วันอาทิตย์, ตุลาคม 31, 2553

"ผู้การฯวิสุทธิ์" My Hero'2010

"วิเชียร"ฉุน! สั่งจเรตร.หวดก้น "รองวิสุทธิ์"ด่วน "ศิริโชค"เล็งฟ้อง3ศาล บอกไม่เชื่อเรื่องสาบาน

"ศิริโชค"เล็งฟ้อง"ผู้การฯวิสุทธิ์" 3ศาล บอกไม่เชื่อเรื่องสาบาน ปัดเรียกนาฬิกาปาเต๊ะฟิลิปส์แลกเก้าอี้ "วิเชียร"ฉุนสั่งจเรตำรวจแห่งชาติ หวดก้น "รองวิสุทธิ์"ด่วน ชี้เจ้าตัวรู้อยู่แก่ใจทำถูก-ผิด ย้ำเป็นนายต้องหยุดการกระทำไม่เหมาะสม เลี่ยงไม่พูดเรื่องส.ส. สระอิ-อา

"วิเชียร"ฉุน! สั่งจเรตร.หวดก้น "รองวิสุทธิ์"ด่วน

พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) กล่าว เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 1 พฤศจิกายน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ถึงกรณีที่ พล.ต.ต.วิสุทธิ์ วานิชบุตร รักษาราชการแทนรองผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี ออกมาแถลงข่าวแฉการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจที่ถูกการเมืองแทรกแซงอีกครั้ง หลังจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติกำลังเตรียมดำเนินการทางวินัยหลังจากออกมาแถลงครั้งแรก ว่า ออกมาพูดอีกก็ตรวจสอบอีก ถ้าเป็นเรื่องทางวินัยก็จะให้พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง จเรตำรวจแห่งชาติดำเนินการทางวินัย

เมื่อถามว่า พล.ต.ต.วิสุทธิ์ บอกว่า ไม่กลัวถูกดำเนินการทางวินัย แม้จะถูกดำเนินคดีอาญาก็ยังคุ้ม ผบ.ตร. กล่าวว่า ถ้าไม่ผิดก็ไม่ต้องกลัว โดยจะเร่งดำเนินการทางวินัย ต้องเร่ง หากมีการกระทำที่ไม่เหมาะสมในฐานะผู้บังคับบัญชาก็ต้องระงับยับยั้งไม่ให้เกิดการกระทำที่ไม่ถูกไม่ควร

ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้เรียกว่าปรามเป็นการส่วนตัวหรือไม่กรณีที่ออกมาพูดแบบนี้ ผบ.ตร. กล่าวว่า ก็รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่าสิ่งไหนทำถูกหรือไม่ถูก
เมื่อถามถึงการออกมาเอ่ยถึง นักการเมือง สระอิ สระ อา เข้ามาเกี่ยวข้อง ผบ.ตร. กล่าวว่า ตนพูดแค่นี้แล้วกัน ตามหน้าที่ผู้บังคับบัญชา

"ศิริโชค"เล็งฟ้อง"ผู้การฯวิสุทธิ์" 3ศาล บอกไม่เชื่อเรื่องสาบาน

นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) คนสนิทนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวเมื่อวันที่ 1 พ.ย.ถึงกรณีที่พล.ต.ต.วิสุทธิ์ วานิชบุตร อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค (รองผบช.ภ.) 9 ที่ถูกย้ายไปเป็นรองผู้บัญชาการสำนักกฎหมายและคดี ระบุว่า มีนักการเมือง "สระอิ" อยู่เบื้องหลังการวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่งในพื้นที่บช.ภ. 9 ว่า ยังงงอยู่ว่าจะไปแสวงหาผลประโยชน์เรื่องอะไร เพราะเขตเลือกตั้งตนของตนอยู่นอกเมือง ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของเถื่อนและน้ำมันเถื่อน ดังนั้นขอให้ พล.ต.ต.วิสุทธิ์นำหลักฐานมา แต่ขอยืนยันความบริสุทธิ์ตน และจะใช้สิทธิฟ้องดำเนินคดีกับพล.ต.ต.วิสุทธิ์ ในข้อหาหมิ่นประมาท ซึ่งได้นัดหมายกับทนายความในวันนี้ เพื่อลงนามในเอกสารมอบอำนาจฟ้องดำเนินคดีกับ พล.ต.ต.วิสุทธิ์ ที่ศาลจังหวัดสงขลาภายในสัปดาห์นี้ โดยยืนยันว่าการฟ้องครั้งนี้ไม่ใช่การแก้เกี้ยว และจะฟ้อง 3 ศาล ขอให้พล.ต.ต.วิสุทธิ์ เตรียมไปพิสูจน์ตัวเองในศาลแล้วกัน ส่วนส.ส. ปชป. คนอื่นๆ ที่ถูกพาดพิงจะร่วมฟ้องด้วยหรือไม่นั้น ไม่ทราบ เป็นสิทธิส่วนบุคคล

นายศิริโชค กล่าวต่อว่า ขอเรียกร้องให้ พล.ต.ต.วิสุทธิ์ ไปใช้สิทธิร้องเรียนในกรณีที่คิดว่าคัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม ผ่านช่องทางตามกฎหมาย อาทิ คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) หรือศาลปกครอง เพราะสิ่งที่พล.ต.ต.วิสุทธิ์ ทำในขณะนี้กระทบต่อสิทธิผู้อื่น แต่ก็เข้าใจเพราะพล.ต.ต.วิสุทธิ์ เป็นคนที่ชอบออกสื่ออยู่แล้ว

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่พล.ต.ต.วิสุทธิ์ ระบุว่ามีการวิ่งเต้น โดยให้นาฬิกาปาเต๊ะฟิลิปส์ 3-5 เรือนแก่นักการเมืองในพื้นที่ นายศิริโชค กล่าวว่า ยังงงอยู่ เพราะเป็นคนไม่ใส่นาฬิกา เนื่องจากเป็นโรคภูมิแพ้ ทำให้ใส่เครื่องประดับไม่ได้ ตอนเช้าเจอนายกฯ ยังถูกแซวว่าวันนี้ไม่ใส่นาฬิกาหรือ ไม่แน่ใจว่าพล.ต.ต.วิสุทธิ์ เคยนำนาฬิกาไปให้ใครหรือไม่ เลยคิดว่าทุกคนต้องมีมาตรฐานเหมือนตัวเอง

"เขาคงคิดว่าเวลาที่มีการซื้อขายตำแหน่งในอดีต ต้องนำนาฬิกา หรือพระเครื่องไปให้ เพราะเป็นสิ่งที่นักการเมืองชอบเล่น แต่ผมไม่ใส่นาฬิกา ยืนยันว่าไม่มีนาฬิกาแบบนั้น ขนาดไซโก้ยังไม่มีเลย และในบัญชีที่แจ้งต่อป.ป.ช. (คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) ก็ไม่มีเครื่องประดับสักรายการ สื่อมวลชนก็รู้ว่าผมเป็นคนงกขนาดไหน ดังนั้นก่อนจะกล่าวหาอะไรใคร ควรดูด้วยว่าเขาเป็นอย่างไร" ส.ส. คนสนิทนายอภิสิทธิ์กล่าว

เมื่อถามว่า ยืนยันหรือไม่ว่าไม่เคยล้วงลูก หรือมีส่วนแนะนำนายกฯ ในการจดทำบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจ พล.ต.ต.วิสุทธิ์กล่าวว่า ไม่มี รู้จักตำรวจน้อยมาก แทบไม่ได้คุยกับตำรวจเลย ขอท้า พล.ต.ต.วิสุทธิ์ ให้ไปหาเลยว่าตำรวจที่เคยคุยโทรศัพท์กับตนว่ามีหรือไม่ เพราะเป็นข้อกล่าวหากันไปมา เวลาใครไม่ได้รับการแต่งตั้ง ก็กล่าวหาว่ามีการซื้อขายตำแหน่ง เหมือนนักการเมืองเวลาแพ้เลือกตั้ง ก็กล่าวหาว่าซื้อเสียง แต่บางครั้งก็มีจริง เช่น การแต่งตั้งโยกย้ายครั้งก่อน 9oถึงไปยื่นเรื่องต่อ ก.ตร.ว่ามีการซื้อขายตำแหน่ง ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลที่จะไปทำเช่นนั้นเอง

เมื่อถามว่า พล.ต.ต.วิสุทธิ์ท้าสาบานให้มีอันเป็นไปภายใน 3 วัน 7 วัน กล้ารับคำท้าหรือไม่ นายศิริโชคกล่าวว่า "ผมไม่เชื่อเรื่องคำสาบาน แต่จะไปพิสูจน์ความจริงให้ไปพิสูจน์ในศาล ดังนั้น ผมคิดว่าคุณวิสุทธิ์น่าจะเปลี่ยนชื่อจาก "วิสุทธิ์" เป็น "พิสูจน์" จะดีกว่า"

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ที่โรงแรมโนโวเทล สยามสแควร์ พล.ต.ต.วิสุทธิ์ วานิชบุตร รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 (รองผบช.9) รักษาราชการแทนรองผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี (รรท.รองผบช.กมค.) แถลงข่าวอีกครั้งตอบโต้กรณี ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ออกมาตอบโต้การแถลงข่าวของพล.ต.ต.วิสุทธ์ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมาทีได้พาดพิงนักการเมืองในพื้นที่ภาคใต้ว่า เกี่ยวข้องกับธุรกิจผิดกฎหมายและเข้ามาล้วงลูกย้ายตนเองออกจากพื้นที่เนื่องจากไม่ยอมจำนน โดยวันนี้ พล.ต.ต.วิสุทธิ์ได้นำป้ายพลาสติกที่มีรูปของพล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา อดีต ผกก.สภ.บันนังสตา จ.ยะลา เป็นฉากหลัง พร้อมเขียนข้อความว่า "เราไม่กลัวคนมีฤทธิ์ และไม่กลัวคนมีทรัพย์ หรือไม่กลัวคนมีปัญญา เรากลัวแต่คนโง่ คนพาล ที่สอพลอให้คนอื่นเชื่อถือได้ ใครฆ่าผู้กำกับสมเพียร"

พล.ต.ต.วิสุทธิ์ กล่าวก่อนแถลงข่าวว่า ขอสาบานต่อพระสยามเทวาธิราช ว่าสิ่งที่จะพูดไม่ได้เป็นการต่อสู้เพื่อตนเอง แต่จะต่อสู้เพื่อความถูกต้องและชอบธรรมของสังคม หากสิ่งที่พูดวันนี้ไม่เป็นจริง หรือเป็นการต่อสู้เพื่อตนเอง ขอให้พระสยามเทวาธิราชดลบันดาลให้มีอันเป็นไปภายใน 3วัน 7 วัน หากจริง ขอให้อนาคตมีอำนาจปกครองบ้านเมืองประชาชน จะได้ขจัดคนเลวไม่ให้มีอำนาจในบ้านเมือง

พล.ต.ต.วิสุทธิ์ กล่าวว่า ดูดัชนี้วัดการปราบปรามทุจริตของรัฐบาล ได้ 3.5 จากคะแนนเต็ม10 เชื่อมั่นว่ารัฐบาลไม่สามารถปราบปรามการทุจริตได้ เพราะคนในรัฐบาลทุจริตกันมโหฬาร รัฐยังปราบไม่ได้ นับประสาอะไรจะไปปราบเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ไกลตัว ถามว่าประเทศชาติจะอยู่รอดหรือไม่ทำนาย

1.ไม่สามารถอยู่ได้เพราะความขัดแย้งแย่งชิงอำนาจ และผลประโยชน์ของนักการเมือง

2. การปราบปรามทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการไม่สำเร็จ


3.ปัญหาเรื่องยาเสพติดที่นับวันรุนแรงขึ้น ซึ่งกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้แถลงว่าไม่เข้าใจตนนั้น ข้อมูลที่ได้รับ ที่ส่งให้นายกฯมี 2 ด้าน ด้านที่ 1 ผลงานที่ตนจับผู้กระทำความผิดที่ไม่เกี่ยวข้องกับนักการเมือง 2 ตนจับกุมผู้กระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับนักการเมือง และสิ่งที่พวกปากว่าขาสั่นมาตอบว่า ว่า ให้ บช.ภ. 9 รวบรวมผลงานของตนว่า อยู่มา 1 ปีมีอะไร บ้าง จริงที่ตนทำงานมา 1 ปี แต่มาทำหน้าที่ปราบปราม 6 เดือน 6 เดือนแรกดูแลเรื่องบริหารและสอบสวน ตนมาจับ 6 เดือนหลังตั้งแต่ เมษายน.-ตุลาคม สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดได้ 58 ราย ผู้ต้องหา 347 คน แสดงว่าคนที่ขอปัญญาไม่ค่อยมี ถ้าขอ1 ปีจะมากกว่าขนาดไหน ที่แค่ 6 เดือน จับแหลก

"ถ้าไม่จริง นักข่าวรวมกันมากระทืบ วิสุทธิ์ (พล.ต.ต.วิสุทธิ์)ได้ ส่วนใหญ่ที่จับเป็นคนนักการเมือง ลิ่วล้อทั้งสิ้นแล้วนักการเมืองไม่ทราบผลงานของผม แสดงว่า นักการเมืองที่ออกมาโวยวายไม่ทราบความเป็นอยู่ของประชาชนไม่ลงพื้นที่ จึงไม่ทราบว่าวิสุทธิ์ (พล.ต.ต.วิสุทธิ์) ทำอะไร ชี้ให้เห็นว่า คนที่ออกมาขอผลงานผมที่เป็นส.ส.จังหวัดสงขลา และ 4 จังหวัดที่ตนดูแลอยู่ ไม่เคยลงมาดูแลประชาชนในพื้นที่ จึงไม่รู้ว่าวิสุทธิ์เป็นยังไง" พล.ต.ต.วิสุทธิ์

พล.ต.ต.วิสุทธิ์ กล่าวต่อว่า การแต่งตั้งข้าราชการตำรวจในบช.ภ.9 มีนักการเมืองเข้ามาแทรกแซงการแต่งตั้งเป็นใคร สังกัดพรรคไหน ตอบ จริง ๆเรื่องนี้ ไม่ต้องตอบ ประชาชน ข้าราชการทุกกระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจรู้อยู่แล้ว แต่ตนก็จะบอก คนล้วงลูก พวกคนกินปูนร้อนท้อง พวกที่ออกมาตอบโต้ โดยเฉพาะคนที่สั่งนำเข้าจู๋เทียม ว่า ให้ลูกน้องขายในตลาดสันติสุข เพราะรู้เรื่องจู๋เทียมดีกว่าคนอื่น อีกคนทั้งรับ ทั้งเคลียร์ เจรจาต่อรองและเป็นหน้าเสื่อ คนนี้ที่ไปเรือนจำทำให้ประเทศชาติวุ่นวายทั้งภายในภายนอกประเทศ

พล.ต.ต.วิสุทธิ์กล่าวว่า ส่วนนักการเมือง ช. 2 ช. เรียนจริง ๆ ไม่เคยพูด ช. สื่อมวลชนที่มาฟังตนแถลงข่าวก็รู้ ผมพูดแต่เพียงว่า ลูกพี่นายกฯ แต่เมื่อคนกินปูนร้อนท้อง และออกมาพูดเอง แสดงว่า ช. ที่ออกมาเพื่อปกป้องเจ้านายตัวเอง อยากได้ความดีความชอบ ประชาชนไม่รู้ ก็เลยรู้เลยว่า คนที่ล้วงลูกและแทรกแซงโผตำรวจก็ ช. นี่เอง การกระทำอย่างนี้เขาเรียกว่าหวังดีประสงค์ร้าย

พล.ต.ต.วิสุทธิ์ ยังชี้แจงเรื่องการประดับยศ ภปร. ว่า เคยเป็นรองผบก.ทล. ได้ ภปร. มา หลังจากนั้นติดมาเรื่อย ๆ ไม่รู้ว่ามีหนังสือให้พ้น หลังจากมีการร้องที่ผมไปจับกุมถึงสังฆทานที่ห้างแห่งหนึ่ง เขาวิ่งเต้นโดยมีตำรวจเกี่ยวข้องร้องเรื่อง ภปร.ตนขึ้นมา สุดท้ายอัยการสั่งไม่ฟ้อง เพราะว่า มีเจตนาพิเศษ เหมือนลักษณะจงรักภักดี วินัยออกมาแล้วว่า ยุติเรื่อง ทำให้คนที่ออมาตอบโต้ แทนที่ตนจะเสียหายกลับเป็นผลดี นักการเมืองปากกล้าขาสั่น แทนที่จะออกมาตอบโต้ กลับส่งผลดีส่งเสริม เมื่อประชาชนรู้ว่า พล.ต.ต.วิสุทธิ์โดนกลั่นแกล้ง อัยการสั่งไม่ฟ้อง สำนักงานตำรวจแห่งชาติเห็นชอบ วินัยก็จบ การที่ออกมาโต้ข่าว กลับเป็นเพิ่มเครดิตให้ตน โดยมีเอกสารราชการยืนยัน สรุปว่า ตนเป็นข้าราชการที่จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์เป็นอย่างยิ่ง อย่างนี้ไม่รู้ข้อมูลจริง เด็กโง่จริง ๆ ไม่แน่ หากไม่เลิกตอแย ตนจะฟ้องกลับฐานหมิ่นประมาทพวกเด็กโง่ ๆ

"อีกเรื่องที่บอกว่าผมมีชุดเฉพาะกิจ ชุดจับ ชุดเก็บ ไอ้นี่ก็ไม่เคยลงพื้นที่ พูดมั่ว ๆ ผมจะบอกว่า ชุดเฉพาะกิจของตนเป็นชุดที่ประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ยอมรับและประจักษ์มาโดยตลอด นักการเมืองที่มีอิทธิพล ลิ่วล้อ หัวคะแนนที่กระทำความผิด โดยเฉพาะนักการเมือง ที่มีสระ อา และ สระ อิ ทุกคนในจังหวัดสงขลา รู้กันทั่วว่าเป็นอย่างไร ไม่เคยไปดูแลทุกข์สุขประชาชน มีแต่แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ ผิดกฎหมายทุกเรื่อง สมมุติว่า มีตำรวจบางคนในชุดเฉพาะกิจของผม ไปเก็บผลประโยชน์จริง หรือมีเจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยอื่นไปแอบอ้าง ว่า เป็นชุดเฉพาะกิจผม ขนาดมีข่าว ยังไม่มีหลักฐานว่าทำจริง ผมยังมีบันทึกเสนอต่อ ผบช.ภ. 9 .ให้ยกเลิกชุดเฉพาะกิจ เปลี่ยนมาเป็นให้ช่วยราชการให้สำนักงานแทน เพื่อควบคุมได้ง่าย เห็นหรือไม่ สิ่งที่คุณโต้ตอบผม ส่งผลดีต่อผมทุกเรื่อง ข้อมูลที่ได้จาก ผบก. จว.ในภาคใต้อย่าเชื่อมาก เพราะเค้าก็เป็นผู้หนึ่งที่เสียผลประโยชน์ในการจับกุมของผมเช่นกัน

พล.ต.ต.วิสุทธิ์ยังตอบโต้ที่ นายศิริโชค โสภา สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พล.ต.ต.วิสุทธิ์วันแมนโชว์ ไม่ให้นายตำรวจชั้นประทวนที่ทำงานด้วยเป็นผู้แถลง ทำให้ลูกน้องไม่พอใจ และก.ตร. นำเรื่องนี้มาพิจารณาด้วย และสาเหตุที่ออกมาแถลงข่าวครั้งแรกเพราะตนไม่ได้ไปอยู่ บช.ก. จึงออกมาโวยวายเหมือนกับนาฬิกา ถ้าไม่มีเข็มก็ไม่มีหน้าปัด ก็เป็นนาฬิกาไม่ได้ และบ้านก็ต้องมีวอลเปเปอร์เพื่อให้สวยงามว่า ดูสิ คนที่ทำให้บ้านเมืองวุ่นวายมีความคิดแค่นี้

"มีสมองแค่นี้เหรอ เป็นเสธ.นายกได้อย่างไร ระเบียบการแถลงข่าว ต้องให้ผู้บังคับบัญชาเป็นผู้แถลง และผมในฐานะ หน.ฉก. ที่ต้องรับผิดชอบทั้งจับกุมและเป็นผู้แถลงข่าว ความคิดของที่เสนอความคิดให้นายกนั้น ทำให้นายกฯ คาดการณ์ผิดมาตลอด อย่าเอามาอยู่ใกล้ตัว หาก ก.ตร. เอาเรื่องการแถลงข่าวเป็นประเด็นการย้ายผม ตามที่แถลงข่าวนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องล่มสลายอย่างแน่นอน เรื่องที่ผมไม่ได้ไปอยู่บช.ก. ไม่เคยสนใจ ไม่เคยวิ่งเต้น สาเหตุใดที่ผมโดนย้ายมีเหตุผลเดียว คือ ขัดผลประโยชน์นักการเมือง เรื่องนาฬิกา ผมได้ข่าวมาว่า คนที่ต้องไปวิ่งเต้นต้อง.จุดจุดจุด เท่ากับนาฬิกายี่ห้อปาเต๊ะฟินลิป ถึง 3 -5เรือน เท่าไหร่ บ้านมีประตูหน้าต่างอย่างผม ปลอดภัย แต่บ้านมีวอลเปเปอร์เน่า ๆ คนในบ้านติดโรคทั้งหมด"

พล.ต.ต.วิสุทธิ์ ตอบโต้ ที่นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไม่เข้าใจพล.ต.ต.วิสุทธิ์ ทำไมไม่ร้องทุกข์ตามช่องทางเหมือนคนอื่น และมีเลื่อนพิจารณาการแต่งตั้งถึง 2 ครั้ง ตอบว่า ที่ไม่ร้องตามช่องทางเพราะไม่มีช่องทางให้ร้อง การแต่งตั้งระดับนายพล ผบ.ตร. เป็นผู้เสนอชื่อ ให้คณะกรรมการก.ตร.ลงมติ เมื่อมติออกมาแล้ว จะไปร้องใคร รองผบ.ตร.ก็ไม่ได้เพราะเสนอบัญชี ก.ตร.ก็ไม่ได้ เขาเป็นผู้พิจารณาลงมติ เมื่อไม่มีช่องทางก็ร้องเรียนต่อประชาชนผ่านทางสื่อ และค่อยฟ้องศาลปกครองต่อไป ฟังดีดี

"ที่นายกฯ ระบุว่าเลื่อนการแต่งตั้งไปถึง 2ครั้ง ไม่ใช่ให้โอกาสข้าราชการตำรวจร้องเรียนขอความเป็นธรรม แต่เนื่องจากนักการเมืองแทรกแซงมาก โผไม่ลงตัว ทำให้ผบ.ตร. ปวดหัว ต้องกินยา จึงอยากบอกนายกฯว่า จะเป็นประธานก.ตร. ต้องศึกษากฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับให้ดี ถ้าไม่ดีจะถูกหลอกโดยเฉพาะการแต่งตั้ง รอบผบก.ขึ้น ผบก. ครั้งนี้เรื่องอาวุโส 33% ให้ไปศึกษาว่า 33% นับอาวุโส จากตะกร้าที่ตร. เพราะมันย้ายข้ามภาคได้ แต่การนับครั้งนี้ ไปนับอาวุโสแต่ละภาค มันไม่เกิดความเป็นธรรม เพราะคนอยู่ 9 ปี ภาค 1 แต่ไม่มีตำแหน่งว่าง ภาค 1 ก็ไม่ได้รับการแต่งตั้ง แต่คนอยู่ 6 ปี ภาค 2 มีตำแหน่งว่าง 5-6 อัตรา คนที่อยู่ 6 ปีก็อยู่ใน 33 % งานนี้ผู้เสียหายฟ้องศาลปกครองได้ ถ้ายังไม่ศึกษาให้ดี นำขึ้นทูลเกล้าฯอาจจะเป็นการกระทำไม่บังควร เตือนนายกแล้วนะ" พล.ต.ต.วิสุทธิ์กล่าว

พล.ต.ต.วิสุทธิ์ ยังวิจารณ์ คำพูดของนายกฯที่ ระบุว่า "ปีหน้าจะเลือกตั้งใหม่ และอภิสิทธิ์ขอเป็นฝ่ายแพ้เลือกตั้ง ถ้าแพ้แล้วบ้านเมืองสงบ" "ตามข่าวที่ตัดมา ผมถามสิว่า บ้านเมืองไม่สงบเพราะใคร ก็เพราะนักการเมืองเรืองอำนาจแสวงหาผลประโยชน์มิชอบ และไม่ให้ความเป็นธรรมต่อประชาชน สังคม เลือกปฎิบัติ มีหลายมาตรฐาน ท่านไม่ต้องยอมแพ้ เพราะยังไงก็แพ้ ขณะจะแพ้ยังเอาความดีอีก บอกมาว่า ถ้าผมยอมแพ้บ้านเมืองสงบ สุดยอดจริง ๆ ครับท่าน"

พล.ต.ต.วิสุทธิ์ กล่าวว่า นายกฯมีคนรักมาก ก็มีคนเกลียดมาก ตนก็มีคนรักมากแต่มีคนเกลียดน้อย ตนเป็นตำรวจของประชาชนเมื่อตนถูกกลั่นแกล้งรังแก แน่นอน คนที่รักตนมากต้องเกลียดท่าน และคนที่เกลียดตนซึ่งมีจำนวนน้อย และคนที่เกลียดท่านซึ่งมาจำนวนมากจะมารักตน เมื่อบวกลบคูณหารท่านลองไม่คิดดู

"ส่วนนักการเมืองตัวแสบ สระ อา ที่ตอบโต้ว่า ผมเป็นมือปราบ "จู๋เทียม" ขอท้าว่า ไปถามประชาชนจังหวัดสงขลาว่า ระหว่าง คุณกะผม ใครดีกว่ากัน ใครดูแลทุกข์สุขและความเดือดร้อนของประชาชนมากกว่ากัน ถ้าโพลสำรวจคุณมากกว่า ผมลาออกและจะไปกราบเท้าคุณ แต่ถ้าจำนวนเปอร์เซ็นต์คุณมากกว่า คุณต้องมากราบจู๋ ผมนะ พฤติการณ์ของคุณและสมุนของคุณ ประชาชนหาดใหญ่รู้กันทั่วและส่งถึงมือผมจำนวนมาก เมื่อรวบรวมแล้วจะส่งเรื่องให้ปปช. ดำเนินคดี ทันที" พล.ต.ต.วิสุทธิ์กล่าว

พล.ต.ต.วิสุทธิ์ ยังหยิบข่าวการให้สัมภาษณ์ของโฆษกพรรคเพื่อไทยที่ระบุว่า การสั่งย้ายพล.ต.ต.วิสุทธิ์ครั้งนี้ เพราะไปกดล้างจับกุมน้ำมันเถื่อนในภาคใต้ ที่มีเรือลอยลำกลางทะเล ขายเย้ยกฎหมายมีเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อนไปลอยลำให้บริการลิตรละ 12.50 บาท เกิดข้อสงสัยว่า การสั่งย้ายเพราะพล.ต.ต.วิสุทธิ์เข้าไปกวาดล้างน้ำมันเถื่อนของพรรคการเมือง เห็นไหม พรรคเพื่อไทยเขามีลูกน้องทางใต้ เขาได้ข้อมูลนี้มาเลย ตนอาจจะ ขอข้อมูลพรรคเพื่อไทยเพื่อเอามารวบรวมตอกย้ำพวก สส. เน่า ๆ เรียนเลยว่า ทำให้สส.ภาค 10 ภาค 8 เขาไม่โวยวาย เพราะเขาไม่กินปูนร้อนท้อง ไม่สันหลังหวะ ตนไม่มีเสื้อสีแดง หรือเหลือง อย่าคิดว่า ย้ายตนมากภาค9 และพวกตัวจะสบาย ตนจะเสียเดือนละ 1,000 บาท ให้คนที่ไปหาข่าว ถ่ายรูปสินค้าหนีภาษี ของเถื่อน ยาเสพติด อะไรก็แล้วแต่ และตนจะฟ้องสื่อ

รอง ผบช.ภ.9กล่าวว่า วันหนึ่งถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง 4 จังหวัดภาคใต้ คือ สงขลา ตรัง สตูล พัทลุง ต้องการคนอย่างตน และตนมีอำนาจในภาค 9 เพราะปีหน้าครบ(หลักเกณฑ์แต่งตั้งเลื่อนขึ้น)แล้ว 3 เดือน 4 จังหวัดต้องเรียบร้อยจะ งานแรกที่จะทำคือ ไล่จับนักการเมือง ลิ่วล้อ หัวคะแนน นักการเมืองที่ไม่ดี จะเอาหมายค้นตรวจทุกบ้าน โดยเฉพาะตู้เซฟ เพราะไม่สามารถเอาเงินไปฝากได้ เพราะโดนตรวจสอบ เอาไปให้กิ๊กก็ไม่ได้เดี๋ยวกิ๊กเบี้ยว ดังนั้นจะต่อสู้เพื่อความชอบธรรมในสังคมให้ข้าราชการทุกกระทรวง ทบวงกรม จะเกิดอะไรก็เกิด อย่าว่าแต่วินัยเลย แม้จะต้องถูกดำเนินคดีอาญาก็จะยอม เพื่อความชอบธรรมของสังคมต่อไป

เมื่อถามว่า รู้สึกเช่นไรที่การแถลงข่าวร้องเรียนว่า สาเหตุถูกโยกย้ายเพราะนักการเมือง แต่กลับถูกดำเนินการทางวินัย พล.ต.ต.วิสุทธิ์ กล่าวว่า การแถลงข่าวของตน วินัยช่วยอะไรได้ วินัยแก้ไขปัญหา ความไม่ถูกต้อง ความไม่ชอบธรรมของสังคมได้ไหม สิ่งที่ออกมาต่อสู้ อย่าว่าวินัยให้โดนคดีอาญาก็คุ้ม ดังนั้น ถ้ามานั่งรอวินัยบ้านเมืองไปไม่รอด

เมื่อถามต่อว่าเมื่อระบุชัดเจนว่า การเมืองแทรกแซงการแต่งตั้งแต่ผู้บังคับบัญชากลับปฎิเสธ พล.ต.ต.วิสุทธิ์ ตอบว่า ไม่รู้นะ คนที่บอกว่าไม่มีนักการเมืองแทรกแซง บอกแบบไม่ต้องตอบหรอก เพราะประชาชน ข้าราชการทุกกระทรวง ทบวง กรม รู้

"เอาอย่างนี้ ถ้าการแต่งตั้งครั้งนี้ไม่มีนักการเมืองแทรกแซง ขอให้ผมมีอันเป็นไป ภายใน 3 วัน 7 วัน ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ผมแขวนอยู่ลงโทษ แต่ถ้าการแต่งตั้งครั้งนี้มีนักการเมืองล้วงลูก ขอให้ไอ้พวกล้วงลูก ไอ้พวกที่บอกว่าไม่มี มีอันเป็นไปภายใน 3 วัน 7 วัน ของจริงไปเลย สื่อมวลชนก็รู้ "

เมื่อถามว่า การแก้กฎก.ตร. เรื่องจำนวน อาวุโสเป็น 80% จะสามารถแก้ปัญหาการวิ่งเต้นซื้อตำแหน่งหรือเข้าหานักการเมืองเข้ามาแทรกแซงการแต่งตั้งได้หรือไม่ พล.ต.ต.วิสุทธิ์ กล่าวว่า ต้องแก้ทั้งระบบทำอย่างไรให้ ตร.ปลอดจากนักการเมือง เพราะตำรวจ คือ ต้นน้ำของกระบวนการยุติธรรม ต้นน้ำเสียหายแล้ว อัยการ ศาลก็ได้รับสำนวนเน่า ๆ มา เพราะฉะนั้น ตำรวจ สำคัญสุด การแต่งตั้งต้องเหมือนอัยการ ศาล ไม่ใช่ผู้มีอำนาจคือรัฐบาลไปแต่งตั้งตัว ผบ.ตร. นักการเมืองขออะไรก็ต้องยอม รัฐบาลมีสิทธิ์ย้ายผบ.ตร.ได้ ถ้าแบบอัยการ ก็ไม่มีใครมาล้วงลูก เห็นมาอัยการ แต่งตั้งอัยการสูงสุดครึ่งชั่วโมงเสร็จ ศาล ประธานศาลฎีกา 15 นาที เสร็จ ของเราเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ไอ้โน้นวิ่ง คนนี้ดึง ควรให้เป็นองค์กรอิสระ ปกครองกันเอง

เมื่อถามว่า ส.ส. พรรคปชป. ต้องการให้ท่านเปิดเผยหลักฐานการการแทรกแซงการแต่งตั้งจากนักการเมือง พล.ต.ต.วิสุทธิ์ กล่าวว่า "ตอบว่า ปัญญามีแค่นี้เหรอคุณจะไปทุจริต อะไร จะมีหลักฐาน เขาก็กริ๊งกร๊างกันว่า เอาไอ้นี้ไปอยู่ตรงนี้นะ โควต้าผมเท่านี้นะ จัดสรรลงไป เหมือนแบ่งเค้กการจัดรัฐมนตรี บางครั้งเอตำแหน่งกระทรวงนี้ไปแลกกระทรวงนั้น เชื่อมะ ตำแหน่งข้าราชการยังเอามาแลกกันเลย ตอนแรกออกมา 5-6 คน ต่อไปมีกัน 2-3 คน เมื่อวานนี้ก็เหลือคนเดียว คือ ศิริโลภ "

พล.ต.ต.วิสุทธิ์ ยังกล่าวอีกว่า ได้เปิดเฟซบุ๊ค "พล.ต.ต.วิสุทธิ์" โดยเปิดรับเรื่องร้องเรียนจากข้าราชการทุกกลุ่ม

ทั้งนี้เมื่อผู้สื่อข่าวได้ค้นหาข้อมูลดังกล่าว เป็นการเปิดกิจกรรมในเฟซบุ๊คเพื่อให้กำลังใจพล.ต.ต.วิสุทธิ์ วานิชบุตร เท่านั้น โดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรม7 รายเท่านั้น

ขณะที่ผลงานการจับกุม 58 คดีของพล.ต.ต.วิสุทธิ์ ส่วนใหญ่เป็นการจับกุมยาบ้านคราวละ 3-10 เม็ด คดีการพนันหวยหุ้น ไฮโล ผู้ต้องหา 1-2 ราย

จาก อัลบั้มภาพ ข่าวสดรายวัน

มือปราบจู๋เทียม
ที่มา: บันทึกของ Pa'pat Pulip on FB 2010 11 01

ท่านเป็นผู้การในดวงใจเลย เป็นHeroของอิฉันจริงๆในยุคนี้ หาตำรวจอย่างท่านยากเพราะว่าล่าสุด...เมื่อถูกเยาะเย้ยถากถางว่าไร้ผลงาน หรือเป็นแค่ "มือปราบจู๋เทียม” พล.ต.ต. วิสุทธิ์ก็ยังแสดงลูกบ้าเที่ยวล่าสุด ใครแพ้ลาออกจากตำแหน่งไม่พอ ต้องกราบตีนด้วย! … Pa’pat Pulip

ลีลา "ห้าว" ของ พล.ต.ต.วิสุทธิ์ วานิชบุตร ในการแถลงแฉขบวนการเลื่อยเก้าอี้ ต้องบอกว่าดุเด็ดเผ็ดมันอย่างยิ่ง ถ้อยคำกร้าวๆ เหล่านั้น ฟังไม่เหมือนมาจากปากคนที่ยังมีอายุราชการ

แต่เหมือนคนที่ใกล้เกษียณรอมร่อ ไม่ต้องเกรงใจหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ อีกต่อไป

นอกจากซัดว่ามีนักการเมืองมาล้วงโผแล้ว ยังฟาดหางไปถึงธุรกิจมืดของนักการเมืองในพื้นที่ตัวเอง

เบื้องหน้าเบื้องหลังคำสั่งโยกย้ายจะเป็นอย่างที่พล.ต.ต.วิสุทธิ์พูดหรือไม่ คนนอกทั่วไปคงไม่มีใครรู้แน่ และสังคมจะให้ความเห็นใจแค่ไหน ยังต้องดูต่อไป

เพราะสไตล์ของพล.ต.ต.วิสุทธิ์ที่มีวิธีสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง ไม่ค่อยเหมือนมือปราบปกติทั่วไป นับตั้งแต่กดดันจน "น้องแนท" นางเอกหนังโป๊ (อย่างเป็นทางการ) คนแรกของเมืองไทย ให้มาแสดงตัวกับตน

ท่ามกลางสื่อมวลชนที่ตามทำข่าวกันครึกโครม "น้องแนท" มาแสดงแล้วก็จบไป ไม่ได้โดนข้อหาอาญาใดๆ จริงๆ แล้วจะไม่มาก็ยังได้ แต่ท่าทีของพล.ต.ต.วิสุทธิ์นั้นทำเอาดาราคนดังไม่กล้าหือ

เหมือนติดลมบน พล.ต.ต.วิสุทธิ์ได้ออกทีวีบ่อยกว่าตำรวจคนอื่นๆ ครั้งหนึ่ง เพลินไปหน่อย แฉออกทีวีว่ามีส่วยซีดีเถื่อนสะพัดมโหฬารในแวดวงตำรวจ

สุดท้าย ต้องถอยกลับหลังแทบไม่ทัน

ที่ถูกสังคมประณามก็ยังเคยมีมาแล้ว เมื่อพล.ต.ต. วิสุทธิ์สั่งให้ผู้ต้องหาค้ายาบ้า คาบถุงยาบ้าระหว่าง แถลงข่าว

ทั้งด่าว่าคนขายยาเสพติด เป็นพวก "อมนุษย์"

ผู้ชมสไตล์ซาดิสต์ฟังแล้วก็สะใจ แต่ก็เกินขอบเขตการแถลงข่าวปกติมากไป

แต่หนนี้ดูจะผิดไปแปลกไปจากเดิม เพราะถ้าข้อมูลไม่ 'สะเทือนซาง' จริง บรรดาส.ส.ใต้ ของประชาธิปัตย์คงไม่ออกมารุมตื้บกันแบบแท็กทีม

ด้วยวิธีถนัดคือเยาะเย้ยถากถางว่าไร้ผลงาน หรือเป็นแค่ "มือปราบจู๋เทียม"

แต่แม้จะถูกดาหน้าถล่มชุดใหญ่แล้วก็ตาม พล.ต.ต. วิสุทธิ์ก็ยังแสดงลูกบ้าเที่ยวล่าสุดออกมา แทนที่จะหงอเงียบไป กลับเปิดฉากท้าทายให้ทำโพลวัดความนิยมในพื้นที่

ใครแพ้ลาออกจากตำแหน่งไม่พอ ต้องกราบตีนด้วย! ทั้งยังประกาศขู่ไว้ว่ามีข้อมูลเด็ดจะเปิดแถลงอีกหน มั่นใจว่าจะตอกฝาโลง "นักการเมือง" ได้เลย

ทั้งนี้ หากความเชื่อของพล.ต.ต.วิสุทธิ์เป็นความจริง ตัวการเตะพล.ต.ต.วิสุทธิ์ ก็จะเป็นคนๆ เดียวกัน ที่เคยใช้บารมีกีดกัน พล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา นั่นเอง

อย่างนี้ในประชาธิปัตย์มีสะดุ้งกันบ้าง


ขอบคุณที่มา: ข่าวสดรายวัน คอลัมภ์เหล็กใน หน้า 6 วันที่ 01 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7277

"ถ้าตัวตรง ไม่ต้องกลัวเงาคด ถ้าหัวตรง ไม่ต้องกลัวเท้าเอียง" เปรี้ยง! นิติราษฏร์ฉบับ5กรณีคลิปฉาวศาลรธน.

จาก อัลบั้มภาพ Matichon Online

เว๊บไซต์ นิติราษฎร์ ฉบับที่ 5 ได้เปิดพื้นที่ให้"จันทจิรา เอี่ยมมยุรา " อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ เขียนเรื่อง ตัวตรงเงาไม่คด "ถ้าตัวตรง ไม่ต้องกลัวเงาคด ถ้าหัวตรง ไม่ต้องกลัวเท้าเอียง"

....ดูเหมือนกระแสน้ำที่ท่วมท้นประเทศไทยอยู่ขณะนี้จะพัดพาเอาข่าวคราวเรื่องคลิปลับกรณี คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ละลายหายไปกับสายน้ำเรียบร้อยแล้ว แต่สิ่งที่ไม่เป็นข่าวก็ไม่ได้แปลว่าไม่เป็นปัญหา เพราะคลิปลับซึ่งข่าวว่ามีด้วยกัน 5 ตอนนี้กลายเป็นวัตถุพยานเพิ่มน้ำหนักความระแวงสงสัยของสาธุชนที่มีมาก่อนหน้านี้แล้วว่าศาลนั้นยังคงเที่ยงธรรมและเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชนอยู่หรือไม่ ด้วยเนื้อหาในคลิปแสดงไปในทิศทางว่ามีการวิ่งเต้นล็อบบี้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของศาล คือเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญมิให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ นอกจากนี้มีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคนหารือกันถึงวิธีการเพื่อให้ได้พยานบุคคลบางคนมาให้การต่อศาล

แต่พลันที่ข่าวนี้เผยแพร่ออกไปตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกลับเห็นว่านี่เป็นขบวนการบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญด้วยการเผยแพร่คลิป

ล่าสุดคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกโรงมีมติให้เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญแจ้งความดำเนินคดีขบวนการจัดฉากเผยแพร่คลิปฉาวในข้อหาข่มขู่และหมิ่นประมาท สร้างความฉงนสนเท่ห์ให้แก่สาธุชนที่มีใจเป็นธรรมจำนวนไม่น้อยว่าเหตุใดศาลรัฐธรรมนูญหรือหน่วยงาน ป.ป.ช.จึงไม่ดำเนินการสอบสวนให้ได้ความกระจ่างแจ้งเสียก่อนว่าคลิปดังกล่าวเป็นของจริงหรือตัดแต่ง มีตุลาการหรือข้าราชการศาลรัฐธรรมนูญคนใดต้องรับผิดชอบกับความไม่ชอบมาพากลเรื่องนี้อย่างไรบ้าง รวมทั้งบุคคลภายนอกที่วิ่งเต้นล็อบบี้ศาลด้วย

อย่างนี้จะเข้าทำนองตัวไม่ตรง แต่ไปโทษว่าคนอื่นทำเงาคดหรือไม่

ปีนี้ผู้รู้ออกมาให้ข้อมูลว่าประเทศไทยจะประสบกับพายุฝนที่โหมกระหน่ำหนักหนาที่สุดในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา ความอึมครึมของฟ้าฝนดูจะไม่แตกต่างจากบรรยากาศในวงการยุติธรรมไทยสักเท่าใดนัก ระหว่างรอวันฟ้าสว่างผู้เขียนไปพบหนังสือเล่มหนึ่งที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ใช้เป็นตำราเรียนในวิชาหลักวิชาชีพนักกฎหมายของนักศึกษานิติศาสตร์ชั้นปีที่ 4 มาตลอดยี่สิบกว่าปี

หนังสือเล่มนี้บรรจุเนื้อหาการบรรยายของนักกฎหมายและตุลาการคนสำคัญ ๆ ของวงการกฎหมายไทยร่วมสมัยเกี่ยวกับการปฏิญาณตนเข้าสู่วิชาชีพและการปฏิบัติตนของนักกฎหมาย ตั้งแต่วิชาชีพทนายความไปจนถึงผู้พิพากษาตุลาการอันเป็นขั้นสูงสุดของวิชาชีพกฎหมาย บรรยากาศเมืองไทยเวลานี้และข่าวคลิปลับคดียุบพรรค ปชป. ย่อมดึงดูดความสนใจของผู้เขียนต่อหนังสือเล่มนี้เป็นพิเศษ และนับเป็นวาระอันเหมาะสมที่จะนำสาระสำคัญบางตอนในหนังสือเล่มนี้มาคุยกับท่านผู้อ่านเว็บไซต์นิติราษฎร์ในรอบนี้

ข้อความตอนหนึ่งบรรยายโดย ศาสตราจารย์โสภณ รัตนากร อดีตประธานศาลฎีกา ในหัวข้อเรื่อง “หลักวิชาชีพนักกฎหมาย : ตุลาการ” ท่านกล่าวว่า สำหรับผู้พิพากษาตุลาการ เรื่องความซื่อสัตย์สุจริตเป็นเรื่องสำคัญที่สุด และถือเป็นอุดมการณ์ของตุลาการทุกระบบไม่ใช่เฉพาะของไทย จึงได้เขียนเอาไว้ในประมวลจริยธรรมข้าราชการตุลาการเป็นข้อแรก โดยบัญญัติว่า

“หน้าที่สำคัญของผู้พิพากษา คือการประสาทความยุติธรรมแก่ผู้มีอรรถคดี ซึ่งจักต้องปฏิบัติด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเที่ยงธรรม ถูกต้องตามกฎหมายและนิติประเพณี ทั้งจักต้องแสดงให้เป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชนด้วยว่าตนปฏิบัติเช่นนี้อย่างเคร่งครัดครบถ้วน เพื่อการนี้ผู้พิพากษาจักต้องยึดมั่นในความเป็นอิสระของตนและเทิดทูนไว้ซึ่งเกียรติศักดิ์แห่งสถาบันตุลาการ” เหตุที่ประมวลจริยธรรมข้าราชการตุลาการยกเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตไว้เป็นข้อแรก และถือเป็นอุดมการณ์แห่งวิชาชีพที่สำคัญที่สุดเพราะเหตุว่าถ้าผู้พิพากษาไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต สถาบันตุลาการก็อยู่ไม่ได้ เป็นที่เชื่อถืออะไรไม่ได้ ซึ่งจะนำไปสู่ความเสื่อม และล่มสลายของสถาบันตุลาการในที่สุด

ความซื่อสัตย์สุจริตและความเป็นอิสระของผู้พิพากษานอกจากต้องมีอยู่ในตนอย่างแท้จริงแล้ว ตอนท้ายของประมวลจริยธรรมข้าราชการตุลาการข้อนี้ยังเรียกร้องให้ผู้พิพากษา “จักต้องแสดงให้เป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชนด้วยว่า ตนปฏิบัติเช่นนี้อย่างเคร่งครัดครบถ้วน”ซึ่งอาจารย์โสภณหมายความว่า ผู้พิพากษามีหน้าที่ต้องทำให้ประชาชนเห็นจริงด้วยว่า เขาได้รับความยุติธรรมโดยปราศจากข้อเคลือบแคลงสงสัย ไม่ใช่ว่าตัวผู้พิพากษาคิดว่าได้ให้ความยุติธรรมแล้ว แต่ประชาชนสงสัยว่าเขาไม่ได้รับความยุติธรรม อย่างนี้ใช้ไม่ได้

มีคำพูดคำหนึ่งในวงการตุลาการว่าผู้พิพากษาไม่เพียงต้องซื่อสัตย์สุจริต แต่จะต้องทำตัวให้ไม่มีฉายาแห่งความไม่สุจริต คือ ไม่ให้มีเงาให้คนอื่นเขาสงสัยในความไม่สุจริตนั่นเอง

ผู้เขียนเห็นว่าคำว่า “ฉายาหรือเงา” สำหรับผู้พิพากษา นอกจากจะหมายเอาที่พฤติกรรมอันไม่สุจริตของตัวผู้พิพากษาซึ่งทำหน้าที่พิพากษาตัดสินคดีโดยตรงแล้ว ยังหมายรวมไปถึงพฤติกรรมของบุคคลใกล้ชิดผู้พิพากษาทั้งในหน้าที่การงานและในครอบครัวซึ่งการกระทำของบุคคลเหล่านั้นอาจทำให้บุคคลภายนอกเข้าใจไปได้ว่าเป็นการยินยอมหรือความเห็นชอบของผู้พิพากษาผู้นั้น

กล่าวเฉพาะเจาะจงเรื่องคลิปลับ หากตั้งคำถามว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ปรากฏตัวในคลิปทั้งโดยตัวเองและโดยเงา (โดยนัย) จะเข้าข่ายมีพฤติกรรมที่อาจถูกสงสัยในความซื่อสัตย์สุจริตและความเป็นอิสระแล้วหรือไม่ และสมควรดำเนินการทางกฎหมายประการใด ผู้เขียนขอมอบให้องค์กรผู้มีหน้าที่สอบสวนอย่างคณะกรรมการ ป.ป.ช.เป็นผู้ตอบ

ส่วนคดียุบพรรคประชาธิปัตย์นั้น ตุลาการที่ถูกสงสัยควรปฏิบัติตัวอย่างไร ประมวลจริยธรรมข้าราชการตุลาการ ข้อ 14 กล่าวถึงการปฏิบัติหน้าที่ในอรรถคดีว่า

“ผู้พิพากษาพึงถอนตัวออกจากการพิจารณา และพิพากษาคดีเมื่อมีเหตุที่ตนอาจจะถูกคัดค้านได้ตามกฎหมาย หรือเมื่อมีเหตุประการอื่นที่เกี่ยวกับตัวผู้พิพากษาอันอาจทำให้การพิจารณาพิพากษาคดีนั้นเสียความยุติธรรม และจักต้องไม่กระทำการใด ๆ อันเป็นการจูงใจผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาพิพากษาคดีนั้นในภายหลังในประการที่อาจทำให้เสียความยุติธรรมได้”

เรื่องนี้อาจารย์โสภณเห็นว่า เป็นเรื่องที่สำคัญของผู้พิพากษา เพราะการถอนตัวไม่เพียงแต่เป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจของผู้พิพากษาเท่านั้น แต่ยังเป็นการป้องกันมิให้มีข้อครหาเกิดขึ้นภายหลัง เพื่อดำรงความบริสุทธิ์ยุติธรรมของสถาบันศาลและเพื่อรักษาไว้ซึ่งความศรัทธาของประชาชนต่อศาลด้วย

ผู้เขียนเห็นว่าเหตุผลประการหลังนี้เองเป็นรากฐานของบรรดาข้อบัญญัติประมวลจริยธรรมข้าราชการตุลาการและนิติประเพณีทั้งหมดทุกประการ คดียุบพรรคการเมืองไม่ว่าพรรคใดล้วนเป็นเรื่องใหญ่ มีประชาชนที่เขาหวงแหนพรรคสนับสนุนอยู่จำนวนมาก หากประชาชนเหล่านั้นรู้สึกว่าการยุบหรือไม่ยุบพรรคการเมืองใดไม่ได้ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงในคดีแล้ว ย่อมเกิดความไม่เชื่อถือเคารพศรัทธาสถาบันศาลและตุลาการตามมา

หากความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในสังคมแล้ว (แม้ความรู้สึกอาจตรงหรือไม่ตรงกับข้อเท็จจริงก็ตาม) วิถีทางการระงับความขัดแย้งในสังคมโดยสันติย่อมสิ้นสุดลง ประชาชนจะเลิกนำคดีมาสู่ศาลและหันไปยุติความขัดแย้งด้วยความรุนแรง (ดังปรากฏการณ์ระเบิดเกลื่อนเมืองขณะนี้) ท้ายที่สุดความหายนะย่อมเกิดขึ้นกับสถาบันศาลและสังคมไทยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ผู้เขียนเห็นว่าผู้พิพากษาและตุลาการซึ่งได้ปฏิญาณตนตามรัฐธรรมนูญ รวมทั้งสถาบันแห่งรัฐทั้งหลายซึ่งมีหน้าที่ประกันความอิสระของตุลาการ4 มีหน้าที่โดยตรงที่จะต้องรักษาความบริสุทธิ์ยุติธรรมของสถาบันศาลและความศรัทธาของประชาชนต่อศาลไว้เท่าชีวิตตน

ก่อนจบผู้เขียนนึกขึ้นได้ว่าในสมัยที่ท่านอาจารย์โสภณ รัตนากร ดำรงตำแหน่งประธานศาลฎีกานั้น ท่านเป็นผู้ที่ไล่ผู้พิพากษาออกจากราชการถึง 17 คน นับว่ามากที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการตุลาการไทย สาเหตุการไล่ออกก็มีต่าง ๆ นานา แต่ไม่เห็นเคยตีโพยตีพายเลยว่ามีขบวนการบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของศาลยุติธรรม ข่มขู่หรือหมิ่นประมาทศาล เรื่องพรรค์นี้ผู้หลักผู้ใหญ่ซึ่งเป็นตุลาการที่ผู้เขียนเคารพนับถือพูดเสมอว่า

“ถ้าตัวตรง ไม่ต้องกลัวเงาคด ถ้าหัวตรง ไม่ต้องกลัวเท้าเอียง”

มติชนออนไลน์: เจาะเบื้องหลังคลิปฉาวภาค 2 ศึกชิงเก้าอี้ประมุขศาล รธน. กลับตาลปัตรกลายเป็นแผน"ฆ่าล้างคอก"ตุลาการ

จาก อัลบั้มภาพ Matichon Online
ชัช ชลวร

กลายเป็นวิกฤตการณ์ที่กำลังลุกลามบานปลายทำลายศาลรัฐธรรมนูญให้ย่อยยับหมดความน่าเชื่อถืออย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อคลิปฉาวภาค 2 ถูกผู้ที่ใช้ชื่อว่า "ohmygod3009"แพร่คลิปดังกล่าวจำนวน 3 คลิปลงในYoutube เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2553 "พฤติกรรมศาลรัฐธรรมนูญไทย ตอนที่ 1-3" ต่อจากคลิปฉาวภาคแรก จำนวน 5 คลิปที่อ้างว่า เป็นการต่อรองกันในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์

สำหรับบุคลภายนอกแล้ว ต้องยอมรับว่า เมื่อดูเนื้อหาที่พูดคุยกันในคลิป ยากที่จะเข้าใจว่า เป็นเรื่องอะไร แต่เมื่อนำมาประกอบกับเรื่องที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)ออกมากล่าวอ้างแล้ว คงพอจับใจความได้ว่า เป็นการพูดคุยกันระหว่างตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 2 คนกับเลขานุการของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอีกคนหนึ่งเพื่อแก้ไขปัญหากรณีที่มีคลิปอีกชุดหนึ่งที่มีการหาเรือกันเรื่องนำข้อสอบการสอบคัดเลือกเข้าเป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเมื่อต้นปี 2552 ในห้องทำงานของผู้บริหารศาลรัฐธรรมนูญรายหนึ่งไปให้บุคคลใกล้ชิดและญาติซึ่งเป็นเลขานุการของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคนที่จะสอบคัดเลือกเป็นเจ้าหน้าที่ศาลซึ่งคลิปชุดดังกล่าวหลุดไปอยู่ในมือพรรคเพื่อไทย

ในคลิปดังกล่าว "พสิษฐ์(ปอย)"เป็นตัวละครหลักในการหารือ โดย "ปอย"กล่าวโจมตีผู้บริหารศาลรัฐธรรมนูญที่เป็นเจ้าของห้องในการหารือครั้งแรกว่า น่าจะเป็นผู้แอบอัดคลิปการสนทนาจนกระทั่งคลิปหลุดไปอยู่ในมือพรรคเพื่อไทย โดย พสิษฐ์หรือปอยรับอาสาว่า จะเป็นผู้จัดการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดเอง ให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 2 คนไม่ต้องกังวล อย่างไรก็ตามในการแอบนำข้อสอบไปให้เครือญาติและพรรคพวกตนเองนั้น มีการกล่าวอ้างว่า คนที่ชื่อ อุดมศักดิ์ไม่เอาด้วย

นอกจากนั้นเนื้อหาในคลิปยังมีการพูดถึงการต่อรองเรื่องดำรงตำแหน่งของผู้บริหารศาลรัฐธรรมนูญอีกด้วย

จากการตรวจสอบข้อมูลจากสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญพบตัวบุคคลที่ถูกพาดพิงถึงในการพูดคุยกัน รวมถึงตัวบุคคลที่ปรากฏเสียงในคลิปแล้วพบว่า มีตัวตนอยู่ทั้งในสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครอง ดังนี้ จรูญ สุพจน์ ชัช น้องชายคุณชัชเป็นนักธุรกิจ พสิษฐ์(ปอย) เฉลิมพล จรัญ(ไม่ใช่ ภักดีธนากุล แต่เคยสังกัดศาลปกครอง) กิ๊ก(เลขานุการของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญรายหนึ่ง) เบิร์ด(เลขานุการของตุลาการศาลรัฐธรรมนูยอีกคนหนึ่ง) อุดมศักดิ์, สุจิรา(ภรรยาผู้พิพากษา) จริยา (เจ้าหน้าที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ) ไพบูลย์(เจ้าหน้าที่ระดับสูงสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ

แหล่งข่าวจากสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญกล่าวว่า คลิปชุด"พฤติกรรมศาลรัฐธรรมนูญไทย ตอนที่ 1-3" น่าจะมีการแอบอัดไว้ก่อนช่วงที่จะมีการเผยแพร่คลิปชุดการต่อรองคดียุบพรรค โดยฝีมือของบุคคลกลุ่มเดียวกัน

คลิปชุดหลังนี้ "พสิษฐ์"หรือ"ปอย" ที่มีบทบาทในการพูดคุยชักจูงเช่นเดียวกับกับชุดที่มีนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญพูดคุยกับนายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์เรื่องการไต่สวนพยานคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ และการถ่ายคลิปในห้องประชุมตุลาการ

จากสภาพการณ์ดังกล่าว (ไม่ว่า ข้อเท็จจริงเรื่องการหารือเพื่อทุจริตการสอบคัดเลือกเข้าเป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญในห้องผู้บริหารศาลจะมีการแอบอัดคลิปไว้จริงหรือไม่ และคลิปดังกล่าวไปอยู่ในมือพรรคฝ่ายค้านจริงหรือไม่ ) เห็นชัดว่า เป็นแผนการที่เตรียมไว้โดยคนชื่อ"ปอย"ที่หลอกล่อให้ตุลาการบางคนเข้าไปติดกับ พุดชักจูงจนยอมรับพฤติกรรมที่ได้ทำไว้แล้วแอบถ่ายคลิปไว้

แต่คำถามคือ คนชื่อปอย ทำไปเพื่ออะไร

ถ้าวิเคราะห์แบบชั้นเดียว ก็คิดว่า "ปอย" เป็นเพียง "ไส้ศึก"หรือ"ม้าเมืองทรอย" ที่เข้ามาจากรรมข้อมูลในศาลรัฐธรรมนูญเพื่อส่งให้พรรคเพื่อไทยใช้ถล่มศาลรัฐธรรมนูญเพื่อกดดันการพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์(ตุลาการที่พูดกันในคลิปก็เชื่อเช่นนั้น)

แต่คนในศาลรัฐธรรมนูญบางส่วนเห็นว่า เริ่มแรกทีเดียว เป็นเกมในการต่อรองชิงเก้าอี้ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งช่วงที่นายชัช ชลวร ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานจากการเลือกกันเองของตุลาการ 9 คน มีกระแสข่าวว่า นายชัชรับปากกับตุลาการที่ลงคะแนนให้ว่า จะดำรงตำแหน่งเพียง 3 ปี (จากวาระการดำรงตำแหน่งของตุลการ 9 ปี )

แต่เมื่อใกล้ครบวาระ วิธีการเดียวที่จะช่วงชิงตำแหน่งหรือรักษาสถานะไว้คือ ทำให้คู่แข่งหรือคนที่มีโอกาสจะเข้าดำรงตำแหน่งมีปัญหา หรืออาจใช้วิธีการสร้างอำนาจต่อรองให้กับตนเอง

จะเห็นว่า เนื้อหาในคลิป มีเสียงเลขานุการตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ด่า"นาย"ตัวเองและบอกว่า การแอบถ่ายคลิปเป็นฝีมือนายของตัวเอง และยังมีการพูดถึงการดำรงตำแหน่ง 3 ปีของผู้บริหารศาล ซึ่งการที่ตุลาการบางคนแอบถ่ายคลิปไว้(ตามคำกล่าวอ้างของเสียงของ"ปอย")ก็เพื่อเป็นการต่อรองมิให้ตุลาการที่เป็นคู่แข่งแข็งข้อขึ้นมาช่วงชิงตำแหน่ง

แต่ที่หาคำตอบไม่ได้ว่า ทำไมคลิปแอบถ่ายที่เดิมจะใช้เพื่อการ"แบล็กเมล์"ในการช่วงชิงอำนาจกันในศาลรัฐธรรมนูญ กลับกลายไปตกอยู่ในมือพรรคฝ่ายค้านหรือดึงพรรคฝ่ายค้านเข้ามาเกี่ยวข้องจนกลายเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับคดียุบพรรคไปได้

อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่า ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นวิกฤตที่ซ้ำเติมให้ศาลรัฐธรรมนูญหมดความน่าเชื่อลงอย่างสิ้นเชิง

ดังนั้น ไม่ว่า ผลการตัดสินคดียุบพรรคจะออกมาเช่นไร คงไม่ได้รับการยอมรับจากแต่ละฝ่ายอย่างแน่นอน อาจอาจนำไปสู้วิกฤตลุกลามบานปลายไปสู่ความรุนแรงได้

ทางออกที่ดีที่สุดคือ ตุลาการทั้ง 9 คนควรลาออกจากตำแหน่งทั้งหมด เพราะจากเสียงในคลิปฉาวภาค 2 ที่เผยแพร่อยู่ในขณะนี้ค่อนข้างน่าเชื่อว่า มีการทุจริตสอบเพื่อให้ญาติและคนใกล้ชิด สามารถสอบคัดเลือกเป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้

หรือจะทนอยู่ต่อไปเพื่อทำลายองค์กรนี้ให้ย่อยยับ

อนึ่ง ตุลการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คนประกอบด้วย นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ นายจรัญ ภักดีธนากุล นายจรูญ อินทจาร นายเฉลิมพล เอกอุรุ นายนุรักษ์ มาประณีต นายบุญส่ง กุลบุปผา นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ นายสุพจน์ ไข่มุกด์ นายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี

ดูคลิปตอนที่ 1

ดูคลิปตอนที่ 2

ดูคลิปตอนที่ 3


ที่มา: มติชนออนไลน์(update: วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2553 เวลา 21:40:32 น.)

โครงการ เส้นทางสีแดง (Red Path Project)ขอเชิญร่วมขบวนเดินเท้า และปั่นจักรยานจากกรุงเทพฯสู่อีสาน

จาก อัลบั้มภาพThai E news

จาก อัลบั้มภาพThai E news
โครงการ กิจกรรมเดินและปั่นจักรยานเส้นทางสีแดง 1,700 กิโลเมตรจากราชประสงค์-ปลายทางประเทศลาว ระยะเวลา 1 เดือนจาก 31 ตุลาคม ถึง 30 พฤศจิกายน เริ่มต้นตั้งแต่ 10.00 น.วันนี้ โดยมีกำหนดการ และมีหลายวาระ หลายช่องทางให้คนเสื้อแดงได้มีส่วนเข้าร่วมกิจกรรม ดังต่อไปนี้

31 ตุลาคม 2553 จุดรวมพลและจุดสตาร์ท ราชประสงค์ สู่คลองเปรม ก่อนเคลื่อนขบวนสู่อีสาน

10.00น. เชิญร่วมกันมารวมพลให้กำลังใจ และส่งอาสาสมัครนักสู้ที่จะเดินทางยาวไกล 1,700กิโลเมตร ในขบวนเดินทางเส้นทางสีแดง (Red Path) เริ่มตั้งแต่ 10.00 น. และอย่าลืมก่อนออกจากบ้านช่วยกันเขียนจดหมายให้กำลังใจพี่น้องแกน นำ และเสื้อแดงในคุกทั่วประเทศ และเสื้อแดงที่ติดคุกคดีการเมืองในภาคอีสาน เพื่อนำมาใส่ซองจดหมายสีแดงที่ใหญ่ที่สุดในโลก

หากท่านไม่สะดวกร่วมขบวนนานนับเดือน ก็สามารถเข้าร่วมกิจกรรมก่อนการเดินทาง ด้วย การ เขียนจดหมายร้องทุกข์ จดหมายถึงนักโทษการเมือง ใส่ซองจดหมายสีแดงทีใหญ่ที่สุดในโลก โดยคณะทำงานจะต้งโต๊ะรับจดหมายตั้งแต่เวลา10.00 น.- 13.00 น. ที่ราชประสงค์ใน วันที่ 31ตุลาคม จากนั้นจะนำจดหมายทั้งหมด ไปยื่นให้ พี่น้อง และ แกนนำที่ถูกคุมขังอยู่ ที่เรือนจำกลางคลองเปรม ภายในวันเดียวกัน หากท่านสะดวกก็เชิญร่วมกิจกรรมที่หน้าคุกคลองเปรมด้วยกัน

จาก อัลบั้มภาพThai E news

13.00 น. ร่วมปล่อยขบวนและปั่นจักรยานกับ บก.ลายจุด และกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง และปล่อยนกพิราบ 91 ตัว สัญลักษณ์ของเสรีภาพ

16.00 น. วางดอกไม้แดงหน้าเรือนจำคลองเปรมให้กับแกนนำนปช.แดงทั้งแผ่นดิน เพื่อเดินทางสู่อีสาน อาจารย์ธิดา โตจิราการ ภรรยาหมอเหวง โตจิราการ กับคณะที่ปรึกษาโครงการฯ เช่น บก.ลายจุด จะไปร่วมวางดอกไม้แดงหน้าเรือนจำคลองเปรม โดยงานนี้นายแพทย์สันต์ หัตถีรัตน์ ประธานมูลนิธิีรชนเพื่อประชาธิปไตย (อดีตประธานสมาพันธ์ปชต. ผู้นำการต่อสู้ยุค 17 พฤษภา 35)นำพาพี่น้องประชาชนจัดกิจกรรม

กำหนดการเดินทาง เส้นทางสีแดง ( Red Path Project )
18 จังหวัด 22 จุดแวะพัก ระยะทาง 1,700 กม.



วันที่ ต้นทาง ปลายทาง ระยะทาง (กม.)

31 ตค. ราชประสงค์ / คลองเปรม ปทุมธานี 46 กม.
1 พย. ปทุมธานี อยุธยา 53
2 พย. อยุธยา มวกเหล็ก 100
3 พย. มวกเหล็ก มวกเหล็ก
4 พย. มวกเหล็ก ลำตะคอง 26
5 พย. ลำตะคอง นครราชสีมา 94
6 พย. นครราชสีมา นครราชสีมา
7 พย. นครราชสีมา นครราชสีมา
8 พย. นครราชสีมา บัวใหญ่ 101
9 พย. บัวใหญ่ ชัยภูมิ 55
10 พย. ชัยภูมิ ชุมแพ 108
11 พย. ชุมแพ ขอนแก่น 82
12 พย. ขอนแก่น ขอนแก่น
13 พย. ขอนแก่น กาฬสินธ์ 77
14 พย. กาฬสินธ์ มหาสารคาม 44
15 พย. มหาสารคาม ร้อยเอ็ด (สุวรรณภูมิ) 98
16 พย. ร้อยเอ็ด (สุวรรณภูมิ) ยโสธร 48
17 พย. ยโสธร ศรีษะเกษ (ราศีไศล) 66
18 พย. ศรีษะเกษ (ราศีไศล) ศรีษะเกษ (ราศีไศล)
19 พย. ศรีษะเกษ (ราศีไศล) อุบลราชธานี 95
20 พย. อุบลราชธานี อำนาจเจริญ 75
21 พย. อำนาจเจริญ มุกดาหาร 88
22 พย. มุกดาหาร นครพนม (ธาตุพนม) 161
23 พย. ธาตุพนม สกลนคร 48
24 พย. สกลนคร พังโคน 54
25 พย. พังโคน อุดรธานี 118
26 พย. อุดรธานี อุดรธานี
27 พย. อุดรธานี หนองคาย 51
28 พย. หนองคาย สะพานมิตรภาพไทย-ลาว 12
29 พย. หนองคาย หนองคาย -
30 พย. ลาว ร่วมทอดกฐินสามัคคีพี่น้องไทย-ลาว ชมคอนเสิรท์ใหญ่ แป๊ะ คนบางสนาน และศิลปินเสื้อแดง

1 ธค. เดินทางกลับโดยรถไฟ รถด่วนขบวนที่ 762 ออกจากหนองคาย 06.00 น. ถึงหัวลำโพง 17.10 น. สิ้นสุดขบวนเดินทางที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเวลา 18.00 น. (ถ่ายรูปกับคนเสื้อแดง สื่อมวลชนถ่ายรูป ทำข่าว)

จาก อัลบั้มภาพThai E news

หมายเหตุ : 1. ตารางการเดินทางอาจมีการปรับเปลี่ยนในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น

2. สื่อมวลชนต้องการทำข่าว ติดต่อ 081-583 6964 E-mail : red_truth_only@hotmail.co.th Face Book : เรดทรู้ธ

ผู้ต้องการสมทบทุนโครงการเส้นทางสีแดง (Red Path Project) โอนเงินสมทบได้ที่ ธนาคารไทยพานิชย์ สาขาอิมพีเรียลเวิล์ด ลาดพร้าว ชื่อบช.'นายสุพิน ชินบุตร และ/หรือ นายธนะสิทธิ์ พิพุฒ และ/หรือ นายสมบัติ บุญงามอนงค์ บช.ออมทรัพย์เลขที่ 224-241343-5'


จาก อัลบั้มภาพThai E news
คนไทยเสื้อแดงในต่างประเทศสามารถ เข้าร่วมทำกิจกรรมนี้พร้อมๆกันทั่วโลก ร่วมกันคิกออฟกิจกรรมเส้นทางสีแดงไปพร้อมๆกัน หากสามารถมาร่วมชุมนุมกันได้ที่สถานทูต หรือสถานกงสุลของไทยในต่างประเทฒก็ถือเป็นเรื่องที่ดีที่จะกดดันรัฐบานให้ ปล่อยตัวแกนนำหรือคนเสื้อแดงที่อยู่ในคุก

***กิจกรรมนี้มีกันทั่วโลก ต่างประเทศ นำโดยคุณคอนเนอร์ เพอร์เซล ชาว ออสเตรเลียที่ติดคุกในไทยเพราะขึ้นปราศรัยเวทีเสื้อแดงที่ผ่านมา และได้ออกจากคุกแล้ว จัดงานพร้อมกันกับที่ขบวนแรลรี่ปั่นจักรยานโครงการเส้นทางสีแดง


โดย คุณคอนเนอร์จะรวบรวมพี่น้องเสื้อแดงที่ซิดนีย์ ไปประท้วงหน้าสถานทูตไทยประจำออสเตรเลียในวันที่ 31 ต.ค.วันเดียวกับที่โครงการเส้นทางสีแดง

ทั้งนี้คุณคอนเนอร์และเสื้อแดงออสเตรเลีย รวมทั้งผู้ดำเนินโครงการ แจ้งมาว่า อยากให้คนไทยทั่วโลกร่วมทำกิจกรรมนี้พร้อมๆกันทั่วโลก จึง ขอประชาสัมพันธ์ไปยังเสื้อแดงทั่วโลกร่วมกันคิกออฟกิจกรรมเส้นทางสีแดงไป พร้อมๆกัน หากสามารถมาร่วมชุมนุมกันได้ที่สถานทูตก็ถือเป็นเรื่องที่ดีที่จะกดดันรัฐ บานให้ปล่อยตัวแกนนำหรือคนเสื้อแดงที่อยู่ในคุก

*******
เชิญร่วมหลั่งน้ำใจช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม(ปาก)อย่าปล่อยให้พวกเขาถูกขังลืมกับโครงการเส้นทางสีแดง
เชิญร่วมโครงการเส้นทางสีแดงจากคลองเปรมสู่11จังหวัดอีสาน860กม. เยียวยา+ตามหายุติธรรม

จาก อัลบั้มภาพThai E news

โครงการ เส้นทางสีแดง (Red Path Project)ขอเชิญร่วมขบวนเดินเท้า และปั่นจักรยานจากกรุงเทพฯสู่อีสาน นำกำลังใจและความช่วยเหลือสู่พี่น้องเสื้อแดงอีสาน 18 จังหวัด 1700 กม. 31ต.ค.-30 พย.นี้ แวะเยี่ยมผู้ต้องขัง ร่วมทำกิจกรรมผูกผ้าแดง วางดอกไม้แดงหน้าเรือนจำ นำเงินทองสิ่งของบริจาคมอบให้พี่น้องเสื้อแดง เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำนปช.ฯลฯ และรณรงค์สู่ระดับนาชาติ


โครงการ เส้นทางสีแดง (Red Path Project) เป็นโครงการด้านมนุษยธรรมเพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการสังหารหมู่ใน วันที่ 10 เมย.และ 13-19 พค.ที่รัฐบาลกระทำต่อประชาชนชาวไทยที่เรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา โครงการนี้ดำเนินการโดยไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองใดๆ

โดยโครงการ นี้มีข้อเรียกร้องให้รัฐบาลปล่อยตัวแกนนำนปช.และผู้ต้องขังในคดี ชุมนุม เรียกร้องให้รัฐบาลยุติการปฏิบัติ 2 มาตรฐานทางกฏหมาย และเรียกร้องให้นานาชาติได้หันมาตระหนักและให้ความสำคัญเกี่ยวกับการละเมิด สิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงหลังรัฐประหาร 19 กย. 2549

โครงการนี้มี คุณสมบัติ บุญงามอนงค์ (แกนนำกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง) และอาจารย์ธิดา โตจิราการ เป็นที่ปรึกษาโครงการในประเทศไทย และมีคุณพอร์แชล คอนเนอร์ (อดีตนายทหารบกออสเตรเลียที่ถูกจับกุมคุมขังและถูกซ้อมอย่างทารุณในเรือนจำ คลองเปรม) เป็นสมาชิกกลุ่มและที่ปรึกษาโครงการในต่างประเทศ

โครงการ เส้นทางสีแดงประกอบด้วยคนเสื้อแดงที่รักความเป็นธรรมและมีความมุ่งมั่นที่จะ นำน้ำใจและความช่วยเหลือมอบให้แก่พี่น้องเสื้อแดงที่อีสานซึ่งได้รับผลกระทบ จากการสังหารหมู่ มากที่สุด คนเสื้อแดงในภาคอีสานจำนวนมากถูกสังหาร บาดเจ็บ พิการ และสูญหายอีกจำนวนมาก สมาชิกโครงการจะร่วมกันเดินเท้าและปั่นจักรยานเพื่อไปเยี่ยมเยียน เยียวยา และให้กำลังใจบุคคลที่น่าเห็นใจเหล่านี้ได้มีกำลังใจที่จะดำเนินชีวิตต่อไป และไม่ย่อท้อที่จะต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริงที่พวกเขาโหยหามาชั่ว ชีวิต

ขบวนเดินทางจะเริ่มออกเดินทางในวัน อาทิตย์ที่ 31 ตค. เวลา 10.00 น.ที่ราชประสงค์โดยจะปั่นจักรยานและเดินเท้าไปเรือนจำคลองเปรมเพื่อทำการ วางดอกไม้แดงและปล่อยนกพิราบเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพ โครงการนี้จะเดินทางด้วยระยะทางกว่า 900 กม. ผ่าน 18 จังหวัดในภาคอีสาน ใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้น 31 วันโดยประมาณ

พบกันตั้งแต่10.00 วันอาทิตย์ 31 ตค.ที่ราชประสงค์


ที่มาบทความ: Thai E-News
ชื่อบทความ: เส้นทางสีแดงเดินทัพทางไกล1700กม.นาน1เดือนตามล่ายุติธรรมเริ่มแล้ววันนี้ที่ราชประสงค์สู่อีสาน
โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์ (update: 31 ตุลาคม 2553)

วันเสาร์, ตุลาคม 30, 2553

go6: เผยภาพ "จักรภพ เพ็ญแข" ครั้งแรก หลังเดินทางออกนอก...

go6: เผยภาพ "จักรภพ เพ็ญแข" ครั้งแรก หลังเดินทางออกนอก...: "จากเวปไซด์อินเตอร์เนตฟรีดอม ได้นำกลอนของคุณจักรภพ เพ็ญแข มาลงขอบคุณ และเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นภาพนิ่งของคุณจักรภพ หลังจากเดินทางออกจากประเทศ..."

go6: ต้นฉบับ ดร.วิบูลย์ แช่มชื่น สัมภาษณ์ โรเบิร์ต อัมส...

go6: ต้นฉบับ ดร.วิบูลย์ แช่มชื่น สัมภาษณ์ โรเบิร์ต อัมส...: "Robert Amsterdam from the International Law Firm Amsterdam & Peroff which represents former Prime minister Thaksin Shinawatra, yesterday ..."

วันศุกร์, ตุลาคม 29, 2553

มอง"ลาว"แล้วย้อนมอง"ไทย"

บทความโดย ดร.โสภณ พรโชคชัย จาก Mthai.com

ลาววันนี้มีสิ่งใหม่ที่น่าทึ่งเป็นอย่างยิ่ง ผมไปลาวหลายครั้ง แต่ผมก็เพิ่งได้เปิดหูเปิดตาดูอย่างจริงจัง จึงขออนุญาตแบ่งปันมาศึกษาเยี่ยงอย่างมาเพื่อพัฒนาประเทศไทยของเรา เพื่อให้ประชาชนไทยได้มีความสุข ความเจริญ มีโอกาสที่ดีงาม ทั้งนี้ผมได้ประมวลจากการไปบรรยายด้านอสังหาริมทรัพย์และการประเมินค่า ทรัพย์สินที่กรุงเวียงจันทน์เฉพาะในระหว่างวันที่ 14-17 ตุลาคม 2553

3G ลาวสุดล้ำหน้า ลาวมีโทรศัพท์มือถือระบบ 3G มาเกือบ 4 ปีแล้ว ข่าวว่าในเดือนพฤศจิกายน 2553 เขาจะมีระบบ 4G แล้ว และระบบ 8G ในอีก 2 ปีข้างหน้า แต่ไทยยังไม่มี นัยว่าในภูมิภาคนี้มีอีกเพียง 2 ประเทศคือ บังคลาเทศและเวียดนามที่ยังไม่มี 3G ใช้ นี่แสดงว่าผู้มีอำนาจการตัดสินใจในไทยยังไม่ได้มีประสิทธิภาพและทำงานอย่าง มีประสิทธิผลพอ ประเทศไทยมักอ้างข้อจำกัดด้านกฎหมายต่าง ๆ คล้ายแบบศรีธนญชัยในสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยอาจไม่ทันคิดว่าประชาชนไทยจะสูญเสีย ไม่ได้บริโภคสิ่งดี ๆ เช่นชนชาติอื่น

มาเฟียมีน้อย ตำรวจจราจรลาวอาจรับสินบนบ้าง แต่ตำรวจกองปราบปรามลาวทำงานเชิงรุก มีหน่วยปฏิบัติการออกลาดตระเวนยามค่ำคืน หากพบผู้ทำผิดกฎหมาย จะตักเตือนก่อน หากผิดซ้ำจะถูกจับกุมและได้รับการลงโทษตามกฎหมายขั้นสูงสุด จึงทำให้อันธพาล นักเลงหัวไม้มีน้อยมาก สันติราษฎร์จึงร่มเย็นเป็นสุข การเปิดไนท์คลับในลาว เสียเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่ม 10% แตกต่างจากไทยที่ต้องจ่ายให้พวกมาเฟีย บางแห่งพอ ๆ กับค่าเช่าสถานที่ เช่น 30,000 บาทต่อเดือน การที่ต้องจ่ายหนักขนาดนี้ ธุรกิจบางแห่งเลยปิดกิจการไป ล็อตเตอรี่ลาวก็ออกสัปดาห์ละ 2 หน ใครใคร่ซื้อ ซื้อ เขาเชื่อมั่นว่าประชาชนมีวิจารณญาณ ไม่งมงายจนเสียผู้เสียคน แต่ลาวไม่มีหวยใต้ดิน ใครเป็นเจ้ามือคงไม่รอดเงื้อมือกฎหมาย
กฎหมายแรง-ศักดิ์สิทธิ์

กฎหมายลาวเข้มงวดนัก มีการปราบปรามผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง โดยผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ แต่มักไม่เป็นข่าวแบบไทย ศาลลาวก็เป็นศาลชั้นเดียว อย่างกรณีการแอบถ่ายคลิปที่เกิดขึ้นในไทย หากเป็นในลาว คงต้องโทษติดคุก (แทบ) ตลอดชีวิต ชีวิตคนคุกลาวคงไม่ยืนยาวนัก เพราะเสมือนตายทั้งเป็น สมัยก่อนยังมี ‘คุกมืด’ และ ‘คุกใต้ดิน’ แต่ที่แน่นอนก็คือไม่มีการปล่อยให้ ‘ขาใหญ่’ ในคุกเปิดสำนักงานในคุกเพื่อค้ายาเสพติดกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน คนคุกที่ไม่กลับเนื้อกลับใจจริง คงไม่ได้ออกมาเป็นภัยสังคมเป็นแน่

กฎหมายเข้าข้างประชาชน ไม่มีโอกาสที่ใครจะครองที่ดินจำนวนมหาศาลโดยไม่มีขีดจำกัด เพราะหลังการปลดปล่อย ระบบการผูกขาดที่ดินหมดลง แม้ในระยะหลังอาจมีนายทุนได้รับสัมปทานที่ดินแปลงใหญ่ แต่หากไม่ได้ใช้ประโยชน์ตามเงื่อนไขและเวลาที่กำหนด รัฐก็สามารถยึดคืนมาได้ ลาวมีระบบภาษีที่ดินโดยเสียเป็นรายปี ส่วนการโอนมรดกอสังหาริมทรัพย์ก็เสียภาษีราว 13% แต่ในกรณีการซื้อขาย อาจต้องเสียภาษีถึงหนึ่งในสามของมูลค่า เพราะเขาไม่ส่งเสริมให้มีการเปลี่ยนมือที่ดิน และมีโอกาสน้อยในการติดสินบนเพื่อให้จ่ายภาษีน้อยเพราะมีระบบตรวจสอบข้า ราชการที่ค่อนข้างรัดกุม

สื่อมวลชนมีจรรยาบรรณ หนังสือพิมพ์ลาวไม่ประโคมข่าวฉาวโฉ่ที่ไม่เป็นเรื่อง ไม่มีนักอ่านข่าว นักจัดรายการวิทยุ-โทรทัศน์ประเภท ‘จ้อ’ ใส่สีใส่ไข่อย่างเมามัน ดารานักแสดงก็ทำตัวเรียบร้อยดีเพราะกฎหมายที่ลาวนั้นเข้มแข็ง หาไม่ก็หมดทางทำมาหากินอีกต่อไป การที่สื่อมวลชนมีมาตรฐานและจรรยาบรรณในวิชาชีพสูง โดยไม่หากิน ‘ขายข่าว’ ในเรื่องไม่เป็นเรื่อง ก็เท่ากับไม่ได้สร้างความเครียดกับสังคม ประชาชนก็ต่างมุ่งการทำมาหากิน มากกว่าไปสนใจเรื่องไร้สาระของชาวบ้าน

เอ็นจีโอไม่กล้าหือ สมัยสร้างเขื่อนน้ำงึม 2 กลุ่มเอ็นจีโอกล่าวหาว่าลาวทำลายสิ่งแวดล้อม รัฐบาลลาวมั่นใจว่าตนทำเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน ลาวยังตั้งคำถามกลับกับพวกนี้ว่าถ้าไม่ให้ลาวสร้างเขื่อน ประชาคมโลกจะช่วยเหลืออะไรลาวได้บ้างหรือไม่ ลาวไม่ใส่ใจต่อนโยบายสิ่งแวดล้อม ‘จอมปลอม’ ที่พยายามให้ลาวดักดาน โอกาสที่กลุ่ม ‘กรีนพีซ’ จะไปเดินขบวนต่อต้านในลาว คงเกิดขึ้นได้ยาก เชื่อว่าเอ็นจีโอที่เคยรับเงินไปเที่ยวเดินขบวนในยุโรปและอเมริกา ก็คงไม่กล้าจะไป ‘แหยม’ ที่ลาวเป็นแน่ แต่รัฐบาลลาวก็ยินดีต้อนรับเอ็นจีโอเชิงสร้างสรรค์และคอยติดตามและอำนวยความสะดวกอย่างใกล้ชิดไม่ปล่อยให้ซ่องสุมทำลายชาติ
ลาวเป็นเผด็จการ? บางคนบอกว่าลาวเป็นเผด็จการ แต่ลาวมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ‘สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว’ ตามลัทธิคอมมิวนิสต์ เขาเป็นเผด็จการโดยชนชั้นกรรมาชีพซึ่งหมายถึงคนส่วนใหญ่ของประเทศ ลาวว่าตนมีประชาธิปไตย ไม่ใช่อนาธิปไตยแบบ ‘ทำได้ตามใจคือไทยแท้’ สมาชิกรัฐสภาลาวก็ไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคประชาชนปฏิวัติลาว แต่ห้ามการซื้อเสียง ประชาชนได้รับการปลูกฝังให้มีศักดิ์ศรี ในทางตรงกันข้าม ลาวกลับมองว่าสหรัฐอเมริกาต่างหากที่ไม่เป็นประชาธิปไตยแท้ เพราะยังมีการผูกขาด การแบ่งแยกสีผิว
มองย้อนดูไทย หวนกลับมาดูไทยที่มักอ้างตัวบทกฎหมาย เรียกร้องให้คนทำดีอย่างไม่ลืมหูลืมตา แต่กลับโกงกินกันทุกหย่อมหญ้า ข้าราชการดี ๆ ก็มี แต่มักเป็นระดับล่างหรืออยู่ในตำแหน่งและหน่วยงานที่หาผลประโยชน์ได้ยาก การที่คนไทยแตกแยกกันหนัก ส่วนหนึ่งคงเพราะขาดความเป็นธรรม ไทยจึงมีปัญหาชายแดนใต้ ยิ่งมีเรื่องสีเสื้อ ยิ่งเหมือนไทยขาดที่พึ่ง คล้ายกับว่าผู้บริหารประเทศขาดความเป็นธรรม
ผมไม่ได้เชียร์ลาว แต่เป็นห่วงอนาคตของชาติ ของประชาชน บางครั้งเราก็ควรศึกษาจากชาติอื่นบ้าง เพื่อที่ไทยจะได้พัฒนาไปอย่างยั่งยืนสถาพร

*********
ลองอ่านดูนะครับ ไม่เห็นมีความซาบซึ้งเหมือนบ้านเรา


ที่มา: จาก F/M บทความโดย ภูชี้ฟ้า (update: 2010-10-29 เวลา 11:00:50 AM)

เดวิด: คำถามที่เห็นอยู่ทนโท่คือ: ?ถ้าสถาบันกษัตริย์เป็นที่รักที่เทิดทูนยิ่ง ทำไมจึงจำเป็นต้องมีกฎหมายหมิ่นฯ

จาก อัลบั้ม บันทึกของอชิต on FB

Interview on Lese Majeste with David Streckfuss

Sun, 03/10/2010 - 17:54

Pravit Rojanaphruk


Khon Kaen-based scholar David Streckfuss recently completed a seminal book on lese majeste law entitled “Truth on Trial in Thailand: Defamation, treason, and lese-majeste” published by Routledge. He answered questions by Pravit Rojanaphruk about lese majeste law and more. Excerpts:

1) Many people who support lese majeste law say Thailand and its monarchy is unique thus the law is needed. What's your view?

The most obvious question to ask is: “If the Thai monarchy is so loved, why does it require one of the most draconian lese majeste laws of recent world history?” So yes, the institution may be quite unique, and so is the law protecting it. But in many cases, the law is in direct conflict with the democratic aspirations of many Thais. To believe something is unique tends towards a sense of exceptionalism, which easily leads towards becoming blinded to universal and historical trends elsewhere.

2) Some Thais claim foreigners do not and cannot really understand Thai society. Is your book yet another example of a portrayal of Thai society from a 'naive' outsider's perspective?

These days, I’m not so sure that anyone really understands what’s going on in Thai society—Thai or foreigner. The discourse on Thailand and Thai-ness has drifted into terra incognita and as such perhaps no one has a privileged perspective any more. As for the book, I think it does pretty well in appreciating and characterizing the historical roots of “Thai” perceptions of the truth. The conclusions the book draws are a descriptive analysis of this very “Thai” system confronting modern, largely universal legal norms and human rights discourse. I wouldn’t argue that the book’s perspective is “the right one.” It is merely one perspective, but one that I hope will resonate for some who live in Thailand—both Thai and foreigner—and who sincerely want the best for this country and its people.


3) Many decades ago, Thai mainstream media used to report and write critically about the monarchy institution. Today, they exercise self-censorship on anything deemed even mildly critical without any qualm. How do you explain it?

There are a number of factors that might explain the change. One cause certainly is the increased penalty for lese majeste. After the 6th of Oct. massacre, the military dictatorship of the time increased the penalty to a minimum of three and a maximum of 15 years in jail for each count—a penalty that is more than twice as high as during the absolute monarchy. Most importantly perhaps is that since the early 1960s, much of the movement toward democracy was reversed and there was a re-sacralization of the institution. This shift made it increasingly difficult to address a whole series of political, social, economic, and cultural issues, depriving Thailand of much of the artistic and intellectual dynamism it might otherwise have had. The chilling effect of this law on the media is undeniable. But the mainstream media seems to have also failed in fulfilling its historical task of fighting for greater freedom of expression.

The German press in the 1890s, for instance, showed a remarkable feistiness at a time when there were more than 500 cases of lese majeste on average per year. A number of newspaper editors would be jailed for a year or two, be released for a few days, challenge the law again, and be thrown right back into jail. Sometimes it is said that government repression in Thailand is understandable given that Thailand has been democratic for only 80 years. German democracy in the 1890s was even younger, and yet the media showed its verve.

Thailand cannot claim to be democratic while at the same time arresting and trying hundreds of people for freedom of expression. It might be clearer were Thailand to emulate Myanmar, ignore international human rights standards completely, and simply say that “Thai-style democracy” is one where the military can act with wanton impunity, freedom of expression on certain key issues is non-existent, and amnesties conveniently expunge the past.

4) Why Thai society doesn't seem to be able to come to a censensus over lese majeste law?

In the 1970s, the right tore Thai society apart by accusing its opponents of being “communists” or “communist terrorists.” Now the ultimate act of treason is republicanism or even not showing absolute loyalty to the highest institution. Today’s Thai conservatives are too eager to bundle together republicanism, those who want to reform the monarchy, and even those who question the lese majeste law. Under these conditions, consensus is impossible. Instead, Thai society continues its historical tendency to demonize. Thailand has been divided into patriots and traitors.

5) Some royalists believe that without lese majeste law, the royal institution will become unstable. How realistic is such concern?

If it takes the lese majeste law to suppress criticism, expression of opinions, and public scrutiny—the hallmarks of any minimally functioning democracy—then the system is already precariously unstable. It is the lese majeste law itself and its use creating this instability, for it masks the truth or reality of the situation. I believe that Thai society, although already battered and divided, could survive and perhaps even flourish by a strong dose of the truth. It strengthens no public institution when society cannot exercise public reason. Those who want to protect the monarchy from public scrutiny weaken the institution and endanger its future.


6) Is there anything particularly unique about the recent arrest of Prachatai on-line newspaper's director Chiranuch Premchaiporn under lese majeste law?

Chiranuch’s arrest indicates a worrying trend in lese majeste arrests. First, the police admit that they had a warrant for her arrest for as long as a year before actually seizing her at the airport. They claimed that they had to use this tactic because of the seriousness of the crime. Well, if it was so serious, the police had plenty of time to arrest her in her office where she was arrested last year. But instead, she was arrested while returning to the country from abroad. She is probably the fourth or fifth person to be arrested in this dramatic and needless manner. Second, this is probably another example of the increasing use of a double lese majeste-computer crimes charge.

7) Given His Majesty's advancing age, and concerns over the succession of the throne and the current political crisis, will there likely be more lese majeste charges made?

Unfortunately, it appears that in all of this political turmoil, lese majeste has become the preferred charge against political opponents, especially against the red shirts or those perceived to be red-shirt sympathizers. The law has now become more than just a latent threat. Over a five year period—from 2005 to 2009—there were 430 cases accepted the Court of First Instance in Thailand, which handed down 231 decisions. Another 39 were received by the Appeals Court, and 9 by the Supreme Court. The number of lese majeste cases has skyrocketed under the present administration, to historically unprecedented and incomparable numbers—164 cases went to trial in the Court of First Instance in 2009. Such a vigorous use of a law for non-violent word crimes and against freedom of expression makes hollow Thailand’s claim to being democratic. And, of course, use of the law will continue to counter any attempts at reconciliation. In fact, it is the law and its use that comprise one of the chief roadblocks to reconciliation.

8) In your book, you wrote about Thai elites having “ossified Thai ‘culture’ into a mythical time". Why are they so keen?

I argue that the entrenched culture of impunity has had a serious effect on the way that Thai society perceives the truth. The repeated coups, amnesties for perpetrators of murder, and general degradation of the laws and judicial system especially after the late 1950s so tortured and twisted Thai society and politics that simple truths became unrecognizable. Often this arrangement was supported by what I interpret as misdirected state-supported Buddhism which eagerly urged the victims of violence to forgive and move on. But the accumulated effects of denying historical truth have exacted a terrible price by allowing the next massacre to emerge. Thai history was essentially suspended in time, into a repeating monotonous melodrama of heroes and villains. It was under such a scheme that the defamation laws—including lese majeste—became paramount, and clearly showed a reversal in democratization. When the 1997 constitution jolted Thai history into movement, the old power structure acted to re-suspend history by backing the 2006 coup. But, as events have shown, the 2006 coup was the one that many did not accept or forget.

Actually, this is encouraging. There needs to be a massive historical reckoning. Forgiveness has its place, but only after the truth has been told, the perpetrators of murder have been identified, and Thais have a chance to deal with what has happened—whether it is Dusun-nyor incident, 6 October, Black May, Tak Bai, and now, April-May 2010. Amnesties don’t change the fact that overthrowing the government in a coup or shooting unarmed civilians is against the law. In other countries citizens have pushed to address past cases of impunity. The lese majeste law and other defamation-based laws have made it difficult, but not impossible, for an aroused public to begin the process of this great historical reckoning.

9) Is lese majeste law related to the creation of a hegemonic notion of Thainess? How?

Beginning more than a century ago, great efforts were made to paper over ethnic and religious divisions. Later, other divisions, like economic and educational ones, were papered over with incessant calls for national unity. It was a grand effort, and it worked reasonably well for a century. This entire historical construction resulted in the notion of “Thainess.” Since 1960 when Field Marshal Sarit Thanarat revived the monarchy ideologically, and especially since 1976 when the monarchy had become fully re-sacralized until just recently at least, love of the monarchy became the central tenet of Thainess. One regrettable aspect of this process is that Thainess became paramount, largely at the expense of everything else. So when the concept of Thainess begins to crack and fall apart piece by piece—as it seems to be doing now—it is understandably frightening because there is little else out there to unite people in Thailand. Coups have stripped constitutions or a respect of rule of law of any meaning. There is no tradition of dealing with difference. The judicial system for many Thais is not the last resort. But in the process of reckoning with history and allowing truth to come out, it is possible that a new identity and unifying principle may emerge.


10) What is the most surprising discovery you made in the process of researching and writing up the book?

One of the most surprising things about the book is its relevance. When writing my dissertation in the 1990s, I was teased by graduate school friends for choosing such an irrelevant topic as defamation and lese majeste. Even when Routledge agreed to publish the book, lese majeste was still not very newsworthy. At the time, former prime minister Thaksin Shinwattra was engaged in a defamation spree unequalled in Thai history. So when lese majeste popped back into the news in late 2005, and has with each year accelerated in relevance, it became a very hard book to finish! I finally chose Darunee’s sentencing of 18 years in prison as a fitting end point. Another surprising discovery was the huge number of lese majeste cases since 2006, and the mind-boggling silence on the issue of most human rights organizations, both foreign and Thai.

11) Is your book being banned in Thailand?

I wouldn’t think so! Why ban it? I don’t believe that the contents of the book violate the lese majeste law or the country’s defamation laws, and is not contrary to good public morals and order. I believe that it may give pause to the wiser and more far-sighted royalists who truly have the institution’s long-term interests in mind. It is a serious academic study that makes an attempt to explain the serious divisions in the country, and suggests a number of ways to move forward democratically and as a constitutional monarchy. Of course if the book was banned, it would prove the central thesis of the book that the powers that be, and significant swaths of Thai society, can’t deal with different perspectives. But what would be gained in banning the book? No, I believe in a future Thailand (or rather, Siam) that is democratic, one that can deal with difference and new ways of understanding what a good citizen can be.


Ref: http://www.prachatai3.info/english/node/2068
-----------------------------------------------------------


จากบทสัมภาษณ์ เดวิด สเตร็คฟัส ว่าด้วยกฎหมายหมิ่นฯ และสังคมการเมืองไทย

Thu, 2010-10-14 14:16

ประวิตร โรจนพฤกษ์


เดวิด สเตร็คฟัส นักวิชาการชาวอเมริกัน ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เพิ่งออกหนังสือเล่มใหม่ ชื่อ “Truth on Trial in Thailand: Defamation, treason, and lese-majeste” (การดำเนินคดีกับความจริงในเมืองไทย: กฎหมายหมิ่นประมาท, ข้อหากบฎ, และกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ) พิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Routledge เมื่อเร็วๆ นี้ เขาได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับกฎหมายหมิ่นฯ และสังคมการเมืองไทย

1. ประวิตร: คนจำนวนมากที่สนับสนุนกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเชื่อว่า สถาบันกษัตริย์ไทยมีลักษณะพิเศษ จึงควรมีกฎหมายหมิ่นฯ มาปกป้องคุ้มครอง คุณเห็นว่าอย่างไร เดวิด: คำถามที่เห็นอยู่ทนโท่คือ: “ถ้าสถาบันกษัตริย์เป็นที่รักที่เทิดทูนยิ่ง ทำไมจึงจำเป็นต้องมีกฎหมายหมิ่นฯ ซึ่งมีบทลงโทษหนักฉกรรจ์ และรุนแรงอย่างที่สุดประเทศหนึ่งในโลก” ใช่ สถาบันกษัตริย์อาจมีลักษณะพิเศษบางประการ แต่กฎหมายที่คุ้มครองสถาบันก็เช่นกัน หลายครั้งที่กฎหมายนี้ขัดแย้งโดยตรงกับความปรารถนาอยากให้สังคมเป็น ประชาธิปไตยของคนไทยจำนวนมาก การเชื่อว่า บางสิ่งบางอย่างมีลักษณะพิเศษเฉพาะมักนำไปสู่สภาวะการยกเว้น (sense of exceptionalism) ซึ่งทำให้เรามืดบอดต่อกระแสระดับสากล [ที่พัฒนาสู่ความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น] และกงล้อของประวัติศาสตร์ [สู่ความเป็นสังคมสมัยใหม่อันเป็นอารยะ] ได้อย่างง่ายดาย

2. คนไทยจำนวนหนึ่งอ้างว่า คนต่างชาติไม่เข้าใจ และไม่สามารถเข้าใจสังคมไทยได้ หนังสือของคุณเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการวาดภาพสังคมไทย โดย “ฝรั่ง” ผู้เป็นคนนอกและผู้ไม่รู้หรือไม่ทุกวันนี้ ผมไม่แน่ใจว่า จะมีใครสามารถเข้าใจว่า กำลังเกิดอะไรขึ้นในสังคมไทยได้อย่างถ่องแท้ – ไม่ว่าคนไทยหรือเทศ วาทกรรมเรื่องความเป็นไทยได้เดินเข้าสู่พรมแดนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน (terra incognita) จึงไม่มีใครที่มีมุมมองอันเป็นอภิสิทธิ์เหนือผู้อื่น (privileged perspective) อีกต่อไป สำหรับหนังสือเล่มนี้ผมคิดว่า มันได้พยายามทำความเข้าใจและบรรยายถึงรากประวัติศาสตร์ของมุมมองต่อความจริง แบบ “ไทย” และในบทสรุปของหนังสือก็ได้วิเคราะห์บรรยายระบบ “ไทย” อันนี้ซึ่งกำลังเผชิญหน้ากับวาทกรรมเรื่องสิทธิมนุษยชน และมาตรฐานกฎหมายอันเป็นสากลสมัยใหม่ ผมคงไม่อ้างว่ามุมมองในหนังสือเป็นมุมมอง “ที่ถูกต้อง” มันเป็นเพียงหนึ่งมุมมองแต่ก็เป็นมุมมองที่สอดคล้องกับมุมมองของคนจำนวน หนึ่งที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย – ทั้งไทยและเทศ – ผู้ซึ่งมีความจริงใจปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ดีที่สุดเกิดแก่ประชาชนและประเทศ นี้

3. หลายทศวรรษที่แล้ว สื่อกระแสหลักไทยเคยรายงานและเขียนข่าวเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์อย่างเท่าทัน และวิพากษ์ มาวันนี้สื่อเหล่านี้เซ็นเซอร์ตนเอง แม้กระทั่งในเรื่องที่มีนัยยะเชิงวิพากษ์เพียงเล็กน้อย โดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวง คุณจะอธิบายประกฎการณ์นี้ได้อย่างไรมีปัจจัยหลายอย่างที่อาจช่วยอธิบายการเปลี่ยนแปลง ข้อแรก คือการเพิ่มโทษกฎหมายหมิ่นฯ หลังการสังหารหมู่ 6 ตุลา (พ.ศ. 2519) เผด็จการทหาร ณ เวลานั้นได้เพิ่มโทษขึ้นเป็น จำคุก 3 – 15 ปี ซึ่งมากกว่าสองเท่าของระดับโทษในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และที่สำคัญที่สุดได้แก่ เหตุการณ์ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ ค.ศ.1960 กระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยไทยส่วนใหญ่ถอยหลังลงคลอง และมีการรื้อฟื้นให้สถาบันกษัตริย์มีความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นอีกครั้ง การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้การพูดถึงประเด็นทางการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ยากมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ประเทศไทย ขาดซึ่งพลวัตทางปัญญา และศิลปะอย่างที่มันควรจะเป็น ผลอันน่าสะพรึงกลัวของกฎหมายนี้ที่มีต่อสื่อเป็นเรื่องที่ไม่สามารถปฏิเสธ ได้ หากทว่าสื่อกระแสหลักก็ดูเหมือนจะล้มเหลวในการปฏิบัติภารกิจทางประวัติ ศาสตร์เพื่อต่อสู้ให้ได้มาซึ่งเสรีภาพในการแสดงออกมากกว่านี้

4. ทำไมสังคมไทยจึงดูเหมือนไม่สามารถหาฉันทามติเรื่องกฎหมายหมิ่นฯ ได้ในช่วงทศวรรษที่ 1970 ฝ่ายขวาฉีกสังคมไทยออกโดยการกล่าวหาฝ่ายตรงข้ามว่าเป็น “คอมมิวนิสต์” หรือ “ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์” การเป็นกบฎคือการฝักใฝ่อุดมการณ์สาธารณรัฐนิยม หรือแม้กระทั่งการไม่ยอมแสดงความจงรักภักดีอย่างเต็มร้อยต่อสถาบันสูงสุด วันนี้พวกอนุรักษ์นิยมมักยัดเยียดเหมารวมว่า คนที่มีอุดมการณ์สาธารณรัฐนิยม คนที่ต้องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ หรือแม้กระทั่งคนที่ตั้งคำถามต่อกฎหมายหมิ่นฯ เป็นพวกเดียวกัน ในสภาพเช่นนี้ ฉันทามติจึงเกิดขึ้นไม่ได้

สังคมไทยยังคงเดินหน้าตราหน้าผู้เห็นต่างว่าเป็นปีศาจอย่างที่มันได้เคย เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาในอดีต และคนไทยก็ถูกแบ่งเป็นผู้รักชาติ และคนขายชาติ

5. พวกเจ้านิยมจำนวนหนึ่งเชื่อว่า หากปราศจากกฎหมายหมิ่นฯ สถาบันกษัตริย์จะสั่นคลอน ความกังวลเช่นนี้มีเหตุผลมากน้อยเพียงใดถ้ามีความจำเป็นต้องใช้กฎหมายหมิ่นฯ เพื่อกดไม่ให้มีการวิพากษ์ และแสดงความเห็น รวมถึงการตรวจสอบจากสาธารณะ – ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นลักษณะสำคัญพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตย – นั่นก็แสดงว่า ระบบนี้มันไม่มั่นคงอย่างยิ่งยวดอยู่แล้ว ตัวกฎหมายหมิ่นและการใช้กฎหมายนี้นี่แหละที่สร้างความไม่มั่นคง เพราะมันปิดบังความจริงของสถานการณ์อันเป็นจริง ผมเชื่อว่า ถึงแม้สังคมไทยตอนนี้จะแตกแยกและบอบช้ำ แต่มันก็สามารถดำรงอยู่ต่อไป หรือแม้กระทั่งเติบโตหากยอมรับโอสถแห่งสัจจะ ไม่มีสถาบันสาธารณะใดที่จะได้ประโยชน์จากการที่สังคมนั้นไม่สามารถใช้ตรรกะ ในที่สาธารณะได้ พวกที่ต้องการปกป้องเจ้าจากการตรวจสอบสาธารณะกำลังทำให้สถาบันฯ อ่อนแอลง และเสี่ยงต่อการคงอยู่ต่อไปไม่ได้ในอนาคต

6. มีอะไรที่พิเศษเกี่ยวกับการจับกุม จีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์ออนไลน์ประชาไท ด้วยกฎหมายหมิ่นฯ เมื่อเร็วๆ นี้หรือไม่การจับกุมตัวจีรนุชชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์อันน่าเป็นห่วงเกี่ยวกับการใช้ กฎหมายหมิ่นฯ อย่างแรก ตำรวจออกมายอมรับว่า ได้ออกหมายจับมากว่าหนึ่งปีแล้วก่อนที่จะจับกุมตัวจีรนุชที่สนามบิน พวกเขาอ้างว่า ต้องใช้วิธีนี้เพราะมันเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมหนัก ถ้าเป็นอาชญากรรมฉกรรจ์จริง ตำรวจก็มีเวลามากมายก่อนหน้านี้ในการจับกุมจีรนุชที่ออฟฟิศ ซึ่งเธอก็ถูกดำเนินคดีไปแล้วอีกคดีก่อนหน้านี้เมื่อปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้เธอถูกจับระหว่างเดินทางกลับจากต่างประเทศ เธอคงเป็นคนที่สี่หรือห้าที่ถูกจับด้วยวิธีที่เว่อร์เกินเหตุเกินความจำเป็น ประการที่สอง นี่เป็นอีกตัวอย่างของการใช้กฎหมายหมิ่นควบคู่ไปกับการใช้ พ.ร.บ.การกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีแนวโน้มจะเกิดมากขึ้นเรื่อยๆ

7. เมื่อพิจารณาถึงพระชนมพรรษาที่สูงของในหลวง และความกังวลเรื่องการสืบทอดราชบัลลังก์ และวิกฤติการเมืองในปัจุบัน คุณคิดว่า จะมีการใช้กฎหมายหมิ่นฯ เพิ่มมากขึ้นหรือไม่เป็นที่น่าเสียดายว่า ในสภาพความยุ่งเหยิงทางการเมืองในปัจจุบัน กฎหมายหมิ่นดูเหมือนจะเป็นที่นิยม ถูกนำมาใช้ในการเล่นงานฝ่ายการเมืองตรงข้าม โดยเฉพาะคนเสื้อแดงและผู้ที่เห็นอกเห็นใจคนเสื้อแดง กฎหมายหมิ่นมิได้เป็นเพียงคำขู่อันว่างเปล่า ในช่วงเวลา 5 ปีระหว่าง พ.ศ.2548-2552 ศาลชั้นต้นได้รับพิจารณาคดีหมิ่นฯถึง 430 คดี และตัดสินพิพากษา 231 คดี ในจำนวนนี้มีการอุทธรณ์ 39 คดี และต่อสู้ถึงชั้นศาลฎีกา 9 คดี จำนวนคดีหมิ่นฯได้เพิ่มขึ้นแบบติดจรวดในรัฐบาลปัจจุบัน เพิ่มถึงระดับที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ – ในปี 2552 ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องถึง 164 คดี การใช้กฎหมายอย่างขยันขันแข็งกับอาชญกรรมทางคำพูดที่ไม่รุนแรงและกับเสรีภาพ ในการแสดงออก ทำให้ข้อกล่าวอ้างว่า สังคมไทยเป็นประชาธิปไตยดูกลวงไปโดยปริยาย การใช้กฎหมายนี้จะขวางกั้นความพยายามในการสร้างความสมานฉันท์ เพราะที่จริงแล้ว กฎหมายนี้และการใช้กฎหมายนี้เป็นอุปสรรคอันหนึ่งในการสร้างความสมานฉันท์

8. ในหนังสือคุณเสนอว่า ชนชั้นนำไทย ได้แช่แข็งหรือฟอสซิลวัฒนธรรมไทยให้อยู่ในยุคตำนานปรัมปรา ทำไมพวกเขาจึงกระตือรือร้นที่จะทำเช่นนั้นผมได้เสนอไว้ว่า วัฒนธรรมการไม่รับผิดชอบต่อการใช้ความรุนแรง (culture of impunity) มีผลอย่างฉกรรจ์ต่อการที่สังคมไทยมองเรื่องความจริง รัฐประหารซึ่งเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า โรคความจำเสื่อมว่าใครเป็นฆาตกรสั่งสังหารหมู่ และความถดถอยของการใช้กฎหมายและหลักนิติรัฐ โดยเฉพาะหลังทศวรรษ 1950 ได้ส่งผลดั่งการทรมานและบิดเบือนสังคมการเมืองไทยจนกระทั่งแม้ความจริงง่ายๆ ก็มองไม่เห็น บ่อยครั้งที่สิ่งเหล่านี้ได้รับแรงสนับสนุนจากมุมมองผิดๆ ทางพุทธที่เรียกร้องให้เหยื่อของความรุนแรงให้อภัยและลืม แต่ผลลัพธ์ของการปฏิเสธความจริงทางประวัติศาสตร์อย่างต่อเนื่อง มีราคาค่างวดสูงยิ่ง และทำให้การสังหารหมู่ครั้งต่อไปเกิดขึ้นได้อีก

ประวัติศาสตร์ไทยถูกแช่แข็งไร้การเปลี่ยนแปลง ตกอยู่ในภาวะที่เหมือนอยู่ในละครน้ำเน่าที่ถูกฉายซ้ำซากประกอบด้วยตัวละครคน ดีและคนชั่ว สภาพเช่นนี้แหละที่กฎหมายหมิ่นหลายชนิด – ซึ่งรวมถึงกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมีบทบาทสำคัญยิ่ง และนำไปสู่การถดถอยของกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตย ตอนที่รัฐธรรมนูญ 2540 กระตุ้นให้กงล้อประวัติศาสตร์ไทยเคลื่อน กลุ่มอำนาจเก่าก็ออกมาแช่แข็งประวัติศาสตร์ไทยเสียใหม่ โดยการสนับสนุนรัฐประหาร [19 กันยา] 2549 แต่ทว่า เราก็ได้รับรู้หลังจากนั้นว่า รัฐประหาร 19 กันยาเป็นสิ่งที่คนจำนวนมากไม่ยอมลืมและไม่ยอมรับ

จะว่าไปแล้วนี่ก็เป็นเรื่องที่ดูแล้วพอมีความหวัง การชำระประวัติศาสตร์ครั้งใหญ่เป็นสิ่งจำเป็น การให้อภัยย่อมเกิดขึ้นได้ แต่จะเกิดหลังจากความจริงได้ถูกเปิดเผย และผู้บงการสังหารได้ถูกชี้ตัว และคนไทยได้มีโอกาสเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้ – ไม่ว่าจะเป็นกรณีดุซุงยอ กรณี 6 ตุลา [2519] พฤษภาทมิฬ ตากใบ หรือกรณี เมษา- พฤษภา 2553 การนิรโทษกรรมไม่สามารถเปลี่ยนความจริงที่ว่า การล้มล้างรัฐบาลพลเรือนโดยการก่อรัฐประหาร หรือการยิงประชาชนผู้ปราศจากอาวุธเป็นสิ่งที่ขัดต่อกฎหมาย ในประเทศอื่น ประชาชนได้ผลักดันให้มีการสร้างความกระจ่างต่อผู้ที่ใช้ความรุนแรงโดย ปราศจากความรับผิดชอบ กฎหมายหมิ่นฯ และกฎหมายหมิ่นรูปแบบอื่นได้ทำให้สาธารณะไม่สามารถเริ่มกระบวนการที่จะทำให้ ประวัติศาสตร์กระจ่างขึ้นได้

9. กฎหมายหมิ่นฯ เกี่ยวข้องกับการสร้างวาทกรรมหลักเรื่องความเป็นไทยหรือไม่ราวร้อยปีที่แล้ว อภิกระบวนการกลบเกลื่อนความต่างทางชาติพันธุ์และศาสนาได้ถูกริเริ่มขึ้น ต่อมาภายหลังความแตกต่างทางเศรษฐกิจและการศึกษาก็ถูกกลบให้พร่ามัว ภายใต้วาทกรรมของความสามัคคีในชาติ มันเป็นความพยายามระดับช้างและได้ผลพอสมควรในช่องร้อยปีที่ผ่านมา กระบวนการนี้ก่อให้เกิดวาทกรรมเรื่อง “ความเป็นไทย” ตั้งแต่ทศวรรษ 1960 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์รื้อฟื้นอุดมการณ์เจ้านิยม โดยเฉพาะหลังปี 2519 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการทำให้สถาบันกษัตริย์กลับมาศักดิ์สิทธิ์ได้สำเร็จลง แล้วอย่างสมบูรณ์ ความจงรักภักดีต่อสถาบันได้กลายเป็นเสาเอกของความเป็นไทย ผลสืบเนื่องที่น่าเสียดายอย่างหนึ่งของกระบวนการนี้ได้แก่ การที่ความเป็นไทยกลายเป็นเรื่องสำคัญที่บดบังสิ่งอื่นๆ ที่เหลือทั้งหมด ดังนั้นพอวาทกรรมเรื่องความเป็นไทยเริ่มร้าวและแตกหลุดทีละชิ้นสองชิ้น – ซึ่งดูเหมือนกำลังจะเกิดขึ้นในปัจจุบัน – มันจึงกลายเป็นเรื่องที่น่าวิตกกลัว อย่างที่เข้าใจได้ เพราะมันแทบไม่มีอะไรที่จะยึดเหนี่ยวรวมให้คนในประเทศไทยสามัคคี รัฐประหารได้ทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของนิติรัฐและรัฐธรรมนูญ สังคมไม่มีรากวัฒนธรรมในการอยู่ร่วมกับความต่าง อย่างไรก็ตาม กระบวนการเผชิญหน้ากับความจริงทางประวัติศาสตร์เพื่อที่ความจริงจะได้ถูก เปิดเผยสามารถก่อให้เกิดอัตลักษณ์ใหม่และหลักการใหม่ๆ ที่จะนำมาซึ่งความสามัคคีได้

10. อะไรที่คุณค้นพบระหว่างการทำวิจัยเพื่อเขียนหนังสือเล่มนี้ แล้วทำให้คุณแปลกใจที่สุดเรื่องที่น่าแปลกใจที่สุดเรื่องหนึ่งได้แก่ความสอดคล้องของหนังสือต่อ สถานการณ์ปัจจุบัน ตอนที่ผมเขียนวิทยานิพนธ์ในช่วงทศวรรษ 1990 เพื่อนผมล้อผมว่า ผมนั้นเลือกหัวข้อที่แสนเชย ไม่มีนัยยะสำคัญใดๆ เช่นเรื่องกฎหมายหมิ่นประมาทและกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือแม้กระทั่งเมื่อสำนักพิมพ์ Routledge ตัดสินใจให้ผมเขียนหนังสือเรื่องกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เรื่องนี้มันก็ดูจะไม่เป็นข่าวเท่าไหร่ ตอนนั้นทักษิณ ชินวัตรซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีได้ฟ้องร้องผู้คนด้วยกฎหมายหมิ่นประมาทเป็น จำนวนมากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในสังคมไทย แต่พอกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกลับมาเป็นข่าวในปี 2548 และเพิ่มมากขึ้นในแต่ละปีนับแต่นั้นมา มันก็กลายเป็นหนังสือที่เขียนให้จบได้ยาก! ในที่สุดผมเลือกที่จะจบตอนดารณี (ชาญเชิงศิลปกุล) ถูกศาลตัดสินจำคุก 18 ปี ที่น่าแปลกใจอีกเรื่องได้แก่ จำนวนคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลตั้งแต่ปี 2549 และความเงียบอย่างเหลือเชื่อขององค์กรสิทธิส่วนใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ ต่อเรื่องนี้

11. หนังสือคุณจะถูกห้ามขายในเมืองไทยหรือไม่คิดว่าไม่นะ! ทำไมถึงต้องห้ามล่ะ ผมไม่เชื่อว่า เนื้อหาในหนังสือละเมิดกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือกฎหมายหมิ่นอื่นๆ ของประเทศนี้ หรือขัดกับหลักศีลธรรมอันดีงาม และความสงบเรียบร้อยของสังคม ผมเชื่อว่า มันจะช่วยให้คนที่นิยมเจ้าที่ฉลาดและมองการณ์ไกลซึ่งคำนึงถึงผลประโยชน์ของ สถาบันในระยะยาวได้ฉุกคิด มันเป็นหนังสือวิชาการที่พยายามอธิบายความแตกแยกร้าวลึกของประเทศ และเสนอทางออกหลายประการเพื่อสังคมจะได้เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างเป็น ประชาธิปไตยโดยมีกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ แน่ล่ะ หากหนังสือเล่มนี้ถูกแบน มันก็จะเป็นเครื่องพิสูจน์ความคิดหลักของหนังสือเล่มนี้ว่า ผู้มีอำนาจและคนส่วนใหญ่ในสังคมไทยไม่สามารถอยู่ร่วมกับความเห็นต่างได้ แต่พวกเขาจะได้อะไรจากการห้ามไม่ให้ขายหนังสือนี้ ไม่หรอก ผมเชื่อในอนาคตของประเทศไทย (หรือสยาม) ที่เป็นประชาธิปไตย ที่สามารถอยู่ร่วมกับความต่างและมีความเข้าใจแบบใหม่ๆ ว่า พลเมืองที่ดีสามารถทำอะไรได้บ้าง

---------ปล. เมื่อวันที่ 14 ต.ค. ผู้สัมภาษณ์พบ อ.เดวิดโดยบังเอิญจึงได้ถามว่าหนังสือมีขายที่ร้านหนังสือภาษาอังกฤษหรือไม่ เดวิดตอบว่าเขาได้ลองติดต่อสอบถามที่ร้านหนังสือคิโนะคูนิยะและเอเชียบุ๊กส์ ปรากฎว่า ร้านหนังสือทั้งสองแห่งไม่ยอมตอบชี้แจงว่ามีหนังสือเล่มนี้ขายหรือไม่ในเมืองไทย


หมายเหตุ: อ่านภาคภาษาอังกฤษได้ที่ http://prachatai3.in...glish/node/2068
ที่มาบทความ: บันทึกของอชิต โดยอชิต วีไอพี on FaceBook

วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 28, 2553

"ทักษิณ"ส่งจดหมายเปิดผนึก ตีปี๊บ 5นโยบายแก้ปัญหาน้ำท่วม อีก2สัปดาห์เปิดชุดใหม่ หวังจัดตั้งรัฐบาลพท.

จาก อัลบั้มมติชน ออนไลน์
จาก อัลบั้มมติชน ออนไลน์


"ทักษิณ"ส่งจดหมายเปิดผนึก ตีปี๊บ 5นโยบายแก้ปัญหาน้ำท่วม อีก2สัปดาห์เปิดชุดใหม่ หวังจัดตั้งรัฐบาลพท.

นายคณวัฒน์ วศินสังวร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้แสดงความเป็นห่วงต่อสถานการณ์น้ำท่วมในประเทศไทยซึ่งหนักหน่วงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา โดยได้ส่งจดหมายเปิดผนึกซึ่งเขียนด้วยลายมือ พ.ต.ท.ทักษิณ ลงวันที่ 26 ต.ค. ถึงส.ส.และว่า ที่ผู้สมัครส.ส.พรรคเพื่อไทย เนื้อหาว่า หลังจากฝากนโยบายเกี่ยวกับเศรษฐกิจไปให้ท่านเผยแพร่กับพี่น้องประชาชนไปแล้ว 3 ข้อ เข้าใจว่า ยังวิพากษ์วิจารณ์กันพอสมควร ผมขอยืนยันว่าผมให้ทีมิดและคำนวณดูแล้วทำได้อย่างแน่นอน มีงบประมาณข้อที่ผมยังไม่เปิดเผยเพราะกลัวการลอกเลียนแบบผิดๆ

พ.ต.ท.ทักษิณ ยังระบุว่า "วันนี้ ผมอยู่บนเครื่องบินและทราบข่าวน้ำท่วมบ้านเราเสียหายและเดือดร้อนกันมากมายรวมทั้งมีผู้เสียชีวิตด้วย ทำให้ผมต้องใช้เวลาคิดเรื่องนโยบายป้องกันน้ำท่วมขึ้นมาแซงนโยบายเศรษฐกิจก่อน"

โดยขอให้เป็นนโยบายพรรคเพื่อไทยดังนี้

1.สร้างเขื่อนและประตูกันน้ำทะเลหนุนและประตูเพื่อระบายน้ำลงทะเลรอบกรุงเทพฯ สมุทรปราการ พร้อมเพิ่มพื้นที่เขียวเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ โดยไม่ต้องกู้เงิน

2.สร้างแก้มลิงตามแนวพระราชดำริตามแนวบริเวณที่ลุ่มของแม่น้ำสายหลักทั่วประเทศรวมทั้งแม่น้ำโขงเพื่อกักน้ำไว้เวลาน้ำมาก เรียกว่าเบรกน้ำและเก็บไว้ใช้ยามน้ำน้อย และไม่ต้องกู้เงิน

3.ขุดเชื่อมแม่น้ำสายหลักที่ไม่ไกลกันมากเห็นๆกันเหมือนที่เคยทำแล้วโดยเชื่อมแม่น้ำยมเข้ากับแม่น้ำน่านทำให้สามารถผันน้ำไปมาตามปริมาณน้ำได้

4.สร้างป่าชุมชนขึ้น /หมู่บ้าน /ป่าชุมชนเพื่อเกิดพื้นที่ชุ่มน้ำมากขึ้น และ

5.พื้นป่าต้นน้ำ ปลูกหญ้าแฝกกันดิน (Soil Erosion)ตามแนวพระราชดำริ

พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุต่อว่า อีก 2 สัปดาห์ผมจะแนะนำนโยบายสำคัญๆมาใหม่ เพื่อที่ท่านจะได้ไปศึกษาเตรียมไว้ ผมมั่นใจว่าประชาชนจะให้ความไว้วางใจท่านเป็นส.ส.พรรคเพื่อไทย จะได้จัดตั้งรัฐบาลแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนเหมือนที่พรรคไทยรักไทยเคยทุ่มเทให้พี่น้องมาแล้วครับ


Ref: มติชนออนไลน์ (update: วันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2553 เวลา 11:35:45 น.)

เพลง"พวกใคร พวกมัน"



Ref: YouTube : sieao | October 28, 2010
เพลง "พวกใคร พวกมัน"
Artist: โอภาส ฟ้าคุ้มครอง
AlbumTitle:ปัญหากวนใจ

วันอังคาร, ตุลาคม 26, 2553

"โสรัจจะ" ทายเสียว! ปี 54 "หายนะ"กว่าปีนี้ เผชิญวิปริตอาเพศ ไทยมีสิทธิ"สิ้นแผ่นดิน?




กลายเป็นที่ฮือฮาทั่วบ้านทั่วเมือง เมื่อ คำพยากรณ์ที่บ่งบอกความ "หายนะ" หลากหลายด้านในประเทศไทย ของ "โสรัจจะ นวลอยู่" อีกหนึ่งสุดยอดโหราจารย์ชื่อก้อง ที่เปรียบดั่ง "นอสตราดามุสเมืองไทย" ในหนังสือดัง "ศาสตร์แห่งโหร 2553" ได้เกิดเหตุการณ์วิกฤต และความวิปโยคอย่างค่อนข้างแม่นยำและใกล้เคียง จนน่าสะพรึงกลัว ไม่ว่าจะเป็น เหตุวุ่นวายทางด้านการเมืองที่ถึงขั้นนองเลือด สูญเสียชีวิตประชาชนไปเป็นจำนวนไม่น้อย เมื่อช่วงเดือนเมษายน-พฤาภาคมที่ผ่านมา ที่ "คนไทยแตกความสามัคคี" ถึงขั้นเผาบ้านเผาเมือง การตายหมู่จากเครื่องบิน รถยนต์ ฯลฯ และที่กำลังเกิดขึ้นอยู่สดๆ ร้อนๆ คือ มหันตภัยน้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือ กลาง อีสาน และกำลังใกล้เข้าสู่กรุงเทพฯ ขึ้นทุกที สร้างความเดือดร้อน และยัดเยียดความทุกข์ยากให้กับราษฎรไปทุกหย่อมหญ้า

พยากรณ์ดวงเมือง ประจำปีเถาะ พ.ศ. 2554 ในหนังสือ ศาสตร์แห่งโหร ฉบับพิเศษ รู้ทันดวงกับโหรดัง 2554 คราวนี้ โสรัจจะ ก็ได้เขียนคำทำนายชะตากรรม ของโลก มวลมนุษยชาติ และชาติไทย ที่ต้องเผชิญวิปริตอาเพศซึ่งมีมากกว่าปีที่ผ่านมาว่า อย่างใหญ่หลวง ดั่งไฟนรกโลกันต์ลามเลียให้วอดวาย ฉิบหายกันถ้วนหน้าไม่แพ้ ปีเสือบ้าเลือดเช่นกัน

จาก อัลบั้มประชาชาติธุรกิจออนไลน์

บางส่วนจาก หนังสือ ศาสตร์แห่งโหร 2554 โสรัจจะ ระบุคำพพยากรณ์ดวงเมือง(ไทย)ไว้ว่า ดาวสีเลือดได้รับแสงจากดวงมฤตยูในช่วงเดือนมีนาคม 2554 เป็นดาวปฏิวัตินองเลือดในมุมร่วมธาตุ ย่อมเกิดสภาพการเดิอดพลุ่งพล่านไม่สงบ เดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า เกิดศึกสงครามทั้งภายในและภายนอก เกิดความยุ่งยากทางการเมืองขนาดหนัก แต่ยังน้อยกว่า มหันตภัยที่สุดมหาหฤโหดไปทั่วโลก ซึ่งจะทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วทุกสิ่งอย่างไม่เหมือนเดิม...

"น้ำในแม่น้ำและคลองทั้งปวงจะแดงเป็น โลหิต เมฆและท้องฟ้าจะแดงเป็นแสงไฟ แผ่นดินไหวสั่นสะเทือน ฤดูหนาวจะเป็นฤดูร้อน ที่ลุ่มจะกลับดอน ที่ดอนจะกลับลุ่ม โรคภัยจะเบียดเบียนสัตว์และมนุษย์ทั้งปวง มนุษย์หนึ่งในสี่ของโลกจะพลันตายลง จะเกิดข้าวยากหมากแพง ฝูงมนุษย์จะอดอยาก เสื้อเมืองทรงทรงเมืองจะหลีกเลี่ยง"

ในอนาคตไม่กี่ปีข้างหน้า กรุงเทพฯ และทั่วทุกภาคทุกจังหวัดจะถูกน้ำท่วมไปหมด ที่เกิดจากน้ำทะเลไหลทะลักเข้ามา และเกิดจากอุทกภัยอีกหลายครั้งจนต้องอพยพผู้คนหนีน้ำขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ เกือบสุดเขตแดนไทย เมื่อนั้นคนไทยก็คงไร้สิ้นแผ่นดินได้?

จะเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 100 ปี "ไข้หวัดนก" หรือไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ที่พัฒนาตนเองแพร่จากสัตว์มาสู่คนและคนนำพาให้คน เสียชีวิตจำนวนมาก เชื้อโรคจะแพร่ขยายทางอากาศไม่มีอะไรมาหยุดยั้งเชื้อนรกนี้ได้

ปลายเดือนธันวาคม พระเสาร์ย้ายเข้าเล็งดวงเมืองทำให้บางประเทศหนาวเย็นจนอยู่ไม่ได้ ผู้คนล้มตายมาก เมืองไทยจะเกิดอากาศร้อนจัดและหนาวจัดในเดือนเดียวกัน วิกฤตสุดรอบ 1,000ปี กรุงเทพฯจะมีหิมะตก...

ปีเถาะ 2554 เป็นปีที่ต้องต่อสู้กันทรหด ทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ ใครก็ตามที่เป็นรัฐบาลต้องเผชิญวิกฤตการณ์รุนแรงที่สุด ฝ่ายค้านจะแย่งอำนาจ คนในเครื่องแบบจะรอให้ทั้งสองฝ่ายเพลี่ยงพล้ำลง ส่วนประชาชนตาดำๆ และยากจนก็จะหวาดผวา ปัญหาคอร์รัปชั่นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ต้นปี ถึงขนาดรัฐบาลต้องมีอันเป็นไป


...เหตุการณ์ของประเทศจะพลิกผันอย่างที่ไม่เคยเห็น และจะเกิดความว่างเปล่า ไม่มีนักการเมืองพรรคใดหลงเหลืออยู่ ระบบพรรคการเมืองจะสูญสิ้นไปจากประวัติศาสตร์การเมืองไทย

ผู้เป็นใหญ่และผู้คนสำคัญจะร่วงหล่นกันมาก อำนาจเก่าๆ ของคนเก่าๆ เสื่อมถอย จะมีเหตุการณ์นองเลือดรุนแรงเกิดขึ้น ประมาทมิได้ กลุ่มชน ฝูงชน อาจจะเคลื่อนไหวด้วยการสนับสนุนของผู้มีอำนาจเก่าอย่างเร้นลับ

"นักการเมืองชั่วพึงระวังเอาไว้ ถึงเวลานั้นประชาชนอาจลุกฮือขึ้นมาฆ่าเองโดยไม่แคร์ขื่อแปบ้านเมือง ดวงของบ้านเมืองใกล้ถึงจุดนี้แล้ว ..."

ดาวอังคารสีเลือดย้ายเข้าสู่ราศีมีน เล็งดาวพระเสาร์ เดือนมีนาคมและเดือนเมษายน ปี 55 จะมีลางร้ายบอกเหตุล่วงหน้า การเมืองรุนแรงเหมือนพายเรือในอ่าง วนเวียนซ้ำไปมาเหมือนปีก่อนๆ ประชาชนชุมนุมเป็นเรือนแสนตามท้องถนน เกิดขึ้นจากความโกรธแค้นและรู้ทันความเคลือบแคลงของรัฐบาล ซ้ำยังเกิดจลาจลเผาเมือง สถานที่สำคัญต่างๆ ของรัฐบาล รถถัง รถปราบจลาจล ทั้งในกรุงเทพฯและปริมณฑล ถูกเผายับเยิน ผู้คนล้มตายมหาศาล ผ่านไปหลายเดือนกว่าจะสงบ คนในเครื่องแบบแตกแยก เกิดเป็นสงครามกลางเมือง เลือดไทยต้องไหลรินนองแผ่นดิน เป็นหนทางสู่ "ปฏิวัติรัฐประหาร"ใหญ่อีกครั้งเรียกว่า เหตุร้ายหนักกว่า ในเดือนพ.ค. 53

เดือน ก.ค. ความสัมพันธ์ประเทศเพื่อนบ้านเข้าสู่ภาววะยุ่งเหยิง ขอให้ทุกฝ่ายสมานสามัคคี อย่าแตกแยกไม่งั้นศัตรู ซึ่งเป็นหอกข้างแคร่ จะหาโอกาสจ้องทำลาย แต่ถ้ามีเหตุรุนแรงไทยจะไม่เสียเอกราชแน่ แต่จะเสียเลือดเนื้อไปมาก

ด้านเศรษฐกิจ เรียกว่าเป็นปีหายนะทางด้านเศรษฐกิจอย่างแท้จริง ยังไม่สามารถแก้ไขให้ดีขึ้น ประชาชนเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ธนาคารแต่ละแห่งแตกแยกหนัก ทั้งเล็กใหญ่ปิดตัว หุ้นร่วงตลอดปี

ปัญหาภาคใต้ยังยิง-ลอบวางระเบิดไม่หยุด สหประชาชาติสะเทือน ผู้ก่อการร้ายใช้อาวุธมีอานุภาพสูงจากภายนอกเข้ามาประกาศแบ่งแยกดินแดน ดวงผู้นำประเทศอ่อนแรง เป็นช่องให้ถูกทำร้าย.......

จาก อัลบั้มประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ขณะที่ กรหริศ บัวสรวง ผู้อำนวยการสถาบันพยากรณ์องค์รวม ซึ่งเคยพยากรณ์ นักการเมืองถูกฟ้องร้องเป็นคดีความ บุคคลสำคัญทางการเมืองถูกลอบทำร้าย สภาผู้แทนกลายเป็นเวทีแห่งความขัดแย้ง วงการบันเทิงดารา นักร้อง นักแสดงชื่อดังจะเสียชื่อเสียง ไปเมื่อ ปี 53 ที่ผ่านมา จนเป็นที่กล่าวขานไปเช่นกัน ก็ทำนายสถานการณ์ต่างๆ ในปี 2554 เช่นกันว่า ปีนี้ เปรียบเหมือนเป็น กระต่ายที่ตื่นเต้นลุกลี้ลุกลน เป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อของดวงเมืองซึ่งแย่งชิงอำนาจกันไม่ลดละ ถือเป็นอันตรายในระบอบประชาธิปไตย ดวงเมืองจะสงบสุขร่มเย็นแค่ 5 เดือนเท่านั้น พร้อมกับเตือนรัฐบาล ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่า ถ้าไม่สามารถเข้าถึงคนไทยส่วนใหญ่ได้ โอกาสการก้าวสู่สิ่งที่ดีในอนาคตอาจหลุดลอยไป

ขณะที่นักการเมืองที่สร้างความอัปยศ สร้างความเสียหายให้กับบ้านเมืองจะพลาดโอกาสได้รับการเลือกตั้ง แต่คนที่มีคุณธรรม จริญธรรมมีโอกาสก้าวเข้ามาเป็นผู้นำคนใหม่ได้สูง ส่วนเหตุการณ์ไม่ปกติ วุ่นวาย จะอยู่ในระหว่างเดือนกันยายนถึงตุลาคม เกษตรกร หรือผู้ใช้แรงงานอาจมาชุมนุมประท้วง วงการทหาร ตำรวจเกิดความขัดแย้ง

กรหริศ ทำนายภาพรวมเศรษฐกิจใน ปี 54 ว่า การลงทุนดีเกือบตลอดทั้งปี แต่ภาคอุตสาหกรรมต้องแบกรับภาระ ปชช.เดือดร้อน แต่ธุรกิจประเภทการสื่อสารทุกประเภท ทั้งโทรศัพท์ โทรทัศน์ผ่านดาวเทียม สังคมออนไลน์ จะมีการแข่งจขันสูง การท่องเที่ยวโกยผลกำไร อหังสาริมทรัพย์ขยายตัว คนกทม.เล็งหาที่อยู่ใหม่หลีกปัญหาน้ำท่วมใหญ่ในอนาคต เด็กและเยาวชนส่วนใหญ่จะหันมาทำความดี คนในสังคมร่วมกิจกรรมจิตอาสามากขึ้น แต่ในปลายปีอาจมีความเศร้าโศก สะเทือนใจจากการจากไปของบุคคลสำคัญ...

นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของ "ศาสตร์แห่งโหร 2554" ที่รวบรวมคำทำนาย ของ โสรัจจะ และ กรหริศ ในการลำเลียงคำพยากรณ์มาให้ผู้อ่านรับรู้ความเป็นไปเรื่องราวที่น่าสนใจ อย่างรอบด้าน ในการไขความลับแห่งโชคชะตา โดยสุดยอดโหราจารย์ที่มีเชื่อเสียงที่ได้รับความเชื่อถือมาตลอด 30 ปี นอกจากนี้ ยังมีคำพยากรณ์ของ ทั้ง หมอทรัพย์ สวนพลู อ.จุฑามาศ ณ สงขลา และปรมาจารย์แห่งโหรชื่อดังอีกหลายท่าน รวบรวมอยู่ในหนังสือเล่มดังกล่าวด้วย เพื่อให้รู้ทันดวงชะตาของ ทั้งโลก เมือง และของตัวเอง ตลอดปี 2554 นี้ ทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่

หลายอาจไม่เชื่อเรื่องคำทำนาย ทายทัก แต่ถ้าเราได้รับรู้เพื่อเตรียมตัว ในการรับมือ และป้องกันสิ่งต่างๆ ได้ ก็จะทำให้ไม่ประมาทในการดำรงชีวิตที่อาจทำให้เราหมดหวัง หดหู่ แต่สุดท้ายแล้ว ทุกคนต้อง "ก้าวไปข้างหน้า"อย่างมี "ความหวัง"กันต่อไป


Ref: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ (update: วันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553 เวลา 19:43:59 น.)
ชื่อบทความ: "โสรัจจะ"ทายเสียว!ปี54"หายนะ"กว่าปีนี้ ไทยมีสิทธิ"สิ้นแผ่นดิน?

สังหารหมู่ 91 ศพในไทย ถึงอัยการ ศาลอาญาโลก โรเบิร์ตส่งสำนวน ฟ้อง 'มาร์ค-ศอฉ.'

สำนักกฎหมายอัมสเตอร์ดัม ส่งคำร้องเบื้องต้นคดีสังหารหมู่ 91 ศพในไทยถึงอัยการศาลอาญาระหว่างประเทศแล้ว เป็นคดีที่นปช.ยื่นฟ้องนายกฯ มาร์ค-ศอฉ.สลายการชุมนุมเสื้อแดงจนมีคนตาย 91 เจ็บอีกเกือบ 2 พันคน

ระบุในรายงานมีคำให้การของพยานจำนวนมากถึงเหตุการณ์ที่โดนยิงบาดเจ็บเสีย ชีวิต ภาพเหตุการณ์ฆ่าหมู่ 6 ศพวัดปทุมฯ ฆ่านักข่าวอิตาลี ชี้คดีเข้าข่ายอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ เตรียมส่งรายงานเพิ่มในอีก 8 สัปดาห์

เมื่อวันที่ 25 ต.ค. สำนักกฎหมายอัมสเตอร์ ดัมแอนด์พีรอฟฟ์ โดยนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ได้ส่งคำร้องเบื้องต้น ซึ่งเป็นคำร้องที่แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ยื่นต่ออัยการของศาลอาญาระหว่างประเทศ ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์

เพื่อแจ้งให้อัยการทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในประเทศไทย อันเป็นอาชญากรรมระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนเม.ย.และพ.ค.2553 เพื่อพิจารณาที่จะดำเนินการสอบสวนต่อไป

สำหรับรายงานเบื้องต้นที่ สำนักกฎหมายอัมสเตอร์ดัมแอนด์พีรอฟฟ์ส่งถึงอัยการของศาลอาญาระหว่างประเทศ เพื่อเป็นหลักฐานในการพิจารณาคดีที่นปช.ยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และศอฉ.รวม 14 คน ในคดีสังหาร 91 ศพเหตุการณ์สลายม็อบแดงในเมืองไทยนั้น มีความหนา 53 หน้า เริ่มตั้งแต่ความเป็นมาของคดีการสังหาร 91 ศพและมี ผู้บาดเจ็บอีกเกือบ 2 พันราย

รวมทั้งข้อเท็จจริงเหตุการณ์นำไปสู่การรัฐประหาร ปี 2549 การสังหารหมู่เมื่อปี 2552 ครั้งที่คนเสื้อแดงออกมาชุมนุมต่อต้านรัฐบาลนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และปิดล้อมการประชุมผู้นำสุดยอดประเทศ อาเซียนที่พัทยาเมื่อวันที่ 11 เม.ย.2553 และรัฐบาลสั่งทหารเข้าสลายการชุมนุมในกรุงเทพฯ ในวันที่ 13 เม.ย.2552

ในรายงานดังกล่าวมีรายละเอียดเหตุการณ์สังหารหมู่ปี 2553 มีผู้เสียชีวิต 91 ศพ บาดเจ็บเกือบ 2 พันราย เริ่มต้นตั้งแต่กลุ่มคนเสื้อแดงชุมนุมประท้วงเรียกร้องให้นายกฯ อภิสิทธิ์ ลาออกจากตำแหน่งและยุบสภา กระทั่งเกิดเหตุการสลายการชุมนุมที่สี่แยกคอกวัวและถนนดินสอ เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 มีคนเสื้อแดงเสียชีวิต 17 ศพ บาดเจ็บ 600 ราย และการสลายการชุมนุมที่ราชประสงค์เมื่อวันที่ 17-19 พ.ค. 2553

โดยมีเอกสารหลักฐานคำให้การของพยานจำนวนมากที่ระบุว่ามีการใช้กำลังทหารและ ใช้อาวุธจริงและกระสุนจริงในการสลายม็อบแดง ซึ่งไม่เป็นไปตามหลักสากลจนเป็นเหตุให้มี ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก

ในรายงานมีคำให้การของพยานหลายราย ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม โดยพยานปากที่ 18 ซึ่งเป็นคนเสื้อแดงระบุว่าโดนยิงเข้าที่ข้อเท้าขวาจนกระจุย ขณะหลบอยู่ในสวนลุมพินี เมื่อวันที่ 14 พ.ค. พยานปาก ที่ 19 ระบุว่าโดนยิงเข้าที่หัวไหล่ซ้ายจนต้องกระโดดหนีลงน้ำในสวนลุมพินี พอขึ้นจากน้ำก็โดนยิงซ้ำที่น่องซ้าย ก่อนถูกจับส่งตัวไปขังในเรือนจำในที่สุด

พยานปากที่ 20 ระบุว่า ได้ยิงธนูใส่ทหาร แต่โดนทหารยิงตอบโต้ด้วยกระสุนปืนจริง ที่บริเวณซอยงามดูพลี โดยพยานรายนี้ระบุด้วยว่าเห็นประชาชนถูกยิงเสียชีวิต 6 ราย ในจำนวนนี้เป็นแม่ค้าอายุ 50 ปี ชายหนุ่มอายุ 30 ปี และมีชายคนหนึ่งถูกยิงตายขณะใช้กล้องโทรศัพท์มือถือบันทึกภาพเหตุการณ์อยู่

คำ ให้การของพยานปากที่ 6 และพยานปากที่ 9 ระบุถึงเหตุการณ์สังหารหมู่ 6 ศพในวัดปทุมวนาราม ซึ่งเป็นเขตอภัยทาน เป็นเหตุให้น.ส.กมนเกด อัคฮาด นายมงคล เข็มทอง และนายอัครเดช แก้วขัน ซึ่งเป็นอาสาพยาบาลถูกยิงเสียชีวิตขณะกำลังช่วยเหลือผู้ชุมนุมที่ได้รับบาด เจ็บ

ในรายงานยังมีรายละเอียดเหตุการณ์พล.ต. ขัตยะ สติวัสดิผล หรือเสธ.แดง ถูกสไนเปอร์ยิงเสียชีวิตขณะยืนให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเมื่อวันที่ 13 พ.ค.2553 ที่บริเวณสวนลุมพินี

นอกจากนี้ยังมีหลักฐานภาพถ่าย เป็นภาพถ่ายเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดงทั้งในวันที่ 10 เม.ย.2553 ที่สี่แยกคอกวัวและถนนดินสอ และการสลายการชุมนุมที่ราชประสงค์ในเดือน พ.ค.2553 รวมทั้งภาพถ่ายศพ "น้องเกด"กมนเกด อัคฮาด อาสาพยาบาลที่โดนยิงเสียชีวิตในวัดปทุมวนารามพร้อมเพื่อน 6 ศพ

ภาพชายในเครื่องแบบถือปืนยาวอยู่บนรางรถไฟฟ้าบีทีเอสเล็งไปที่วัดปทุมวนาราม ภาพถ่ายเหตุการณ์นายฟาบิโอ โปเลงกี นักข่าวชาวอิตาลีถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 พ.ค. โดยในภาพมีชายคนหนึ่งเข้าไปหยิบกล้องถ่ายรูปจากศพนายฟาบิโอ หลบหนีไป

ในรายงานระบุว่า องค์กรสิทธิมนุษยชนหลักได้รวบรวมเอกสารที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับการสลายการ ชุมนุมในวันที่ 14 พ.ค. โดยในช่วงนั้น ฮิวแมน ไรต์ วอตช์ ได้เรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกเลิกเขตกระสุนจริง และตำหนิรัฐบาลไทยไม่ปฏิบัติตามหลักพื้นฐานของการใช้กำลังตามกฎหมายสหประชาชาติ

รายงานของสำนักกฎหมายอัมสเตอร์ดัมแอนด์พีรอฟฟ์ยังระบุถึงเขต อำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศไว้ว่า การรับพิจารณาคดีตามบทบัญญัติมาตรา 17 ในข้อบัญญัติแห่งกรุงโรม ระบุว่าการตัดสินรับพิจารณาคดีจะต้องมีองค์ประกอบ 2 ประการครบถ้วน

1.ต้องมีการพิจารณาว่าระบบตุลาการในประเทศดังกล่าวนั้น หยุดนิ่ง หรือ ไม่เต็มใจ หรือไร้ประสิทธิภาพในการดำเนินคดี นี่คือประเด็นของหลักการที่ศาลอาญาระหว่างประเทศมีอำนาจพิจารณา เมื่อรัฐล้มเหลวที่จะกระทำการดังกล่าว

2.ข้อกำหนดเรื่องความร้ายแรงแห่งคดี ตามบทบัญญัติมาตรา 17 (1)(d) ในข้อบัญญัติแห่งกรุงโรม การคัดเลือกนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของความร้ายแรง และเป็นการจำกัดโดยตรงของเขตศาลอาญาระหว่างประเทศ โดยต้องเป็นอาชญากรรมอันร้ายแรงที่ประชาคมโลกเป็นกังวลเท่านั้น ซึ่งส่งผลให้สภาพิจารณารับคดีระบุว่าจะต้องพิจารณาถึงองค์ประกอบ 4 ประการ

1.การกระทำที่เป็นประเด็นหลักของคดีจะต้องเป็นการกระทำที่เป็นระบบ (รูปแบบของเหตุการณ์) หรือเป็นการกระทำที่ใหญ่โต

2.ลักษณะของการกระทำที่ผิดกฎหมายของอาชญากรรม (การเกิดของอาชญากรรม)

3.ลักษณะของการกระทำ

และ 4.ผลกระทบจากอาชญากรรมที่เหยื่อและครอบครัวได้รับ ในกรณีนี้ ตัวแทนเหยื่อจะเป็นบุคคลสำคัญต่อการ พิจารณาของสภา

รายงาน ยังระบุถึงองค์ประกอบพื้นฐานของอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ว่า อาชญากรรมต่อมนุษยชาติถูกบัญญัติไว้ในมาตรา 7(1) ของบทบัญญัติศาลอาญาระหว่างประเทศ และยังมีคำอธิบายเกี่ยวกับอาชญากรรมต่อมนุษยชาติเพิ่มเติมในเอกสารสำคัญอื่น ต้องประกอบด้วย

1.การทำร้ายจะต้องเป็นการกระทำโดยตรงต่อพลเรือน
2.เป็นการกระทำโดยนโยบายรัฐหรือองค์กร
3.ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำส่วนบุคคลและการทำร้าย
และ 4. อย่างน้อยที่สุด ผู้กระทำจะต้องสามารถรับรู้หรือมีเจตนาเข้าใจว่าการกระทำดังกล่าวคือการทำ ร้ายอย่างกว้างขวางและเป็นระบบ

รายงานยังมีบทสรุปมีใจความว่า เป็นที่ชัดเจนว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ไม่มีทางที่จะจัดให้มีการสอบสวนที่เป็น ธรรมและสมบูรณ์ โดยเฉพาะรัฐบาลไม่มีทางที่จะผ่อนปรนอำนาจทางการเมืองของตนเอง นายกอภิสิทธิ์ละเลยหน้าที่ในการจัดให้มีการสอบสวนภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ

แม้ว่าประเทศไทยมีพันธกรณีภายใต้สนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเรือน และสิทธิทางการเมือง (ICCPR) และกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศที่จะต้องดำเนินการสอบสวนที่เป็นอิสระก็ตาม แต่การสอบสวนที่จัดตั้งขึ้นโดยรัฐบาลห่างไกลจากความเป็นธรรมยิ่งนัก


จาก เหตุผลทั้งหมดผู้ร้องเชื่อว่าอาชญากรรมที่เกิดขึ้นเข้าข่ายบทบัญญัติศาลอาญา ระหว่างประเทศ ดังนั้น จึงร้องขอให้อัยการตั้งข้อสังเกตต่อรายงานการสอบสวนเบื้องต้นต่อสถานการณ์ใน ประเทศไทย เพื่อที่พิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่จะทำการสอบสวนและดำเนินคดีในนามของศาล อาญาระหว่างประเทศในอนาคต โดย ผู้ร้องจะยื่นรายงานความคืบหน้าของเหตุการณ์ต่ออัยการอีกภายใน 8 สัปดาห์


Ref: ข่าวสดรายวัน (update: วันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7271)

----------------------------------------------

จาก อัลบั้ม ข่าวสดออนไลน์

ฆ่ากันเอง!?

การที่คนเสื้อแดงเข้ายื่นหนังสือถึง นายบัน คีมุน เลขาฯยูเอ็นที่เดินทางมาเยือนเมืองไทย เพื่อให้เข้ามาตรวจสอบการเสียชีวิต 91 ศพจากการสลายม็อบแดงเมื่อเดือนเม.ย.และพ.ค.ที่ผ่านมา

โดนขัดขวางมาตลอดจากรัฐบาล

พรรคประชาธิปัตย์กล่าวหาว่าเป็นเกมดิสเครดิตรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย

ศอฉ.ประกาศกร้าว ห้ามไม่ให้คนเสื้อแดงมีการชุมนุมในช่วงที่เลขาฯยูเอ็นมาเมืองไทยเด็ดขาด

โดยเฉพาะผบ.ทบ.ถึงกับบอกว่า ปล่อยให้เสื้อแดงรวมตัวชุมนุมไม่ได้ เพราะอายแขกบ้านแขกเมือง อยากให้เห็นแก่หน้าตาของบ้านเมืองบ้าง

ว่ากันจริงๆ การยื่นหนังสือร้องเรียนถึง นายบัน คีมุน ของญาติพี่น้อง 91 ศพเป็นสิทธิที่พึงกระทำได้ เป็นสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน

ในเมื่อคนเสื้อแดงเห็นว่าการทวงความยุติธรรม 91 ศพไม่มีความคืบหน้าเลยในกระบวนการสอบสวนของไทย

ไม่คืบหน้าเลยเมื่อคดีอยู่ในมือของดีเอสไอ

ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพึ่งกระบวนการในระดับนานาชาติ

ฉะนั้นไม่อยากให้มองว่าเป็นการประจานประเทศไทย

ไม่ควรไปอับอายขายหน้ากับการทวงความยุติธรรม

เพราะจริงๆ แล้ว การสลายม็อบ การสังหารหมู่เกือบร้อยศพ

เป็นเรื่องที่น่าอับอายมากกว่าเยอะ !?

วันก่อน นายชวน หลีกภัย ขึ้นปราศรัยช่วย "เทพเทือก" หาเสียงที่สุราษฎร์ธานี

นายชวนกล่าวตอนหนึ่งพาดพิงถึงเหตุการณ์สลายม็อบแดงจนมีผู้เสียชีวิต 91 ศพ

"บ้านเมืองจำเป็นต้องมีรัฐบาลเข้ามาแก้ไขปัญหา แต่คนกลุ่มหนึ่งมีเป้าหมายเผาบ้านเผาเมืองทำลายบ้านเอง ตั้งแต่นายกฯอภิสิทธิ์เข้ามารับตำแหน่งก็มีการพูดว่ารัฐบาลอยู่ได้ไม่เกิน 3 เดือน 5 เดือน เพื่อทำลาย หวังให้รัฐบาลอยู่ไม่ได้จนกระทั่งมีปัญหา จึงบอกนายอภิสิทธิ์ อย่าลาออกเมื่อมีปัญหาก็ต้องแก้จะหมดกำลังใจไม่ได้ ที่มีคนตายเพราะพวกเขาฆ่ากันเอง"

ความจริงแนวคิดแบบนี้ได้ยินบ่อยๆ จากปากเทพไท หรือพวกทีมโฆษกประชาธิปัตย์

ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินจากปากอดีตนายกฯชวน ซึ่งเป็นนักกฎหมายที่คร่ำหวอด

เมื่อพูดออกมาแบบนี้ก็ยิ่งตอกย้ำแนวคิดของประชาธิปัตย์ และรัฐบาลที่ต้องการปัดความรับผิดชอบ

กลุ่มคนเสื้อแดงก็เดือดปุดๆ ออกมาเรียงหน้าฉะนายหัวชวน

เรียกร้องให้นำหลักฐานออกมายืนยันว่าเสื้อแดงฆ่ากันเอง

โดยเฉพาะญาติ "น้องเกด" อาสาพยาบาล 1 ใน 6 ศพถูกสังหารหมู่ในวัดปทุมวนาราม ถึงกลับออกมาประณามว่าเป็นการป้ายสีคนตาย

จี้ให้นายกฯมาร์คยุบคณะกรรมการปรองดองไปเลย

ตั้งไปก็ไม่มีประโยชน์อีกแล้ว

รัฐบาลประกาศปาวๆ ว่าอยากจะปรองดอง อยากให้บ้านเมืองกลับมาสงบ

แต่ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กลับมาจุดประเด็นว่าเสื้อแดงฆ่ากันเอง

แบบนี้เห็นทีจะปรองดองกันยาก!!


Ref: ข่าวสดรายวันหน้า 6 คอลัมน์ เหล็กใน
(update: วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7272)

วันจันทร์, ตุลาคม 25, 2553

The rise of Thailand's new army chief

จาก bangkokpost
Army commander-in-chief Anupong Paojinda, left, hands over authority to his successor, Gen Prayuth Chan-ocha, at a ceremony yesterday at the army headquarters in Bangkok. CHANAT KATANYU

The Bangkok Post's military reporter Wassana in the Bangkok Post on the rise of Gen. Prayuth, who became new army chief on October 1:

Newly appointed army chief Prayuth Chan-ocha is planning trips to the North and the Northeast to visit relatives of red shirt protesters who were killed in the April-May rallies.

Well known for his opposition to the red shirts, Gen Prayuth's surprise plan forms part of his policy to patch up differences with United Front for Democracy Against Dictatorship supporters.

The visits are intended as a gesture to reach out to members of the red shirt movement and to project a new image for Gen Prayuth, who has been viewed as taking a hard-line stance against the group, sources close to him said.
...
The army, which laid low for years after the disgrace of Black May in 1992, re-entered the political arena when it staged the coup on Sept 19, 2006, that toppled the Thaksin Shinawatra government.

Gen Prayuth was then a deputy commander of the 1st Army. He led his troops in supporting the putsch alongside Gen Anupong.

He has stood side by side with Gen Anupong from the beginning of their military careers, during negotiations inside a military camp that led to the formation of the Democrat-led coalition government, the crackdown on red shirt protesters in April last year and the operation to reclaim Ratchaprasong in April and May this year.
...
Gen Prayuth is known for his combative approach, for being decisive and for his fierce opposition to the Thaksin regime and the red shirt movement.
...
Gen Prayuth has solid back-up _ his former classmates from Class 12 of the Armed Forces Academies Preparatory School control key army units. They are also considered hawkish. They include Gen Dapong Ratanasuwan, the army chief-of-staff who played an important role in plotting the crackdown on the red shirts.


จาก bangkokpost
Lt Gen Wanthip Wongwai, left, and Lt Gen Thawatchai Samutsakhon, in charge of the North and Northeast army regions, respectively, will be spreading a message of tolerance and understanding.

BP: So as we see the army chief has been closely involved in the rise of the army since 2006. However, he is now trying to offer an olive branch to the red shirts, but also red shirt soldiers as Wassna referred to in a later column in the Bangkok Post:

According to the plan, Gen Prayuth will not only seek to reconcile with the red shirts but also with the so-called "watermelon" soldiers who are clad in green military uniform but in their hearts root for the red shirts.

It is estimated there are about 400 generals - from the rank of major-general up - who have been "pickled" in the army's vast vat of inactive positions because they are believed to have red links or leanings.

On his first day in office, Gen Prayuth sent a message to those who may be feeling disenfranchised: "I would like to ask all of you to love the army. Do not seek to destroy the army even if you have failed to secure a promotion. You may feel disappointed but I assure you I will see to it that you receive justice."

Gen Prayuth plans to assign responsibilities to these inactive generals so that they may redeem their self-esteem. He has assigned Gen Wit Dhephasdin Na Ayutthaya, chairman of the army's advisory board, to take care of them and to distribute some meaningful assignments to them, too.

It remains to be seen how long Gen Prayuth, the ultimate hawk, will last in this guise of a reconciliatory dove.

This reconciliation did not last long as the Bangkok Post reported on October 19:

New army chief Prayuth Chan-ocha has wasted no time in wielding his power by ordering a reshuffle of 229 senior officers.

The rejig has led to the transfer of regimental commanders reportedly linked with the red shirt movement.

Among them is Col Natthawat Akanibut, son of Gen Pat Akkanibut, who is a close friend of Puea Thai Party chairman Chavalit Yongchaiyudh.

He has been removed as commander of the 1st Infantry Regiment (King's Guards) and becomes deputy commander of Kanchanaburi Military District.
...
"Gen Prayuth is still concerned about soldiers who are close to the red shirts," the source said.

Before this, Thitinan had an op-ed in the Bangkok Post on the rise of Prayuth and the dominance of the Eastern Tigers of the Queen's Guard (where Anupong and Prayuth previously served) and Prayuth's classmates from the Armed Forces Military Preparatory School, Class 12. Key excerpts:

His [Prayuth's] unprecedented promotion bears far-reaching implications and reveals the behind-the-scenes manoeuvring in Thai politics. The source of Gen Prayuth's fast-track rise is the location and character of his unit, namely the 21st Infantry Regiment of the 2nd Infantry Division based in Prachin Buri, on the Thai-Cambodian border in the Lower Northeast region.

This division, broadly referred to as the "Eastern Tigers" comprises the 2nd, 12th and 21st regiments, the latter also famously known in military parlance as the Queen's Guard.

While the Eastern Tigers are now ascendant and assertive in the army's nexus of command positions, the Queen's Guard regiment is its vortex. Gen Prayuth is a through-and-through embodiment and personification of this regiment, whose select officers have undergone specialised training that includes classroom academic curriculum over the past two decades. They now dominate the army and, in turn, Thai politics.

Not since two decades ago has the army's command structure been so dominated by a fast-track cohort of this sort. More often than not, the army's commander-in-chief hailed from the 1st Infantry Division. Typically, the army's high command in the past was spread out among different units and class lines, rarely concentrated under one.

[Thitinan talks about previous times over the last 5-6 decades where a single group/class of military officers dominated the top military brass]

Gen Prayuth's ascendancy has changed all that. He now presides over a high command unusually filled by either former 21st Regiment standouts or his classmates from the Armed Forces Military Preparatory School, Class 12.

When such a concentrated command structure took place in the past, as with Class Seven and Class Five or the Ratchakru clan and Si Sao Theves group, it invariably led to political trouble. Army commanders felt emboldened to assert politically. Politicians and their routine corruption and cronyism were marginalised while the military's own graft and nepotism became salient.

Moreover, concentrated power sources in the military also led to attempted or successful coups by rival cohorts and disgruntled officers.

It is still early days for Gen Prayuth, but past experience with so much military power in the body politic does not bode well. The past has shown that powerful military cohorts do not return to the barracks voluntarily. A catharsis of crisis and clash between the military and civilians was always required, while challenges from within the military were not uncommon. That Gen Prayuth has stacked the high command with his regimental and Prep School Class 12 cohorts does not bode well.

On the dominance of a military clique, also see this article in The Nation by Avudh back in June, before the appointment of Prayuth:

The "Eastern Tigers" proved the right medicine for post-coup discontent. But they also blocked the career path of a large number of professional soldiers not in the same clique.

Should the "Eastern Tigers" get their way on succession plans, a military dynasty may emerge because an incumbent leader could pass his torch to a long line of designated successors.

While the bombs in December 2006 may have sounded an alarm about post-coup discontent, the "men in black" involved in the recent unrest in Bangkok served as a reminder of possible side-effects of the dominating influence of the "Eastern Tigers".

Out of spite or undying loyalty to Thaksin, some top generals may have helped prepare for the urban guerrilla clash as carried out by the men in black on April 10 and later days. But their common motive to get involved in plotting the unrest was probably the rise of the "Eastern Tigers".

It should not have gone unnoticed that Prayuth was the commander in charge during the April 10 violence, in which Colonel Romklao Thuwatham of the Second Infantry Division was killed. Romklao was from the "Eastern Tigers" clique.

None of the field commanders from Kanchanaburi, Bangkok and Lop Buri were harmed or targeted when they led security operations to end the Rajprasong rally on May 19.

In lining up the top brass in the coming annual reshuffle, Anupong is obligated to dispel any doubts about domination by the "Eastern Tigers". Prayuth, certainly well-qualified for promotion, might not be the most suitable candidate to lead the Army at this delicate juncture if reconciliation really is the top goal.

BP: One quick thing, Avudh has got the timeline incorrect. He refers to Anupong taking over as Army C-in-C in October 2006 (not excerpted above, but it is in the article) and then the bombs in December 2006 where he states that "[t]he bomb attacks in Bangkok on New Year's eve in 2006 remain unsolved but military leaders tacitly conceded there was discontent within the rank and file". The problem with this is that Anupong didn't become Army C-in-C until October 2007, but Avudh could certainly be right that it was discontent in the rank and file - see this article by Crispin and some additional background on the bombings in this post.

Well as we know now that the military didn't listen to Avudh and the top military brass is dominated by his classmates from the Armed Forces Military Preparatory School, Class 12 and by those who have served in the 21st Infantry Regiment.

Finally, on Prayuth and the direction he is setting for the army, Paul Quaglia in the WSJ states that Prayuth has been more politically active than his predecessor Anupong and then concludes:

That may be the kind of leadership that General Prayuth aims to provide, although his personal political views are unclear. He has not discussed elections or the government's plans for political "reconciliation" with disaffected pro-democracy supporters. But if Thai history teaches one thing, it's that Thais should be wary of anyone who promises to restore order. Democratic reform, governance transparency and public accountability could be the casualties.

BP: How hard line will Prayuth be? Despite some reconciliatory rhetoric, his past actions are unlikely to mean there will be any likely reconciliation. If he continues to shut out other military officers outside his cliques then well things could likely come to a head with those officers getting further frustrated...

Finally, Nirmal Ghosh in the Straits Times. Key excerpts:

General Prayuth Chan-ocha's takeover as Thailand's army chief tomorrow is seen as fortifying the establishment against a challenge to the traditional power structure at a critical time of transition.

The hawkish 56-year-old general is believed to be close to Queen Sirikit, as well as an old friend of the new, hand-picked chief of police.

When the army surrounded 'red shirt' protesters in Bangkok in May, it was he who wanted to move in and clear the demonstrators, reports said. But he had to defer to then-army chief General Anupong Paochinda who favoured a more cautious approach.
...
Gen Prayuth's hardline stance is useful for an establishment believing it is under siege from the red movement largely loyal to former premier Thaksin Shinawatra.

An anti-monarchy vein demanding that the palace stay out of politics, and determined to erode the power of the old-money elites, also threatens the status quo.