในโลกออนไลน์ เพราะพื้นที่ออนไลน์กับออฟไลน์มันเกี่ยวกัน อย่างรัฐก้าวล่วงเข้ามาในพื้นที่ออนไลน์ก็ทำให้คนอึดอัด

ขณะที่นายสมบัติ บุญงามอนงค์ บ.ก.ลายจุด แกนนำกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง กล่าวถึงระยะแรกเริ่มของพฤติกรรมคนที่แสดงออกมาทางอินเทอร์เน็ตว่า เหมือนคนที่ออกมาจากคุก จนวันนี้คนก็ยังพูดเรื่องนี้ อินเทอร์เน็ตหรือโลกไซเบอร์จึงให้สิทธิคนอื่นๆในการด่าคนในที่สาธารณะได้ นอกเหนือจากนักข่าว นักเขียน ซึ่งสื่อหนังสือพิมพ์อายุสั้นแค่วันเดียว รายสัปดาห์ก็ 1 สัปดาห์ แต่อินเทอร์เน็ตอยู่นานได้

ดังนั้น วันนี้โลกไซเบอร์จึงเหมือนโลกของประชาธิปไตย ซึ่งปัญหาและเรื่องราวมากมายนั้นสื่อออฟไลน์เสนอไม่ได้หรือไม่กล้านำเสนอ อย่างกรณีวิกิลีกส์ที่สื่อกระแสหลักของไทยจำใจเซ็นเซอร์ตัวเอง แต่คนไทยกลับสามารถรับรู้ชนิด “คำต่อคำ” ผ่านทางโลกไซเบอร์หรืออินเทอร์เน็ตได้

โลกไซเบอร์จึงทำให้คนจำนวนมากได้ “ตาสว่าง” รู้ว่าอะไรจริง อะไรเท็จ ใครทำดี ใครทำชั่ว ใครเป็นฆาตกร ใครเป็นผู้บริสุทธิ์?

แม้ในสภาจะเต็มไปด้วยน้ำลายที่มีแต่การโกหกตอแหล แต่ก็ไม่อาจปกปิด “ความจริง” ในโลกไซเบอร์ได้ว่า ใครคือฆาตกรสังหารโหด 91 ศพและไอ้โม่งตัวจริงที่เผาบ้านเผาเมือง

“กรรมออนไลน์” บนโลกไซเบอร์ จึงรวดเร็วทันใจกว่า “กรรมติดจรวด”

ใครก่อกรรมอะไรไว้...ได้เวลาชดใช้กรรมในชาตินี้...ไม่ต้องรอถึงชาติหน้า!


ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 303 วันที่ 19-25 มีนาคม พ.ศ. 2554 หน้า 16-17 คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน
2011-03-21

วันจันทร์, มีนาคม 21, 2554

ปฏิบัติการเด็ดปีกกัดดาฟีสิทธิมนุษยชนหรือสวาปามน้ำมัน

การใช้กำลังอาวุธโจมตีลิเบียโดยกองทัพสหรัฐ อังกฤษ และฝรั่งเศส เกิดขึ้นตามมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ที่เปิดโอกาสทองให้กับชาติตะวันตก ด้วยการประกาศเขตห้ามบินเหนือน่านฟ้าลิเบีย เพื่อหยุดยั้งการใช้เครื่องบินรบของกองกำลังที่ภักดีต่อพันเอก โมอัมมาร์ กัดดาฟี ปูพรมโจมตีฝ่ายต่อต้าน

จุดประสงค์แท้จริงของมตินี้ ก็เพื่อปรามการสังหารหมู่ประชาชนด้วยน้ำมือของกัดดาฟี หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ชาติตะวันตกกำลังรุนแรงต่อลิเบีย (อีกฝ่าย) ด้วยเหตุผลด้านมนุษยธรรมและป้องกันการสังหารหมู่ฝ่ายตรงข้าม ที่อาจบานปลายเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ พิจารณาจากการกระทำอันบ้าบิ่นของผู้นำลิเบียที่ไม่แยแสต่อมติ UNSC และวาจาของผู้นำลิเบียที่ประกาศกร้าว พร้อมชำระแค้นผู้ตรงข้ามอย่างสาสม

มื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ที่มีมนุษยธรรมเป็นธรรมประจำใจย่อมไม่คัดค้านการใช้กำลังทหารขวางกัดดาฟี หาไม่แล้วโลกอาจต้องเป็นประจักษ์พยานการฆ่าหมู่จนแผ่นดินทะเลทรายกลายเป็นทะเลเลือด โดยไม่อาจยื่นมือเข้าแทรกแซงได้ทันการณ์

แต่แล้วเหตุใดจึงยังมีเสียงคัดค้านการใช้กำลังอาวุธรุมกินโต๊ะกัดดาฟี ทั้งๆ ที่หาได้มีประเทศใดคัดค้านมติของ UNSC


ทั้งนี้ แม้จีนและรัสเซียซึ่งเป็น 1 ใน 5 สมาชิกถาวรของคณะมนตรี และมีสิทธิวีโตทุกมติ เพียงสงวนท่าทีงดออกเสียงเท่านั้น แต่ในเวลาต่อมา จีนและรัสเซียแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจนต่อการกระทำของชาติตะวันตก ฝ่ายจีนนั้นล่าสุดเมื่อวันที่ 20 มี.ค. ถึงกับระบุผ่านเว็บไซต์ของกระทรวงการต่างประเทศว่า “จีนได้สังเกตความคืบหน้าล่าสุดในลิเบีย และเสียใจที่เกิดการโจมตีด้วยกำลังทหาร”

ท่าทีกำกวมของรัสเซียและจีนเห็นได้ชัดว่าเป็นการถ่วงดุลของการเหยียบเรือสองแคม ระหว่างการเห็นด้วยกับการลงโทษผู้นำลิเบียและการต่อต้านการรุกรานโดยตะวันตก ซึ่งทั้งสองประเด็นนี้ จีนและรัสเซียยังหาจุดสมดุลไม่ได้

หากจีนและรัสเซียวีโต้การใช้กำลังกับกัดดาฟี จะถูกประชาคมโลกตราหน้าในทันทีว่าให้ท้ายเผด็จการมือเปื้อนเลือด


แต่หากจีนและรัสเซียปล่อยให้ชาติตะวันตกรุมสกรัมลิเบียอย่างไม่ยั้งมือ ในที่สุดแล้วผลประโยชน์มหาศาลจะถูกฉวยไปโดยที่ทั้งสองประเทศไม่มีสิทธิเข้าไปยุ่มย่ามอีก

ผลประโยชน์ที่ว่านี้ย่อมหมายถึงแหล่งน้ำมันในลิเบีย

สหรัฐ อังกฤษ ฝรั่งเศส มีเจตนาแอบแฝงในการ “ใช้กำลังเพื่อมนุษยธรรม” หรือไม่นั้น มีเพียง 3 ประเทศที่รู้อยู่เต็มอก แต่ข้อเท็จจริงหนึ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ ใครก็ตามที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับฝ่ายที่กุมอำนาจบงการอุตสาหกรรมน้ำมันในลิเบีย ผู้นั้นย่อมได้ประโยชน์อย่างไม่ขาดสาย

ที่ผ่านมาผู้ที่กุมอำนาจนั้นย่อมเป็นกัดดาฟี ซึ่งบริหารประเทศที่กรุงตริโปลีทางตะวันตกของลิเบีย แต่แหล่งน้ำมันส่วนใหญ่ตั้งอยู่ทางตะวันออกของประเทศ ที่บัดนี้ควบคุมโดยกลุ่มกบฏ

ในระหว่างที่ชาวโลกกำลังพุ่งความสนใจไปยังภัยพิบัติที่ญี่ปุ่น กัดดาฟีไม่เพียงรุกคืบจนยึดเมืองคืนจากฝ่ายกบฏได้จำนวนหนึ่งเท่านั้น แต่ในช่วงเวลาดังกล่าว National Oil Corporation บริษัทน้ำมันแห่งชาติของลิเบียยังเตรียมทำสัญญามอบแหล่งน้ำมันให้จีนและอินเดียได้ร่วมพัฒนารวมถึงประเทศที่ผู้นำลิเบียเห็นว่าเป็นมิตรต่อตน

ย้ำอีกครั้งว่า จีนและอินเดียเป็น 1 ใน 5 ประเทศที่งดออกเสียงสนับสนุนมติถล่มลิเบีย ซึ่งได้แก่ จีน รัสเซียในฐานะสมาชิกถาวรของ UNSC ส่วนอินเดีย เยอรมนี และบราซิล เป็นสมาชิกสมทบ

หลังจากที่กลุ่มกบฏยึดพื้นที่ภาคตะวันออกอันอุดมไปด้วยน้ำมันไว้ได้ จนเกือบจะตัดขาดกัดดาฟีจากอิทธิพลเหนือพื้นที่ดังกล่าวไปอย่างสิ้นเชิง ปรากฏว่ากัดดาฟีเลือกใช้การโจมตีทางอากาศ จนเป็นโอกาสให้ชาติตะวันตกยื่นมือเข้ามา ด้วยเหตุผลอันชัดเจน แต่เจตนาคลุมเครือเหมือนการฉวยโอกาสโจมตีแดนมิคสัญญีอื่นๆ

ขณะนี้ยังประเมินยอดผู้เสียชีวิตภายหลังการโจมตีทางอากาศโดยฝ่ายกัดดาฟีต่อประชาชนอย่างชัดเจนไม่ได้ แต่ล่าสุดฝ่ายกัดดาฟีอ้างว่า การโจมตีทางอากาศโดยชาติตะวันตกยังผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 48 ราย อีกทั้งสถานีโทรทัศน์ของทางการลิเบียยังรายงานว่า พลเรือนตกเป็นเป้าการโจมตีในครั้งนี้ด้วย

สรุปว่า ทั้งสองฝ่ายต่างตกเป็นจำเลยเหมือนกัน ในข้อหาโจมตีโดยไม่สนใจว่าจะมีพลเรือนไร้อาวุธรวมอยู่ด้วย

ไม่ผิดมากนักจากคำกล่าวของ ฮูโก ชาเวซ ประธานาธิบดีเวเนซุเอลา และมหามิตรของกัดดาฟี ที่กล่าวด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวว่า “พวกนั้นต้องการยึดครองน้ำมันของลิเบีย ชีวิตของประชาชนชาวลิเบียไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับพวกนั้นเลย”

ชาเวซจะต้องไม่ลืมว่า “พวกเขา” ในที่นี้ต้องรวมกัดดาฟีเอาไว้ด้วย

และ “พวกเขา” มิได้หมายถึงรัฐบาลหรือผู้นำประเทศเท่านั้น แต่ยังรวมถึงภาคธุรกิจที่จะมีได้มีเสียกับสถานการณ์ในลิเบีย

แม้จะยังไม่อาจยืนยันความเกี่ยวข้องระหว่างการโจมตีโดยชาติตะวันตกและการเกื้อหนุนบรรษัทน้ำมันชั้นนำ แต่สถานการณ์ในลิเบียที่ยอกย้อนซ่อนกลทำให้ต้องจับตาบริษัทน้ำมันจากประเทศที่เกี่ยวข้องกับการโจมตีลิเบียไปพร้อมๆ กัน

บริษัทเหล่านั้น ได้แก่ BP และ Shell จากอังกฤษ ExxonMobil, Marathon Oil , Hess และ ConocoPhillips จากสหรัฐ Verenex จากแคนาดา Eni จากอิตาลี Total จากฝรั่งเศส ซึ่งในบรรดาบริษัทเหล่านี้ Eni มีสัดส่วนการผลิตในลิเบียมากที่สุด 12% Marathon Oil 12% ConocoPhillips 3.3% และ Total ราว 3%

ที่น่าสนใจก็คือ บริษัทจากประเทศที่ไม่สนับสนุนการใช้กำลังแทรกแซงลิเบีย มีสัดส่วนการผลิตที่ค่อนข้างต่ำ ไม่ว่าจะเป็น PetroChina จากจีน Petrobras จากบราซิลมีเพียง Gazprom จากรัสเซียเท่านั้นที่มีสัดส่วนการผลิตพอสมควรที่ 7.4%

แม้กำลังการผลิตจะต่ำ แต่การที่ลิเบียเล็งเห็นความเป็น “มิตรแท้ในยามยาก” จากประเทศเหล่านี้ ในอนาคต PetroChina หรือ Gazprom ก็อาจมีส่วนแบ่งมากขึ้นอีกนับเท่าตัว หากกัดดาฟีสามารถต้านทานการโจมตีได้ในที่สุด และขยายสัญญาทางธุรกิจให้กับบริษัทจากประเทศมหามิตร

แต่หากกัดดาฟีพ่ายแพ้ มีโอกาสสูงที่ฝ่ายตรงข้ามจะโอนความมั่งคั่งให้กับชาติตะวันตกเพิ่มเติม โดยไม่ต่อสัญญากับจีนหรือรัสเซีย หากไม่ถึงกับยกเลิกสัญญาการขุดเจาะและสำรวจ เพราะทั้งสองประเทศต่างสงวนท่าทีอย่างชาญฉลาดจนไม่สบช่องให้ “ชำระแค้น” ได้

ทั้งนี้ ลิเบียมีกำลังการผลิตน้ำมันในอันดับ 18 ของโลกด้วยกำลังการผลิต 1.55 ล้านบาร์เรลต่อวัน แต่สภาพทางภูมิศาสตร์ใกล้กับยุโรปมากที่สุดในบรรดาประเทศผู้ผลิตน้ำมันด้วยกัน ยกเว้นรัสเซีย

ฝ่ายพันธมิตรนานาชาติที่เข้า “ขัดขวาง”กัดดาฟี จะประสบความสำเร็จในการ “ปลดปล่อย” ชาวลิเบียในเวลาอันสั้นหรือไม่นั้น ยังเร็วเกินกว่าที่จะตอบได้ แม้แต่กัดดาฟีเองถึงจะลั่นคำรามว่า นี่คือ “สงครามยืดเยื้อ” แต่เอาเข้าจริงก็เกินความสามารถของผู้นำลิเบียที่จะประเมินได้เพียงลำพัง

แต่มีความเคลื่อนไหวประการหนึ่งที่น่าสนใจมาจากฝ่ายสหรัฐ

นั่นคือแถลงการณ์ของประธานาธิบดีบารักโอบามา แห่งสหรัฐที่กล่าวต่อชาวบราซิลที่นครรีโอเดจาเนโร ที่ระบุว่า “สหรัฐปรารถนาจะเป็นลูกค้าชั้นดีที่สุดของบราซิล ในยามที่บราซิลเริ่มขายน้ำมัน”

การที่สหรัฐ “จีบ” บราซิลอย่างไม่อ้อมค้อม ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า สหรัฐกำลังหาแหล่งน้ำมันสำรองแทนที่ลิเบีย หรือกระทั่งแหล่งในแอฟริกาหรือไม่ ในกรณีที่สงครามในลิเบียยืดเยื้อ และนานาประเทศในแอฟริกาคว่ำบาตรสหรัฐ ดังที่สหภาพแอฟริกา (AU) ได้มีแถลงการณ์ประณามและเรียกร้องให้ชาติตะวันตกหยุดใช้กำลังทหารแทรกแซงลิเบีย

หากแอฟริกาไม่พอใจชาติตะวันตกอย่างรุนแรง ถึงขั้นใช้มาตรการปิดกั้นธุรกิจน้ำมันจากตะวันตกไม่ให้เข้ามามีส่วนแบ่ง ปริมาณน้ำมันที่ไหลเข้าชาติตะวันตกจะลดวูบในทันที เพราะในกลุ่มท็อป 20 ของประเทศผู้ผลิตน้ำมันมากที่สุดในโลก มีถึง 4 ประเทศที่มาจากภูมิภาคนี้ คือ แอลจีเรีย ซึ่งมีกำลังการผลิตน้ำมัน 2.18 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในอันดับที่ 12 ของโลก แองโกลา 1.835 ล้านบาร์เรลต่อวัน รั้งอันดับที่ 15 และไนจีเรีย 1.825 ล้านบาร์เรลต่อวัน

ยังไม่นับประเทศที่ไม่ออกเสียงแต่คัดค้านมติ UNSC อยู่ในที คือ บราซิลที่กำลังการผลิต 1.973 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในอันดับที่ 14 ของโลก และมหามิตรของลิเบียคือเวเนซุเอลาในอันดับที่ 13 ด้วยกำลังการผลิต 2.175 ล้านบาร์เรลต่อวัน

หากชาติตะวันตกและบรรษัทน้ำมันชั้นนำมีเจตนาแอบแฝงในการโจมตีลิเบียจริง การบุกลิเบียเพื่อหวังแหล่งน้ำมันคงไม่ง่ายดายเท่ากับการบุกอิรักอย่างแน่นอน


ที่มา: โพสต์ทูเดย์วิเคราะห์ : 21 มีนาคม 2554 เวลา 08:29 น.

วันอาทิตย์, มีนาคม 20, 2554

สกู๊ป คืบหน้า เสธ เเดงถูกยิง 15 03 54



Ref: http://www.youtube.com/watch?v=cOfHmM1A6Gs

3ชายฉกรรจ์บุกสภาเข้าห้องคุมฉายคลิปเผาเซ็นทรัลเวิลด์

ส.ส.เพื่อไทยเปิดคลิป ภาพถ่ายแฉกลางสภาชายชุดดำกว่า 20 คนปฏิบัติการเผาเซ็นทรัลเวิลด์ โดยไล่ รปภ.ห้างออกจากพื้นที่ พร้อมสกัดไม่ให้รถดับเพลิง 223 คันเข้าดับไฟ โดยอ้างมีการยิงกันทำให้ไม่ปลอดภัย ภาพยันหลังสลายการชุมนุมพื้นที่โดยรอบมีคนอยู่น้อย และไม่มีการยิงปะทะกัน สภาอลม่านเมื่อชายฉกรรจ์พกปืนบุกเข้าห้องฉายคลิป ส.ส.ประชาธิปัตย์ช่วยปกป้อง ยืนยันไม่ได้พกอาวุธเข้าสภา

ที่รัฐสภา การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลของพรรคฝ่ายค้านเมื่อวันที่ 17 มี.ค. ที่ผ่านมา ฝ่ายค้านเน้นเรื่องการจัดซื้ออาวุธของกองทัพที่ไม่มีคุณภาพ ไม่มีประสิทธิภาพ แพงเกินจริง จากนั้นเป็นเรื่องการสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อเดือน เม.ย. และ พ.ค. 2553

รัฐบาลปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรง

น.ส.อรุณี ชำนาญยา ส.ส.พะเยา พรรคเพื่อไทย เปิดประเด็นอภิปรายว่า ขอเท้าความการเกิดความไม่สงบทางการเมือง เกิดเสื้อเหลือง เสื้อแดง จนในปี 2553 มีการโปรยแก๊สน้ำตา ยั่วยุผู้เข้าร่วมชุมนุม มีคำยืนยันจากเจ้าหน้าที่ NBT ว่ารัฐบาลพยายามจะชี้นำผ่านสื่อ เพราะจะเชิญแต่ผู้ร่วมรายการที่มีความคิดฝ่ายเดียวกันผ่าน NBT ไม่ได้เชิญผู้ที่มีความเป็นกลางมา ทำให้นำพาเหตุการณ์ไปสู่ความรุนแรง การยกระดับความรุนแรงโดยนายกฯเป็นผู้ก่อเหตุ วันที่ 10 เม.ย. 2553 มีผู้เสียชีวิตกว่า 20 ศพ มีการประกาศ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หลังสลายการชุมนุมตาย 91 ศพ บาดเจ็บอีก ภาคใต้ก็มีคาร์บอมบ์ มีการตายเกิดขึ้น บางส่วนพิสูจน์ได้ว่าเจ้าหน้าที่เป็นผู้ทำ วันนี้ถึงนายกฯจะสร้างภาพให้เกิดความปรองดอง มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยุบสภา ตอนนี้สายไป ท่านไม่ได้จริงใจที่จะปรองดอง จึงไม่ไว้วางใจท่านนายกฯ

เสื้อแดงเปลี่ยนข้อเรียกร้องตลอด

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า ข้อหาแรกที่ท่านบอกว่าไม่มีความพยายามปรองดอง ไม่มีความอดทน ต้องเรียนว่าบางเรื่องไม่มีข้อเท็จจริง กรณีประกันตัวคนเสื้อแดงและแกนนำมีหลายฝ่ายมาช่วย การชุมนุมของคนเสื้อแดงก็มีมาโดยตลอด ข้อเรียกร้องที่กำหนดโดยแกนนำก็เปลี่ยนแปลงตลอด หลังปี 2553 ค่อยมาเรียกร้องเรื่องยุบสภา

ไม่ว่าผู้ชุมนุมเป็นผู้ก่อการร้าย

“ผมไม่ได้มองผู้ชุมนุมว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ถ้าจะเทียบเคียงกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกับภาคใต้ ความรุนแรงก็ไม่เท่ากัน วันนี้ท่านเอาภาพพี่น้องที่มาร่วมชุมนุมด้วยความเรียบร้อยเป็นขบวน ก่อนวันที่ 10 เม.ย. 2553 ท่านไม่พูดเรื่องระเบิดอาร์พีจี ก่อนประกาศ พ.ร.ก. ท่านไปยึดสี่แยกราชประสงค์ ที่ท่านพูดท่านไม่ซื่อสัตย์กับข้อเท็จจริง แนวทางผมพิสูจน์ว่าเรามีความอดทน หลังเหตุสลายการชุมนุม ตอนนั้นมีกลุ่มผู้ชุมนุมหลายกลุ่ม แต่เราพยายามไม่ให้มีการปะทะกัน ไม่เหมือนตอนมีผู้ชุมนุมที่ทำเนียบ เราต้องพูดต่อเรื่องที่มีผู้ก่อการร้ายใช้ประโยชน์จากการชุมนุมกันต่อ”

ยันไม่มีมือที่มองไม่เห็นช่วย

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ท่านกล่าวหาว่าพรรคประชาธิปัตย์ตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร มีมือที่มองไม่เห็นช่วย ขอชี้แจงว่าไม่มี เราตั้งรัฐบาลกันในสภา เป็นไปตามรัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้อยู่

“พวกท่านทำกันเป็นขั้นเป็นตอน ในปี 2552 ก็ปรากฏเป็นฝันร้ายของคนกรุงเทพฯ อยากจะบอกว่านายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีจากความเห็นชอบจากสมาชิกของสภาผู้แทนราษฎร การที่นายอภิสิทธิ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรีก็มาจากการที่มีการตกลงกันเอง ไม่ได้มีมือที่ไหนมาช่วย หลังจากนั้นทางพรรคเพื่อไทยก็แสดงความไม่พอใจ และมีการทำกันเป็นขั้นเป็นตอน เป็นระบบ ตั้งแต่ปี 2552 แล้ว หลังจากนั้นก็มีการก่อการจลาจลจนก่อให้เหตุการณ์วุ่นวาย กระทั่งหลังจากนั้นก็เกิดการระเบิด รัฐบาลไม่เคยไปประณามประชาชนว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ซึ่งผมจะบอกให้หมดว่าในสภานี้ใครบ้างที่ถูกข้อกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย รัฐบาลนี้ไม่ใช่รัฐบาลเผด็จการ แต่เป็นรัฐบาลที่มาตามกระบวนการประชาธิปไตย”

ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อำนาจ

นายวิเชียร ขาวขำ ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ก่อนจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้นเป็นมาอย่างไร กลุมพันธมิตรฯเป็นคนให้ข้อมูลทุกวันว่าทั้งนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพร่วมกับเขาในการโค่นล้ม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และไปร่วมกับทหารในการจัดตั้งรัฐบาล นายอภิสิทธิ์กับนายสุเทพทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ การที่เขามาเรียกร้องประชาธิปไตยแต่กลับได้กระสุนปืนและโลงศพกลับไป



จากนั้นนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย อภิปราย โดยยืนยันว่ามีพยานหลักฐานอย่างชัดเจนว่าใครเป็นคนเผาเซ็นทรัลเวิลด์

คลิป-ภาพถ่ายแฉใครเผาเซ็นทรัล

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวรวัจน์ได้เปิดคลิปวิดีโอและภาพถ่ายประกอบการอภิปราย โดยเป็นภาพลำดับเหตุการณ์ช่วงก่อนและหลังไฟไหม้เซ็นทรัลเวิลด์ โดยในภาพแสดงให้เห็นว่าช่วงที่ทหารเข้าสลายการชุมนุมที่แยกราชประสงค์แล้วไม่มีประชาชนอยู่โดยรอบพื้นที่ และไม่มีการยิงปะทะกันอย่างที่กล่าวอ้างว่ามีการยิงกันจนทำให้เจ้าหน้าที่เข้าไปดับเพลิงไม่ได้ ซึ่งคลิปจริงยาว 3 ชั่วโมงเศษ ไม่มีการตัดต่อ

ชายฉกรรจ์ 20 คนปฏิบัติการ

ภาพและคลิปวิดีโอยังแสดงให้เห็นว่าผู้บริหารห้างเซ็นทรัลประชุมเตรียมการรองรับเหตุการณ์ตลอดเวลา โดยเตรียมถังดับเพลิงและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเอาไว้กว่า 200 คน รวมเจ้าหน้าที่อื่นด้วยประมาณ 400 คน จากนั้นมีกลุ่มชายฉกรรจ์กว่า 20 คนเข้ามาในพื้นที่ โดยขนสิ่งของเข้ามา ต่อมามีการปาระเบิดและจุดไฟเผา โดยเจ้าหน้าที่ของเซ็นทรัลถูกไล่ออกจากพื้นที่

ไล่ รปภ. ออกมาก่อนเผา

นายวรวัจน์กล่าวว่า ชายฉกรรจ์เพียง 20 กว่าคนเข้าไปในพื้นที่ขณะที่พนักงานรักษาความปลอดภัยมีกว่า 200 คน แต่ทำไมจึงควบคุมไม่ได้ เพราะว่าใช้กำลังไล่เขาออกมา

“เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยืนยันว่าไฟไม่มีทางไหม้หากเหตุการณ์ปรกติ เพราะมีระบบป้องกันอย่างดี แต่นี่จงใจมาเผาและห้ามไม่ให้เข้ามาดับเพลิง ทั้งที่มีรถดับเพลิงอยู่รอบพื้นที่ 223 คัน” นางวรวัจน์กล่าวพร้อมชูหนังสือที่ระบุว่าเป็นคำให้การของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดที่พร้อมจะเป็นพยานในชั้นศาล เพราะเขาทนเห็นความไม่ถูกต้องไม่ได้

ส.ส.ประชาธิปัตย์ประท้วงวุ่น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การอภิปรายของนายวรวัจน์เกิดเหตุวุ่นวายเมื่อ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ลุกขึ้นประท้วง โดยท้าทายให้ยืนยันมาเลยว่าทหารเป็นผู้เผาเซ็นทรัลเวิลด์ เพราะคลิปที่เปิดนั้นไม่ชัดเจนว่าเป็นใคร

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า สภาวุ่นวายอีกครั้งเมื่อ ส.ส.พรรคเพื่อไทยพูดในห้องประชุมสภาว่ามีชายชุดดำ 3 คนพกอาวุธเข้ามาในสภา และเข้าไปในห้องโสตของสภาที่เปิดคลิปวิดีโอ แต่ได้รับการประท้วงจากพรรคประชาธิปัตย์ว่าไม่เป็นความจริง และไม่มีการพกพาอาวุธเข้ามาในสภาแต่อย่างใด


ที่มา: จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
ปีที่ 12 ฉบับที่ 3015 ประจำวัน ศุกร์ ที่ 18 มีนาคม 201

วันพุธ, มีนาคม 16, 2554

ไอ้โม่งชุดดำเผาเซ็นทรัลเวิลด์

ไอ้โม่งชุดดำเผาเซ็นทรัลเวิลด์


สถานการณ์ทางการเมืองขณะนี้ไม่ใช่แค่นับถอยหลังเข้าสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งสุดท้ายในสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้เท่านั้น แต่ยังเชื่อกันว่าจะเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งสุดท้ายของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ใช่เพราะรัฐบาลแพ้คะแนนโหวตในสภา แต่เป็นเพราะกระแสการเมืองและความล้มเหลวในการบริหารบ้านเมืองที่กำลังปิดล้อมรัฐบาลและพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงปัญหาเทคนิคทางกฎหมายที่จะมีผลต่อการประชุมรัฐสภา ซึ่งรัฐบาลจำเป็นต้องยุบสภาปลายเดือนมีนาคม หรืออย่างช้าในเดือนเมษายนนี้

อย่างไรก็ตาม โอกาสที่จะมีสถานการณ์แทรกซ้อนเพื่อไม่ให้มีการเลือกตั้งยังมีอยู่เช่นกัน อย่างที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มมัชฌิมา พรรคภูมิใจไทย เปรยในที่ประชุมพรรคว่า ให้สมาชิกในกลุ่มระวังตัวและติดตามสถานการณ์ให้ดี เพราะขณะนี้บรรยากาศบ้านเมืองแปลกๆ ดูร้อนๆอย่างบอกไม่ถูก รัฐบาลเองไม่รู้จะรับมือได้หรือไม่ เพราะมีม็อบนั้นม็อบนี้เป็นจำนวนมาก บ้านเมืองเริ่มกลับมาวุ่นวาย อีกทั้งยังมีเรื่องปืนหาย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้บรรยากาศดูคล้ายๆกับก่อนการรัฐประหารปี 2549 ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวล เพราะยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และไม่รู้ว่าทหารคิดอย่างไร?

สำนึกทางการเมือง

การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายอภิสิทธิ์กับ 9 รัฐมนตรี ซึ่งมีแค่ 2 พรรคคือ พรรคประชาธิปัตย์กับพรรคภูมิใจไทยนั้น พรรคเพื่อไทยได้วางกรอบการอภิปรายใน 3 ประเด็นหลักคือ 1.การสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง 2.มีการทุจริตคอร์รัปชัน และ 3.บริหารราชการแผ่นดินล้มเหลว

แม้ประเด็นการทุจริตคอร์รัปชัน ปัญหาข้าวของมีราคาแพง และการทำงานที่ล้มเหลวจะเป็นปัญหาที่เห็นชัดเจนของรัฐบาลนี้ แต่คนส่วนใหญ่ยังพุ่งเป้าไปที่การสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง เพราะรู้กันดีว่าการอภิปรายทำได้แค่ทำให้นายอภิสิทธิ์และรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายมีความน่าเชื่อถือลดลงเท่านั้น แม้การอภิปรายจะมีความน่าเชื่อถือแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ไม่เคยมีผู้นำรัฐบาลหรือรัฐมนตรีคนใดมี “สำนึกทางการเมือง” จนลาออก เพราะนักการเมืองไทยไม่ว่ายุคใดสมัยใด หากไม่มี “หลักฐาน” หรือ “ใบเสร็จ” มามัดตัวชัดเจนก็ไม่มีใครหน้าบาง

นายอภิสิทธิ์ในฐานะผู้นำรัฐบาลยังถูกประณามว่าไม่ใช่เพียงไม่มีสำนึกและแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองกรณีสั่งให้ใช้กำลังทหารนับหมื่นนายพร้อมอาวุธสงครามปราบปรามประชาชนผู้บริสุทธิ์จนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมากในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษ-ภาอำมหิต” แล้วเท่านั้น แม้แต่คำ “ขอโทษ” ก็ไม่เคยมี ทั้งที่ตัวเองเคยอภิปรายตำหนิและเรียกร้องผู้นำรัฐบาลก่อนหน้านี้ให้มีสำนึกทางการเมืองแม้จะมีผู้เสียชีวิตเพียงคนเดียวก็ตาม อย่างคำอภิปรายของนายอภิสิทธิ์ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2551 ตอนหนึ่งว่า

“ผมสนใจว่าต้องมีคนรับผิดชอบต่อการสูญเสียที่เกิดขึ้นกับประชาชนครับ การเมืองในวิถีทางประชาธิปไตยไม่มีที่ไหนในโลกที่ประชาชนถูกทำร้ายจากภาครัฐแล้วรัฐบาลที่มาจากประชาชนไม่แสดงความรับผิดชอบ”

กลัวคลิปจนตัวสั่น

การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้จึงถูกจับตาไปที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ที่ประกาศจะอภิปรายปมปริศนาว่าใครเป็นคนเผาเซ็นทรัลเวิลด์ หรือเผาบ้านเผาเมือง ซึ่งไม่ใช่ “ไอ้โม่งชุดดำ” รวมถึงกรณีสังหารโหด 6 ศพที่วัดปทุมวนาราม โดยจะนำผลการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มาเปิดโปงและยืนยันว่ากระสุนมากมายที่ฝังอยู่ใน 6 ศพนั้นมาจากอาวุธทางฝั่งทหาร

นายจตุพรเปิดเผยว่า การอภิปรายครั้งนี้มีการรวบรวมข้อมูลได้เต็มที่ ส่วนใหญ่เป็นเอกสารทางราชการ โดยจะเริ่มด้วยการจับโกหกนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ขณะนั้นว่ามีทหารปฏิบัติการอยู่บนรางรถไฟฟ้าจริง รวมทั้งหลักฐานที่เป็นวิทยาศาสตร์ทั้งหมดว่าการตาย 91 ศพ จาก 21 จุดเป็นอย่างไร โดยเฉพาะเหตุการณ์ไฟไหม้ห้างเซ็นทรัลเวิลด์จะมีภาพทุกจุดทั้งข้างในและข้างนอกจากกล้องวงจรปิด เพื่อให้เห็นทุกวินาทีและเห็นคนลงมือทั้งหมด รวมถึงความสงสัยที่ว่าทำไมหน่วยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจึงไม่สามารถเข้าไปดับไฟได้

“อธิบายให้เห็นว่าช่วงสลายการชุมนุมเป็นอย่างไร ใครสั่งใช้กำลัง ใครรับผิดชอบจุดไหน แล้วจะอธิบายให้ประชาชนได้รับรู้ หากเห็นข้อมูลทั้งหมดแล้วทั้งนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพจะเดินถนนได้ยาก ที่นายสุเทพบอกว่ามีคลิปว่าใครเผาขอให้เตรียมไว้ให้ดีแล้วเอามาเปิดกัน แต่อยากจะเรียกร้องให้ประกาศเป็นสัตยาบันออกมาว่าจะเปิดโอกาสให้แต่ละฝ่ายได้ทำหน้าที่เต็มที่ ไม่มีการประท้วงก่อกวน ต่างฝ่ายต่างนำเสนอ แล้วประชาชนจะตัดสินเองว่าใครพูดเท็จ”

2 บิ๊กกองทัพตอบโต้

ขณะที่ พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) ออกมาตอบโต้นายจตุพรที่จะอภิปรายการเผาเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งจะส่งผลกระทบถึงกองทัพว่า ไม่กังวล เพราะความจริงก็คือความจริง สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 มีการพยายามขอให้ทหารเข้าไปช่วยเหลือเมื่อมีการเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์และในพื้นที่ต่างๆ เพราะเจ้าหน้าที่ดับเพลิงไม่สามารถเข้าไปได้ เพราะมีคนที่แต่งชุดสีดำแล้วมีอาวุธนั้นเป็นใคร และใครเป็นคนเผากันแน่

พล.อ.อ.อิทธพรกล่าวว่า ให้ระวังข้อมูลและภาพที่ปัจจุบันสามารถตัดแต่งได้ง่าย การพูดบางทีก็โกหกหน้าตาเฉย จึงต้องใช้วิจารณญาณ ใช้สติในการรับฟัง คนที่พูดในสภาบางอย่างต้องวิเคราะห์ว่ามีความจริงแค่ไหน ถ้ามีทหารเข้าไปจริงคงพิสูจน์ได้ เรื่องต่างๆต้องให้กระบวนการยุติธรรมเป็นผู้ตัดสิน ไม่ใช่คนใดคนหนึ่งออกมาพูดแล้วอ้างโน่นอ้างนี่ และโยนว่าทหารเป็นคนทำ ซึ่งไม่ยุติธรรม ทหารเป็นทหารอาชีพ ไม่ใช่ไปตั้งโต๊ะคอยปลุกระดมต่างๆ เราพยายามอยู่ในกรมกอง ทหารไม่อยากไปยุ่งกับการเมือง อยากให้การเมืองแก้ด้วยการเมือง

ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) แสดงความไม่พอใจอย่างยิ่งที่นายจตุพรจะชี้ให้เห็นว่าการเผาเซ็นทรัลเวิลด์เป็นฝีมือทหารว่า

“มันบ้าไง มันเป็นบ้าหรือเปล่า ใครจะไปเผา ทหารจะไปเผาได้ไง มีแต่ไปช่วยเขาดับ แต่มันไม่ให้เข้าไปดับ และจะให้ทำอะไร จะมาบอกว่าทหารเข้าไปเผา มันจะเผาทำบ้าอะไร มันไม่เกิดประโยชน์”

ส่วนการอภิปรายในสภานั้น พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เตรียมข้อมูลให้รัฐบาลและขอความร่วมมือจากศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ที่ผ่านมา ศอฉ. ได้เตรียมข้อมูลมาตลอด มีข้อมูลทุกอย่างที่อธิบายได้ ปัญหาอยู่ที่ว่าจะเชื่อหรือไม่

“ผมถูกกล่าวหาว่าเป็นคนค่อนข้างรุนแรงและชอบตอบโต้ ผมเป็น ผบ.ทบ. เป็นคนดูแลศักดิ์ศรีของกองทัพบก ผมต้องรักษา หากใครมาแตะต้องและต่อว่าหรือพูดในสิ่งที่ไม่ถูกผมต้องออกมาโต้ตอบ ถ้าท่านชมทหารหรือพูดว่าผิดเป็นรายบุคคลผมก็รับ เพราะเป็นกฎหมายและกติกา ถ้าทำผิดต้องลงโทษ แต่จะมาเหมาว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้ ผมรับไม่ได้ จะมาบอกให้ไม่พูดและเงียบๆ จะมาบอกว่าท่าทีผมไม่ปรองดอง ขอยืนยันว่าผมไม่ปรองดองกับคนที่ทำผิดกฎหมาย จะให้ผมไปเจรจากับคนทำผิดกฎหมายผมไม่ทำ เพราะผมเป็นเจ้าหน้าที่ ดังนั้น ขอให้เก็บทหารเป็นหมากสุดท้ายในการเดิน”

ข้อมูลไม่ 100% แต่ครบถ้วน

ด้านนายจตุพรกล่าวถึงการออกมาตอบโต้ของ ผบ.ทบ. และ ผบ.ทอ. ว่า ผบ.เหล่าทัพไม่ควรมาแสดงความโกรธใส่คนเสื้อแดง เพราะข้อมูลที่มาถึงตนและคนเสื้อแดงวันนี้เกิดจากการหักหลังกันเองของรัฐบาลกับกองทัพ เหมือนที่รัฐบาลหักหลังกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ดังนั้น หาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.อ.อิทธพรเป็นนักเลงจริงต้องโกรธรัฐบาลแล้วไปจัดการกับรัฐบาล

“การที่ พล.อ.ประยุทธ์บอกว่าทหารช่วยดับไฟนั้น ขอให้รอดูการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่าทหารช่วยดับไฟหรือช่วยจุดไฟกันแน่ เพราะรายละเอียดต่างๆที่ผมถืออยู่แม้จะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เชื่อว่า 90 เปอร์เซ็นต์นั้นครบถ้วน และสามารถหาข้อมูลอีก 10 เปอร์เซ็นต์ได้ โดยเป็นภาพที่มาจากทุกมุมกล้อง ไม่ว่าจะเป็นเกษรพลาซ่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมถึงภาพจากกล้องวงจรปิดทั้งในและนอกห้างเซ็นทรัลเวิลด์ครบทุกมิติ แบบมีรายละเอียดเป็นวินาที ฟังอภิปรายแล้วจะสามารถตอบได้เลยว่าใครเผาบ้านเผาเมือง และผมจะไม่ขอปรองดองกับฆาตกรเหมือนกัน”

แพะ “ไอ้โม่งชุดดำ”

การออกมาแสดงความรู้สึกไม่พอใจของ ผบ.ทบ. และ ผบ.ทอ. ไม่ว่าจะเป็นการเผาเซ็นทรัลเวิลด์ หรือใครยิงประชาชน รวมทั้งสิ่งที่นายสุเทพออกมาเตือนนายจตุพรถึงคลิปที่จะนำมาใช้ประกอบการอภิปรายว่าอย่าตัดต่อเพื่อบิดเบือนความจริงนั้น ผู้นำกองทัพและนายสุเทพน่าจะกลับไปดู ศอฉ. ในช่วงก่อนหน้านี้ว่าได้ใช้วิธีการโฆษณาชวนเชื่อและบิดเบือนเหตุการณ์ผ่านสื่อต่างๆ ที่ต้องเสนอแต่ข่าวและข้อมูลที่ ศอฉ. ทำขึ้นมาอย่างไร

มีการนำเหตุการณ์ในอดีตมาตัดต่อกับคลิปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อกล่าวหาและใส่ร้ายคนเสื้อแดงว่าเป็นผู้ใช้ความรุนแรงต่างๆนานา

โดยเฉพาะกรณี “ไอ้โม่งชุดดำ” หลังจากเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน 2553 ที่ ศอฉ. “ขอคืนพื้นที่” โดยส่งกำลังทหารพร้อมอาวุธสงครามและใช้แก๊ส น้ำตาสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก จนนายอภิสิทธิ์ต้องหลบไปอยู่ในค่ายทหารหลายวันกว่าจะออกมาแถลงผ่านสื่อต่างๆ หลังจาก ศอฉ. นำภาพ “ไอ้โม่งชุดดำ” มาเผยแพร่และระบุว่าเป็นผู้ก่อให้เกิดความรุนแรง และโยงถึงคนเสื้อแดงว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย” ที่ทำร้ายทหารและประชาชน

นายสุเทพครั้งเป็นผู้อำนวยการ ศอฉ. ให้สัมภาษณ์ว่า ตนเองติดตามสถานการณ์ตลอดเวลาและรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้น แต่กลับไม่สามารถบอกได้ว่า “ไอ้โม่งชุดดำ” เป็นใครหรือคนของฝ่ายใด แต่เมื่อมีหลักฐานว่าแต่งกายอย่างชุดทหาร ศอฉ. ก็ออกมาระบุทันทีว่าเป็น “ไอ้โม่ง” ที่แต่งกายคล้ายทหาร แต่ถ้าไม่รู้ว่าเป็นใครที่ฆ่าและทำร้ายคนเสื้อแดงก็ยัดเยียดให้เป็น “ไอ้โม่งชุดดำ”

“ไอ้โม่งชุดดำ” จึงกลายเป็น “แพะ” ตัวสำคัญที่รัฐบาล กองทัพ ศอฉ. และดีเอสไอยังใช้ในการไล่ล่าคนเสื้อแดงและฝ่ายตรงข้ามในข้อหาเป็น “ผู้ก่อการร้าย” ทั้งที่ผ่านมาเกือบปีแล้วก็ยังไม่มีหลักฐานหรือจับตัว “ไอ้โม่งชุดดำ” ได้แม้แต่คนเดียว

ใครเผาเซ็นทรัลเวิลด์?

เช่นเดียวกับปริศนาว่าใครเผาเซ็นทรัลเวิลด์ที่วันนี้ยังไม่มีผลการสอบสวนออกมาเลย แต่ ผบ.ทอ. กลับออกมายืนยันว่าเป็นฝีมือของ “ไอ้โม่งชุดดำ” ขณะที่ ผบ.ทบ. ออกมาประณามคนที่พยายามกล่าวหาว่าทหารอาจเกี่ยวข้องหรือเป็นคนเผาเซ็นทรัลเวิลด์ว่า “บ้า” แทนที่จะฟังข้อมูลการอภิปรายในสภาก่อน รวมทั้งให้ดีเอสไอและเจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งสอบสวนเพื่อให้ความจริงปรากฏ

เพื่อยุติการกล่าวหาและใส่ร้ายกันไปมา เพราะหลังจากแกนนำ นปช. มอบตัวทั้งหมดแล้วทหารก็สามารถคุมพื้นที่ทั้งภายในและภายนอกเซ็นทรัลเวิลด์ได้ แต่เซ็นทรัลเวิลด์ถูกเผาในช่วงเย็น จึงเป็นธรรมดาที่จะมีการพุ่งเป้าไปที่ทหารด้วย รวมทั้งคำถามว่าแล้วทำไมจึงปล่อยให้เพลิงไหม้เซ็นทรัลเวิลด์จนวอดวายเช่นนี้

ขณะเดียวกันมีหลักฐานทั้งภาพถ่าย คลิปวิดีโอ และพยานบุคคลต่างให้ข้อมูลสอดคล้องกันว่าก่อนเกิดไฟไหม้ในช่วงเย็นนั้น ทหารได้เข้าไปเคลียร์พื้นที่ให้ รปภ. และคนที่อยู่ภายในออกมาข้างนอกทั้งหมด และควบคุมพื้นที่ภายนอกไม่ให้คนเข้าไปภายในบริเวณดังกล่าวอีกด้วย

แต่เผาเซ็นทรัลเวิลด์ในช่วงเย็นเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือผู้นำกองทัพขณะนั้นกลับบอกว่าเข้าไปดับไฟไม่ได้ เพราะมีคนยิงออกมา จึงมีคำถามว่าใครยิง ถ้าเป็น “ไอ้โม่งชุดดำ” ไม่ว่าจะมีนับสิบนับร้อย แต่ทหารมีนับหมื่นทำไมจึงไม่เข้าไปจับหรือปราบปราม


ขณะที่ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด อดีตโฆษก ศอฉ. ออกมาปฏิเสธและชี้แจงว่า ภาพทหารที่อยู่ในเหตุการณ์ก่อนเกิดเหตุเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์ไม่ใช่รูปใหม่ แต่อาจนำเสนอภาพถ่ายจากอีกมุมหนึ่งมาเผยแพร่ ซึ่งที่ผ่านมามีการนำเสนอหลายครั้งแล้ว และ ศอฉ. ได้ชี้แจงการทำงานของเจ้าหน้าที่ไปแล้วว่าทำอะไร อยู่ที่ไหน ใช้อาวุธลักษณะอย่างไร จึงไม่ต้องตรวจสอบอะไรอีก

ภาพและหลักฐานต่างๆทั้งหมดจึงเป็นปริศนาจนทุกวันนี้ แต่คนเสื้อแดงกลับถูกยัดเยียดเป็น “ไอ้โม่งชุดดำ” เป็นคนเผาบ้านเผาเมืองไปแล้ว ทั้งที่จนถึงวันนี้ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนอะไรเลย หรือจับ “ไอ้โม่งชุดดำ” ได้แม้แต่คนเดียว มีแต่คนเสื้อแดงที่ถูกจับขังคุกทันทีนานกว่า 9 เดือน และยังไม่ได้รับการประกันตัวอีกจำนวนกว่าร้อยคน

ปริศนากระสุน 7.62 มม.

เช่นเดียวกับเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน 2553 ที่วันนี้ก็มีแต่ “ไอ้โม่งชุดดำ” ที่ถูกยัดเยียดเป็น “แพะ”

ขณะที่ “คนสั่ง” ให้ปราบปรามประชาชนจนมีการเสียชีวิตกลับยังเดินลอยหน้าและเดินสายสร้างภาพเป็น “คนดี” และต้องการสร้างความปรองดอง ส่วน “คนฆ่าประชาชน” ก็ลอยนวล เพราะไม่มีใครกล้าแตะต้อง

แม้แต่การตายของนายฮิโรกิ มูราโมโต ช่างภาพสำนักข่าวรอยเตอร์ชาวญี่ปุ่น ที่ถูกแช่แข็งมาเกือบปีเหมือนอีก 90 ศพ วันนี้ดีเอสไอกลับมีการอ้างว่ามีวัตถุพยานใหม่คือ กระสุนจากศพมีรูกระสุนใหญ่กว่าขนาด 5.56 มิลลิเมตร ที่เคยระบุไว้ว่าเป็นรูกระสุนขนาด 7.62 มิลลิเมตร (โดยประมาณ) ดีเอสไอจึงออกมาแถลงทันทีว่าการเสียชีวิตของนายฮิโรยูกิไม่ใช่เกิดจากอาวุธปืนของทหาร เพราะเป็นกระสุนแบบปืนอาก้าซึ่งกองทัพไม่มีใช้

แต่หลักฐานใหม่ของดีเอสไอนั้นวันนี้กลับทำให้ดีเอสไอต้องเร่งสอบสวนเพื่อหาความจริงมากขึ้น เพราะกระสุนขนาด 7.62 มิลลิเมตรนั้นไม่ใช่แค่ปืนอาก้า แต่ยังมีขนาดเท่ากับกระสุนไรเฟิลขนาด .306 นิ้ว ซึ่งหลายประเทศใช้กับปืนซุ่มยิงหรือสไนเปอร์ของทหารที่ปรากฏในภาพที่ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในคอลัมน์ “ทหารใหม่วันนี้” หน้า 10)

ดี...ดีแต่พูด

อย่างไรก็ตาม การออกมาแสดงความเห็นหรือตอบโต้ต่างๆทั้งของผู้นำกองทัพ รัฐบาล และคนเสื้อแดง หากทุกฝ่ายมีความจริงใจที่จะทำให้ “ความจริง” ปรากฏ และก้าวไปสู่ความปรองดองก็ถือเป็นสัญญาณที่ดี เพราะประชาชนต้องการรู้ความจริง หรือได้รับข้อมูลหลายด้าน ไม่ใช่รับข้อมูลด้านเดียว อย่างที่รัฐบาลและ ศอฉ. พยายามใช้สื่อยัดเยียดให้กับประชาชนตลอดระยะเวลาที่ปกครองด้วย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

ขณะเดียวกันยิ่งมีข้อมูลหลากหลายก็ยิ่งจะเป็น การผลักดันให้รัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐต้องเร่งสอบสวนหาความจริงว่าทั้ง 91 ศพนั้นตายเพราะอะไร และใครเป็นคนยิง ไม่ใช่ยังวนเวียนอยู่กับการกล่าวหาหรือข่มขู่อีกฝ่ายหนึ่งว่าสร้างความปั่นป่วนหรือเป็นคนบ้า โดยไม่มองตัวเองว่าออกอาการตัวสั่นกลัวคลิปและกลัวความจริงจะปรากฏหรือไม่

พล.อ.ประยุทธ์บอกว่าถ้าบอกว่าทหารผิดเป็นรายบุคคลก็รับได้ เพราะเป็นไปตามกฎหมายและกติกา ถ้าใครทำผิดก็ต้องลงโทษ แต่จะมาเหมากล่าวอย่างนั้นอย่างนี้รับไม่ได้นั้น ในความรู้สึกของคนเสื้อแดงนับล้านๆคนก็ไม่แตกต่างกันที่ไม่พอใจ ศอฉ. ดีเอสไอ กองทัพ หรือนักการเมืองพรรคใดจะยัดเยียดว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย” หรือ “ไอ้โม่งชุดดำ”

ยัดเยียดว่าคนเสื้อแดงที่ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยและความยุติธรรมกลายเป็นคนฆ่าคนเสื้อแดงด้วยกันเอง แถมยังอุปโลกน์เป็น “ขบวนการล้มเจ้า” ทั้งที่คนทั้งแผ่นดินและคนทั้งโลกก็รู้ว่า ศอฉ. ใช้อำนาจ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินสั่งให้ทหารนับหมื่นนายที่มีอาวุธสงครามปิดล้อมเพื่อ “ขอคืนพื้นที่” และ “กระชับพื้นที่” เพื่อสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง

ประเทศไทยนับว่ายังโชคดีที่บ้านเมืองไม่เกิดกลียุคและสงครามกลางเมืองจนลุกเป็นไฟ ทั้งที่เกิดความแตกแยกอย่างรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ เกิดจากการรัฐประหาร “หน่อมแน้ม” ที่สร้างรัฐธรรมนูญฉบับอัปยศ และทำให้คนทั้งแผ่นดินต้องแตกแยก แบ่งฝ่าย แบ่งพวก จนเกิดการสังหารโหดประชาชนที่รุนแรงมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

มาถึงบรรทัดนี้อดนึกถึงคำพูดจากปากรัฐบุรุษของประเทศท่านหนึ่งไม่ได้...

“คนไทยโชคดีที่ได้อภิสิทธิ์เป็นนายกฯ”

เพราะอภิสิทธิ์เป็นคนดีที่ถูกเลือก สรรมาอย่างดีในค่ายทหารให้มาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศ

วันนี้คนไทยเชื่อแล้วว่า “ดี”...ดีแต่พูดจริงๆ



ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 302 วันที่ 12 – 18 มีนาคม พ.ศ. 2554 หน้า 16-17 คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน
2011-03-14

วันอาทิตย์, มีนาคม 13, 2554

"รสนา"ชี้ไทยรอโดนรุมกระทืบจากเท้าที่มองไม่เห็น อนาถ! คนไทยยอมรับได้"เก่งแล้วโกง"


มูลนิธิสัมมาชีพ ร่วมกับบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) จัดการอบรม "โครงการผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง รุ่น 2 (Leadership for Change) ที่ห้องประชุมข่าวสด เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 13 มีนาคม ในหัวข้อเรื่อง "บทบาทภาคประชาชนและเอกชนในการขับเคลื่อนประเทศไทย" โดยมี ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริญ กรรมการปฏิรูป และกรรมการสมัชชาปฏิรูป น.ส. รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กรุงเทพมหานคร และนายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล รองเลขาธิการสภาหอการค้า ร่วมบรรยาย


ดร.ณรงค์ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงในภาคประชาชนมีการเปลี่ยนแปลงที่เลวลง ไม่ใช่ดีขึ้น เป็นเรื่องของทุกคน เคยไปถามลูกศิษย์ที่เป็นเศรษฐศาสตร์ทางการเงิน เขาบอกว่า ถ้าคนเก่งแล้วโกงก็ยอมรับได้ ถามว่า เกิดอะไรขึ้น เราไม่เคยพูดกันเลยว่า ทำอย่างไรให้คนในสังคมไทยเปลี่ยนกรอบความคิดไปในทางที่มีจริยธรรม คิดถึงส่วนรวมมากกว่า ส่วนตัว เราอยู่ในระบบทุนนิยม เราไม่ปฏิเสธว่า ทุนนิยมมาจากผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ


ทฤษฎีว่าด้วย จริยธรรม และความสำนึกของมนุษย์ คนทุกคนมีคำนี้อยู่ในตัว อยู่ในใจของคน ขณะที่ความละโมบก็มีอยู่ในใจคนเป็นเรื่องปกติ แต่คำถามสังคมว่าจะทำอย่างไรให้จิตสำนึกของความดี มันตีคู่กับจิตสำนึกเห็นแก่ตัว การเปลี่ยนแปลงสภาสังคมปัจจจุบันลงไปลึกระดับชาวบ้าน คนงาน ผู้นำชุมชน ระบบการคอรัปชั่นในปัจจุบันมันฝังอยู่ในสังคมทุกระดับชั้น ที่คนอีกบางส่วนยังไม่คอร์รัปชั่นนั้นเพราะมันยังไม่มีโอกาส


" ในฐานะที่ผมเป็นนักวิชาการ เคยเป็นที่ปรึกษาพรรคการเมือง มา 5 พรรค เป็นที่ปรึกษาให้นายกรัฐมนตรีมา 3 คน วิธีโกง วิธีกิน วิธีหาเสียงรูปแบบโกง ผมทำมาหมดแล้ว ตั้งแต่นั้นมา ผมตั้งปณิธานว่า จะไม่ขอเป็นนักการเมือง จะเป็นคนทำงานการเมืองภาคประชาชนตลอดไป แต่มันเหมือนเดินทวนกระแสน้ำเชี่ยว มันเหนื่อยจริงๆ "


กรรมการปฏิรูป กล่าวต่อว่า แต่สำหรับการเปลี่ยนแปลงด้านดีก็มี คือภาคปชช.ตื่นตัวมีส่วนร่วมมากขึ้น มีนโยบายของรัฐที่เข้ามากระทบก็ทำให้เขามีปากเสียงมากขึ้น ไม่ว่าจะเสื้อสีอะไร ในภาพรวมเราเห็นว่า เขาต้องการรู้ มีส่วนร่วม ต้องการแก้ไข ในกระบวนการการมีส่วนร่วมแบบนี้มันมีกฎใหญ่ คือ ถ้าไม่มีความคิด มีอุดมการณ์ในหัวมันก็คิดแต่ผลประโยชน์เฉพาะหน้า ผลประโยชน์ที่ตัวเองไม่ได้เฉพาะหน้า


ทุกวันนี้ ระดับเอกชน เราเห็นการเปลี่ยนแปลงของโลก และมองว่า เราจะได้ประโยชน์อะไรจากการเปลี่ยนแปลงโลก คือการพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ภาคเอกชนมองเห็นว่า โอกาสอยู่ตรงไหน ขณะที่ภาคประชาชนมันห่างกันมากเหลือเกิน คนไทย 3 ล้านคน อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ 12.6 ล้านคน เรียนประถมไม่จบ 7.9ล้านคน จบแค่ประถม ตัวเลขที่กล่าวมามันเกินครึ่งของผู้มีสิทธิ์ออกเสียง


" แล้วชาวบ้านเขาเข้าใจเหรอคำว่า ผลประโยชน์ทับซ้อน การคอร์รัปชั่นเชิงนโยบายมันคืออะไร อัตราแลกเปลี่ยนคืออะไร เขาไม่เข้าใจหรอกครับ คนที่เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของโลกทั้งหมด มันเข้าใจ มันรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงของโลกคืออะไร การเปลี่ยนแปลงของภาคประชาชนก็ตกเป็นเครื่องมือจของคนที่รู้มากกว่า อีกแล้ว เราจะพัฒนาด้านดีของปชช.ที่ตื่นตัว และตระหนักรู้ต้องการมีส่วนร่วมภาคประชาชนให้ไปสู่การเปลี่ยนแปลงเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติได้อย่างไร ใครจะทำหน้าที่นั้น


ชีวิตผม ไม่เคยหวังจากนักการเมืองโดยเฉลี่ย น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ นักการเมืองหลายคน ถ้ามีโอกาสมันก็คอร์รัปชั่นหมด ผมว่าผมฉลาดแล้วนะ ยังโง่กว่ามัน โดนมันหลอกเอาตังค์ไป นับประสาอะไรกับชาวบ้าน การเปลี่ยนแปลงภาคประชนเราเห็นด้านดีเกิดขึ้น แต่เราจะทำอย่างไรให้การเปลี่ยนแปลงเกิดประโยชน์ไม่ตกเป็นเครื่องมือ"



ดร.ณรงค์ กล่าวต่อว่า ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยมองได้จาก 5 ด้าน คือ รายได้ โอกาส สิทธิ อำนาจ และศักดิ์ศรี โดยรายได้ระหว่างคนจนและคนรวยห่างกันมาก ในขณะที่ไทยก็เป็นสังคมที่บ้าเงินมากไป ทำให้สิทธิและเสรีภาพแปรผันตามจำนวนเงิน เช่น ข้อพิพาทระหว่างนายทุนกับชาวบ้านความพยายามทั้งคู่ ถ้าชาวบ้านแพ้คดี ติดคุกตลอด แต่นายทุนแพ้คดี ไม่เคยติดคุก


"ผมไม่เคยเห็นนายจ้างติดคุก แต่ลูกจ้างติดคุกเป็นหมื่นเป็นพัน คำถามคืออะไร ในเรื่องโอกาส กว่าผมจะเป็นด็อกเตอร์เหนื่อยฉิบเป๋ง อดมือกินมื้อ แต่คนบางคนเวลาจะสอบเข้าอะไรก็มีคนแอบเปิดเฉลยข้อสอบให้ดู มีอาจารย์พิเศษไปสอนที่บ้าน อายุ 17-18 ปี มีทรัพย์สิน 2 หมื่นล้าน โอกาสมันดีขนาดนั้น เมื่อเป็นเช่นนั้น ศักดิ์ศรี สถานะก็ต่างกันชัดเจน บ้านนอกที่ชัดเจน


คนที่แต่งตัวดีได้รับการต้อนรับ แต่กลับชาวบ้านธรรมดากลับโดนตวาดใส่ ศักดิ์ศรีคนอยู่ไหน ความเหลื่อมล้ำที่สำคัญที่สุดคือ อำนาจและศักดิ์ศรี ความเหลื่อมล้ำทั้งหมดเกิดจากสัมพันธ์ทางอำนาจที่มันเหลื่อมล้ำกันมาก"
ดร.ณรงค์ กล่าวและว่า ที่มาของอำนาจมี 5 แบบ คือ อำนาจแห่งทุน อำนาจของผู้ถืออาวุธ อำนาจแห่งข้อมูลข่าวสาร อำนาจบริหารการจัดการ และ อำนาจความสามัคคี


ทั้ง 5 อำนาจนี้ใครครอบครองได้มากที่สุด คนนั้นดีมากที่สุด ชาวบ้านธรรมดามีจุดไหนบ้าง การเข้าถึงอำนาจแตกต่างกันมาก เพราะฉะนั้นถ้าเราต้องเปลี่ยนประเทศไทยเราต้องเปลี่ยนความเหลื่อมล้ำทางอำนาจให้ได้


ด้าน น.ส.รสนา กล่าวว่า ต้องดูว่า ประเทศไทยอยู่ในส่วนไหน ตัวเลขในระดับโลก บอกว่า ในระบบทุนนิยม เสรีนิยม ทำให้รายได้รวมของประชากรโลก 82.7 % อยู่ในมือของคนรวย ประชากรทั่วโลก 99% อยู่ในระดับชนชั้นที่จะมาใช้แรงงาน เป็นพนักงานบริษัท หรือกรรมกร มีเพียง 1 % ที่เป็นระดับซีอีโอ เป็นเจ้าของทุนใหญ่ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ ปัญหาตอนนี้คือ ในระบบรัฐทั้งหมด อาจจะไม่ได้มาคุ้มครองประชาชนเท่าไหร่ รัฐกำลังถ่ายโอนอธิปไตยทั้งหมดให้กับระบบตลาด ไปร่วมมือในการเขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ลดกฎระเบียบที่ครอบงำเอกชน พยายามปล่อยให้มันเบาบางลงและลดอำนาจรัฐ แต่จริงๆ มันคือการจัดระเบียบใหม่


"หลักการของโลกโลกาภิวัฒน์ คือการจัดระเบียบใหม่ และปลดปล่อยภาคเอกชน ให้อิสระในการทำอะไรได้มากขึ้น เป็นเสรีภาพของหมาจิ้งจอกในเล้าไก่ จะกินไก่เเมื่อไหร่ก็ได้ อีกอันหนึ่งคือการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ หลักการเหล่านี้เป็นหลักการระดับโลก ประเทศไทยก็อยู่ในหลักการเหล่านี้ให้ขับเคลื่อนออกไป รัฐโอนอธิปไตยทั้งหมดให้อยู่กับระบบบตลาด ประชาชนไปตบตีลำบาก อำนาจของรัฐเอกชนได้ใช้ด้วย ทำให้ภาคประชาชนไร้หนทางในการต่อสู้ รัฐไม่มาดูแลอะไรประชาชน"


ส.ว.กรุงเทพมหานคร กล่าวต่อว่า จากการที่ตนตรวจสอบงบประมาณ ปี2554 พบว่า งบประมาณ 2ล้านล้าน 7 หมื่นล้าน แบ่งออกเป็นการเก็บภาษีจากประชาชนมาทั้งหมด 1.6 ล้านล้าน อีก 4 แสนสองหมื่นล้านกู้เอา รายได้จากภาษีทุกประเภท มีเงินอยู่ 3.7 หมื่นล้าน ที่เก็บจากทรัพยากรธรรรมชาติทั้หงมด รวมถึงก๊าซธรรมชาติ ปิโตรเลียม แร่ธาตุทุกชนิด ได้ค่ารวม 800 ล้าน ทั้งหมด 3.7 หมื่นล้านมาเทียบกันเล่นๆ


นี่คือการผ่องถ่ายทรัพยากรธรรมชาติไปให้เอกชน ในการแสวงหากำไร และทิ้งปัญหาสิ่งแวดล้อม ความยากจนไว้ให้ประชาชน สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ไปดูสถิติ 20 ปีที่ผ่านมา ช่องว่างทางเศรษฐกิจระหว่างคนรวยกับคนจน อยู่ที่ 12-15 เท่าไม่เปลี่ยนแปลง ปัญหาทางการเมืองทั้งหมด เกิดขึ้นจากปัญหาเศรษฐกิจด้วย


น.ส.รสนา ระบุต่อว่า ธุรกิจทางการเมืองเป็นตัวอันตราย เวลานี้เราพูดถึงการคืนอำนาจให้ประชาชน ซึ่งก็วนเวียนอยู่ในตำแหน่งอย่างนี้ หลอกประชาชนว่า เมื่อเข้ามาในอำนาจจะจัดการบริหารบ้านเมือง ทำให้ประชาชนทุกคนได้ประโยชน์ ซึ่งมันไม่เคยเกิดขึ้นจริง และจะเห็นได้ว่า เมื่อรัฐเข้ามาสู่อำนาจก็ต้องอาศัยเงินจากภาคธุรกิจ ประชาชนที่มีอยู่มหาศาลไม่มีทางที่จะมีอำนาจกับเขา เพราะกระเป๋าเงินของเขา คือกระเป๋าเงินของนายทุนใหญ่ อำนาจของรัฐได้มาแล้ว เพื่อสนับสนุนนายทุนเท่านั้น เราได้อำนาจมาแค่ 2 นาที ในการกากบาทเลือกผู้แทน พอกากบาทแล้วก็ไม่มีอำนาจอีกต่อไป


"ปชช.จะขับเคลื่อนอย่างไรก็ ต้องบอกว่า ประชาชนไม่มีทั้งอำนาจรัฐ บางทีก็ไม่มีทรัพยากรในการขับเคลื่อน คนที่ลุกขึ้นมาขับเคลื่อนมากขึ้นคือ พีมูฟ กลุ่มคนที่เริ่มมองเห็น รัฐได้ผ่อนถ่ายทรัพยากรแหล่งทำมาหากินไปให้คนอื่น การต่อสู้เหล่านี้เกิดขึ้นต่อเมื่อประชานมีสำนึกของการที่เราเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อทำให้เกิดการถ่วงดุลรัฐไปจับมือภายนอก เราจะเห็นหลายๆองค์กรที่จับตารัฐ ไทยตอนนี้อยู่ในสภาพเท้าที่มองไม่เห็นที่พร้อมจะเข้ามารุมกระทืบคุณ มันไม่ง่ายที่เราจะต่อสู้ แต่ประชาชนต้องมองเห็นสิ่งนี้ เอกชนกับภาคประชาชนต้องแยกจากกัน กระตุ้นจิตสำนึกส่วนดีให้ขึ้นมาอยู่เหนือจิตสำนึกที่อยากจะได้


ถ้าเอาชนะได้ การเปลี่ยนแปลงภาคปชช.กับเอกชนจะช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยออกจากหุบเหวความตายนี้ได้ อย่าคิดว่า ถ้าเก่งแล้วโกงยอมได้ มันไม่ใช่ เพราะยิ่งเก่งแล้วโกงยิ่งหนัก เพราะพวกโง่มันโกงได้ไม่เยอะ เดี๋ยวนี้นักการเมืองอาชีพอัพเกรดการโกงเป็นมืออาชีพแล้ว ไม่ใช่ระดับโชห่วยธรรมดา สิ่งที่ทำได้ คือภาคเอกชนกับภาคประชาชนต้องร่วมมือกันถึงจะช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยออกจากการทุจริตและแสวงหาผลประโยชน์ซึ่งทำลายบ้านเมืองทั้งระบบ"



ปิดท้ายที่ นายพรศิลป์ กล่าวว่า คนที่เป็นผู้นำ ถ้าไม่มีความกล้าหาญ กับความซื่อสัตย์ ก็อย่าไปเป็นผู้นำเลย มนุษย์ไม่ว่าเพศไหน ทำผิดต้องยอมรับ นักการเมืองเป็นลูกจ้างเรา ไปให้มันโกงได้อย่างไร ไม่เข้าใจ ประเทศไทย เราจะทำให้มันใหญ่ขึ้นหรือเปล่า หรือเล็กลง อยากให้เรียกภาคเอกชนว่าภาคธุรกิจมากกว่า เพราะเอกชนกับประชาชนเป็นคนเดียวกัน ส่วนเรื่องธุรกิจจะชอบหรือไม่ชอบทุกอย่างจะเป็นหนึ่งเดียว ชอบหรือไม่ชอบจะเป็นหนึ่ง โลกจะเป็นหนึ่ง พื้นที่เดียวกันหมด เราต้องเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จะไม่หนีมัน ประเทศไทยจะถูกรวมไปในบริบทนั้นได้่อย่างไร เราจะถูกกิน หรือจะกินเขา นี่คือประเด็น ทุกฝ่ายต้องตอบ ต่อไปนี้มันจะมีการเมืองระบบเดียวกัน


"ประเทศไทยมีการเลือกตั้งเป็นประชาธิปไตยหรือเปล่าไม่รู้ แต่เราอยู่ในระบอบประชาธิปไตย เรามีทุนนิยม เราจะเอาทุนนิยมแบบจีน แบบเสรีนิยมแบบอเมริกา หรือจะเลือกเอาหลายๆทุนนิยมผสมกัน ต่อไปอาจจะมีกฎหมายเดียวซึ่งกำลังเดินทางอยู่ สินค้าที่เราผลิตอยู่ ดำเนินการตามกฎหมายต่างประเทศหมดที่เราต้องทำตาม เราต้องอยู่ให้ได้ในโลกของสังคมที่ทุนนิยมมันเปลี่ยนมาก กำลังกลับหันหลังเดิน เรากำลังต่อสู้กับอากาศที่กำลังเปลี่ยนแปลง


เคยมีคนประกาศเมื่อ 2 ปีที่แล้วว่า ไทยจะต้องเป็นผู้นำของการเปลี่ยนแปลง จะไม่เป็นเหยื่อของการเปลี่ยนแปลง แต่่จากนี้ ใน 2ปีข้างหน้าเราจะเดินทางไปสู่การร่วมมืออย่างเป็นรูปแบบมากขึ้่นโดยเอกชนเป็นผู้นำ ภาคีคอร์รัปชั่น หอการค้าร่วมกับองค์กรต่างๆ ภายในประเทศเดินหน้าต่อ มีบริษัทที่จะไปร่วมกำจัดคอรัปชั่น มี ประธานหอการค้าไปร่วมกับป.ป.ช. ปราบ คอร์รัปชั่น จะเป็นบริษัท หรือส่วนตัว ภาคธุรกิจเกิดมานานแล้ว ตัวร้ายอยู่ในอดีตที่ผ่านมา การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำเป็นจุดเริ่มต้นที่เราจะต้องทำในทุกภาคส่วน"


ที่มา: มติชนออนไลน์ (

วันศุกร์, มีนาคม 11, 2554

คำผกา วิเคราะห์ "สลิ่ม" ในสังคมไทย




ฟัง "คำผกา" ชำแหละขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมในประเทศไทย พร้อมหาคำตอบใครคือ "สลิ่ม" ในความหมายและมุมมองของเธอ


ในงานเสวนา "เบื้องหลัง 6ตุลา เบื้องหน้าประชาธิปไตยไทย" เพื่อรำลึก 35ปี 6 ตุลา 2519 ซึ่งจัดขึ้นที่หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2554 นางสาวลักขณา ปันวิชัย หรือ คำผกา คอลัมนิสต์ชื่อดัง หนึ่งในผู้ร่วมเสวนา กล่าววิเคราะห์ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมในประเทศไทย โดยเรียกคนกลุ่มนี้ว่า "สลิ่ม" พร้อมชวนคนไทยชำระประวัติศาสตร์ใหม่ เพื่อเผยโฉมหน้ากลุ่มทุนสามานย์ตัวจริง

เปิดคำพยากรณ์ ปี54 คลื่นยักษ์สึนามิ เกิดบ่อยครั้งในรอบ1,000ปี...ฆ่าชีวิตคนเป็นล้าน


ทุกสายตา ตกตะลึงกับภาพคลื่นยักษ์ที่เสมือนจะกวาดเมืองทั้งเมือง ให้ราบเป็นหน้ากลอง

เมื่อ ญี่ปุ่นต้องประสบกับแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ขนาด 8.9 ริกเตอร์ ซึ่งตามมาด้วยคลื่นสึนามิสูง 6 เมตร ที่พัดพารถยนต์และพังทลายอาคารที่เคลื่อนผ่าน เรือลำใหญ่ ถูกพัดขึ้นฝั่ง คลังเก็บน้ำมันลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิงสีแดงฉาน สนามบินจมน้ำ

ตัวเลขคนตาย คนสูญหาย และความเสียหาย ค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
สำนักข่าวทั่วโลกรายงานข่าว สึนามิ ในญี่ปุ่น ตลอด 24 ชั่วโมง ผู้คนทั่วโลกตกใจตื่นตระหนกกับภาพที่เห็น

ไม่น่าเชื่อว่า มหันตภัยครั้งใหญ่นี้ สอดคล้องกับคำพยากรณ์ของ นอสตราดามุสเมืองไทย "โสรัจจะ นวลอยู่"ในศาสตร์แห่งโหร อย่างไม่น่าเชื่อ


นอสตราดามุส เมืองไทย พยากรณ์เอาไว้ว่า การโคจรของดวงดาวในปีเถาะ 2554 นี้ เป็นสิ่งวิปริตผิดอาเพศมากกว่าปีที่ผ่านมาอย่างใหญ่หลวง

ปี 2554 นี้ ทางการเมืองที่ว่าหนักหนาสาหัสสากรรจ์นั้นยังถือว่าน้อยกว่ามหัตภัยที่ใหญ่กว่ามากหลายร้อยเท่าตัว ก็คือ จะเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติสุดมหาหฤโหดไปทั่วโลก ทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วทุกสิ่งทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

“น้ำในแม่น้ำและคลองทั้งปวงจะแดงเป็นโลหิต เมฆและท้องฟ้าจะแดงเป็นแสงไฟ แผ่นดินไหวสั่นสะเทือน ฤดูหนาวจะเป็นฤดูร้อน ที่ลุ่มจะกลับดอน ที่ดอนจะกลับลุ่ม โรคภัยจะเบียดเบียนสัตว์และมนุษย์ทั้งปวง มนุษย์หนึ่งในสี่ของโลกจะพลันตายลง จะเกิดข้าวยากหมากแพง ฝูงมนุษย์จะอดอยาก เสื้อเมืองทรงเมืองจะหลีกเลี่ยง”

แต่ยังไม่ถึง “วันสิ้นโลก” ในวันที่ 12 ธ.ค. 2555 แค่ในปี 2554 นี้ก็อ่วมอรทัยไปซะก่อนแล้ว
การโคจรของดวงดาวและดาวพระเคราะห์ในปีนี้ไม่เป็นไปตามกำหนด จัดเป็นวิกล จะเกิดแผ่นดินไหว กัมปนาทไปทั่ว เหมือนแผ่นดินจะแตกแยกออกทุกหัวระแหง

ทั่วโลกจะถูกทำลายด้วยไฟประลัยกัลป์ ฝนจะตกเป็นเวลายาวนาน ความแห้งแล้งจะแผ่ขยายไปในวงกว้างมากขึ้น จะเกิดทะเลทรายขนาดใหญ่ไปทั่ว มนุษย์ สัตว์ ต้นไม้ทั้งหลายจะเหี่ยวแห้งและตายเป็นจำนวนมาก

จากการลิขิตจากดวงดาวในอนาคตที่โลกจะสิ้นสูญไป โลกเราคงไม่แตกสลายหรือสิ้นไปจากอุกาบาตพุ่งชนโลกหรอก แต่จะเกิดจากไฟของมนุษย์เรานี่เอง

ไฟที่ว่านั้นก็คือไฟแห่งกิเลสตัณหา กำลังแผดเผาไหม้ให้ย่อยยับไปทุกๆ วันเวลา

เพราะในปัจจุบันมนุษย์ในโลกนี้เต็มไปด้วยการทำความชั่วและเต็มไปด้วยสิ่งเลวร้าย การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น กอบโกยทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อตนเองและพวกพ้อง ขาดความรักความเมตตาที่มีต่อกันและต่อสรรพสิ่งที่มีชีวิตทั้งปวง และมีการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ดังนั้นจะถูกธรรมชาติและสวรรค์ลงโทษอย่างมหันต์อีกเช่นกัน

พราะจากปี 2554 เป็นต้นไป ดวงดาวจะเดินผิดปกติไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ทางโหราศาสตร์ไทยสามารถตีความหมายไปได้ อย่างเช่น
ในปี 2554 นี้ เมืองใหญ่ๆ ที่อยู่ในซีกโลกตอนเหนือเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด คลื่นทะเลยักษ์ จะฆ่าชีวิตคนเป็นล้านคน


ดาวเสาร์ตั้งฉากกับพระราหูและพระราหูตั้งฉากกับมฤตยู จะทำให้ท้องฟ้าจะแปรปรวน ดวงอาทิตย์ ดวงดาว จะไม่ส่องแสงเหมือนเคย ลมฟ้าอากาศวิปริตและโลกจะร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว

อุณหภูมิของโลกจะสูงขึ้นในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของโลก บ่งชี้ว่าสภาวะโลกร้อนกำลังเกิดขึ้นรวดเร็ว ประกอบกับธารน้ำแข็งใหญ่บริเวณขั้วโลกเหนือละลายเร็วขึ้น ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นในทุกๆ ที่ และเกิดการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลกครั้งใหญ่ เกิดภัยพิบัติต่อประชากรมนุษย์และระบบนิเวศ

อิทธิพลจากการที่ดาวเสาร์เล็งมฤตยูปีนี้จะทำให้เกิดการพลิกตัวของแกนโลกจากเดิมไปเล็กน้อย ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อวิถีการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตบนพื้นผิวโลกกับสภาพแวดล้อมต่างๆ ของโลก อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงและฤดูกาลเปลี่ยนแปลงไปอย่างที่เราไม่สามารถระบุฤดูกาลลงไปได้อย่างแน่นอนกันอีก สภาพอากาศและฤดูกาลผิดเพี้ยนไปหมด ประเทศไทยที่เคยร้อนก็กลับมีอากาศหนาวเย็นจนหิมะตกลงมา


อิทธิพลของดวงดาวทั้งสอง ยังส่งผลให้เกิดปรากฎการณ์ธรรมชาติ สลับขั้วกันระหว่างพื้นที่ที่เคยฝนตกชุกก็จะเกิดความแห้งแล้ง ส่วนพื้นที่ที่เคยแห้งแล้งนั้นก็จะกลับมีฝนตกชุก สร้างความเสียหายกับพื้นที่เพาะปลูก นำมาซึ่งอุทกภัยยาวนานตลอดทั้งปี 2554 นี้ หรือไม่ก็เกิดสภาพอากาศแห้งแล้งซึ่งนำความอดอยาก ทำให้ผู้คน เด็ก ผู้หญิง ต้องหิวโหยและล้มตาย


ในปีเถาะสุดโหดจะเกิดปรากฏการณ์ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหว แผ่นดินทรุด แผ่นดินแยก แผ่นดินถล่ม และคลื่นยักษ์สึนามิบ่อยครั้ง และถี่มากขึ้นกว่าที่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ทางภูมิศาสตร์ของโลกตั้งแต่ 1, 000 ปีที่ผ่านมาก็ว่าได้

น้ำแข็งบริเวณทวีปอาร์กติก และแอนตาร์กติกา จะเริ่มละลายอย่างรวดเร็ว คือในปี 2554 นี้ ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นจำนวนมากและเพียงพอที่จะทำให้เมืองใหญ่ๆ ตามชายฝั่งทะเลทั่วโลกจมอยู่ใต้น้ำได้ รวมถึงประเทศไทยจะเริ่มมีน้ำท่วมเกิดจากน้ำแข็งขั้วโลกละลาย และเข้าท่วมมาถึงกรุงเทพฯ บางส่วนเป็นนครใต้บาดาลชั่วนิจนิรันดร์

ละในอนาคตไม่กี่ปีข้างหน้า กรุงเทพฯ และทั่วทุกภาคทุกจังหวัดจะถูกน้ำท่วมไปหมด ที่เกิดจากน้ำทะเลไหลทะลักเข้ามาและเกิดจากอุทกภัยอีกหลายครั้งจนต้องอพยพผู้คนหนีน้ำขึ้นเหนือไปเรื่อย ๆ เกือบสุดเขตแดนไทย เมื่อนั้นคนไทยก็คงไร้สิ้นแผ่นดินได้?

นี่เป็นเพียง คำพยากรณ์เท่านั้น !!!!


ผู้เสียชีวิตเหตุแผ่นดินไหวเพิ่มกว่า 700 รายแล้ว

สื่อมวลชนในญีุ่่ปุ่นรายงานยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวขนาด 8.9 ริกเตอร์ ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ว่า จนถึงขณะันี้มีผู้เสีชีวิตกว่า 700 รายแล้ว และมียอดผู้สูญหายกว่า 350 คน

ขณะที่สนามบินนานาชาตินาริตะ เปิดให้บริการแล้ว แต่รถไฟทุกสายที่มุ่งไปสนามบิน ยังไม่สามารถวิ่งได้ ต้องรอการตรวจสอบ ซึ่งยังไม่มีกำหนดแล้วเสร็จ แต่รถไฟใต้ดินทุกสายในกรุงโตเกียว สามารถใช้งานได้ตามปกติแล้ว ตั้งแต่เวลาประมาณเที่ยงคืนของวันที่ 11 มีนาคมที่ผ่านมา

ส่วนสำนักข่าว เอพี รายงานว่าตำรวจญี่ปุ่นพบผู้เสียชีวิต 200 - 300 ราย บริเวณชายฝั่งเมือง เซ็นได ทางตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่นเพิ่มเติม
http://news.voicetv.co.th/global/5867.html




ขณะที่คลื่นสึนามิจากญี่ปุ่น เดินทางถึงประเทศฟิลิปปินส์ และเกาะฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกาแล้ว โดยคลื่นมีความสูง 30 - 60 เซ็นติเมตร ไม่มีเหตุความรุนแรงและความสูญเสีย


ขณะที่สถานทูตไทยในกรุงโตเกียว ซึ่งเปิดทวิตเตอร์ @rtetokyo เพื่อรายงานสถานการณ์ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งเร็วกว่าประเทศไทยประมาณ 2 ชั่วโมง โดยระบุว่า


" เวลา 01.29น. ยอดผู้เสียชีวิตรวมกว่า 300คน สูญหายแล้วมากกว่า 500คน

เวลา 01.27น. พบจำนวนยอดผู้เสียชีวิตมากที่สุด ในอำเภอเซนไดสูงกว่า200คน

เวลา 01.20น. ได้รับแจ้งว่า ไม่มีคนไทยเสียชีวิตเลย ในเขตนากาโนะ อิบารากิ และโทจิกิ

เวลา 01.15น. ทางสอท.กำลังติดตามรายงานความคืบหน้าอยู่ แต่ยังไม่มีรายงานคนไทยเสียชีวิตจากทางการญี่ปุ่น

เวลา 0.33น. แจ้งยอดรวมผู้เสียชีวิต สูงกว่า300คน สูญหาย460คน..

เวลา0.21น. รายงานอาฟเตอร์ช็อค ยังคงมีความสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวอย่างต่อเนื่องเป็นระยะ การติดต่อทางโทรศัพท์ยังชะงักอยู่

เวลา 23.07น. ผู้ใช้บริการโทรศัพท์ NTT HIGASHI มากกว่า142,000สาย ไม่สามารถใช้การได้

เวลา22.51น.ตามเวลาท้องถิ่น ระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่และระบบโทรศัพท์บ้าน ยังติดต่อได้ลำบากมาก เนื่องจากเครือข่ายเต็ม

เวลา22.27น. อาฟเตอร์ช็อคเป็นระยะๆ ในจังหวัด มิยากิ ,ฟุกุชิม่า, อิบาระกิ, โทจิกิ วัดแรงสั่นสะเทือนได้ 3-4ริตเตอร์

เวลา 22.26น.รัฐบาลญี่ปุ่น ได้อพยบผู้อยู่อาศัยออกจากบริเวณโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ โดยรอบ 3ถึง10กิโลเมตร

เวลา22.13น. จากข่าวของสื่อมวลชนญี่ปุ่นแจ้งว่า ขณะนี้ผู้โดยสารที่ติดค้างอยู่ในสนามบินนาริตะและฮาเนดะ รวมกว่า13,000คน "

ซึ่งช่องทางทวิตเตอร์นี้ สามารถสอบถามสถานการณ์คนไทย หรือ ติดต่อความช่วยเหลือเพิ่มเติมได้

ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศ ออกประกาศฉบับที่ 2 เมื่อเวลา 21 .11 น. โดยมีเนื้อหาดังนี้

" ตามที่ได้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวประมาณ ๘.๙ ริกเตอร์ ในประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๔ เวลาประมาณ ๑๒.๔๖ น. (เวลาไทย) นั้น

กระทรวงการต่างประเทศได้รับแจ้งจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียวว่า ได้ดำเนินการประสานหน่วยงานท้องถิ่นของญี่ปุ่น และชมรม/สมาคมคนไทยในญี่ปุ่น ในการแจ้งข้อมูลคนไทยที่อาจได้รับผลกระทบหรือต้องการความช่วยเหลืออีกทางหนึ่งด้วยแล้ว ในชั้นนี้ ไม่มีรายงานว่ามีคนไทยบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ทั้งนี้ สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้จัดตั้งศูนย์สถานการณ์ฉุกเฉินกรณีแผ่นดินไหวและสึนามิ โดยสามารถติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ +๘๑-๓-๓๒๒๒-๔๑๐๑ ต่อ ๒๐๐ และ ๒๗๕ หรือหมายเลขโทรศัพท์ +๘๑-๓-๓๒๒๒-๔๑๒๑ โทรสาร +๘๑-๓-๓๒๒๒-๔๑๒๒ อีเมลล์ และ MSN Messenger ที่ rtetokyo@hotmail.com

นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศได้รับรายงานจากสถานกงสุลใหญ่ ณ นครโอซากา ว่า เหตุแผ่นดินไหวดังกล่าวส่งผลถึงนครโอซากาและจังหวัดต่าง ๆ ในเขตคันไซในระดับ ๒-๓ ริกเตอร์ ในชั้นนี้ ยังไม่ได้รับรายงานว่ามีคนไทยได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตเช่นเดียวกัน โดยสถานกงสุลใหญ่ฯ อยู่ระหว่างการประสานกับคนไทยในเขตคันไซว่าได้รับผลกระทบหรือต้องการความช่วยเหลือหรือไม่อย่างไร

เพื่อเป็นการเตรียมการล่วงหน้า กระทรวงการต่างประเทศได้ประสานกองทัพอากาศและบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ในการเตรียมเครื่องบินพิเศษ หากจำเป็นต้องใช้ในภารกิจช่วยเหลือคนไทย และได้ประสานกระทรวงสาธารณสุขในการเตรียมความพร้อมด้าน ทีมแพทย์ หากได้รับการร้องขอจากฝ่ายญี่ปุ่น ซึ่งในเบื้องต้น กระทรวงสาธารณสุขมีความพร้อมในการจัดทีมแพทย์ประมาณ ๓๕ ทีม

นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศได้เปิดบัญชีรับเงินบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยในญี่ปุ่น สำหรับผู้ประสงค์จะบริจาค ที่ ธนาคารกรุงไทย สาขาสามยอด ชื่อบัญชี: เงินบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ญี่ปุ่น เลขที่บัญชี: ๐๐๒-๐-๒๗๑๔๖-๘

สำหรับผู้ที่ประสงค์จะเดินทางไปในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว กระทรวงการต่างประเทศขอให้พิจารณาเลื่อนการเดินทางไปก่อนจนกว่าสถานการณ์จะกลับสู่สภาพปกติ ทั้งนี้ หากจำเป็นต้องเดินทาง โปรดใช้ความระมัดระวังและติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด "

วันอังคาร, มีนาคม 08, 2554

ฤาซีเรียจะกลายเป็น"โดมิโน"ตัวต่อไป?


หลังจากการล่มสลายของผู้นำเผด็จการในตูนิเซียและอียิปต์ อีกทั้งสถานการณ์ความรุนแรงที่แผ่ขยายไปตลอดแนวกลุ่มชาติอาหรับ นับตั้งแต่อัลจีเรียจนกระทั่งถึงอิหร่าน หลายคนเริ่มสงสัยว่า "โดมิโน"ตัวต่อไปในเกมการเมืองครั้งนี้จะเป็นใคร


ซีเรีย ซึ่งมีการปกครองในระบบเผด็จการที่คล้ายคลึงกับตูนิเซียและอียิปต์ อาจไม่ใช่ประเทศต่อไป แต่อย่างไรก็ดี ถือว่าเป็นประเทศที่อาจก้าวถึงจุดแตกหักได้ไม่ยาก


ทฤษฎีโดมิโน่แบบเก่า ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอาจถูกนำมาใช้ได้อย่างคร่าวๆ ในการเน้นย้ำให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของประเทศต่างๆในภูมิภาค ประเทศกลุ่มอาหรับทุกวันนี้ หรืออาจเปรียบเทียบได้กับกระดานหมากรุก ที่การเคลื่อนที่เบี้ยหมากรุกตัวใดตัวหนึ่ง อาจส่งผลกระทบกระเทือนต่อความสัมพันธ์ของหมากตัวอื่นบนกระดาน


ในทุกวันนี้ ขณะที่การประท้วงมีจำนวนเพิ่มขึ้นเท่าทวีคูณ รัฐบาลของประเทศอาหรับทั้งจากตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนืออาจเชื่อว่า หากต้องการเรื่องราวต่างๆด้วยตนเอง ความขัดแย้งภายในย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้


ในซีเรีย ดูเหมือนว่าการประท้วงต่อต้านภาวะชะงักงันทางการเมืองที่มีความเปราะบางอาจ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอ ขณะที่ทุกวันนี้ ประชาชนคนธรรมดาในซีเรีย ต่างต้องประสบกับภาวะความตกต่ำทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างรุนแรง ซึ่งรวมถึงอัตราการว่างงานที่พุ่งขึ้น ราคาอาหารที่เพิ่มขึ้น การถูกจำกัดด้านเสรีภาพส่วนบุคคล และการคอร์รัปชันที่เป็นเหมือนโรคเรื้อรัง ปัจจัยดังกล่าวแทบไม่แตกต่างจากสาเหตุของการประท้วงขับไล่รัฐบาลในหลาย ประเทศ ซึ่งเริ่มจากการเรียกร้องสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จนกลายเป็นการเรียกร้องเสรีภาพและประชาธิปไตยอย่างเต็มรูปแบบ


รัฐบาลในกรุงดามัสกัสต่างรู้สึกหวั่นเกรงต่อเหตุประท้วงที่อาจก่อตัว ได้เมื่อใดก็ได้ หนทางที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าระหว่างประชาชนและทหารก็คือ กระบวนการปฏิรูปการเมืองที่แท้จริงที่นำไปสู่การเลือกตั้งและการมีรัฐบาล สมานฉันท์แห่งชาติ อย่างไรก็ดี ความเฉื่อยชาที่ยังคงติดแน่นในรัฐบาลชุดปัจจุบัน กลายเป็นสิ่งที่ขัดขวางกระบวนการดังกล่าวไม่ให้เดินไปข้างหน้าเท่าที่ควร


แต่แทนที่รัฐบาลซีเรียจะพยายามเร่งผลักดันกระบวนการดังกล่าว กลับเสนอ"เครื่องล่อใจ"ประเภทต่างๆ เพื่อเป็นเครื่องรับประกันว่าผู้ลงคะแนนเสียงหลักจะยังคงไม่แตกแถวไปไหน อาทิ โครงการแจกคอมพิวเตอร์โน้ตบุคให้แก่ครูอาจารย์ การเพิ่มเงินอุดหนุนให้แก่แรงงานในภาคสาธารณะ และการขจัดกลุ่มนักปฏิรูปการเมือง แต่สถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันจำเป็นต้องมีการนำมาตรการที่เข้มงวดยิ่ง ขึ้นมาใช้ การยกเลิกการประกาศภาวะฉุกเฉินซึ่งบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 1963 ซึ่งเท่ากับเป็นการลดอำนาจของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ตำรวจ อาจเป็นทั้งสัญลักษณ์และขั้นตอนที่ชัดเจนในการก้าวไปสู่ทิศทางที่ถูกต้อง


หากว่ารัฐบาลซีเรีย หรือกระทั่งผู้นำชาติอื่นๆในกลุ่มอาหรับ ยังไม่เริ่มที่จะตระหนักได้ว่าเสรีภาพคือสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน นั่นอาจทำให้แม้กระทั่งความอดทนอดกลั้นอย่างที่สุดของประชาชนส่วนใหญ่อาจไม่ เหลืออีกก็เป็นได้ ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่สูงขึ้น อาจเป็นชนวนที่ก่อให้เกิดการประท้วงขึ้นในประเทศทางแอฟริกาเหนือก็จริง แต่การเริ่มหันเหความสนใจเพื่อให้มีการปฏิรูปทางการเมืองของกลุ่มผู้ประท้วง ที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว นั่นอาจทำให้ไม่มีใครสามารถรับมือกับเหตุรุนแรงได้ทัน


การจัดการปัญหาอาจเป็นไปไม่ได้ในความจริงที่จะไม่มีการหลั่งเลือด เช่นที่เราเห็นในเหตุประท้วงหลายครั้งที่ผ่านมา ดังนั้นรัฐบาลซีเรียจึงทราบดีว่าตนจำเป็นต้องตอบสนอง ตั้งแต่นี้ไปโดยใช้มาตรการการปฏิรูปแบบ"ไม่เต็มใจ"ที่เพิ่งร่างไว้อย่าง คร่าวๆ แต่การพยายามสะสางปัญหาความคับข้องใจที่ฝังรากลึกด้วยการพูดจาภาษาดอกไม้ และข้อเสนอกองโต ก็เหมือนกับการพยายามดับไฟที่กำลังโหมไหม้ป่าด้วยเครื่องฉีดน้ำเพียงเครื่อง เดียว ทางออกต่อปัญหาของซีเรียจึงจำเป็นต้องมีแก่นสารและสาระสำคัญเทียบเท่ากับ ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น


กระทั่งปัจจุบัน รัฐบาลซีเรียยังคงหวังว่า การใช้ถ้อยคำชักจูงโน้มน้าวต่อนโยบายการต่อต้านอิสราเอลและชาติตะวันตก สามารถเป็นเกราะในการปกป้องตนเองได้ ในขณะที่แทบไม่พบว่าปัญหาเรื่องอิสราเอลและปาเลสไตน์เป็นประเด็นสำคัญในการ เรียกร้องในตูนิเซียและอียิปต์ นอกจากนั้น ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมื่อเครื่องบินรบอิสราเอลพุ่งเป้าโจมตีซีเรีย กลับไม่มีเสียงใดๆออกมาจากปากของรัฐบาล และยังคงไม่มีต่อไปแม้ว่าเครื่องบินของอิสราเอลกำลังบินอยู่เหนือทำเนียบ ประธานาธิบดีก็ตาม


รัฐบาลอ้างว่า นี่ถือเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการแสดง"ความอดกลั้น"เช่นเดียวกับประเทศพันธมิตร พี่ใหญ่อย่างอิหร่านปฏิบัติ อย่างไรก็ดี ข้อมูลจากวิกิลีกส์เปิดเผยให้ทราบว่า ผู้นำซีเรียได้กล่าวต่อรัฐบาลอิหร่านว่าไม่จำเป็นต้องใส่ใจต่อสงครามใดๆก็ ตามที่ตนกระทำต่ออิสราเอล เนื่องจากอิสราเอลอ่อนแอเกินไป ดังนั้นจึงถือเป็นความผิดมหันต์ หากรัฐบาลซีเรียคิดว่ากลยุทธ์การหันเหความสนใจแบบเดิมๆจะทำให้ตนหลุดพ้นจาก ภาระรับผิดชอบ ในทางกลับกัน ยังคงมีกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษา ที่ยังคงไม่สามารถหางานที่เหมาะสมกับตนเองได้ ซึ่งรัฐบาลได้นำพวกเขา เพื่อจัดตั้งเป็นกลุ่มแกนนำประท้วง ซึ่งใช้สโลแกนทางการเมืองที่ไร้จุดหมาย เพื่อแสดงจุดยืนต่อการคงไว้ซึ่งการประกาศภาวะฉุกเฉิน เพื่อความชอบธรรมในการยังคงอยู่ในอำนาจต่อไป


ประชาชนชาวซีเรีย มีความอดทน แข็งแกร่ง ยืดหยุ่นได้สูง และเต็มไปด้วยความคิดริเริ่ม ครอบครัวและความผูกพันต่อสังคมยังคงเป็นสิ่งที่อยู่เหนือความทุกข์ยากทั้ง ปวง เมื่ออาหารขาดแคลน พวกเขายังคงแบ่งปัน เมื่อรัฐบาลปิดกั้นข่าวสารทางอินเตอร์เน็ต พวกเขาก็ใช้พร็อกซี่ เซิร์ฟเวอร์แทน


แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาควรกระทำ พวกเขาไม่ควรนำสวัสดิภาพของตนเข้าไปเสี่ยงเมื่อเขาพยายามติดต่อกับโลกออนไลน์ ไม่มีใครต้องการเห็นท้องถนนในกรุงดามัสกัสเต็มไปด้วยการประท้วงหรือกระทั่งความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากการเผชิญหน้าระหว่างผู้ประท้วงและตำรวจ สิ่งที่คนซีเรียต้องการก็คือการเจรจาที่สามารถสื่อความหมายกับรัฐบาลได้


รัฐบาลจำเป็นต้องคำนึงถึงประเด็นดังกล่าว แม้ว่าตนเองจะได้ใช้ความพยายามไปมากเพียงใดก็ตาม ต้องอย่าลืมว่าคนซีเรียได้เป็นประจักษ์พยานต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลางเช่นเดียวกับประชาชนในประเทศอื่นๆ ประชาชนซีเรียอาจไม่มีความโน้มเอียงที่ต้องการให้เกิดความรุนแรง แต่การกำเนิดของเสรีภาพ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยปรากฏต่อหน้าของพวกเขา เป็นสิ่งที่ไม่สามารถลืมได้ง่ายๆ หรือถูกเอาชนะด้วยถ้อยคำประกาศของรัฐบาล หรือจากถ้อยแถลงของผู้นำที่อยู่บนหอคอยงาช้าง


เคยมีคนกล่าวไว้ว่า กำแพงเบอร์ลินจะไม่มีวันพังทลาย นายมูบารัคจะไม่มีวันก้าวลงจากตำแหน่ง และยังคงมีบางคนที่กล่าวว่าซีเรียจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง แต่หากว่าความเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นวันใดวันหนึ่ง ประชาชนชาวซีเรียอาจได้ลิ้มรสเสรีภาพอย่างแท้จริง


Ref: Matichon Online

วันศุกร์, มีนาคม 04, 2554

UNESCO Special Envoy for Preah Vihear meets Thai and Cambodian leaders

UNESCO Special Envoy Koïchiro Matsuura met with leaders from Thailand and Cambodia to discuss ways to safeguard the World Heritage site of Preah Vihear, during his visits to Bangkok and Phnom Penh between 27 February and 1 March. Mr Matsuura travelled to the two capitals at the request of UNESCO Director-General Irina Bokova, with whom he remained in close contact throughout the mission.
In Bangkok, Mr Matsuura met with Prime Minister Abhisit Vejjajiva, Foreign Affairs Minister Kasit Piromya, and National Resources and Environment Minister Siwit Khunkitti. The Special Envoy was also received by HRH Princess Maha Chakri Sirindhorn, who is a UNESCO Goodwill Ambassador.

In the Cambodian capital, Phnom Penh, Mr Matsuura met with Prime Minister Hun Sen, and Deputy Prime Minister Sok An. He was also received by HM King Norodom Sihamoni.

During his discussions in both capitals, Mr Matsuura stressed the need to create the conditions necessary for the safeguarding of the 11th century Preah Vihear Temple. Mr Matsuura, a former UNESCO Director-General and Chair of the World Heritage Committee (1998-1999), expressed the hope for a lasting dialogue between the two countries with a view to establishing long-term sustainable conservation of the site.

The UNESCO Special Envoy did not travel to Preah Vihear during his mission.

Following the conclusion of Mr Matsuura’s mission, Irina Bokova expressed her satisfaction that the meetings had taken place and stated that UNESCO would do everything in its power to maintain the dialogue. She reiterated her statement made just before the Special Envoy’s mission that “the world’s cultural heritage should never be a cause for conflict.”

The 11th century temple of Preah Vihear was inscribed on the World Heritage List for its outstanding universal value, in keeping with the 1972 World Heritage Convention, which has been ratified by both Cambodia and Thailand.

In keeping with the Convention, States parties undertake to recognize that "such heritage constitutes a world heritage for whose protection it is the duty of the international community as a whole to co-operate.”

02.03.2011
Source: UNESCOPRESS

วันพฤหัสบดี, มีนาคม 03, 2554

เจาะหัวใจทายาทแหกคอกไชยนันทน์ "ผมยอมออกจากตระกูล"

สัมภาษณ์พิเศษ วราทิต ไชยนันทน์ ทายาท เทอดพงษ์ ไชยนันทน์ บิ๊กประชาธิปัตย์ ที่คิดต่างทางการเมืองกับบิดา จนนำมาสู่การลงสมัคร สส. ในพรรคเพื่อไทย
ที่มาบทความ: โพสต์ทูเดย์วิเคราะห์
บทความโดย: ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม

พรรคเพื่อไทยสร้างความฮือฮาด้วยการเปิดตัว “วราทิต ไชยนันทน์” หรือ “ด๊อย” ทายาทคนโต “เทอดพงษ์ ไชยนันทน์” บิ๊กประชาธิปัตย์

เมื่อ ลูกคนโต “แตกหัก” ทางความคิดกับพ่อ จนต้องแยกทางกันเดิน มาอยู่คนละขั้วทางการเมือง ในพรรคเพื่อไทย โดยลงชนกับ ชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รมว.อุตสาหกรรม ส.ส.ตาก ประชาธิปัตย์

ตระกูลไชยนันทน์ก่อร่างร่วมสร้างประชาธิปัตย์ตั้งแต่ “เทียม ไชยนันทน์” รุ่นปู่ เรื่อยมาถึงรุ่นพ่อเทอดพงษ์ และรุ่นเขาที่น้องชาย “ธนิตพล ไชยนันท์” เป็น ส.ส.ตากมา 3 สมัยตั้งแต่ปี 2544

“ด๊อย” ยอมรับว่า พ่อเขาย่อมไม่พอใจแน่นอนกับการตัดสินใจเช่นนี้ ซึ่งก่อนหน้าเขาเคยคุยตรงๆ กับพ่อว่า ต้องการลงสมัคร ส.ส. โดยได้วางแผนมานานกว่า 3 ปี เขาเปิดใจกับโพสต์ทูเดย์ถึงเหตุผล และอุดมการณ์ทางการเมือง

ตัดสินใจอย่างไรเรื่องนี้

คุณพ่อไม่ค่อยแฮปปี้อยู่แล้ว แต่มันต้องเลือกกันระหว่างอุดมการณ์กับชีวิตครอบครัว ความจริงครอบครัวไชยนันท์ คณปู่เราก็เป็นผู้ก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์ มาสู่คุณพ่อ และน้องชายก็เข้าทำงานการเมือง ผมมีแนวคิดไม่ค่อยเหมือนที่บ้าน แต่ในด้านการเมืองผมเชื่อว่า อุดมการณ์จะมาซื้ออะไรกันไม่ได้ ผมมองว่าการที่เราเป็นตัวเลือกให้กับประชาชนที่หลากหลาย แม้ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะเป็นส.ส.ในพื้นที่จ.ตาก แต่การที่มีหลายพรรคก็ทำให้ชาวบ้านได้รู้ว่า ประชาธิปไตยมันมีหลายความหมาย

วราทิต

ซึ่งการที่ผมมาลงพรรคนี้มีปัจจัยที่เข้ามาจูงใจหลายอย่าง เช่น ผมได้เข้าไปเสนอโปรเจคท์เรื่องการพัฒนาในพื้นที่เลือกตั้ง อ.แม่สอด อ.พบพระ อ.อุ้มผาง ที่ผมอาสาวางกลไกการพัฒนา แต่เสียดายที่ทรัพยากรในจังหวัดนั้นถูกละเลย ทำให้การพัฒนาอยู่กับที่ แต่คุณพ่อเป็นนักการเมืองตัวอย่างสำหรับผมนะ

อย่างไร

คุณพ่อเป็นนักการเมืองคนเดียวที่ผมรู้จัก แล้วแกทำงานการเมืองด้วยการสร้างกลไกในจังหวัด อย่างที่จ.ตาก ถ้ามีใครซื้อเสียงก็อย่าหวังว่าจะได้ นี่คือ จุดหนึ่งตั้งแต่คุณปู่ คุณพ่อ หรือ ธนิตพล ผมเชื่อว่า กลไกนี้มันใช้สำเร็จสำหรับคนที่ทำงานเข้าถึงชาวบ้าน แต่ผู้ที่ฉาบฉวยเพื่อลงเลือกตั้งรับเงินทอง ผมเชื่อว่าจะไม่สำเร็จ

ในเมื่ออุดมการณ์ของคุณพ่อดี ทำไมไม่สวมเสื้อประชาธิปัตย์ หรือ เพราะพื้นที่จ.ตาก ส.ส.ปชป.แน่นครบแล้ว

ผมทำงานรัฐสภาในตำแหน่ง เจ้าหน้าที่ออกแบบคอมพิวเตอร์กราฟฟิคและได้ไปสัมภาษณ์นักการเมืองหลายพรรค เราได้ออกพื้นที่ถ่ายทำเพื่อมาออกทีวีดาวเทียมรัฐสภา ผมเห็นความเป็นไปของแต่ละจังหวัด ไม่ว่า ท่านไชยา สะสมทรัพย์ ท่านอุทัย พิมพ์ใจชน ท่านเสนาะ เทียนทอง ผมเห็นว่า นโยบายของพลังประชาชนจนถึงเพื่อไทย ด้วยกลไกของพรรคเขาสามารถผลักดันสิ่งที่อยู่ใต้ดินให้ขึ้นมาบนดินได้ เหมือนที่ทำให้ภาคอีสานเจริญ

แต่ปชป.ก็มี เรื่องสวัสิการนิยม เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ ไม่ดีหรือ

ตระกูลไชยนันท์อยู่ปชป.จริง แต่ตระกูลเราก็มีความเป็นประชาธิปไตย แต่ละท่านในตระกูลก็ไม่ได้มาบังคับ ว่า ผมต้องเดินตามประชาธิปัตย์ เขาแค่อิสระทางความคิด แต่เขาก็บอกว่า ก็รอปชป.ว่าง รอที่ตากว่าง แล้วถึงค่อยเข้ามา แต่ผมไม่ใช่คนประเภทนั้น คือ ผมเชื่อในการเดินของผมเอง เวลาผมจะทำอะไร ผมจะปรึกษากับคนที่เราเชื่อใจ อย่างคุณพ่อ ผมก็ปรึกษาเรื่องนี้นะครับ แต่ว่าท่านก็ยังแบ่งรับแบ่งสู้ว่า ไอ้นู้นไอ้นี่ก็ยังไม่ครบ จังหวะไม่ดี ไม่มีโอกาส ผมเลยว่า การที่เราอยากจะช่วยเหลือประชาชน มันต้องเดี๋ยวนี้ มันไม่ใช่ว่า ต้องรอเท่านั้นเท่านี้

เห็นคุณพ่อบอกว่า ไม่เคยพื้นที่จ.ตากเลย

ผมไปแม่สอดมาหลายครั้งมาก แต่ไม่ได้บอกคุณพ่อ และ น้องชายเพราะเห็นท่านกำลังวุ่นเรื่องงาน ผมลงพื้นที่พบชาวบ้านกลุ่มใหญ่เขาแนะนำว่า ถ้าคุณอยู่ปชป. งานที่จะออกมาก็จะเหมือน 40 ปีที่แล้ว คุณพ่อผมตอนนี้เป็นรองที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ท่านก็ทำงานในแนวทางของท่าน ธนิตพล ก็ทำงานในแนวทางของธนิตพล ซึ่งส่วนตัวผมก็อยากจะใช้แนวทางของตัวเองที่จะใช้กลไกพรรคการเมืองที่ผมเชื่อ เพราะผมมีเพื่อนในเพื่อไทยหลายคนเยอะมาก เขามีกลไกที่พร้อมจะผลักดันทำให้การพัฒนาไม่สะดุด

ตอนปรึกษาคุณพ่อบอกหรือไม่ว่า จะไปพรรคเพื่อไทย

ไม่ๆๆ... ผมไม่ได้บอกอย่างนั้น เพราะผมเชื่อว่า สิ่งหนึ่งของการเป็นนักการเมืองก็คือ คุณต้องรู้จัก..จะบอกว่า “ลับลวงพราง” ก็ได้

ปรึกษามากี่ปีแล้ว

เร็วๆ นี้ครับ แต่ผมวางแผนจะเข้าทำงานการเมืองมา 3 ปีแล้ว ตั้งแต่มีการปฏิวัติ ขณะนั้นผมยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต

วางแผนตั้งแต่ตอนเรียน

ผมเริ่มเรียนช้าเพราะไปอยู่ฝรั่งเศส ผมเรียน เทคคลอส 6 เดือน ไปอยู่ฝรั่งเศสประมาณ 10 ปี ผมก็มีพรรคพวกที่นู้นหลายคน ซึ่งตอนนี้กำลังติดต่อนายทุนที่ฝรั่งเศสที่เขาจะสนับสนุน โครงการของผมที่ผมเสนอในพรรคเพื่อไทย และ ผู้ใหญ่หลายท่านที่ผมนับถือ เขารับปากผมแล้วว่า โปรเจคท์ที่วราทิตเสนอ เขาทำได้ เพราะมันส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว และ เสริมด้านการเดินทาง

ช่วยเล่าประวัติการเรียนให้ฟังหน่อย


ผมเรียนจบนิเทศศิลป์ ผมจบศิลปะ อย่างธนิตพลก็เรียนศิลปะ คนเรียนศิลปะก็จะชอบจินตนาการ เราจะจินตนาการในเรื่องที่บางอย่างเป็นไปไม่ได้ แต่เราจะทำให้เป็นไปได้ และบางเรื่องที่มันเพ้อฝัน เราก็สามารถจะทำให้มันออกมาเป็นรูปธรรมต้องได้ ผมเรียนจบที่ราชภัฎสวนดุสิต ได้เกียรตินิยมอันดับสอง จากนั้นผมก็มุ่งมั่นจะเข้าทำงานในองค์กรที่ใกล้ชิดกับนักการเมืองทุกพรรค

เพื่ออะไร

เพื่อจะได้เรียนรู้การทำงานในระบบรัฐสภา เราอยากจะมาเรียนรู้ข้างล่างก่อนแล้วถึงค่อยขึ้นบน อย่างผม เป็นคนที่ไม่ชอบให้ใครมาสั่งผม โดยเฉพาะถ้าสิ่งที่เขาสั่งผม มันขัดแย้งกับอุดมการณ์ผม ผมก็จะไม่ทำ หลังจากเรียนจบ ผมเข้ามาสอบเป็นเจ้าหน้าที่รัฐสภา ทำงานในสถานีโทรทัศน์ส่งผ่านดาวเทียม โอกาสที่ได้เจอ ส.ส.ก็มีมาก

มันไม่ใช่ว่า การที่ผมมาพรรคนี้ มันต้องขัดแย้งกับตระกูลอันนี้มันเป็นอุดมการณ์ส่วนตัว ซึ่งผมมีมุมมองอย่างเดียว คือ ทำอย่างไรให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด

ขออธิบายต่อว่า หลังจากผมเรียนจบปริญญาตรี ผมมาทำงานรัฐสภา ช่วงนั้นผมก็ไปเรียนต่อโท ที่ม.เกริก ด้านรัฐศาสตร์ สื่อสารการเมืองซึ่งมันก็อยู่ในแผนชีวิตของผมที่ผมวางไว้ว่า ต้องเข้ารัฐสภา ผมจะต้องมาเข้าเรียนปริญญาโท สาขารัฐศาสตร์ สื่อสารการเมืองเพราะผมเชื่อว่า นักการเมืองกับเรื่องสื่อมันมาด้วยกัน การทำการเมือง ถ้านักการเมืองใช้สื่อไม่เป็น ก็จะเป็นเหมือนรัฐมนตรีหลายๆ ท่านที่ทำงานแทบตายแต่ผลงานไม่ออก อย่างตอนนี้ผมมีพร้อมหมดแล้ว ผมสมบูรณ์และพร้อมสู้สนามเลือกตั้ง ผมพร้อมแล้ว และในหลายอย่างที่ว่า เรารับสตางค์รับอะไร เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า อุดมการณ์กับปัจจัย กับ เรื่องเงิน มันสามารถจะเดินไปด้วยกันได้ไหม

แสดงว่า คิดวางแผนเล่นการเมืองมานานมาก แต่ไม่มีโอกาสรับใช้

นานมาก... ผมเป็นคนคิดแปลก ผมชอบอยากทำอะไรบางอย่างให้มันต่าง ผมอยากทดสอบนโยบายของพรรคเพื่อไทยว่า ที่ทำที่อีสานสำเร็จมาแล้ว จะมาทำให้ภาคเหนือสำเร็จด้วยหรือไม่ ผมสนใจนโยบายทำบัตรเครดิตให้ชาวนา ผู้ใหญ่ในพรรคก็คิดนโยบายมา ใช้นักวิชาการมาวิเคราะห์เรื่องนี้ ผมว่า เรื่องนี้ไม่มีทางเสีย

กรณีที่คุณพ่อสัมภาษณ์ว่า มีแรงจูงใจที่ทำให้คุณไปคือ คำพูดที่ของคุณที่เคยบอกว่า เห็นทำการเมืองมานานแล้วยังจนอยู่ เหมือนกับว่าไปเพราะมีแรงดูด เรื่องเงิน

(หัวเราะ) ไม่ใช่ ครับ... เรื่องเงินไปถามผู้ใหญ่พรรคคนไหนก็ได้ ผมไม่เคยไปพูดเรื่องงบประมาณเลย ผมแค่บอกว่า โครงการอย่างนี้ พวกท่านทำให้ผมได้ไหม เขาก็รับปากเราว่า ทำได้ และผมก็ยื่นเงื่อนไขว่า ถ้าทำไม่ได้จะเกิดอะไรขึ้น แล้วผมก็ยื่นเงื่อนไขบางส่วนไว้โดยย้ำว่า โปรเจคท์นี้ต้องสำเร็จ เพราะมันเป็นทางเดินที่ผมเลือกแล้ว ผมยอมที่จะออกมาจากตระกูล ซึ่งตรงนี้ผมเชื่อว่า ระยะเวลาจะพิสูจน์กับคนในตระกูลผมว่า คนอย่างวราทิต ไชยนันทน์ มีการคิด กระบวนการทำงาน หรือ มี ความซื่อสัตย์ อะไร ที่ต่างจากตระกูลไหม ผมจะไม่ยอมเป็นลูกไม้ที่หล่นใกล้ต้น ผมแค่ยอมเป็นลูกไม้ที่อาจจะหล่นไกลต้น แต่ว่า ทำให้ป่าแถวนั้นชุ่มชื้นขึ้น คือ เราต้องการแค่ตรงนั้น

คุณพ่อไม่ไว้ใจเราหรือเปล่า จึงไม่ได้ลง

อึม.. ไม่ใช่เรื่อง... อาจจะเป็นเพราะผมไม่ค่อยได้คุยกับท่านนะ เพราะผมชอบใช้ชีวิตคนเดียว ออกจากมาตระกูล ออกจากครอบครัวมานานแล้ว ผมจะมีความคิดของผมเองและอีกอย่างคือ ผมค่อนข้างจะดื้อเล็กน้อย เพราะถ้าผมเชื่อว่า อะไรที่ผมทำได้ ผมจะทำ

ออกจากครอบครัวมานานยัง

เทอดพงษ์ บิดา วราทิต

ก็อยู่ที่บ้านครับที่กรุงเทพ ผมเกิดที่กรุงเทพ ผมทำงานและเรียนอยู่ที่กรุงเทพ แต่ว่า ถ้าจะเอาเงื่อนไขมาบอกว่า ผมไม่ไปลงพื้นที่ ผมทเกิดกรุงเทพ ในเงื่อนไขตรงนี้ ธนิตพล ก็เป็นเหมือนกัน ก็ต้องไปถามธนิตพลเอง คือ ผมกับน้องนี่อยู่ด้วยกันมาตลอด ที่กรุงเทพ คือ ไปเรียนฝรั่งเศสก็ไปด้วยกัน ไปเรียนม.รังสิต เขาก็ตามไปเรียน คือ เราไปด้วยกันตลอด แต่ว่าผมอาจจะขัดแย้งในเรื่องมุมมองด้านพรรคการเมือง และในหลายๆ ด้าน

เช่น อย่างไรบ้าง

อืม...เรื่องการเรียนศิลปะมั้งครับ อย่างการเรียนศิลปะ เขาจะชอบไป ภาพแอบสแตรค ส่วนผมจะมาทาง โปรดักดีไซน์ เป็นงานที่ทำเป็นชิ้นขึ้นมา งานทำโมเดล แต่เขาชอบงานเพ้นท์ แนวสี คือ ศิลปะคนละแขนง แม้แต่ไปเรียนที่ฝรั่งเศส เราก็ยังแยกเมืองกันเรียน ไม่ได้อยู่ด้วยกัน อย่างเวลาเรามาคุยเรื่องศิลปะก็ขัดแย้งกันนิดหน่อย แม้แต่การชอบศิลปิน ศิลปะก็ต่างกัน ของเขาชอบแวนโก๊ะ แต่ผมมาพวกที่ทำในโปรดักท์ คือ มันขัดแย้งกัน แต่บนความขัดแย้ง ผมเชื่อว่า ถ้าจังหวัดได้ ส.ส.ที่มาจากนามสกุลเดียวกัน แต่สองพรรคการเมืองผมเชื่อว่า จะได้ประโยชน์จากตรงนี้มากมหาศาล

ที่พี่น้องขัดแย้งกัน มันสะท้อนอะไร (ชวนตีความ)

ผมว่า มันสะท้อนมุมมองเรื่องขบวนการคิด และเรื่องการใช้ชีวิต คือ แต่ละคนมันไม่สามารถจะให้เหมือนกันได้ อย่างลูกหมูออกมาจากฟาร์มเดียวกัน จากพ่อแม่เดียวกัน มันก็ยังเป็นลูกหมูที่ไม่เหมือนกัน แต่สุดท้ายก็ต้องออกไปผจญโลกแตกต่างกัน อาจจะอยู่คนละฝั่งของฟาร์มก็ว่าไป

ครอบครัวมีกี่คน

มีพี่น้องสองคน (พ่อแม่เดียวกัน)


แต่ถ้าวันข้างหน้า ปชป.มีพื้นที่ให้เรา

อ๋อ...ไม่ๆๆ ผมๆ เดินเส้นนี้แล้วครับ ผมขอทำการเมืองเส้นขนานที่พร้อมจะพัฒนาจ.ตาก คู่กัน แต่จะไม่ไปพัฒนาบนนโยบายเดียวกัน อย่างนโยบายพรรคเพื่อไทยหลายอันที่จะมาใช้กับโครงการผม ผมอาจจะหยิบยืมจากพรรคประชาธิปัตย์มาบ้างเพื่อมาช่วยเหลือประชาชน

หลังจากไปเปิดตัวกับพรรคเพื่อไทย ได้โทรศัพท์เคลียร์ใจกับพ่อยัง

อ๋อๆๆ... ผมยังไม่ได้คุยกับคุณพ่อเลย

จะโทรคุยกันไหม

ผมว่า เมื่อไรที่จังหวะเวลามันพร้อม มันก็ต้องคุย แต่ว่า ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ผมก็เป็นอย่างนี้แหละครับ..

แต่มันต้องชี้แจงกันไหม ระหว่างพ่อกับลูก


ธนิตพล น้องชาย วราทิต

ก็ท่านได้ชี้แจงในสื่อแล้วครับ ผมก็ไม่อยากโต้ตอบ ส่วนตัวผมรักคุณพ่อมากนะ รักน้องด้วย เราอยากให้ท่านสบายใจ แต่ว่า อุดมการณ์ผม ผมคงมีชีวิตอยู่ลำบาก ถ้าต้องมานั่งอดทนกับความต้องการที่อยากจะทำอะไรที่มันอยู่ข้างใน คือ มันอยากจะทำอะไรให้ชาวบ้าน

กับน้องชาย เดี๊ยบ ธนิตพล ได้คุยกันไหม

อ่อ ไม่ครับ เขาก็งานยุ่ง ทำงาน มีการทำ เขาก็ลงพื้นที่

เห็นเขาทำงานในสภาเป็นไงบ้าง

อ๋อ..ก็ดีๆๆครับ เขาก็ทำงานเก่ง เป็นที่จับตา อนาคตเขาคงไปได้ไกล แต่ว่ามุมมองของผม เราก็เดินเส้นทางนี้แล้ว (น้ำเสียงแผ่วเบา) เราพร้อมรับสภาพทุกอย่าง

คุณปู่เป็นผู้ก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์ คุณพ่อเป็นผู้ใหญ่ของพรรค เราไม่ถือว่า เราแหกออกไปหรือ

การเมืองควรจะมีหลายๆ ด้านให้ชาวบ้านได้มีโอกาสเลือก ถ้าผมทำด้วยตัวเอง ผมก็รอเข้าประชาธิปัตย์ แต่ถ้าผมจะทำเพื่ออย่างอื่นผมก็เข้ามาอยู่พรรคที่มีศักยภาพที่สามารถจะผลักดันงานผมได้

คิดอย่างไรที่พ่อบอกว่า เราไม่ลงพื้นที่จ.ตากมาก่อน

อ่อ ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะถ้าผมมีลูก และลูกผมไปทำอย่างนี้ โดยที่ลูกผมไปทำอย่างนี้ มันไม่มาอธิบายให้เราฟังว่า อุดมการณ์อะไรเพราะมันคงกลัวว่า ถ้าอธิบายแล้วจะโดนเบรก แต่ถ้าเป็นผมนะ ผมอาจจะรอดูซิว่าลูกเรา ถ้ามันทำดี โอเคทุกอย่างก็ค่อยๆ จางหายไป

ช่วงที่คุยกับพ่อนานไหม

ผมมาคุยที่นี่เลย(รัฐสภา) ผมนัดคุณพ่อ ว่าผมอยากทำงานท้องถิ่น อยากลงการเมืองท้องถิ่น อยากทำงานที่ไปช่วยเหลือด้านความเดือดร้อนของประชาชน แต่คุณพ่อก็เปรยมาว่า ยิ่งการเมืองเดินแคบเท่าไร ยิ่งยากเท่านั้น จะลง อบจ. สจ. มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเรา

ต้องระดับชาติอย่างเดียว

คุณพ่อบอกว่า มันก็ยังง่ายกว่า แต่ผมก็คิดในใจนะว่า ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมจะหาทางเดินของผมเอง ทางเดินซึ่งมันอาจจะเหนื่อย ลำบาก อาจจะต้องมีอะไรที่กระทบเยอะแยะ แต่ก่อนที่ผมจะทำอะไร

หมือนเราจะเข้าไปอาบน้ำร้อน เราต้องแสร้งรู้สึกร้อนก่อน เพื่อที่เราจะได้ไม่ตกใจ และที่พ่อผมบอกว่า ผมไม่เคยช่วยอะไรในพื้นที่เลย จริงๆ ผมอยู่เบื้องหลังท่านหลายเรื่อง เช่น เรื่อง สคส.ที่ท่านส่งให้ชาวบ้านทุกปี ผมก็ช่วยให้หลายปี ผมช่วยท่านทำ ขับรถไปรับซองสคส. ตอนเดี๊ยบหาเสียง ผมก็ขนไปปลิวไปให้ บางทีก็ไม่ได้รับได้นอนเลยผมก็ทำข้ามวันข้ามคืน เราก็ช่วย เพราะเราถือเป็นเรื่องที่ต้องช่วยเหลือกัน